Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
INTERVIEW – Marshomme https://marshomme.com Thu, 23 Feb 2023 08:58:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png INTERVIEW – Marshomme https://marshomme.com 32 32 รู้จักคู่จิ้นสายฮาร์ดคอร์คู่ใหม่ #หล่งท็อป จากซีรีส์ “EvenSun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์” https://marshomme.com/interview/532344/ Thu, 16 Jun 2022 12:17:00 +0000

         ปีก่อนว่าซีรีส์วายไทยคึกคักแล้วนะคะ ปีนี้คึกคักกว่าอีก เพราะผ่านไปแค่ครึ่งปี มีซีรีส์ออนไปแล้วเกือบ 40 เรื่อง ส่วนครึ่งปีหลังที่กำลังเร่งสร้างอีกไม่น้อย 30 เรื่อง รอชมกันเลยจ้ะ ฟินไปตามๆ กัน ส่วนเรื่องนี้ “EvenSun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์” ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดมาก่อน จู่ๆ ก็ปรากฏตัวว่าสร้างเสร็จแล้ว รอออนปลายเดือนมิถุนายนนี้


       คู่นำอย่าง#บุ๋นเปรม ที่ว่าแซ่บแล้ว คู่รอง หล่งซื่อลี กับ ท็อป – ณธรรศ ตันเจริญ พี่ว่าเด็ดกว่า แม้จะโคจรมาพบกันแบบงงๆ ก็ตาม
        หล่งซื่อลี อายุ 21 ปี ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ ที่โด่งดังจากการเป็นเน็ตไอดอล ด้วยภาพลักษณ์นักมวยที่หุ่นดี หน้าดี จนสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันกรี๊ดดด สลบ
        ส่วน ท็อป-ณธรรศ ตันเจริญ เริ่มงานแสดงชิ้นแรกจากภาพยนตร์“รด.เขาชนผีที่เขาชนไก่” (2015) ของผู้กำกับ กอล์ฟ ธัญวารินทร์ สุขะพิสิษฐ์ แต่มาโด่งดังมากๆ จากการประกวด The Face Men 5 ทีมโทนี่ รากแก่น ส่วนซีรีส์วาย “EvenSun ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์” แม้จะเป็นงานปุ๊ปปั๊ปรับโชด แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย


       ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์ ใช้เวลาถ่ายทำนานไหมเรื่องนี้
       ท็อป : ประมาณ 4 คิวครับ
       หล่ง : ของเราถ่ายไม่เยอะ เพราะเราไปถ่ายในค่ายมวยครับ เลยใช้คิวน้อย

       อยากให้ทั้งสองคนเล่าคาแรกเตอร์ของตัวเองในซีรีส์ให้หน่อยครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง
       หล่ง : ของหล่งเป็นตัวละครชื่อ “อาชิง” ครับ อาชิงเป็นนักมวยที่มีความใฝ่ฝันอยากจะต่อยมวยอาชีพ อยากจะมีคู่ชกจริงจัง แต่ปมขัดแย้งมันอยู่ตรงที่ คุณพ่อของเขาไม่อยากให้ชกมวย เพราะคุณพ่อทำธุรกิจสีเทา และคุณพ่อจะไม่อยากให้ลูกออกไปคบเพื่อนและมีสังคมภายนอก เนื่องจากการทำธุรกิจสีเทาทำให้มีศัตรูเยอะ เลยเป็นห่วงลูก แต่อาชิงก็พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ไปต่อยมวยให้ได้ครับผม
       ท็อป :ส่วนคาแรกเตอร์ของ “มังกร” ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูด จะเป็นคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าแววตามากกว่า ส่วนตัวมังกรเข้ามามีบทบาทในเรื่องอย่างไร คือคุณพ่อของมังกรเป็นหนี้ แล้วเราก็ต้องเข้ามาเป็นขัดดอกแทนคุณพ่อ ทำให้มาเจอกับอาชิงครับ เป็นคู่ซ้อมของอาชิง


      ตอนที่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ตัดสินใจนานไหม
      ท็อป :ถามว่านานไหม มันพึ่งหลังจากโควิดอะครับ พอมีงานติดต่อมา ผมก็รับเลย ไม่ได้คิดอะไรมาก
      หล่ง : พอเห็นตัวบท หล่งชอบ อยากเล่นเป็นนักมวยครับ ด้วยความที่เราเป็นนักมวยอยู่แล้ว เลยอยากเล่นบทที่มีใกล้กับสิ่งที่เราถนัดก็คือนักมวย ก็เลยรับครับ

      เคมีของเราเป็นอย่างไรบ้าง ต้องworkshopนานไหมก่อนที่จะเปิดกล้อง
      หล่ง : เวิร์กชอป 2 วัน เองเนอะ ส่วนเรื่องเคมี เอาตามจริงเลยนะครับ ตอบแบบไม่สวยงาม ตอนเวิร์กชอปผมรู้สึกว่าเราเล่นคู่กันน่าจะยาก เพราะว่ายังไม่ซิงค์กันเลย
      ท็อป : ยังไม่รู้จักกันเลย ใช่
      หล่ง : ยังไม่สนิทกันพอ แต่พอมาถึงหน้ากล้องเหมือนเราก็พอมีประสบการณ์กันมาทั้งคู่ แล้วจู่ ๆ มันก็เกิดอาการซิงค์กันขึ้นมา ทำไมเราเล่นได้ แต่ตอนเวิร์กชอปเราเล่นไม่ออก


      ตอนเวิร์กชอปรู้สึกอย่างไร ที่ทำให้เรารู้สึกว่าจะเล่นคู่กับคนๆ นี้ยากจังเลย
      หล่ง : ของผมก่อนนะ ผมรู้สึกว่ากำแพงเขาสูงมาก สูงและหนามาก ผมไม่สามารถทลายกำแพงเข้าไปได้แน่ ๆ
      ท็อป : ก็ค่อนข้างที่จะสูงนะ ตอนนั้นมันปุ๊บปั๊บด้วย ไม่มีเวลาเตรียมตัว พอต้องมาเวิร์กชอป 2 วัน เราจะทำตัวอย่างไรดี จะเข้าหาเขาอย่างไร ทำอย่างไร เราก็โอเคอย่างนั้นเราค่อย ๆ ปรับตัวก็แล้วกัน แต่มันไม่ทันแล้ว จะถ่ายแล้ว

      ฉากที่หนักหน่วงที่สุดในซีรีส์
      ท็อป : ของผมเลยคือต่อยมวย เพราะผมต่อยมวยไม่เป็น เลยต้องเป็นคู่ซ้อมให้เขา เราก็ไม่รู้จะทำอย่างนี้ เขาก็สอนเรานะ มันไม่ยาก แต่มันเหนื่อยเวลาเล่นด้วยพูดด้วยมันก็เหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน
      หล่ง : ใช่ เหนื่อยมาก
      ท็อป : เหนื่อยมาก
      หล่ง : แล้วพูดไม่รู้เรื่อง พอเราเหนื่อยจะพูดไม่รู้เรื่องครับ

      หล่งล่ะ ฉากที่สุดหนักหน่วง ยากที่สุด
      หล่ง :หนักหน่วงของหล่งน่าจะเป็นการที่บอกรักผ่านการต่อยมวย ซึ่งมันยากมาก คือการต่อยมวยไม่สามารถเป็นการบอกรักได้เลย แต่จะทำอย่างไรให้มันออกมาเป็นการบอกรักได้

      จูบแรกในซีรีส์
      ท็อป : ถ้าเราพูดเป็นการจะสปอยไหมท็อป
      หล่ง : มันคือจุดพีกของซีรีส์เลยนะ

      ไม่สปอยหรอก พูดได้
      ท็อป : รอดูดีกว่าว่าจูบหรือไม่จูบ
      หล่ง : ตอนแรกจะมุมกล้องนะครับ แต่ไม่ถึงใจผู้กำกับ ก็เลยจัดจริงเลย

      ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
      ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
      หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย


        เทียบความยาก ระหว่างตอนเล่นพ่อกับลูก กับเรื่องนี้
        ท็อป : เรื่องนั้นแอบยากอยู่นะพี่ รู้สึกว่ามันเป็นเรทที่ยากครับ หนักเลยครับ รู้สึกตอนที่ออกข่าวก็มีคนมาถามว่าทำไมมีฉากนั้นด้วย เพราะตอนคุย ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้ 100% ขนาดนั้นครับ

        แต่หล่งลีเหมือนจะเล่นซีรีส์วายมาหลายเรื่อง?
        หล่ง : ครับผม แต่ว่าที่เล่นมายังไม่เคยมีคู่ไง เป็นซับเมนเสียมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเล่นที่เล่นแบบมีคู่ ถามว่าแตกต่างจากการที่เคยเล่นมาก่อนไหม มากๆ ครับ เพราะเราต้องพยายามหาเคมี หาความเข้าใจกัน รู้ใจกันว่าเราจะเล่นจังหวะไหน อย่างไร ปกติถ้าเล่นคนเดียวจะสบายกว่า แต่พอมีคู่มามันต้องรู้ใจกัน ต้องสื่อกันให้ถึง ถ้าสื่อไม่ถึงปุ๊บ เราเล่นกันไม่ได้แน่ ๆ ครับ แต่พอวันเปิดกล้องจริงมาถึง 1 2 3 ก็เล่นได้แบบงง ๆ ดีใจที่ผู้กำกับชม

        รู้สึกอย่างไรที่เราต้องรับบทในซีรีส์วายที่เล่นเป็นคู่เรื่องแรก
         หล่ง : ผมทำตัวไม่ถูกครับ ไม่รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรให้ทุกคนกรี๊ด ผมก็ปรึกษาผู้กำกับนะว่า ทำอย่างไร ไปปรึกษา acting coach ด้วย เขาบอกว่าไม่ต้องพยายามอะไรเลย ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เล่นแล้วเราสองคนมีความสุข คนดูก็จะมีความสุขไปด้วย เราก็แค่ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุดครับ
          ท็อป : การจะเล่นคู่กันมันต้องค่อย ๆ รู้จักกัน เข้าหาเขาเยอะ ๆ พยายามรู้จักกันต้องมีเวลา แต่เรื่องไม่มีเวลา ซึ่งเราก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้มันเปิดใจ แล้วเล่นให้มีความสุข ให้รู้สึกว่าคนนี้เราเล่นคู่กับเขานะ


          แต่ซีรีส์จะออนไปแล้ว จะกดดันกว่า เพราะผู้ชมจะเกิดความคาดหวัง
          หล่ง : ใช่
          ท็อป : แอบกดดันนิดหนึ่งเนอะ
          หล่ง : ถามว่ากดดันไหม กดดันนะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากระแสของเราจะมาในทิศทางไหนเลย เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เราจะต้องเตรียมรับกระแสแบบไหน เราไม่รู้เลย
          ท็อป : เรายังมองไม่เห็นครับ ต้องรอซีรีส์ออนอย่างเดียว

          ท็อปเข้าวงการจากการแสดงหนังก่อนประกวดThe Face Men อย่างไรถึงไปประกวดเวทีนี้
          ท็อป : ตอบตรงๆ ไม่เคยดูThe Faceเลยนะ เราไม่รู้เลยว่ารายการนี้เป็นอย่างนี้ เดินแบบก็ไม่เป็น ถ่ายรูปก็ไม่เป็น แต่พอติดเข้าไปเราก็ทำ ๆ ตามที่เขาบอกได้เฉยเลย ชูป้ายขึ้นมาว่าเราได้ เราก็งง ช็อก ๆ อยู่แป๊บหนึ่ง จริง ๆ พอเข้ารอบไปได้เขาจะมีครูสอนให้ เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นได้ด้วยครับ

          หล่งล่ะ
          หล่ง : หล่งเริ่มจากการต่อยมวยครับ ถามว่านานไหม หล่งเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่ม เข้าวงการไม่ถึงปีนี่เองครับ ที่มีคนรู้จักมากขึ้น หล่งเริ่มจากการต่อยมวยที่มีคนให้หล่งรีวิวสินค้า หล่งก็เริ่มรับรีวิวตัวแรก แล้วก็มีตัวที่ 2 มาเรื่อย ๆ จากนั้นก็มีคนรู้จักมากขึ้น แล้วก็มีทางซีรีส์ติดต่อมาบอกลองมาแคสต์ซีรีส์ดู เรื่อง I’m Your King ก็ลองไปแคสต์ดู พอผ่านปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบ จากนั้นก็ไล่แคสต์ไปเรื่อย ๆ ครับ


       แสดงว่าทุกวันนี้ถือว่าเราทิ้งอาชีพนักมวยไปแล้วใช่มั้ย
       หล่ง : ไม่ทิ้งครับ ยังอยู่ในชีวิตผมตลอดเลย เราเกิดจากตรงนั้น มีคนรู้จักเราจากตรงนั้น มันทำให้เรามีเส้นทางในการพัฒนาตัวเองไปได้

       คิดอย่างไรกับวงการบันเทิงบ้าง คาดหวังอะไรกับงานในวงการบันเทิงบ้าง
       หล่ง : ของผมค่อนข้างจะบอกตัวเองว่าเราต้องมองไว้สูง ๆ ผมอยากมีชื่อเสียงไปถึงขั้นระดับต่างประเทศนะครับ พอเรามีชื่อเสียงในระดับต่างประเทศ อยากให้คุณพ่อที่อยู่ต่างประเทศได้เห็นว่าเรามีชื่อเสียงถึงขั้นนอกประเทศไทยแล้วนะ
       ท็อป : ส่วนท็อปไม่คาดหวังอะไรมาก แต่แค่เป็นคนที่เวลาทำอะไรก็ตามคือถ้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบกพร่องหรือผิดพลาด เราก็จะพยายามปรับเปลี่ยนพัฒนาตรงนั้น แล้วก็มองเป้าหมาย พยายามพัฒนาตัวเอง การเดินบันได ปกติคนเราจะเดินขั้นหนึ่ง แต่เราต้องเดินให้มากกว่าขั้นหนึ่ง 2 ขั้น 3 ขั้น เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้น ๆ ไปครับ


        กับซีรีส์เรื่องนี้ เต็ม 10 เราให้คะแนนเท่าไร
        หล่ง : เต็ม 10 เหรอครับ ณ ตอนที่ถ่ายอยู่ผมรู้สึกว่าผมให้เต็ม 10 แต่พอเรากลับมานอนคิด ผมให้ 5 เพราะว่าเรามีความโลภ รู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำแบบนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่พูดอย่างนี้ ด้วยความที่เรามีความโลภไง ตอนถ่ายทำโอเคเต็ม 10 พอกลับมานอนคิดให้ 5 เหมือนว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้
        ท็อป : ส่วนท็อป ถามว่าดีไหม เราก็พยายามเต็มที่นะ แต่เรื่องบทเราก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น เราเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความจำ พอจำได้เสร็จแล้วเราก็ลืม เราเป็นคนที่จำไม่ค่อยได้ สมาธิสั้น

         งานชิ้นถัดไปเป็นอย่างไรเรื่องอะไรบ้าง
         ท็อป : ตอนนี้ของผมยังไม่มีเลยครับ รอ coming soon แต่น่าจะกลับมารับงานเร็ว ๆ นี้
         หล่ง : ของหล่งก็จะเป็นเรื่อง “Love Syndrome รักโคตรโหดอย่างมึง”เป็นซีรีส์วาย แสดงคู่กับแฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ แล้วก็มีหนังภาพยนตร์ 1 เรื่องที่เพิ่งถ่ายจบไป ชื่อเรื่อง “Bad Social” ครับ หนังไม่วายนะ หนังเป็นพี่ชายที่รักน้องสาวมาก ๆ


        เตรียมรับมือกับความคาดหวังของแฟนคลับไว้หรือยัง เพราะอย่างหล่งเองก็มีข่าวกับต้นหอม คิดว่ามันจะทำให้งานมันสะดุดไหม
        หล่ง : ถามว่าสะดุดไหม อาจจะไปสะดุดเฉพาะบางกลุ่ม เพราะว่าช่วงนี้ ณ ปัจจุบันเรามีความหลากหลายทางเพศ และมีความลื่นไหลทางเพศมากขึ้น การที่เราจะจิ้นกับใครหรือว่าจะถูกมองว่าเคมีตรงกัน มันไม่จำกัดเรื่องเพศแล้ว เราควรจะมองว่าจะเป็นแค่บทละครหรือว่าเป็นชีวิตจริงครับ เราไม่ได้เสียอะไร แค่เรารู้สึกว่าเราได้สัมผัสว่าเคมีเราโอเคกับคนนี้ เราอยู่กับคนนี้เราสบายใจ แล้วแฟนคลับก็ชอบเรา เราก็โอเค เราแฮปปี้ เราก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่คอย support เรา ไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนก็ตาม


         ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
         ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
         หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย

         ถามท็อปในฐานะที่เป็นนายแบบ ถ้าแฟนคลับRequestอยากให้ถ่ายรูปชุดว่ายน้ำเซ็กซี่
        หล่ง : ตอบสิ เขาถามพี่
        ท็อป : ผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างconflictกับการถ่ายรูปถอดเสื้อผ้ามาก ๆ ถ่ายได้นะ แต่เราไม่ค่อยอยากลงโซเชียลมาก เพราะรู้สึกว่ามันจะเกร่อไป มันช้ำ เบื่อ เห็นอีกแล้วเหรอ พยายามค่อย ๆ ออกมาทีละนิด ค่อย ๆ อยากให้เขาว้าวมากกว่า

ซีรีส์“EvenSunฉันนี่แหละนายอาทิตย์
สตรีมมิ่งทางiQiyi29 มิถุนายนนี้

Text Takeshi West
Photo : Issares Chosawai

]]>
เหลือไว้เพียงผลงาน อาลัย ‘บีม ปภังกร’ นักแสดงนำจากซีรีส์ไทยเรื่องแรกของ Netflix https://marshomme.com/interview/529822/ Wed, 23 Mar 2022 14:35:00 +0000

           ตกใจไม่น้อย เมื่อทราบข่าวการจากไปกะทันหันของ ‘บีม ปภังกร’ หนึ่งในนักแสดงมากฝีมือ   ที่เคยร่วมงานถ่ายแฟชั่น E photobook กับ mars homme เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของบีม กับบทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่บีมเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับเรา….


          แม้ซีรีส์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ทั้งหลายจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยอดวิวของทุกแพลตฟอร์มกลับมาทะลุเป้าแบบไม่เหนือความคาดหมาย เพราะโรคระบาดนั่นไง ที่ทำให้เราไปไหนมาไหนไม่ได้ จำต้องหาความบันเทิงเสพชิลล์ๆ แก้เครียดไปวันๆ

           หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ฮิตมากๆ ก็คงต้องยกให้เน็ตฟลิกซ์แหละ ที่มีทั้งหนังและซีรีส์เด็ดๆ จากทั่วโลกให้ชมชนิดที่เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่หนึ่งออจินัลซีรีส์ของค่ายนี้ที่น่าจับตามองมากที่สุด คงต้องยกให้ #เคว้ง เพราะนอกจากเป็นซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix แล้ว เรายังได้พิสูจน์ฝีมือการผลิตและการแสดงของคนไทยล้วนๆ ทั้งนักแสดงและผู้กำกับอีกด้วย

            หนึ่งในนักแสดงนำที่โดดเด่นมากจากซีรีส์เคว้ง ก็คือ ‘บีม-ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์’ ที่ได้รับคำชมอย่างมากมาย เรามีคำถามหลายข้อที่อยากจะฟังคำตอบจากปากหนุ่มคนนี้ชัดๆ


feedback จากเคว้งที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

         ส่วนตัวผมมองว่าค่อนข้างโอเคนะครับ มีทั้งติทั้งชม ชมเราก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้ตัวเองนะครับ แต่ว่าส่วนคำติ ผมเก็บมาพัฒนาตัวเอง แล้วอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่อันไหนที่อ่านแล้วเรามองว่าเอออันนี้มันจริง เรานำมาปรับปรุงพัฒนาในอนาคตได้

ที่ติเขาติเรื่องอะไร

         ส่วนใหญ่คือด้วยตัวบทครับ ผมว่ารู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้เฉลยให้เคลียร์ แล้วยังไม่ได้เฉลยให้จบซะทีเดียว คนเลยสงสัยกัน

เตรียมไว้ซีซั่น 2 ไหมเพราะกระแสซีซั่นแรกค่อนข้างดี

          ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหรือเปล่าครับ เขาบอกว่าต้องรอทาง Netflix แจ้งอย่างเป็นทางการมาก่อน ส่วนเรื่องกระแสค่อนข้างโอเคอยู่ครับ ทาง Netflix เขาค่อนข้างพอใจ

ทำไมถึงได้มาแคสต์เล่นซีรีส์เรื่องนี้

         มาแบบงู ๆ ปลา ๆ มากเลยครับ คืออยู่ๆ พี่เขาเรียกเข้ามาแคสต์ เราไปแคสต์แบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรเลย เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยว่าเป็น Netflix ครับผม


คือไม่ได้ให้รายละเอียดเลยว่า แสดงเรื่องอะไร แนวไหน รับบทเป็นใคร ใช่มั้ย

         คือตัวที่แคสต์ก็เป็นตัวที่ชื่อคราม แค่นั้น รู้แค่ว่าชื่อคราม เป็นลูกชาวประมง เด็กใต้ ชาวเกาะ อะไรประมาณนี้ครับ แค่นี้ นอกนั้น ไม่รู้อะไรเลย สงสัยที่เขาเลือกผมเพราะหน้าตาเข้มๆ คมๆ เหมือนเด็กใต้มั้งครับ

จริงๆ บีมเป็นคนกรุงเทพฯ หรือคนใต้

         คนกรุงเทพฯ ครับ แต่มีคนถามผมเยอะมากว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ยิ่งเล่นเรื่องนี้เสร็จ มีคนมาถาม เต็มเลยว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ไม่ใช่ครับนะครับ คนกรุงเทพฯ เกิดที่นี่

บีมเข้าวงการมานานหรือยัง

        ตั้งแต่ 16 ครับ ตอนนี้ 24 ก็ปีที่ 8 แล้วครับ


ตอนนั้นที่เข้ามาวงการเริ่มจากน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ใช่มั้ย

       ใช่ครับ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ครับ มีเปิดเป็นออดิชั่นครับ รับน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์แก๊งใหม่ เราก็เข้าไปประกวด มันเป็นประกวดครับ พอเราประกวดเสร็จเราก็ต้องเก็บตัวแป๊บหนึ่ง แล้วมีแข่งรอบสุดท้าย กว่าจะเลือกประมาณเดือนหนึ่งได้ครับผม

ใครชวนไปแคสต์

         ตอนนั้นคุณแม่เป็นคนผลักดันครับ พอแม่เห็นประกาศว่ามีรับน้องแก๊งใหม่ เขาบอกผมให้ลองไปดู อยากให้ลูกกล้าแสดงออกประมาณนี้ครับ คือแม่ผมจะชอบให้ผมอยากจะไปทำอะไรพวกนี้ ไปประกวด ลองไปดูนู่นดูนี่ตั้งนานแล้ว คือเขาอยากให้ผมกล้าแสดงออก แล้วเราก็ไม่เคยไปสักที่ แต่อันนี้เราก็ว่าเราลองไปดู

แล้วที่ไปเล่นหนัง Water Boyy ล่ะ

        Water Boyy เนี่ยเล่นอยู่ในระหว่างที่เล่นช่วงน้องใหม่ไปประมาณ 2 ปี แล้ว แล้วก็มี Water Boyy เข้ามาครับผม ตอนนั้นผมเห็นว่าบทมันน่าสนใจดี ก็เลยลองไปเล่นแค่นั้นเลยครับ ไม่ได้คิดอะไรมากหลังจาก Water Boyy ก็มีน้องใหม่ถ่ายมาเรื่อยๆ ครับ แล้วผมก็มีละครช่อง 3 มิสเตอร์เมอร์แมนบ้าง มี Project S The Series ของนาดาวครับ ตอน Spike ครับ ที่เป็นตอนของนักวอลเลย์บอล แล้วก็มีซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องรักหลับครับ ออนแอร์ทางช่อง 3 SD ครับ

ตอนนี้กำลังถ่ายอะไรอยู่

         ตอนนี้ก็มีถ่ายซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่งครับ แต่ว่าช่องทางออนแอร์ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นทางไหนเป็นซีรีส์เกี่ยวกับการแข่งเปียโนประมาณนี้ครับ เรื่องราวมันก็จะมีปัญหากันในระหว่างการแข่งประมาณนี้ครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมขออุบไว้ก่อนดีกว่า


อยู่วงการนี้มาหลายปี รู้สึกพอใจในจุดที่เราอยู่ตอนนี้ไหม

        พอใจไหม ผมว่าตอนนี้มันก็โอเคอยู่นะครับ เพราะถือว่าเราได้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ครับ อาจจะยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไร แต่ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้น ผมอยากพัฒนาตัวเองให้มันดีพร้อมที่จะไปอยู่ตรงนั้นในวันที่โอกาสเข้ามาจริงๆ มากกว่าครับ แล้วตอนนี้ผมมองว่ามันเป็นช่วงที่เรากำลังพัฒนาตัวเองให้ฝีมือเก่งๆ กว่านี้ก่อนครับ

ผลงานที่เคยมีมาชอบบทไหนมากที่สุด

ตัวน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ผมก็ชอบนะครับ ตัวที่ผมเล่นชื่อปราบภัย เคว้งนี่ผมก็ชอบ

บทครามกับบีมนี่ต่างกันมากน้อยแค่ไหน

ช่วงแรกๆ ต่างกันเยอะมากในการแบบจูนอิน เขาเรียกว่าอะไร outer ของเรา เราเป็นคนแบบไม่ค่อยใจเย็นครับ เป็นคนทำอะไรรีบๆ ลุกลี้ลุกลน เป็นไฮเปอร์ แต่ว่าตัวครามเขาจะนิ่งๆ ใจเย็นๆ ชิลล์ๆ เป็นชาวเกาะด้วย ดูสุขุมกว่าใช้เวลาจูนอยู่สักพักหนึ่งนะครับ มีพี่จินผู้กำกับช่วย แล้วเวลาเราอยู่กอง ไม่ใช่อยู่กองเดียว ตอนที่ถ่ายทำเราต้องย้ายตัวเองไปอยู่เกาะนานๆ ครับ มันช่วยเราตรงนี้ด้วย ระหว่างนั้นเราก็พยายามทำให้ใจเย็นและนิ่งให้มันมากขึ้นตลอดครับ


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนไฮเปอร์

         ผมอยู่ไม่ค่อยสุขครับ แล้วเวลาผมทำอะไรผมทำเร็วๆ ผมไม่ได้แบบทำช้าๆ เวลาทำช้าๆ แล้วผมอึดอัด แต่พอหลังจากผมเล่นเคว้งมา ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะอยู่ เปลี่ยนไปในเรื่องของความใจเย็น นิ่งลง วิธีคิดก็ค่อนข้างเปลี่ยนเยอะ

ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงบีมจะเป็นอะไร

         นั่นสินะ ผมคิดอยู่ตลอด อาจจะยังเพิ่งเรียนจบ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพราะตอนก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง มันก็ยังไม่ใช่เป็นช่วงที่เราคิดได้ว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะไปเรียนสายไหน จบมาทำอะไร นึกไม่ออกเลยเหมือนกันครับ

ถ้าสมมุติว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว เราอยากทำอะไรต่อ

         ผมอยากทำธุรกิจ แต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าผมต้องการจะทำอะไร ณ ตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ คือผมอยากทำธุรกิจ อยากขายของ อยากลองดูสิ่งที่เราไม่เคยทำเหมือนกันครับ

ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบ้างมั้ย

           เล่นกีฬาครับ ผมเตะบอล ต่อยมวย ฟิตเนสบ้าง เอาหมดเลยครับ ผมชอบเล่นกีฬามาก แต่ว่าพิลาทิสเหมือนที่แม่ผมสอนอยู่เนี่ย ผมว่ามันไม่ใช่ทางของผมเท่าไร เรื่องดูแลตัวเอง ผมไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนั้นครับ ผมตามใจตัวเองเรื่องกิน แต่ว่าผมจะออกกำลังกายอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นมันก็จะแล้วแต่ช่วงเวลาครับ ช่วงไหนออกกำลังเยอะ หุ่นจะดี มันก็จะมีอารมณ์อยากไปออกกำลังกายเยอะ ช่วงไหนที่ขี้เกียจๆ มันก็จะเผละหน่อย


อยู่วงการมาหลายปี มีงานหรือบทบาทอะไรที่เรายังไม่เคยรับ และมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาส เราอยากจะไป challenge ตัวเองกับสิ่งนั้นบ้าง

          นึกไม่ออกเลยครับตอนนี้ สมมุติถ้าเข้ามาอย่างนี้ แล้วเราเห็นแล้วว่า เฮ้ยน่าลอง ผมก็คงโอเคครับ แต่หนังผมอยากเล่นอีกนะ เพราะเล่นมาเรื่องเดียว อยากลองอีกเหมือนกัน อ๋อ ผมนึกออกแล้ว ผมอยากเล่นหนังแบบชีวประวัติแบบต่อยมวย อันนี้ผมอยากเล่นมาก อยากเล่นหนังต่อยมวย แบบว่าเป็นชีวประวัติที่แบบนายขนมต้มอะไรอย่างนี้ครับ อันนี้อยากเล่นมาก

ประเมินผลงานตัวเองที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

            มันควรจะดีกว่านี้ครับ แต่ ณ ตอนที่เราได้ทำ เราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่สมรรถภาพเราสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้มันก็เป็นเรื่องของการที่เราไปพัฒนาตัวเอง ระหว่างที่เราไม่ได้รับงาน ไม่ได้ทำงาน ที่ทำให้เราได้ไปทำงานครั้งหน้า มันอยู่ในสภาพที่พร้อมและฟิตกว่านี้ เวลาเรามองย้อนกลับมาดูงานอีก เราจะได้ไม่แบบเสียดายว่า เฮ้ย ตรงนี้เราน่าจะดีกว่านี้ ทุกครั้งเราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่เราทำได้ที่สุด และพยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ หรือว่าจริงๆ แล้วจนถึงวันหนึ่งที่ผมแก่มากๆ ผมก็อาจจะยังไม่พอใจในผลงานตัวเองก็เป็นไปได้ครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมมองว่าจริงๆ แล้วมันก็มีอะไรให้พัฒนาขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ

ดาวน์โหลด E Photobook และบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม รวมไปถึงเบื้องหลังคลิปวิดีโอของ ‘บีม ปภังกร’ ได้เร็วๆ นี้

https://www.mebmarket.com/ebook-124286-Mars-Homme-Magazine-Online-BEAM


https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/2f044a59-0536-49d5-b979-b67c0028fc99/mars-homme-magazine-online-beam

Text :  Takeshi West

]]>
“รักเดียว” ซิตคอมวายเรื่องแรก ที่มี“เอิร์ท ธนกฤต” และ “วิน ทรงสิน” เป็นคู่จิ้นชวนฟินจิกหมอนและฮาไปพร้อมๆกัน https://marshomme.com/interview/532249/ Mon, 07 Feb 2022 11:07:00 +0000           ใครๆ ก็บอกว่าซีรีส์วายไทยกำลังเฟื่องฟู เพราะโด่งดังไปทั่วโลกและทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จะจริงตามนั้นหรือไม่ เมื่อดูจากสถิติการประกาศสร้างซีรีส์วายในช่วงปี 2563-2564 ที่รวมกันมากกว่า 100 เรื่อง ดูท่าแล้วว่าซีรีส์วายไทยจะมาถูกทาง แต่ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เห็นจะเป็นจำนวนโปรเจ็กต์ที่ประกาศมานั้น ล้มไปก็ไม่น้อย จำนวนกว่าครึ่งร้อยยังสร้างไม่เสร็จ และที่ออนไลน์(และออนแอร์)แล้ว “แป้ก” ก็มีมากเช่นกัน

ทำไมหลายเรื่องจึง“แป้ก” ?

          เรื่องนี้หาคำตอบไม่ยาก เพราะเนื้อหามันวนอยู่ในอ่างไงล่ะ แต่เราก็ได้เห็นความตั้งใจของนักเขียนหลายๆ คน รวมทั้งผู้ผลิตที่มีความพยายามในการหาแนวทางการนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ แต่ซีรีส์ที่‘แหวก’และ‘แหกขนบ’วาย(ที่เน้นโมเมนต์จิ้นๆ ฟินๆ)ไปไกลสุดกู่ ณ เพลานี้ คงต้องยกนิ้วให้ “รักเดียว”ซิตคอมวายเรื่องแรกจากช่องวัน31ที่เพิ่งจะออนแอร์เมื่อเร็วๆ นี้ ทำเอาสาววายตะลึงตึงโป๊ะไปตามๆ กัน เพราะมันฮาเกินกว่าจะเก็บไปฟินน่ะสิคะ แม่จ๋า

          คู่พระเอก-นายเอกหน้าใหม่ “เอิร์ท-ธนกฤต ตาละโสภณ” และ “วิน-ทรงสิน ใจพันธุ์” ดูจะเคมีเข้ากันไปดี และไปได้สวยกับแนวทางซิตคอมที่ต้องปล่อยมุกเรียกเสียงฮาอยู่เรื่อยๆ(งานถนัดของช่องนี้เลยทีเดียว ดูผลงานเก่าๆ อย่างเป็นต่อ,บางรักซอย9และเสือ เก้ง ชะนี ก็เชื่อขนมกินได้)เอิร์ท-ธนกฤต อาจจะไม่ใช่หน้าใหม่ซะทีเดียว เพราะเคยมีผลงานออกมาบ้างจากซีรีส์และงานโฆษณา ส่วนวิน-ทรงสิน นั้นใหม่เอี่อมอ่องถอดด้านมาเลี่ยมทอง เพราะเปิดซิงที่นี่เป็นที่แรก

กว่าจะมาลงตัวกันที่คู่นำซิตคอมรักเดียวเอิร์ทวินทำอะไรกันมาก่อน

         เอิร์ทของเอิร์ทเริ่มจากการแคสต์งานโฆษณา เดินแบบ และมีโอกาสได้ไปเล่นละครบ้าง แต่ไม่ได้เป็นตัวเมนหรือตัวหลักครับ พอดีมีผู้ใหญ่เห็นผมจากทางโฆษณาว่าหน่วยก้านดี เลยเรียกเรามาคุยกับผู้ใหญ่ทางช่องวัน จนสุดท้ายก็ได้มาเจอซิตคอมรักเดียว ที่มีโอกาสได้เล่นเป็นตัวเมนครับ รู้สึกตื่นเต้น และตกใจมากที่รู้ผลว่าแสดงได้ซิตคอมเรื่องนี้

          วินวินเป็นคนเชียงใหม่ เคยเป็นนายแบบ ถ่ายแบบ และเคยประกวดมาหลายเวทีครับ จากเชียงใหม่ก็มากรุงเทพฯ เลยครับ คือมีผู้ใหญ่ทางช่องวันเขาติดต่อไปว่า อยากให้ลองมาแคสต์ซิตคอมเรื่องนี้ดู ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีนะ เลยตัดสินใจลองมาแคสต์ ได้มาเจอกับพี่ ๆ ที่มาแคสต์ด้วยกันหลาย ๆ คน มาเจอกับพี่ ๆ ทีมงาน ผู้กำกับ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าได้หรือเปล่า ช่วงรอคำตอบนานมากกกกกก ตื่นเต้นมาก ๆ


วินเป็นคนเหนือ ตอนที่รู้ว่าจะต้องมาแสดงซิตคอม ปรับวิธีการพูดนานไหม

           วินเป็นคนใช้ภาษาเหนือมา 19 ปี พอปีที่ 20 ย้ายมากรุงเทพฯ เราก็ต้องขยันพูดมาก ๆ พอมาอยู่ตรงนี้ใช้เวลาปรับนานมากครับ 3-4 เดือน ทางช่องส่งให้ไปเรียนกับครูภาษาไทย เพื่อปรับการพูดครับ กว่าจะพูดวรรณยุกต์ สระ ร เรือ ล ลิง ได้ชัดนี่ อู้หู ลำบากเหมือนกัน ผมเลยตั้งใจปรับเปลี่ยนการพูดจนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน หลัง ๆ มานี่เริ่มไม่มีคอมเมนต์เรื่องการพูดเหน่อ หรือว่าพูดเสียงขึ้นจมูกแล้ว

พอรู้ว่าต้องมาเล่นซิตคอม และเป็นซิทคอมวายด้วย ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร

         เอิร์ทผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนงานงานหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำนะ รู้สึกว่ามันท้าทายกับอาชีพนักแสดงเหมือนกัน ในการที่เข้ามาเล่นซิตคอมวาย เพราะปกติจะต้องมีนางเอกพระเอกใช่ไหมครับ แต่วายจะเปลี่ยนเป็นนายเอกแทนซึ่งท้าทายความสามารถของนักแสดงนะครับ แล้วก็ต้องทำการบ้านกันเยอะเหมือนกัน


         วิน : ผมคิดว่ามันเป็นความท้าทายจริง ๆ แหละ แต่มันปนกับความสนุกที่น่าสนใจนะ อยากลองเล่น เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทยด้วย ผมคิดไว้ในหัวว่ามันต้องสนุก ต้องมีความฮาทุกอีพี

        เอิร์ท ความซิตคอม ความสนุกต้องมาแน่นอน แล้วยิ่งมาเจอพี่นก(จิรศักดิ์ โย้จิ๋ว)ผู้กำกับ เสือ ชะนี เก้ง และเป็นต่อ ที่เราดูตั้งแต่เด็ก ได้สัมผัสกับซิตคอมพวกนี้ตั้งแต่เด็กด้วยแล้ว ทำให้รู้สึกว่าซิตคอมรักเดียว มันต้องออกมาครบรสแน่นอน

คาแรกเตอร์ในรักเดียวเป็นอย่างไร

         เอิร์ท คาแรกเตอร์ของเอิร์ทน่ะ จริง ๆ ไม่ได้เป็นคนตลก แต่จะมีกิมมิกในความที่นิ่งของบทรัก ซึ่งจะแตกต่างกับบทเดียว ตรงความนิ่งตรงนี่แหละที่จะทำออกมาฮา และเป็นความคอนทราสต์กับเดียวนะ

         วิน : ถ้ารักกับเดียวเจอกันมันจะมีความฮาอยู่ในนั้น เพราะว่าสองคนนี้จะเป็นตัวกัดกันตลอด ผมจะเป็นคนที่กัดเขาตลอด แล้วเขาจะเป็นคนรับ บางทีถ้าเขามีแผนของเขา เขาก็จะเอาคืน เพื่อจะทำให้ผมเสียหน้า หรือว่าทำให้ผมอับอายให้เพื่อน ๆ ผมล้อผม เพราะว่าคาแรกเตอร์ของเดียวจะเป็นคนที่ขี้โวยวาย จะเป็นคนที่มั่นใจในงานของตัวเอง เวลาเอาไปเสนอเขา เขาบอกงานนี้ยังไม่ดี ถ้ามันไม่ดี ต้องอธิบายว่าเพราะอะไรถึงไม่ดี ถ้ามันถูกคือจะแก้ แต่ถ้าไม่ถูกคือไม่แก้

         เอิร์ท คือฝั่งคาแรกเตอร์เดียวเขาจะมีเหตุและผลของเขาเยอะมากเลยครับ แต่รักนี่เขาจะมีความเป็นหัวหน้างาน ซึ่งเขาก็มีเหตุผลกับเขาน่ะแหละ แต่เขาจะไม่มีรายละเอียด เขาจะเป็นผู้ชายที่ตงฉิน ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่คนนี้จะดีเทลเยอะกว่า


คาแรกเตอร์ในซิตคอมกับเราตัวจริง ๆ ต่างกันมากมั้ย

        เอิร์ท คาแรกเตอร์ของรักกับเอิร์ท เอิร์ทรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึง โดยความที่จริง ๆ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนเยอะเท่าไร เป็นคนโลกส่วนตัวสูงครับ

         วิน ใช่พี่เขาเงียบ ๆ ตอนผมเจอครั้งแรกเขายังไม่ค่อยคุยเลย แต่ผมอ่ะ‘เฮ้ยพี่’ผมจะเป็นคนที่เสียงดังตลอด พี่เขาจะบอกพูดเบา ๆ ก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เขาจะเป็นคนที่เวลาเจอผม เหมือนผมคุยกับเขาอะไรสักอย่างผมก็จะตะโกนอยู่นั่นน่ะ พี่เขาก็จะต้องคอยบอกว่าเบาๆ เสียงลงหน่อย มาคุยกับผม ผมก็ไม่รู้สึกเหงาน่ะ หลัง ๆ มาพี่เขาเริ่มติดผมแล้วนะครับ ติดนิสัยไปแล้ว(หัวเราะ)

       เอิร์ท ติดความเสียงดังจากมันนี่แหละครับ

วินเป็นคนช่างพูดหรือหรือพูดมาก

        วิน ใช่ครับ พูดมาก เพราะว่าผมเป็นคนที่อยู่เงียบมากๆ ไม่ได้ ถ้าจะอยู่กันหลาย ๆ คน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่ตะโกนแหกปากเสียงดัง นั่นแหละครับ คาแรกเตอร์นี้มีความคล้ายคลึงผมมาก มันไม่ใช่แค่ คนที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ในแบบมั่นใจเกินเบอร์ ที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะให้แก้ไขอะไร ไม่ฟังใครสักอย่าง แต่ผมก็ทำการบ้านเพิ่มนะ ลองไปคุยกับพี่ ๆ หลาย ๆ คนว่า พี่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองหรือเปล่า พี่เป็นคนที่เรียนเก่งแบบนี้แล้วพี่มั่นใจหรือเปล่า หลาย ๆ คนก็มาช่วยแชร์ประสบการณ์นี้ พอทำการบ้านกับตัวละครมากๆ เข้า มันก็เออพอเข้าใจความรู้สึกนี้เหมือนกัน


ปกติความวายนี่มันจะต้องเล่นเรื่องโมเมนต์ และความเข้าขากันของนักแสดง ครั้งแรกที่มาเจอกันปุ๊บ ใช้เวลาจูนกันนานไหม กว่าที่เคมีจะลงตัวกัน

         เอิร์ท :ไม่นานครับ

         วิน ต้องเรียกว่าจูนหรือเปล่า พอเดินมาเจอกันก็‘เฮ้ย’ใส่กัน อย่างนี้เลย

         เอิร์ท มันไม่ต้องจูนอะไรเยอะ สำหรับเราเจอกันครั้งแรก สนิทกันเลยครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน อยู่ดี ๆ สนิทกันเฉยแล้วพอไปเรียนแอ็กติ้งก็เริ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันเยอะขึ้น คลาสแอ็กติ้งช่วยละลายพฤติกรรม แล้วก็ได้ไปฟิตเนสด้วยกันอีก มันก็เลยเหมือนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน

          วิน เพราะว่ามันเดินทางด้วยกันบ่อยไงครับ เดินทางไปเรียนผมจะติดรถพี่เอิร์ทไป ตอนกลับพี่เอิร์ทก็กลับมาส่งคอนโดอย่างนี้ มันทำให้เราสนิทกันไวขึ้นครับ

งานวายชิ้นแรก เราเคยดูซีรีส์วายมาก่อนไหม
    
          เอิร์ท ซีรีส์วายผมยังไม่มีโอกาสได้ดูเป็นเรื่องเป็นราว เห็นผ่าน ๆ บ้าง ก็รู้สึกว่านักแสดงทุกคนมีความตั้งใจที่จะทำงานของแต่ละเรื่องให้ออกมาดีที่สุด รวมถึงตัวเอิร์ทกับวินด้วยครับ มันไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นซีรีส์วายแล้วเราจะเล่นไม่ได้ ไม่ใช่เลย ยิ่งอยากเล่นเข้าไปอีก มันเป็นความท้าทายอีกบทเรียนหนึ่งที่เราต้องเล่นร่วมกัน
           วิน :ใช่ครับ


เกร็งไหมถ้าแฟนคลับจะคาดหวังความมุ้งมิ้ง ให้ได้ไปฟินกันต่อทั้งในซีรีส์และนอกจอ

         วิน ผมว่ามันถูกอยู่แล้วนะครับที่แฟนคลับจะคาดหวังน่ะ คือถ้าเราไม่อยากเกร็ง เราต้องทำงานตัวนี้ออกมาให้ดีที่สุด

          เอิร์ท มีอยู่แล้วครับ ในเหตุการณ์ต่างๆ ของเรื่องนี้ แต่มันจะแตกต่างตรงที่เป็นซิตคอมบวกซีรีส์ครับ

          วิน มันจะมีโมเมนต์ อย่างนี้ครับ มันจะมีโมเมนต์ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แบบมีหน้าใกล้กันนิดหนึ่ง พอแบบเฮ้ยมองทำไมน่ะ

         เอิร์ท อาจจะมีมากกว่านั้นนะ

          วิน ใช่ ๆ มีมากกว่านั้นอีก อยากจะให้ไปลองติดตามดู มันจะมีโมเมนต์แบบที่ทุกคนจะพยายามจิกหมอนทีละนิด อึ๊ย ๆ

          เอิร์ท แต่จริง ๆ แล้วผมรู้สึกว่าอย่างซิตคอมรักเดียว อยากให้คนดูติดตามพัฒนาการของตัวละครของเรา จะเห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนติดตามทุกอีพี เพราะว่ามีทั้งปี

สิ่งหนึ่งที่สาววายต้องอยากรู้แน่เลย คือใครเป็นเคะเป็นเมะ

           เอิร์ท ผมเป็นพระเอก วินเป็นนายเอก

            วิน อยากให้ไปในดูซิตคอม แล้วลองไปตีความกันเองว่า มันจะออกมาแบบไหน เพราะว่าในคาแรกเตอร์คือเป็นผู้ชายทั้งสองคน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย จนมาเจอกัน


ถ่ายทำไปหลายอีพีแล้ว ซีนไหนที่ยากที่สุด ถึงเนื้อถึงตัวมั้ย

          เอิร์ท ซีนที่ยากที่สุด ไม่มีครับ จริง ๆ มันมีแหละ แต่มันไม่ได้ยากขนาดนั้น มีตอนแรก ๆ น่ะครับ ตอนแรก ๆ ที่

          วิน กว่ามันจะจูนกันแต่ละคนได้ และที่มันเป็นอีพีแรกที่แบบทุกคนได้เข้ามารวมซีนเดียวกัน จะจูนกันลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าตัวผมเองก็เกร็ง เวลาเจอกับรุ่นพี่ นักแสดงอาวุโสอย่าง น้าโย่ง พี่นุ้ย พี่เอม พี่แอมแปร์ ครับ มันตื่นเต้นน่ะ เราต้องมาเล่นจับมือถือแขนกัน ตอนแรกก็คิดว่ามันยาก แต่พอหลัง ๆ เล่นไป เริ่มให้เราผ่อนคลายขึ้น แล้วก็สนุกกว่าเดิม

จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง?

           เอิร์ท จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง อันนี้ต้องติดตามในซิตคอมรักเดียวนะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าผู้กำกับอย่างพี่นกนี่ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน

            วิน : การันตีจากเป็นต่อและเสือ ชะนี เก้ง
 
อยากให้สองคนพูดถึงกันและกันว่า ในตัวของแต่ละคนนี่เราชอบอะไรมากที่สุด

            เอิร์ท : ชอบน้องเป็นเด็กน่ารักนะครับ ถึงจะเสียงดังก็ตาม แต่เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครเลย น้องอาจจะเคยเกเร จากที่เคยคุยเฮ้ยผมเด็กเกเรนะ แต่น้องเป็นเด็กน่ารักมาก ๆ ก็อัธยาศัยดีครับ ใช่ครับ อัธยาศัยดีหรือเปล่าล่ะ(หัวเราะ)


           วิน ส่วนพี่เอิร์ท จริง ๆ ตอนแรกผมกลัวพี่เอิร์ทนะ ตอนที่แคสต์ด้วยกันแรก ๆ น่ะ แคสต์ผ่านzoom ตอนนั้นพี่เขาผมยาวไง ผมยาวเป็นโจรเลยครับ ผมอยากให้พี่เอิร์ทตอนผมยาวมากๆ เขาดูน่ากลัวมากน่ะ แต่พอมาแคสต์ด้วยกัน มารู้จักกัน พี่เขาเป็นคนน่ารักครับ เป็นคนที่เงียบ ๆ ไม่ค่อยคุยเล่นกับใครมาก

            เอิร์ท : แต่ตอนนี้ก็ไม่เงียบแล้ว

            วิน ใช่ หลัง ๆ มาไม่เงียบแล้ว ติดนิสัยผมไป แล้วเวลาผมมีอะไรก็จะปรึกษาพี่เขา พี่เขาเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลยรู้สึกว่าเวลาผมปรึกษาอะไรพี่เขาน่ะ มันรู้สึกปลอดภัย แล้วเราคุยได้ทุกเรื่อง

ถ้าไม่ได้ทำงาน ชีวิตวันๆ อะไรบ้าง

           เอิร์ท เวลาว่างของเอิร์ทจะออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง เป็นคนชอบร้องเพลงครับ ก่อนเกิดโควิด ผมจะชอบทำสองสิ่งนี้พอ ๆ กัน สมมติว่าออกกำลังกายตอนช่วงเย็น และจะมาเล่นกีตาร์ผ่อนคลายตอนช่วงดึก ๆ

           วิน ส่วนผมเป็นเด็กกลางแดดครับ ชอบเตะบอลออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ชีวิตจะมีแต่ออกกำลังกาย หรือไม่ก็ขับรถเที่ยวดอยชมธรรมชาติ เพราะว่าแถวบ้านผมน่ะจะมีแต่ดอย ผมก็จะมีมอเตอร์ไซค์เล็ก ๆ คันหนึ่งขับไปแถวป่า ไปสวน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางแดด


วินเคยเป็นสายประกวดมาก่อน เอิร์ทก็เป็นนายแบบมาก่อน มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรให้หุ่นเป๊ะตลอดเวลา

           เอิร์ท ของเอิร์ทช่วงแรกคือคุมอาหาร แล้วก็ออกกำลังกายโดยการโดดเชือกทุกวันเลย เพราะว่าจริง ๆ น่ะผมไม่ค่อยชอบเข้าฟิตเนส แต่ชอบbody weightมากกว่า พวกดึงข้อหรือวิดพื้น จะดึงข้อวันละ100 วิดพื้นวันละ 100 แล้วก็คุมอาหารบ้างแต่ไม่เคร่งขนาดนั้นน่ะครับ

           วิน โอ้โฮ ถ้าเล่าถึงการออกกำลังกายของผมนะครับ ผมจะเป็นคนที่ออกกำลังกายหนักมาก เคยใช้ชีวิตอยู่ในยิม 15 วันๆ ละประมาณ 16 ชั่วโมง เพราะฟิตเนสแถวบ้านผมเปิด 24 ชั่วโมงครับ ผมจะเป็นคนที่ติดยิมมาก ช่วงก่อนที่มี passion ว่าจะต้องประกวด ก็จะคุมอาหารด้วย ยกน้ำหนักด้วย เคยเล่นที 15 วันไม่พัก จนผมโทรมมากๆ เหนื่อยมาก ๆ ครับ

คนที่เล่นฟิตเนสบ่อย ๆ แล้วหุ่นดี เขาจะมีส่วนหนึ่งของร่างกายที่เขารู้สึกภูมิใจมาก ส่วนนั้นคือ?

           วิน ถ้าเป็นพื้นฐานของผู้ชายผมว่า‘หน้าอก’ครับ

           เอิร์ท : หน้าอกเหมือนกัน

           วิน : ใช่ หน้าอกกับแขน เพราะว่าถ้าหน้าอกเราดี แขนเราก็จะเดินยืดนิดหนึ่ง ปกติน่ะคนที่เริ่มเล่นฟิตเนสใหม่ ๆ เขาจะเล่นแต่แขน เขาคิดว่าถ้าแขนใหญ่ก็คือหุ่นดีแล้ว

          เอิร์ท จริง ๆ ก็ไม่ได้ผิดนะ

           วิน ใช่ ไม่ได้ผิด แล้วแต่ความชอบของคนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าหน้าอก แต่ส่วนตัวผมจริง ๆ ผมภูมิใจในซิกแพคตัวเองนะ เพราะเป็นสิ่งที่กว่าจะขึ้นน่ะลำบากมาก และก็ดูแลยากมาก ๆ

           เอิร์ท แต่อย่าถามถึงซิกแพคตอนนี้นะ หายเกลี้ยง

           วิน: ใช่ครับ ช่วงนี้โควิดไม่ได้เข้ายิมครับเลย


คาดหวังกับซิทคอมเรื่องแรกอย่างไรบ้าง

            เอิร์ท คาดหวังมากครับ คาดหวังว่าจะทำให้ตัวเองแสดงแต่ละตอนให้ดีขึ้น ๆ ผมก็เลยขยันทำการบ้านมากขึ้น คนที่มีประสบการณ์น่ะครับว่า พี่ ผมไม่เข้าใจมันต้องเข้าถึงบทบาทนี้อย่างไร เพราะในชีวิตจริงเราไม่ได้มีความเป็นบอสขนาดนั้นเหมือนรักน่ะครับ แต่คุณรักจะมีความเป็นบอส มีความนิ่งในแบบของเขา ซึ่งผมรู้สึกว่าในความเป็นรัก ผมมองว่าเขาเหมือนเป็นสิงโตซึ่งล่าเหยื่อ แต่ว่าไม่ได้ล่าเหยื่อแบบตะครุบ แต่เขาจะใช้สายตามองว่าเออมาเมื่อไรโดนแน่

           วิน ล่าเหยื่อนี่คืออะไร หมายถึงผมเป็นเหยื่อเหรอ

           เอิร์ท ใช่แล้วล่ะ ก็ประมาณนี้ครับ จะกดดันเรื่องการทำการบ้านมากกว่ากับการแสดง แต่ไม่อยากจะกดดันมาก เพราะจะทำให้การแสดงที่ออกมาจะดูเครียด แล้วคนดูจะไม่สนุก

           วิน ส่วนของผมคาดหวังไหม มาก ๆ ครับ ผมอยากให้ทุกคนดูแล้วฟินไปด้วยกัน เพราะว่าทุกคนตั้งใจมาก พี่ ๆ ทีมงาน พี่ ๆ ผู้กำกับ ทีมเขียนบท หรือว่าทุกคน พี่ ๆ นักแสดงทุกคน และพวกผมสองคนก็เหมือนกัน พยายามให้มันออกมาดีที่สุด เพราะเราคาดหวังว่าอยากจะให้ทุกคนน่ะเขาติดตามเราไปตลอด รักเรา หลงรักรักและเดียว เราอยากให้ตัวละครตัวนี้อยู่กับทุกคนนาน ๆ ครับ

เมื่อกี้เห็นพูดถึงเรื่องร้องเพลง อยากจะออกsingleของตัวเองบ้างมั้ย

            เอิร์ท : อยากมาก เอาจริง ๆ นะ ได้ก็ดี ผมอยากออกsingleของตัวเองๆ เพราะจริง ๆ ผมชอบร้องเพลงและอยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง

           วิน : ถ้าสมมติได้ก็ดี ผมคิดว่าผมอยากจะมีโมเมนต์ที่เปิดคอมแล้วนั่งฟังเพลงตัวเองน่ะ

           เอิร์ท : แล้วยิ่งมีคนร้องตามได้ด้วยนะ

           วิน : ใช่ ๆ อยากจะมีคนร้องตามเพลงของเรา ถ้าอนาคตมีได้ก็ยินดีนะครับ

   


สุดท้ายฝากความฟินของรักเดียวหน่อย

          เอิร์ท : ผมบอกเลยว่าพี่ ๆ แฟนคลับทุกคนที่เป็นสาววายนะครับ เตรียมจิ้นกับซิตคอมรักเดียวนะครับ เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทย ผมบอกเลยว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะว่าจะมีความสนุก ความมัน ความแซ่บ ความซ่า ในซิทคอมเรื่องนี้นะครับ รักเดียวนะครับ แน่นอน

Text by Takeshi West

ซิตคอมรักเดียว
ออกอากาศทางช่องONE31
ทุกวันอาทิตย์ เวลา22.15.
ขอบคุณภาพประกอบซิตคอมจากช่องONE31

]]>
‘สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ บทสัมภาษณ์ขนาดยาวว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของ เจษ – เจษฎ์พิพัฒ https://marshomme.com/interview/532170/ Mon, 08 Nov 2021 11:46:00 +0000           ช่วงโดนกักบริเวณเพราะพิษโควิดระบาดหนัก 3 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านบันเทิงเงียบสนิทกว่าเป่าสาก เพราะทั้งกองถ่ายละคร ภาพยนตร์ ซีรีส์ ฯลฯ โดนแคนเซิลไปโดยปริยาย แต่ก็ดีไปอย่าง เพราะเราได้เห็นบรรดานักแสดงชายหญิงมี ‘กิจกรรมแก้เซ็ง’ โชว์ตามโลกออนไลน์ หลายคนปลูกต้นไม้สารพัดด่างตามสมัยนิยม แต่อีกหลายคนก็เลือกกิจกรรมง่ายๆ เลี้ยงแมว เล่นดนตรี และกีฬา ก่อนที่กองละครจะกลับมาลุยถ่ายกันอีกรอบ


           วันนี้เรานัด เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ พระเอกแถวหน้าของช่อง one มาอัปเดตชีวิตและกิจกรรมยามเหงาในวันที่กองถ่ายละคร“วิมานทราย”ใกล้จะกลับมาลุยงานต่ออีกรอบเร็วๆ นี้

ช่วงว่างๆ ระหว่างพักเบรกถ่ายละครทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษบ้าง ยังต่อยมวยกับเตะบอลอยู่เหมือนเดิมไหม

           จริง ๆ ผมชอบเล่นกีฬาแทบจะทุกประเภทครับ ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่ต้องดูเพื่อนด้วย ที่ผ่านมาอยู่กับบ้านเป็นหลัก จะเน้นฟิตเนสมากหน่อย ที่บ้านผมพอมีอุปกรณ์หลายชิ้นอยู่ครับ เลยไม่ต้องรอฟิตเนสเปิด แต่ช่วงหลายปีก่อนผมชอบต่อยมวยมาก น่าจะประมาณตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี4ครับ ไปต่อยมวยแทนการออกกำลังกายอื่นๆ เพราะช่วงนั้นเตะบอลมากไม่ได้ ผมมีปัญหาเรื่องเอ็นเข่าขาด ก็เลยรู้สึกว่าอยากออกกำลังกายอย่างอื่นแทน
            จนมาเจอมวยที่ถูกโฉลก ส่วนบอล จริง ๆ หมอห้ามเตะบอลห้ามใช้เท้าเลย แต่ผมก็ฝืนๆ เตะอยู่บ้าง แอบเตะ แต่พอเตะบอลแล้วเจ็บก็ต้องพัก สภาพเข่าเรามันแย่ลงเรื่อย ๆ ครับ จนต้องไปผ่าจนได้ หลังผ่าตัด รู้เลยว่ากล้ามเนื้อส่วนนี้มันอ่อนลงมากครับ อ่อนกว่าตอนแรกที่ยังไม่ได้ผ่าอีก เหมือนผ่าตัดแล้วทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลายออกไป รู้สึกได้เลยว่าแรงขาเราไม่มั่นคง ก็ต้องเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายขาเพิ่ม ถึงจะกลับไปเตะบอลได้ปลอดภัย


แต่มวยนี่ก็เตะเยอะ ใช้ขาเยอะอยู่นะ

             เราเลือกได้ครับ เลือกใช้ข้างที่ไม่เจ็บได้ไงครับ มวยมันอยู่ที่เรา เวลาเราไปซ้อม เราไม่ได้ขึ้นไปชกจริงกับใคร เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะทำอะไร ไม่ทำอะไร แต่เตะบอลนี่มันต้องเตะกับคนอื่นไงครับ พอเตะกับคนอื่นบางจังหวะอุบัติเหตุต่าง ๆ เราควบคุมไม่ได้ครับ ตอนที่เจ็บก็ปะทะแรง บอลมันก็เลยอันตรายกว่ามวยตรงนี้ครับ

ตอนต่อยมวยหนักๆ กับตอนนี้ ช่วงไหนหุ่นฟิตกว่ากัน

            ตอนต่อยมวยน่าจะฟิตกว่านะครับ เคยถ่าย attitude อยู่เล่มหนึ่งด้วย ทุกวันนี้เล่นกีฬาอื่นน้อยลง ไปไหนไม่ได้ ผมจะเน้นเข้าฟิตเนสแทน ยกเวท วิ่ง อะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะที่บ้านผมซื้ออุปกรณ์ไว้ที่ชั้นบนของบ้าน ฟิตเนสปิดก็ไม่เป็นไร ออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เล่นฟิตเนสที่บ้านแทน


เจษ ให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องอาหารการกิน หรือว่าการออกกำลังกายรักษารูปร่างในแต่ส่วนว่า แขน ท้อง หลัง ไหล่ ฯลฯ

            ผมจะเน้นการออกกำลังกายให้สุขภาพดีครับ เรื่องอาหารการกินผมรู้สึกว่า ผมเคยไปทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วมันสร้างความกดดันให้ผมมาก เครียดน่ะ การควบคุมอาหาร เคยทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วเครียดโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกไม่โอเค ไม่มีความสุข มันอาจจะไม่เหมาะกับผมนะ แต่คนอื่นเขาทำได้ ก็คงแล้วแต่คนนะครับ

แต่น้องตรี(ภรภัทร ศรีขจรเดชา)ทำได้นะ หุ่นน่ากลัวมาก

           ใช่ ตรีหุ่นโหดมากครับ

นอกจากเข้าฟิตเนสแล้ว ทุกวันนี้ยังเล่นดนตรีอยู่มั้ย เหมือนเคยรู้มาว่าคิดจะฟอร์มวงดนตรีกับเพื่อนๆ ด้วย

           ที่บ้านผมมีห้องซ้อมดนตรีด้วยครับ อยู่ติดกับห้องฟิตเนสเลย ในห้องซ้อมดนตรีจะมีกลองชุด มีกีตาร์ เล่นกีตาร์ด้วย แต่จะตีกลองเป็นส่วนใหญ่ สมัยเด็กๆ บ้านเรามีพี่น้องสามคน พี่ชายคนรองผมเล่นกีตาร์ พี่ชายคนโตเล่นคีย์บอร์ด เล่นเปียโน พอมาถึงช่วงที่เราเริ่มเรียนดนตรีก็ไปลองเล่นอะไรที่ไม่เหมือนกับพี่ๆ ก็เลยเลือกตีกลองครับ


ระหว่างกีตาร์กับกลองชอบอะไรมากกว่ากัน

           คนละแบบครับ แต่จริง ๆ ชอบกลองมากกว่า แต่ว่ากลองมันเล่นคนเดียวไม่ได้ไง มันต้องมีวงถึงจะสนุก แต่กีตาร์นี่เราจะแบกไปไหนก็ได้ ไปกองถ่ายก็ได้ ไปทะเลไปภูเขาก็ได้ เล่นกับเพื่อนได้ ชิล ๆ คนละแบบครับ ส่วนเรื่องฟอร์มวงมีวงนี่ สมัยมัธยมก็มีวงครับ มหาวิทยาลัยก็มีวงของตัวเอง แต่พอจบมา แต่ละคนก็มีภาระเพิ่มขึ้น แต่ละคนก็มีงานต้องทำก็แยกย้ายกันไป จะเล่นบ้างเป็นโอกาสมากกว่า อย่างปิดกล้องละครอะไรอย่างนี้ ก็จะไปเล่นสนุก ๆ แต่ว่าไม่ได้มีวงจริงจังครับ

ช่วงล็อกดาวน์ นอกจากอยู่บ้านออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ แล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำอีกไหม

          เลี้ยงแมว เล่นกับแมวครับ ที่บ้านมีแมว13ตัว ส่วนใหญ่เป็นแมวหลง แมวที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างบางส่วนที่มาคลอดในบ้าน ที่เป็นตัวที่ท้องมาครับ จะมีอยู่ประมาณ 3-4 ตัวครับ


สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในทาสแมวได้ไหม

          ก็ได้มั้งครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยตามใจมันเท่าไร คือเวลาเป็นแมวเก็บ มันจะไม่เหมือนแมวซื้อมาเลี้ยง พวกนี้เขาจะมีชีวิตของเขา เราก็มีชีวิตของเรา ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเหมือนเราเลี้ยงแมวอยู่ในบ้าน อยู่ในห้อง อยู่บนเตียง ตัวโปรดของผมมีอยู่ตัวนึงครับ ตัวนี้สนิท ๆ กันหน่อย ชื่อตาล เป็นแมวพันธุ์ไทย เพศเมียครับ มันชอบอ้อน เวลาเดินขึ้นบ้าน เมื่อก่อนจะอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ตอนนี้ผมย้ายมาอยู่อีกหลังหนึ่ง พอจะเดินขึ้นไปบนห้องมันจะวิ่งตามขึ้นไปนอนอยู่ใกล้ ๆ

ไม่คิดจะเลี้ยงหมาบ้างหรือ หมาน่าจะดูเหมาะกับบ้านที่มีบริเวณเยอะ ๆ

          หมาก็เคยมีครับ มีก่อนหน้าที่จะเป็นแมว13ตัวอีก ที่บ้านนี่เลี้ยงหมามาตลอดครับ ตั้งแต่เด็กเลยครับ ทั้งหมด5ตัว แต่ไม่ได้ซื้อมาสักตัวนะ หมานี่เหมือนหนังฝรั่งเลยครับ โดนเอามาทิ้งหน้าบ้าน ใส่กล่องมาอย่างดี2ตัว แล้วโยนเข้ามาในบ้านพร้อมโน้ต ฝากดูแลหน่อยนะ เราก็สงสารก็เลี้ยงมาจนโต

ในฐานะคนเลี้ยง พอเปลี่ยนจากหมามาเป็นแมว นี่คนละอารมณ์เลยนะ

         อารมณ์เปลี่ยนมากครับ กับแมวนี่เราคาดหวังอะไรไม่ค่อยได้ หมายถึงคาดหวังให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการน่ะ ไม่ค่อยได้ เพราะแมวมีความสันโดษมากกว่าหมา แล้วแมวมันเลือกคน อย่างบางตัวติดแม่ บางตัวติดพ่อ บางตัววิ่งหนีเรา มันไม่เหมือนสุนัขที่ทุกคนในบ้านคือเจ้าของมันหมด เราก็เปลี่ยนด้วยการที่ไม่ได้คาดหวังกับมันมากแบบพอเราเข้าบ้านปุ๊ป แล้วมันจะวิ่งมารับเหมือนสุนัข


ได้ข่าวว่าบ้านเจษ ทำธุรกิจตลาดใช่ไหม

         ครับผม ชื่อตลาดพรพัฒน์ครับ อยู่ที่รังสิต

มีจำนวนแผงเยอะไหม

         เยอะครับ เป็นพันแผงครับ

โอ้โฮ นี่ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเลือกเรียนบริหารธุรกิจหรือไม่

         จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ครับ ผมไม่ได้เรียนเพราะว่ามันเป็นตลาด แต่เราเรียนเพราะเรามีธุรกิจครอบครัว แล้ววันหนึ่งเราต้องเป็นคนดูแลต่อจากเจนเนอรชั่นที่ผ่านมา ผมก็เลยเลือกเรียนในสิ่งที่วันหนึ่งเราจะกลับมาใช้ได้ครับ


แสดงว่าวางแผนชีวิตตัวเองไว้ว่า คงไม่ได้อยู่วงการบันเทิงตลอดไป

          ไม่หรอกครับ คนเรามีสองสิ่งต้องเจอในชีวิตคือ สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ อย่างตลาดเป็นเรื่องที่เราควรจะรู้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งเราต้องดูแลมัน มันต้องมีคนดูแล มันเป็นหน้าที่ของเรา แล้วเป็นสิ่งที่ครอบครัวเรามี ส่วนเรื่องงานในวงการก็เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ก็เป็นหน้าที่การงานที่เลี้ยงดูผมมาตลอด เพราะว่าปัจจุบันผมไม่ได้เงินจากธุรกิจที่บ้านจากตลาดเลยครับ แต่ผมว่ามันเป็นคนละส่วน ถ้าทำควบคู่กันไปด้วยก็จะดีครับ ผมคิดว่า ถ้าเกิดมีอะไรมาทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเดือดร้อน สมมติว่าต้องไปประชุมตลาด และติดถ่ายละครด้วย ผมจะไม่โอเค ผมจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าถึงวันนั้น

กลับมาวงการบันเทิงดีกว่า ตอนนี้เจษ กำลังจะมีผลงานอะไรใหม่ๆ

         ละคร ‘วิมานทราย’ ครับ น่าจะเร็วที่สุดแล้ว ถ่ายไปประมาณครึ่งเรื่องครับ รอถ่ายอยู่ ถ้าลับไปถ่ายได้ก็น่าจะได้เห็นออนกัน ทางช่องoneครับ

คาแรกเตอร์เป็นอย่างไรบ้างครับในวิมานทราย

         วิมานทรายเป็นละคร remake ครับ เมื่อก่อนแสดงโดยพี่ชาคริตและพี่บี น้ำทิพย์ ผมแสดงเป็นภาณิน แต่จริง ๆ บทบาทจะถูกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสถานการณ์ในเรื่อง ภาณินเป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่กับพ่อ และน้องชาย บ้านทำธุรกิจโรงแรม เป็นเศรษฐีย้อนไปในปีประมาณ 2515 ครับ เขามีน้องชายคนหนึ่งที่รักมาก แม่ฝากให้ดูแล เพราะแม่เสียชีวิตไป ภาณินเป็นคนตั้งใจทำงาน เป็นคนค่อนข้างจะรักคุณธรรม รักครอบครัว ถ้าใครมาทำร้ายครอบครัวเขาจะเป็นคนปกป้องแล้วตอนหลัง ๆ จะมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ทำให้เข้าใจผิดกับนางเอก ก็เลยจะมีช่วงหนึ่งที่เทิร์นไปเป็นแบบตบจูบนิดหน่อยครับ


ละครเรื่องนี้ท้าทายกว่าทุกเรื่องที่เราเคยแสดงมาหรือไม่

         ท้าทายกว่าทุกเรื่องไหม ผมว่าจริง ๆ ทุกเรื่องท้าทายหมดครับ ผมรู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่ผมเล่นแล้วมันง่ายเลย แต่จริง ๆ เรื่องนี้แอบยากอยู่ เพราะด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทำให้บางทีเราจะมองเข้าไปว่า ตัวละครเรากำลังทำสิ่งไม่ดีอยู่ ทำสิ่งที่แย่อยู่ เราก็ต้องพยายามกรูมมันให้เรารับกับการกระทำของตัวละครได้ เพื่อให้คนดูไม่รู้สึกว่าการกระทำนี้มันไม่มีเหตุและผล การกระทำแบบทำร้ายผู้หญิง คือไม่ได้ทำร้ายร่างกายนะครับ แต่เหมือนทำไม่ดีกับเขา เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าควรจะแค่ไหน พยายามคุยกับพี่แมนผู้กำกับว่า มันได้แค่ไหน คนดูถึงจะไม่รู้สึกว่า ผู้ชายร้ายจังเลย ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง

ผลงานไหนที่เราชอบคาแรกเตอร์มากที่สุด

          ตั้งแต่เล่นมา ผมชอบ‘ชีวิตเพื่อฆ่าหัวใจเพื่อเธอ’ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ชายทุกคนชอบ การได้เป็นมือปืนนี่อะไรที่ไกลตัวเรามาก เราคงไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสอาชีพนี้ ถ้าเกิดเราไม่ได้เป็นนักแสดงครับ บทบาทมันค่อนข้างจะไกลตัวมาก ต้องทำการบ้านกับมันเยอะ ๆ นักแสดง


วิมานทรายนี่มีคิวออนเมื่อไร ทันสิ้นปีนี้ไหม

             คิวออนน่าจะตามคิว lock down น่ะครับ ต้องรอให้คลายล็อกดาวน์ก่อนถึงจะออนได้ ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อนครับ ตอนนี้ถ่ายไปประมาณ 50-60% เองครับ

ที่บอก ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อน’ ถึงจะทราบคิวออนแอร์ แสดงว่าที่นี่ยังใช้ระบบถ่ายไปออนไปอยู่ใช่มั้ย

            แล้วแต่เรื่องครับ แล้วแต่ความเหมาะสมครับ บางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันสามารถทำให้ complete ได้เราก็ออนน่ะ เราก็ทำแบบนั้น แต่บางเรื่องที่ค่อนข้างที่จะต้องตอบสนองกับความต้องการหรือกระแสคนดู เราก็ตั้งใจให้มันถ่ายไปออนไป ไม่ใช่เราถ่ายไม่ทันนะครับ มันก็แล้วแต่เรื่องแหละ ซึ่งมันก็มีข้อดีคนละแบบนะครับ คือถ่ายไปออนไปบางทีเราเห็นว่าคนดูรู้สึกอย่างไรกับส่วนไหนของละครน่ะ รู้สึกดี เราก็พยายามเพิ่มเติมตรงนั้น หรือว่าอะไรที่รู้สึกค้านกับสายตาคนดูหรือว่าไม่ชอบ เราก็สามารถแก้ได้ในตอนหลัง ๆ ที่เราจะถ่ายต่อไป

เคยมีประสบการณ์ถ่ายไปออนไปบ่อยมั้ย

            ไม่เคยถ่ายไปไม่ออนเลยครับ เคยแต่ถ่ายไปออนไปทั้งนั้นเลยครับ(หัวเราะ)ไม่เคยถ่ายเสร็จแล้วออนเลย


อันไหนยากกว่ากัน

            อันไหนยากกว่ากันหรือครับ ถ้าพูดถึงเรื่องยากนี่ ถ่ายไปออนไปนี่ถ้ามันกระชั้นมาก ๆ จะยากครับ ถ้าเราต้องตัดอะไรบางอย่าง เพื่อให้เรา on air ทัน หรือว่าต้องเร่งให้ on air ทัน มันจะทำให้งานเราถูกจำกัดด้วยเรื่องของเวลาครับ ก็เลยจะยาก เพราะว่าเราก็อยากจะทำงานให้เต็มที่ อยากจะใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ไม่อยากจะต้องรีบ ๆ ส่งเทปเพื่อจะได้ออนวีคถัดไป มันก็ไม่ดี แต่ว่าถ้าเกิดถ่ายไปออนไปแล้วไม่ได้เร่งมาก ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไรนะ รู้สึกว่าง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเห็น feedback คนดู เรารู้ว่าคนดูต้องการอะไรจากละครเรา ต้องการอะไรจากตัวละคร ชอบอันไหนไม่ชอบอันไหน เราก็สามารถแก้ได้ครับ

ตั้งแต่แสดงละครมาหลาย ๆ เรื่อง เคยมีบทไหนที่อยากเล่นแต่ยังไม่เคยได้เล่นสักครั้งหนึ่งในชีวิต และคิดว่าถ้าวันหนึ่งมีโอกาสเราอยากจะเล่นบทประมาณนี้

           ถ้าให้เจาะจงเป็นบทเลย ผมว่าคงนึกไม่ออก แต่ถ้าคาแรกเตอร์น่ะเราอยากลองเล่นอะไรที่ถ้ามีโอกาสนะครับ อะไรที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าคนดูจะรู้สึกอย่างไร หมายถึงว่าคาแรกเตอร์ที่เหมือนตัวประหลาด ๆ เหมือน joker อะไรอย่างนั้นครับ ที่ละครไทยทำไม่ได้น่ะ มันเป็นความฝันของนักแสดงทุกคนแหละ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดของความเป็นละครแบบไทย ๆ อยู่ครับ


ติดตามละครวิมานทราย
ทางช่องONE31เดือนพฤศจิกายนนี้

Text by Takeshi West

Credit Photo
Photography : Attapon Kawinkrua
Styling : Pornpat Pohchatarn

]]>
Being a Rapper ‘โต้ง Twopee’ แร็ปเปอร์แหลงใต้ https://marshomme.com/interview/532145/ Tue, 19 Oct 2021 12:45:00 +0000 เด็กใต้ ใบหน้าเรียวยาว ความสูงมาตรฐานชายไทย เกิดและเติบโตในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นและตะวันตก เขาเริ่มเล่นสเกตบอร์ดตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถมฯ ฝึกฝนมันจนได้ตระเวนทัวร์แข่งขัน และจากตรงนั้นเขายังสนใจในวัฒนธรรมฮิป-ฮอป ฟังจนเข้าเส้น แล้วเริ่มแร็ปเพลงตั้งแต่อายุ 13


          ‘โต้งTwopee’ เป็นชื่อที่คนในแวดวงดนตรีรู้จัก 2P นั้นมาจากชื่อ‘พิทวัส’ และนามสกุล ‘พฤกษกิจ’ ของเขา ตอนเรียนมัธยมฯ ปลาย เขาเริ่มก่อตั้งวง ‘Southside Phuket’ กับเพื่อนชื่อ ‘เฟรดดี้' ทำซีดีเพลงของตัวเองออกขายตามงานเทศกาลดนตรีต่างๆ

          “ฟังแล้วมันโดนน่ะครับ มันอิน รู้สึกได้ปลดปล่อย เหมือนเวลาดูหนังที่เราชอบ”

           โต้งบอกเหตุผลที่ชอบเพลงแร็ป “เสน่ห์ของมันอยู่ที่เนื้อหา ความหมายที่เราเล่า เพราะมันค่อนข้างส่วนตัว แร็ปจะไม่ค่อยเขียนเหมือนเพลงร็อกหรือเพลงร้องทั่วไป แต่แร็ปจะเขียนให้กับตัวเอง จากประสบการณ์ของตัวเอง เรื่องเล่าของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเอง แล้วออกมาเป็นน้ำเสียงที่เป็นโทนของเรา เพราะเราจะเข้าใจมันได้ดีที่สุด


          “แร็ปเปอร์แต่ละคนจึงมีคาแรกเตอร์และเรื่องราวที่แตกต่างกันไป นั่นคือเสน่ห์ที่สนุกที่สุดของการทำแร็ป”

           แต่ในช่วงเริ่มต้นการทำเพลงของเขายังเป็นลักษณะทำเองขายเอง หรือที่เรียกว่าเพลงใต้ดิน “ตอนนั้นยูทูบกำลังจะมีมา คนทำเพลงอย่างผมยังต้องเอาซีดีเพลงไปฝากขายตามร้าน ซึ่งในกรุงเทพฯ ก็มีอยู่4-5ร้าน อย่างน้องท่าพระจันทร์ วีเจสยาม อะไรเหล่านี้ ก็จะมีกลุ่มอยู่ แต่ไม่เยอะเท่าไหร่

          “เราทำเองขายเอง ดีไซน์หน้าปกเอง แล้วไปฝากขาย ก็เป็นอะไรที่สนุกดีครับ ย้อนกลับไปมองตอนนี้ก็ เออ…มันเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ถามว่าคุ้มไหม ถ้าเทียบกับเรื่องเม็ดเงิน ทำในยูทูบจะคุ้มกว่า เพราะเราทำเพลงจากบ้าน คนฟังเพลงจากบ้าน ฟังกี่ครั้งก็ได้ แต่ถ้าเป็นแผ่นซีดี เราทำแค่สองร้อยแผ่น หมดแล้วก็หมดเลย แต่ถามว่าสนุกไหม มันสนุก เป็นสตรีท อันเดอร์กราวนด์จริงๆ”

         ยุคนั้นเขาต้องพยายามเยอะกว่าสมัยนี้ เขาบอก แต่พอเริ่มมียูทูบและแอพลิเคชั่นเพลงเข้ามา ซีดีเพลงก็เริ่มหายไป


Being a Rapper

          “หมวก รองเท้า ฮิป-ฮอปนี่ต้องเป็นรองเท้า Sneaker มันมีส่วนสำคัญมากๆ และแน่นอนว่าหลักๆ ต้องมี Jordan ที่เล่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ Yeezy อันนี้แรงมาก ทุกคนต้องมี” โต้งสาธยายถึง Accessories ที่เป็น Must-Have ของบรรดาแร็ปเปอร์

           “สำหรับผมยังต้องมีแว่นด้วยครับ ผมติดแว่นมากๆ ไม่มีไม่ได้เลย อาจเพราะเป็นเมืองร้อนมั้งครับ แดดมันจ้า” เขาว่าพลางหัวเราะ “ก็เลยติดแว่นมากๆ”


          ของประดับกายชิ้นที่แพงที่สุดของโต้งเป็นแว่นกันแดดวินเทจ จากร้านมือสอง ราคาประมาณสองหมื่นกว่าบาท

           ทุกวันนี้ โต้ง Twopee กลายมาเป็นสมาชิกของค่ายไทเทเนียม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีโอกาสได้ทำงานในระดับสากลด้วยการร่วมงานกับศิลปินฮิป-ฮอปชื่อดังหลายคน หนึ่งในนั้นคือเจย์ พาร์ก ดาวเด่นของเกาหลีที่เคยบินมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทย และได้ร่วมถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่กับเขา นอกจากนั้นโต้งยังเป็นตัวแทนแร็ปเปอร์จากเมืองไทยไปปรากฏตัวใน Yo! MTV Raps รายการแร็ปในตำนานของทวีปเอเชียที่หวนกลับมาสร้างใหม่ และเขายังนั่งแท่นโค้ชในรายการ ‘The Rapper Thailand’ ทางช่อง Workpoint อีกด้วย

           “หน้าที่โค้ชในรายการก็จะเลือกลูกทีม ปั้น และคอยช่วยโปรดิวซ์โจทย์แต่ละอาทิตย์ เพื่อให้ลูกทีมได้เข้าสู่รอบชิง” เขาบอก 


Game Changer

           ‘โกงพลิกเกม’ที่จะเข้าฉาย 28 ตุลานี้ เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของโต้ง Twopee และเรื่องนี้เขารับบทเป็นพระเอกของเรื่อง

            “ผมเล่นเป็น‘ตี๋’ เด็กวัยรุ่นที่เป็นหัวโจกของกลุ่ม เขาถูกเลี้ยงมาโดยบอสตั้งแต่เด็ก ซึ่งบอสจะเป็นมาเฟียในวงการ ตี๋เป็นเด็กเลี้ยงเด็กปั้น เป็นคนที่รักเพื่อน รักครอบครัว เชื่อมั่นในความรัก เชื่อมั่นในเพื่อน ใจเด็ดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นคนเซนสิทีฟ”


           โต้งเล่าว่าเขาเคยผ่านการแสดงมาบ้าง จากมิวสิกวิดีโอของตนเอง ที่เขามักต้องเล่นเอง คิดพล็อตเอง แต่เมื่อต้องมาเล่นหนัง “ยากกว่าแน่นอน” เขาว่า “ต้องซ้อม ต้องทำเวิร์กช็อป”

           เขายังบอกด้วยว่า ความยากของการเล่นหนังอยู่ตรงที่ว่า จะทำอย่างไรให้การแสดงมันดูเป็นธรรมชาติที่สุด ให้ดูสมูธ และน่าเชื่อถือที่สุด

           “ในชีวิตจริงผมก็คงเป็นตี๋ได้อยู่ครับ เพียงแต่ตัวจริงผมตลกโปกฮากว่าตี๋เยอะ”

            พูดถึงเรื่องโกงตามชื่อหนัง โต้งสารภาพว่าเขาเคยทำแค่ลอกข้อสอบเพื่อน และเคยโดนจับได้ “ก็รู้สึกไม่ดีครับ กับการโกง เพราะถ้าเริ่มแล้วมันอาจจะมีอีก จนติดเป็นนิสัยได้ น้องๆ ไม่ควรโกงนะครับ ถ้าเราไม่โกงเราจะมีแต่ความภาคภูมิใจ”


Definition of Love

           “ความรักคือ การดูแลซึ่งกันและกันในทุกเรื่อง ไปจนกว่าจะแก่เฒ่า”

            แร็ปเปอร์วัย30ให้คำนิยามของความรัก และผู้หญิงที่สามารถมัดใจเขาได้นั้น “น่าจะเป็นความเท่ความเป็นกันเอง และถ้าสวย เซ็กซี่ด้วยก็ดี”

            ใครที่ติดตามข่าวบันเทิงจะรู้ว่า ผู้หญิงที่โต้ง Twopee หมายถึงคือ ‘ปราง’ กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล นักแสดงสาวจากช่อง 3 ที่เคยเป็นข่าวรักแล้วเลิก และหวนกลับมาคืนรักใหม่อีกครั้งในยามนี้

           “ตอนที่เลิกกัน ตอนนั้นเราทั้งคู่เหมือนอยากจะเบรก เป็นช่วงที่มีติดเพื่อน ติดงาน ไม่ค่อยมีเวลาให้กันสักเท่าไหร่” เขาเล่า “ตอนนี้เราก็น่าจะทำงานให้เต็มที่กันทั้งคู่ งานเราก็ออกใกล้ๆ กันด้วย ของผม‘โกงพลิกเกม’ ส่วนของปรางก็มี‘เรื่อง/ผี/เล่า’ ที่กำลังฉายอยู่ ก็ช่วยให้กำลังใจกันครับ”

           ส่วนเรื่องแผนการใช้ชีวิตคู่ โต้งบอกว่ายังไม่ใช่เร็วๆ นี้ “เรายังต้องทำงาน เก็บเงิน แล้วก็เก็บตัว รอเวลาให้มัน stable กว่านี้ เราไม่รู้ไงว่าข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไร คิดว่าทำโปรเจ็กต์หรือที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ดีและเอ็นจอยที่สุด และพอเก็บเงินให้พออยู่ได้สบายๆ ไม่ลำบาก”

         ชอบปรางตรงไหน โต้งบอก “เขาเป็นคนมีความคิด ทัศนคติดี จริงใจ รักครอบครัว และเซ็กซี่ เท่ด้วย”


Welcome to the South

            “คนภูเก็ตจะมีวัฒนธรรมรวมกันหลากหลาย ไทย จีน มุสลิม หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมของตะวันตก เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว มีฝรั่งเยอะมาก สิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้คนภูเก็ตมีความแตกต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยตัวตน”

            ครอบครัวของโต้งมีธุรกิจร้านอาหาร ที่เขาบอกว่าเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเรื่อยๆ แต่เดิมเคยเป็นร้านกินดื่ม มีดนตรีสด ยามนี้ปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านปิ้งย่าง (คานาล่า บุฟเฟต์ปิ้งย่าง โคขุนโพนยางคำ)

           “เป็นร้านเนื้อย่างสไตล์ไทย เราใช้เนื้อจากเกษตรกรไทยทั้งหมด ผักก็จากเกษตรกรไทย ในราคาที่ย่อมเยา อร่อย และคุ้มค่า เป็นคอนเซ็ปต์ที่ในภูเก็ตยังไม่มี”

            อาหารใต้เมนูโปรดของโต้งเป็นแกงพริกกระดูกหมู และขนมจีนแกงเนื้อ แบบที่หาได้ยากในกรุงเทพฯ “ถ้าใครไปภูเก็ต ผมแนะนำให้ลองชิมขนมจีนแกงเนื้อ เนื้อติดเอ็น เผ็ดกำลังดี อร่อยมาก” พูดแล้วเขาว่านึกอยากกินขึ้นมาทันที

            แร็ปเปอร์เจ้าถิ่นแนะนำ ใครยังไม่เคยลอง… ต้องลองชิมแล

เรื่อง:บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ความรู้สึกจากข้างในและวัฒนธรรมซีรีส์วาย ในมุมมอง ‘มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร’ https://marshomme.com/interview/532078/ Wed, 15 Sep 2021 07:50:00 +0000 ร้อยทั้งร้อยถ้าพูดถึงหนุ่มตี๋ ขาว หล่อ ดีกรี TU Cute Boy จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร’ หนุ่มงานดี ที่แจกจ่ายความเปล่งประกายบนโลกโซเชียลในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-มธ. ครั้งที่ 72 เจ้าของตำแหน่ง The most vibrant & shining guy จากการประกวด 50 หนุ่มโสดคลีโอในฝัน 2017 ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกจากบทบาท ‘ติณณ์’ ในซีรีส์วายเรื่องดัง ‘Love By Chance บังเอิญรัก’ พร้อมกับกระแสคู่จิ้นฟินกระจาย ‘มีน-แปลน’


          จากหนุ่มหน้าใสที่โด่งดังจากกระแสคู่จิ้น ฟินจนห้างแตกทุกครั้งที่มีอีเวนต์ในวันนั้น‘มีน’เติบโตขึ้นและกำลังก้าวเข้าสู่วงการจอแก้วอย่างเต็มตัว ด้วยการเซ็นสัญญาเป็นพระเอกดาวรุ่งทางช่อง 3 Mars Homme ชวน‘มีน พีรวิชญ์’ มานั่งคุย อัปเดตเรื่องราวชีวิต รับพลังงานบวก และกระแสความฮอตที่ไม่เคยแผ่ว พิสูจน์ได้จากตารางงานที่แน่นเอี้ยดเหมือนเดิม!

มีนเริ่มเข้าวงการมาได้อย่างไร

          ครั้งแรกเลย น่าจะประมาณ ม.5 ครับ ตอนนั้นอายุ 17 ปีได้ พี่สนุ๊ก ผู้จัดการเป็นคนชวนให้มาแคสติ้ง Love Sick The Series Season 2 ตอนนั้นมีนก็ติดเข้ามารอบลึกๆ ประมาณ 20 คนสุดท้าย เลยทำให้มีคนรู้จักมากขึ้น จากวันนั้นมีผลงานมาเรื่อยๆ เลยครับ โฆษณาบ้าง ถ่าย MV บ้าง เหมือนนักแสดงทั่วไปที่ไม่ได้มาถึงก็ดังเปรี้ยงปร้าง มีโอกาสได้เก็บประสบการณ์การทำงานมาเรื่อยๆ แต่ช่วงที่ทำให้คนรู้จักมีนมากขึ้น ก็น่าจะ 2-3 ปีที่แล้ว จากงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่เป็นไวรัลขึ้นมา จากนั้นมีโอกาสได้เล่นซีรีส์วายเรื่อง Love By Chance บังเอิญรัก เรื่องนี้ทำให้คนได้เห็นการแสดงของมีนเต็มๆ มากขึ้น


        การมาเล่นบังเอิญรัก ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งในชีวิตมีนเลย ก่อนหน้านี้มีนมีผลงานการแสดง ทั้งในบทเด่น บทรองมาบ้าง แต่มันก็ทั่วๆ ไปครับ ยังไม่มีคนติดตามมากเท่าไหร่ มีคนรู้จักเราประมาณหนึ่ง แต่พอมาเป็น ‘บังเอิญรัก’ทำให้มีฐานแฟนคลับเยอะมาก แบบที่เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว เอาจริงๆ มีนก็พอจะรู้ว่า ถ้าได้เล่นซีรีส์วายก็จะมีคนติดตามเราบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะมีเยอะมากในเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้ บังเอิญรักจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้มีนมีชื่อเสียง มีคนพูดถึงมากขึ้น

จากผู้ชายแมนๆ ต้องมาเล่นบทชายชาย ต้องปรับตัวอะไรไหม

          มีนไม่ได้รู้สึกถึงขั้นต้องปรับตัวนะ (หัวเราะ) มีนไม่เคยมองว่าการมารับบทคู่ชาย-ชาย มันจะยากกว่าชาย-หญิง ความยากง่ายของมันอยู่ที่บท การดำเนินเรื่อง และความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่า แต่การแทนภาพว่าชาย-ชาย หรือชาย-หญิง มีนมองว่ามันไม่ต่างกัน มันคือความรักที่ตัวละครหนึ่งมีให้กับอีกตัวละครหนึ่งมากกว่าครับ ดังนั้นการมารับเล่นบทชาย-ชาย มันไม่ได้ยากขึ้น จะมีก็แต่ช่วงแรกๆ ก่อนที่จะรับเล่น มีกระแสสังคมที่คนพูดกันว่าจะมารับบทชาย-ชายจริงเหรอ คิดดีแล้วหรือยัง โอเคเหรอที่ต้องมาใกล้ชิดกับผู้ชาย เล่นเลิฟซีนด้วยกัน ซึ่งเอาจริงๆ ตรงนั้นมีนไม่ได้ติดอะไรเลย เพราะการเป็นนักแสดงมันต้องแสดงได้ทุกบทบาท และมีอีกหลายบทบาทที่ท้าทายรอเราอยู่ การมารับบทนี้จึงเป็นแค่ประสบการณ์หนึ่ง มีนว่าซีนดราม่า ซีนอารมณ์อื่นๆ ที่เคยเจอมา ยากกว่าการต้องมาเล่นคู่กับผู้ชายอีกครับ


สำหรับมีนแล้ว แฟนคลับคืออะไร

         มีนเคยพูดไว้ว่า มีนไม่ค่อยชอบใช้คำว่าแฟนคลับสักเท่าไหร่ครับ ยิ่งเป็นเมื่อก่อนที่คนยังตามไม่เยอะ มีนจะเรียกพวกเขาว่าพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ แฟนคลับเป็นมากกว่าคนที่คอยมาตามเชียร์เรา คือมีนรู้สึกว่าเขาเป็นครอบครัว เป็นคนรอบตัว พวกเขาคือกลุ่มคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพื่อแชร์โมเมนต์ต่างๆ ซึ่งกันและกัน เราแชร์โมเมนต์ดีๆ ของเราผ่านการแสดง ผ่านการเจอกันตามงานอีเวนต์ วันนี้เขาเหนื่อย ก็มาเอากำลังใจ วันนี้เขามีความสุข อยากเจอเรา เขาก็ซื้อของมาฝาก แฟนคลับสำหรับมีน จึงเป็นเหมือนคนใกล้ตัวที่คอยแชร์เรื่องราวกัน และคอยแบ่งปันความสุขให้กันครับ

การที่มีนประกาศไม่รับเล่นซีรีส์วายแล้ว มีผลกระทบต่อแฟนคลับไหม

          ขอย้อนกลับไปก่อนว่า เหตุผลที่มีนไม่อยากรับเล่นซีรีส์วายแล้ว เพราะในวัฒนธรรมของซีรีส์วาย แฟนคลับจะไม่ค่อยอยากเห็นเราเปลี่ยนคู่จิ้นบ่อยๆ ถ้ามีนต้องรับเรื่องอื่น แล้วเปลี่ยนคู่จิ้นไปมา พวกเขาอาจจะไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เพราะแฟนคลับบางส่วนก็ตามเชียร์‘มีน-แปลน’คู่กัน ซึ่งมันอาจจะกระทบกันคนที่ตามเชียร์เป็นคู่ครับ


          ฉะนั้น มีนรู้สึกว่าการเล่นซีรีส์วายในฐานะ‘มีน-แปลน’หรือ‘ติณณ์-แคน’ในบังเอิญรัก มันค่อนข้างคอมพลีตแล้ว เราโอเคและเต็มที่กับมัน แล้วทุกคนก็ตอบรับกลับอย่างดีเยี่ยม มีนเลยอยากเก็บโมเมนต์ดีๆ ในฐานะ ‘มีน-แปลน’ เอาไว้ ฟรีซมันไว้แบบนี้ มันเลยเป็นเหตุผลที่มีนไม่อยากรับซีรีส์วายเรื่องอื่นเข้ามาครับ

แล้วแบบนี้มีโอกาสที่แฟนๆ จะได้เห็นมีน กลับมาเล่นซีรีส์วายอีกไหม

          ณ ปัจจุบันยังไม่รับครับ แต่ถ้าเป็นในอนาคตอีกสัก 10-20 ปี แล้วมันมีบทดีๆ อย่างพี่เวียร์ในมะลิลา ซึ่งเป็นบทที่น่าสนใจและได้สนับสนุนกลุ่มความหลากหลายทางเพศ มีนอาจจะกลับมาอีกครั้งในฐานะนักแสดงที่อยากสนับสนุนกลุ่มนี้ แต่ถ้าเป็นในปัจจุบัน หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ยังไม่มีแพลนครับ


พูดถึงบังเอิญรักSeason 2ทิ้งทวนซีรีส์วายสักหน่อย

        สำหรับเรื่องนี้มีนเต็มที่กับมันมากๆ ครับ เพราะมีนคิดว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่มีนจะได้แสดงในฐานะนักแสดงซีรีส์วาย รวมถึงที่จะได้เล่นเรื่องบังเอิญรักด้วย อยากปิดตำนานบังเอิญรักให้สมบูรณ์แบบที่สุด ให้สมกับที่ทุกคนรอคอยมานานถึง 2 ปี มีนเองทำการบ้านหนักมาก ทั้งตีความบท ตีความตัวละคร ทำคาแรกเตอร์กันใหม่ หวังว่าทุกคนจะเห็นความตั้งใจของเรา ซึ่งในวันนี้ที่ออนแอร์ออกมา ก็รู้สึกพอใจมากกับผลงานที่ทำไว้ ถ้าไปเปรียบเทียบกับบังเอิญรัก Season 1 จะเห็นความแตกต่างค่อนข้างเยอะ เพราะเราเองก็ผ่านประสบการณ์อะไรมาหลายๆ อย่าง อยากทำให้มันเป็นโมเมนต์ที่ดีที่สุดที่จะอยู่กับทุกคนตลอดไป


        ความสัมพันธ์ของ ‘ติณณ์-แคน’ เหมือนแม่เหล็ก คนหนึ่งเป็นพลังงานลบ อีกคนเป็นพลังงานบวก พอขั้วบวกกับลบมาเจอกัน มันจึงดึงดูดเข้าหากัน คนที่มีพลังลบก็อยากมีพลังบวกเข้ามาเติมเต็ม คนที่มีพลังบวกก็อยากจะแชร์พลังบวกของตัวเองไปให้อีกคนได้มีความสุขยิ่งขึ้น มีนชอบไดอะล็อกหนึ่ง ที่ติณณ์พูดว่า แคนเป็นเหมือนอากาศ เป็นเหมือนลมหายใจของเขา ปัญหาครอบครัว เรื่องที่บ้าน ทำให้ติณณ์หายใจได้ไม่เต็มปอด และแคนก็คือออกซิเจนสำหรับเขา

ในฐานะนักแสดงซีรีส์วาย มีนมองความสัมพันธ์ชายชายเป็นอย่างไร

         มีนมองที่ความรู้สึกจากข้างใน อะไรทำให้เขารักกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเพศไหน หรือเขาจะจำกัดความตัวเองว่าอะไร เราจะไม่ควรไปตีความตรงนั้น มีนรู้สึกแค่ว่าเขาคือคนคนหนึ่งที่อยากมีอีกคนเข้ามาในชีวิต อย่าไปคิดว่าเขาเป็นใคร เพศไหน แค่เขารักกัน อยากอยู่ด้วยกัน แค่นี้มันก็เพียงพอสำหรับความสัมพันธ์


ถ้าเลือกได้ อยากเล่นบทบาทไหนมากที่สุด

         อืม… อยากเล่นหลายบทบาทนะ ถ้าเป็นละครที่มีนางเอกเป็นผู้ดีหลงเข้ามา ส่วนเราเป็นหนุ่มเจ้าของฟาร์ม ลุคมีนพอจะไหวไหมครับ(หัวเราะ)ขี่ม้า ปลูกผัก คนน่าจะชอบนะ


เข้าวงการมาสักพักแล้ว ได้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง

         มีนได้อะไรจากวงการบันเทิงมาเยอะมากๆ ครับ มีนรู้สึกว่ามีนเป็นคนที่โตกว่าอายุ ประสบการณ์การทำงาน 5-6 ปี ถือว่าเยอะมากนะครับสำหรับเด็กจบใหม่อย่างมีน วงการบันเทิงทำให้มีนได้เจอกับคนที่หลากหลาย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ดาราระดับท็อปๆ ทีมงานมากประสบการณ์ ครีเอทีฟทั้งหน้าใหม่และระดับมือโปรฯ ทุกคนมีไอเดีย แนวคิดที่แตกต่างกันออกไป มีนก็จะรับฟังและนำมาพัฒนาตัวเอง อันไหนดีก็เก็บไว้ อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ทำ วงการบันเทิงสอนมีนหลายเรื่องมาก หนึ่งในเรื่องที่สำคัญมากๆ คือความรับผิดชอบ เราต้องวางแผนให้ดี เพื่อที่จะรับผิดชอบงานทั้งหมดในมือ แล้วทำมันออกมาให้ดีที่สุดโดยที่เรายังมีความสุขกับมัน


อะไรคือความยากของวงการบันเทิง

        หลายๆ คนชอบคิดว่าการเข้าวงการบันเทิงมันยาก แต่มีนมองว่ามันง่ายครับ แค่ทำอะไรสักอย่างให้เป็นกระแสในโซเชียลก็มีคนรู้จักเราแล้ว แต่ความยากที่แท้จริงของวงการบันเทิง มันคือการทำอย่างไรให้เราอยู่ต่อไปได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่เล่นเรื่องเดียวแล้วหายไป การทำให้ตัวเองมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพมันยากนะครับ มีนคิดว่ามันคือกับดักที่ศิลปินและนักแสดงหน้าใหม่ทุกคนต้องเจอ มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่ช่องทางในการเข้าวงการมีน้อย กว่าจะเป็นพระเอก กว่าจะเป็นดาราได้ก็ยาก แต่พอเข้าได้แล้วก็อยู่กันยาวๆ แต่สมัยนี้มีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ตัวเองยืดระยะเวลาไปนานที่สุด อันนี้แหละคือจุดที่เป็นเรื่องยากและท้าทายสำหรับทุกคน รวมถึงตัวมีนเองด้วย

แล้วเสน่ห์ของวงการบันเทิงคืออะไร

        ครั้งแรกที่มีนเข้าวงการบันเทิง เพราะไม่มีอะไรทำ(หัวเราะ)แต่เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ อยากให้มีอะไรใหม่ๆ ทำ เลยตัดสินใจเข้ามาวงการบันเทิงดู มีนว่าเสน่ห์ของวงการบันเทิง คือความหลากหลาย ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง แค่ในแต่ละวันที่เราไปถ่ายซีรีส์ ถ่ายละคร บทบาทมันก็เปลี่ยนไปแล้ว ถ่ายแบบแต่ละครั้งก็มีธีมที่ต่างกันออกไป แถมยังได้ร้องเพลง เล่นดนตรี เต้น ทุกวันนี้ Performance ที่เราแสดงออกไปมันมีหลากหลายมาก ทำให้เราหยุดพัฒนาตัวเองไม่ได้ เมื่อไหร่ที่หยุดพัฒนา ทุกคนก็จะแซงหน้าเราทันที


นอกจากเป็นนักแสดงแล้ว อยากลองทำอะไรในวงการบันเทิงอีก

        เอาจริงๆ เลยนะ ความฝันวัยเด็ก ก่อนจะมาเป็นนักแสดง คืออยากถือไมค์บูมกับตีสเลท มันเท่มากนะ(ยิ้ม)ตอนนี้ได้ลองแล้ว ชอบมากเลย แต่พอได้เข้ามาทำงานในวงการ แล้วตัวเราเองก็เรียนจบด้านภาพยนตร์มาด้วย มีนเลยอยากมี Production House เล็กๆ ทำเป็นเอเจนซี่ แล้วมีนก็ชอบงานเบื้องหลังมากด้วย ช่วงเข้ามาในวงการแรกๆ หลังถ่ายเสร็จมีนชอบไปอยู่หน้ามอนิเตอร์ อยู่กับพี่ผู้กำกับ ในอนาคตอาจจะผันตัวเป็นผู้จัดหรือผู้กำกับก็ได้ครับ


นอกจากที่เห็นมีนในบทบาทนักแสดง ไลฟ์สไตล์ทั่วไปของมีนเป็นอย่างไร

        มีนชอบออกกำลังกายมากๆ ครับ ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าฟิตเนส แต่ถ้ามีเพื่อนก็จะออกไปตีแบดมินตัน เตะฟุตบอลบ้าง การออกกำลังกายมันช่วยให้หายเครียดได้นะ นอกจากนี้ก็ชอบดูหนัง มีเวลาว่างก็จะเข้าโรงหนัง มันได้ผ่อนคลายจากชีวิตการทำงาน และได้ศึกษาการแสดงไปในตัว ทุกครั้งที่ดูก็จะคิดตาม ค่อยๆ ซึมซับ ศึกษาเทคนิค แล้วปรับมาใช้กับการแสดงของตัวเองด้วยครับ


         อย่างหนังเรื่องล่าสุดเรื่อง ‘วอน (เธอ)’ คาแรกเตอร์จะเป็นคนที่เล่นกล้อง วางตัวเองเป็นเหมือนคนที่ดูหนังมาเยอะ มองนางเอกทีไรก็จะเห็นเขาเป็นเฟรมหนัง มีนก็จะไปเลือกดูหนังที่มีอารมณ์ประมาณนี้ เช่น 500 Days of Summer, Before Sunset และ Before Sunrise เวลาจะเล่นเรื่องอะไร ก็จะพยายามไปหาคาแรกเตอร์ ไปหาหนังที่มี mood and tone คล้ายๆ กัน มาช่วยในการทำงานของเรา

โอกาสได้เล่นภาพยนตร์ เป็นอย่างไรบ้าง

       อย่างที่บอกว่ามีนชอบดูหนังอยู่แล้ว แล้วก็เรียบจบด้านภาพยนตร์มาด้วย ก็เลยอยากเล่นหนังมากครับ ถ้ามีงานหนังมาติดต่อ ตัดสินใจง่ายกว่ารับซีรีส์อีก เพราะชอบมากจริงๆ มีนชอบความรู้สึกที่เราจะได้ขึ้นไปอยู่บนจอใหญ่ๆ มันค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง ถ้าเราได้เป็นคนตัวเล็กที่นั่งดูตัวเองอยู่บนจอใหญ่ แต่ก็มีสิ่งที่ไม่ชอบนะ คือมันแต่งหน้าน้อย เลยต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ(หัวเราะ)แต่มีนก็ชอบหนังมากๆ ครับ เล่าสั้นๆ ขมวดจบเร็ว อยากเล่นหนังอีก จ้างมาอีกได้นะครับ


มีนในบทบาทของ Youtuber ใน MEANTROSEXUAL เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร

        มันเริ่มมาจากช่วงโควิด-19นี่ล่ะ จริงๆ ก่อนหน้านี้ มีนอยากลองทำมานานแล้ว อยากโชว์ไลฟ์สไตล์ของมีน เรื่องการดูแลตัวเอง การแต่งตัวบ้าง เพราะเมื่อก่อนมีนไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง และรู้สึกว่าการดูแลตัวเองมันสำคัญมาก ทั้งการกิน นอน ทาครีม แต่งหน้า และการแต่งตัว ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่ค่อยมีคอนเทนต์เรื่องการดูแลตัวเองของผู้ชายใน YouTube สักเท่าไหร่ เลยอยากลองทำดู พอช่วงโควิด-19 มันออกไปไหนไม่ได้ อยู่แต่ในห้องก็เลยลองทำขึ้นมา ซึ่งกระแสตอบรับก็ค่อนข้างโอเคเลยนะ แต่ปัญหามันอยู่ที่พอสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น งานก็เริ่มกลับมาเหมือนเดิม มีนก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ แต่จะพยายามอัปเดตคลิปใหม่ให้บ่อยๆ

Words : Chanisa Karnsritong

]]>
“สวัสดีครับ ผมกระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์” 10 คำถามที่จะพาไปทำความรู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ https://marshomme.com/interview/531911/ Fri, 02 Jul 2021 03:11:00 +0000

                                           “สวัสดีครับ ผมกระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ ครับ”

        ก่อนที่เราจะได้เห็นความหล่อเท่ สมาร์ทแบบเฮลทตี้ ของกระทิง-ขุนณรงค์  ใน E Photobook Mars Homme อยากชวนมาล้อมวงคุยเรื่องราวและตัวตนของผู้ชายคนนี้ที่ผ่านการเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลสโมสรมาแล้วว่ากันว่า ถ้าเขาไม่ตัดสินใจเลือกวงการบันเทิงทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ หรือกระทั่งงานแสดงแล้วละก็เราอาจจะรู้จักเขาในนามของ “นักบาสทีมชาติ” ก็เป็นได้


        และแน่นอนว่า ตอนนี้ใคร ๆ ต่างก็กรี๊ดกับผลงานการแสดงของกระทิง กับบทบาทของ “มรุต” พระเอกของเรื่อง “พราวมุก” มองมุมไหนก็เห็นออร่าความหล่อ เท่ของกะทิงพุ่งแรงสูงมาก

        กระทิง-ขุนณรงค์ เป็นคนจังหวัดเชียงราย มีพี่น้องทั้งหมดสี่คน ก่อนที่กระทิง จะเกิด คุณแม่ไปบนไว้ว่า อยากได้ลูกผู้หญิง แต่พอคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย คุณแม่เลยต้องไปแก้เคล็ดด้วยการตั้งชื่อลูกว่า “กระทิง” เพราะเกรงว่าเมื่อคลอดออกมาแล้วจะได้ลูกสาวตามที่บนไว้ จึงเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง

        กระทิง เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพ ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี จนจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย และจบปริญญาตรี สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ


10 คำถามกับกระทิง-ขุนณรงค์

นิสัยแย่ ๆ ของกระทิงคืออะไร
        เป็นคนถ้าไม่สนใจอะไรผมจะทิ้งไปเลยครับ คือจะไม่เอาเลย จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำแล้วมีคนบังคับ ผมก็จะไม่ทำเลย

แล้วนิสัยที่ว่าน่ารักคืออะไร
        ผมว่าผมพยายามเข้าใจคนอื่นครับ (ยิ้ม)

กระทิงคิดว่า ตัวเองเก่งหรือว่าเชี่ยวชาญในเรื่องอะไรมากที่สุด
        เก่งในเรื่องความอดทนครับ ผมเป็นคนที่เรียนรู้ช้าแล้วเวลาทำงานหรือว่าเวลาะโดนกดดัน ผมไม่ค่อยยอมแพ้กับคำที่คนอื่นด่า เหมือนการที่ผมจะเรียนรู้อะไรอย่างหนึ่งนานก็คือผมจะต้องโดนด่านานมากๆ กว่าผมจะเข้าใจ หรือรู้สึกว่าผ่านมันมาได้เนี่ย ก็คิดว่า เฮ้ย…เราก็มีความอดทนเหมือนกันนะ

สำเร็จบ้างไหมในการใช้ความอดทน
        บางครั้งก็ไม่สำเร็จ บางครั้งก็พลาดบ้างอะไรแบบนี้ครับ แต่รู้สึกว่าถ้าผมพยายามเต็มที่ ผมจะไม่เสียดายที่ผมทำไปแล้ว


ข้อได้เปรียบของการเป็นเด็กบ้านนอกมีอะไรบ้าง เท่าที่ตัวเองรู้สึก
        มันเข้าใจโลกมากขึ้นและเห็นใจคนอื่นเยอะ ผมทนลำบากได้ ผมเคยเจออะไรพวกนี้มาแล้วและการที่ผมจะไปอยู่ในจุดที่มันไม่อำนวยความสะดวกสำหรับตัวเอง ผมจะทนได้มากกว่าคนอื่น ไม่ง๊องแง๊งครับ

ถ้าให้เลือกระหว่างบิ๊กไบค์กับรถสปอร์ต จะเลือกอะไร
        บิ๊กไบค์ครับ ผมชอบขับรถมอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์วินเทจ เป็นมอเตอร์ไซค์เท่ ๆ อย่าง ฮาเล่ย์ ไทรอัมพ์ ฮอนด้าตัวเก่า ๆ บีเอ็มตัวเก่า ๆ เป็นคนชอบขับรถแบบลุง ๆ ผมมีรุ่น CB1100 เป็น K10 เป็นรถเก่า ๆ เลยผมแต่งตามหนังสือรถญี่ปุ่น แล้วก็ไปซื้ออะไหล่จากเชียงกง ตรงรุ่นวินเทจอะไรเนี่ย ปี 1974-1975 ก็คือจะแต่งให้สภาพนั้นเลย ให้เหมือนเพิ่งออกจากโชว์รูมมาปีนั้นเลย แต่ว่ามันก็จะเป็นทรงเก่า ๆ หน่อย

เคยมีปัญหากับความสูงของตัวเองบ้างไหม
        เคย…เวลาถ่ายละครจะมีปัญหาเรื่องการมอง สมมุติว่าคู่ที่กระทิงเล่นด้วยเค้าจะสูงประมาณ 160-161 แล้วผมรู้สึกว่าผมต้องก้มอย่างเนี่ยมันก็จะย่นมาหน่อยแต่เวลา Close up ก็ดีขึ้น เพราะจะมีบล็อกกิ้งวาง หลักๆ ก็จะมีปัญหาเรื่องนี้ แล้วก็ปัญหาใหญ่อีกเรื่องคือการนั่งเครื่องบิน เพราะติดเข่าตลอดเวลาเลยต้องนั่งทางออกฉุกเฉินถึงจะโอเค ไม่ก็เป็นพาสซีฟไปเลยอะไรแบบนี้

ถ้าตอนนั้นเลือกที่จะเป็นนักบาสแทนที่จะมาเป็นนักแสดง คิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะไปทำอะไร
        คิดว่าตอนนี้ก็น่าจะเล่นบาสอยู่ในสักสโมสรใดสโมสรหนึ่ง แล้วก็ซ้อมบาสทุกวัน ผมคิดว่ามันไปได้หลายทาง ถ้าสมมุติว่าเราจะจริงจังอาจจะเล่นบาสไปด้วยแล้วก็เปิดที่สอนบาสไปด้วยก็คิดว่าทำควบคู่กันได้


เรื่องอะไรที่สะเทือนใจแล้วถึงกับเสียน้ำตาได้เลย
        เรื่องเพื่อนกับครอบครัว

เคยจัดตัวเองอยู่ในกลุ่มของคนเซนซิทีฟไหม
        ผมไม่เซนซิทีฟมากนะ ไม่ละเอียดอ่อนด้วยซ้ำ เวลามีอะไรที่เรารู้สึกทัชกับเพื่อนหรือคนที่เราสนิทมาก ๆ ผมจะอ่อนไหวมากกับความรู้สึกอะไรง่าย ๆ ผมจะเซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัวและเรื่องของเพื่อนมากครับ

]]>
‘คิวเท ซิม’ โอปป้า ยูทูปเบอร์ชื่อดังสัญชาติเกาหลี ผู้อยากเป็นอะไรสักอย่างในโลกนี้ https://marshomme.com/interview/531874/ Tue, 18 May 2021 14:57:00 +0000         ‘ซิม เป็นชื่อเล่นของเด็กหนุ่มสัญชาติเกาหลีที่เกิดในเมืองไทย ชื่อเต็มของเขาคือ‘คิวเท ซิม’ เป็นที่รู้จักดีในโลกโซเชียลในฐานะ YouTuber ช่อง Kyutae Oppa  ซึ่งมีผู้ติดตามหลักล้าน

        ด้วยอารมณ์และการแสดงออกแนวสนุกสนานเป็นกันเอง มากไปด้วยไอเดีย ทำให้คนไทย-โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น-ชื่นชอบเขาได้ไม่ยาก

        “คนไทยเหมือนคนเกาหลีตรงที่ชอบเที่ยวชอบกิน” ซิมบอก “แต่ว่าคนเกาหลีจะใจร้อนกว่าคนไทยเยอะ ใครเคยไปเกาหลีจะสังเกตเห็นว่าคนเกาหลีใจร้อนขึ้นรถไฟก็รีบร้อน ทุกอย่างจะรีบมาก ด้วยความที่มีสี่ฤดูมั้งครับ ตรงตามฤดูตามงานด้วย เทศกาลที่เกาหลีมีเยอะ คนก็เลยค่อนข้างรีบไม่ค่อยรีแลกซ์หรือผ่อนคลายเท่าไหร่”


        แต่ตัวเขาเองค่อนข้างแตกต่าง อาจเพราะเกิดในเมืองไทย “ผมไม่ค่อยอินอะไรกับเกาหลีเลย ผมซึมซับวัฒนธรรมไทยมาตั้งแต่เกิด หลายเรื่องเลย อย่างเวลาเพลงชาติไทยดังขึ้น ผมก็จะหยุดยืนโดยอัตโนมัติ ความคิดผมเหมือนคนไทยไปแล้ว ผมอาจจะไม่ใช่เกาหลีจริงๆ ได้เชื้อชาติเกาหลีมา แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนไทยมากกว่า” เขาพูดถึงตัวเองด้วยอารมณ์ขัน และที่สำคัญ “อาหารไทยก็ถูกปากกว่าเยอะ”

        เด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงท้วม พูดคุยอย่างออกรส ด้วยลีลาเหมือนอยู่หน้ากล้องเวลาเขาถ่ายคลิปสนุกสนาน เฮฮา ไม่ห่วงหล่อ

ซิมเริ่มทำยูทูบได้อย่างไร
        ตอน ม.สามหรือ ม.สี่ผมอยากเป็นอะไรสักอย่างในโลกนี้ ตอนนั้นผมไปขึ้นทางด่วนยกระดับจากชลบุรีมากรุงเทพฯ มันเป็นทางด่วนที่สูงมาก พอวิ่งเส้นนั้น ผมก็เห็นบ้าน เห็นตึกเยอะมาก ผมก็นั่งมองไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนน้อย เป็นจุดเล็กๆ ของโลกนี้ ตอนนั้นเริ่มคิดได้ก็เลยอยากทำอะไรสักอย่าง อยากเป็นที่รู้จัก

        ตอนแรกอยากเป็นนักร้อง แต่พอเริ่มร้องเพลงไปสักพักก็รู้สึกว่าร้องไม่เพราะ คนที่นั่งข้างๆ ยังร้องเพราะกว่าผมเลย แล้วจะไปสู้ทั้งวงการได้อย่างไร (หัวเราะ) ก็เลยคิดใหม่ เออ…เราจะโชว์ความสามารถพิเศษที่ไหนดี บังเอิญไปเจอยูทูบ เขาบอกว่าฟรี ทุกวันนี้ก็ยังฟรีนะ ผมเลยสร้าง account ขึ้นมา


        ตอนนั้นยูทูบก็เหมือนบิตคอยน์สมัยนี้ หลายคนไม่กล้าลงมือทำ เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ในประเทศนี้ พอผมเห็นปุ๊บก็ลองทำดูครับ ความจริงก็อยากทำมานานแล้วละ แต่ผมรออยู่สองปี เพราะไม่กล้าทำสักที ข้ออ้างเยอะ แต่พอเริ่มทำก็ไม่มีคนดูเหมือนเดิม (หัวเราะ) ทำไปสักหกเดือนก็เริ่มมีคนดู จนมาถึงทุกวันนี้ก็สี่ปีแล้วครับ

ตอนนี้ยอดวิวเท่าไหร่แล้ว
        ตอนนี้ผมมี subscriber ประมาณ 6.4 ล้านในยูทูบ ยอดวิวก็แล้วแต่ช่วง ก็ประมาณหนึ่งล้าน

จู่ๆ มันเปรี้ยงขึ้นมาได้อย่างไร
        จริงๆ ถ้าย้อนไปตอนช่วงสามเดือนแรกผมมี subscriber แค่หนึ่งร้อยเอง อยู่ดีๆ วันต่อมาก็ขึ้นเป็นพันซับ อีกสามวันต่อมาก็เป็นหมื่นซับ หกเดือนถัดมาก็ล้านซับ ที่มันพีคขึ้นมาเพราะคลิปที่ชื่อว่า ‘เกาหลีดูหนังผีไทยคนเดียว’ คือผมเองไม่เคยดูหนังผี นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ก็ทำใจอยู่นานมาก เพราะกลัวมากเลย

        วันนั้นเลิกเรียนกลับมาบ้าน ประมาณเที่ยงคืนหรือตีหนึ่งนี่แหละ ผมปิดไฟ เปิดหนัง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ ผม search จากพันทิพหาหนังไทยที่น่ากลัวที่สุดจนไปเจอมา ผมนั่งเปิดดูแล้วตั้งกล้องถ่ายหน้าผมสองชั่วโมง ไปจนหนังจบเรื่อง แล้วผมก็เอาช่วงที่ผมตกใจ ตะโกน หรือกลัวมายำรวมกัน ปรากฏว่ามีคนชอบ แล้วแชร์กัน มีคนดูดคลิปไปลงเฟซบุ๊ก แชร์กันหมื่นสองหมื่น ตั้งแต่นั้นมาผมได้ยอดซับมาเยอะเลย อันนั้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำช่อง


โดยไม่ต้องรีวิวหนังผีที่ดูเลย
        ใช่ครับ เหมือนเขาดูดคลิปผมไปลงนั่นละ ผมก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ดีใจไว้ก่อน หลังๆ เขาไม่ได้ใส่วาล์วมาให้ ก็เลยทักไปว่าพี่ช่วยติดลิงก์ให้ผมหน่อย เขาก็ยินดีนะ ติดลิงก์ให้ ยอดซับของผมก็เลยพุ่งๆๆ ตอนนั้นจำได้ว่าผมดีใจมาก

หนังผีไทยน่ากลัวกว่าหนังผีเกาหลีเหรอ
        โอ๊ะ…หนังผีไทยผมต้องยกให้ว่าน่ากลัวที่สุดในโลกเลยนะ แล้วเรื่องความเชื่อของไทยมีเยอะกว่าเกาหลี อาจเพราะเกาหลีเป็นประเทศเล็ก แล้วไม่ค่อยมีที่โล่งแล้ว เรื่องผีก็เลยน้อยลงทุกวัน

กระบวนการทำยูทูบของซิมเป็นอย่างไร
        ความจริงมันต้องวางแผนดีๆ ก่อน อย่างผมโพสต์สี่-ห้าคลิปต่อสัปดาห์ เราต้องพยายามคิดก่อนว่า เราจะทำอย่างไรให้คนดูไม่รู้สึกว่ามันซ้ำ เพราะถ้าเราไม่คำนึงถึงจุดนี้ บางทีเราจะได้ฟีดแบ็กที่ไม่ดีกลับมา ว่ามันซ้ำ เคยดูไปแล้ว ผมก็เลยวางแผน จัดตารางก่อนว่าเดือนนี้เราจะลงคลิปตัวไหนบ้าง เป็นแนวไหนบ้าง

        เราต้องมีคอนเท็นต์ที่เป็นตัวฮีโร่ก่อน ก็คือคอนเท็นต์หลัก ที่มีคนดูเยอะสุด เราจะยึดตัวนั้นเป็นหลัก อาทิตย์หนึ่งก็จะมีคลิปที่เป็นตัวฮีโร่ลงคลิปหนึ่ง ที่เหลือผมก็หาไอเดียว่ามีคลิปไหนที่น่าทำบ้าง คลิปไหนที่น่าจะถูกใจคนไทย หรือคลิปที่คนไทยจะไม่ดราม่า ก็ต้องคิดก่อนว่าจะทำคลิปอะไร

        พอคิดได้แล้วก็ลงมือถ่ายทำ บางทีผมได้แค่หัวข้อมาผมก็เตรียมถ่ายเลย แล้วค่อยสร้างสตอรีตอนถ่ายสดๆ เสร็จแล้วผมจะโยนไฟล์ให้ทีมงานไปตัดต่อ จากนั้นผมจะเช็ค ถ้าคอนเฟิร์มทุกอย่างก็ลงเป็นดราฟต์ไว้

อะไรคือคุณสมบัติของ YouTuber ที่ประสบความสำเร็จ
        หลักๆ ผมคิดว่ามีสามข้อด้วยกัน อย่างแรกคือ ความสม่ำเสมอ เพราะในยูทูบมีคนลงคลิปตลอด มียูทูเบอร์เป็นแสนเป็นล้านคน ซึ่งเราจะโดดเด่นกว่าคนอื่นได้อย่างไรถ้าเราไม่มี talent เท่าเขา นั่นคือความสม่ำเสมอ เราต้องโพสต์คลิปลงอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และมีความใส่ใจกว่าคนอื่น


        สอง ความ unique เพราะยูทูบก็เหมือนตลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเราจะโชว์สินค้าใหม่ของเราเข้าไป สินค้าของเราก็ไม่ควรจะซ้ำกับของคนอื่น เหมือนโค้ก ถึงเราจะทำให้คล้ายอย่างไร เราก็สู้โค้กที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องคิดก่อนว่าอะไรคือ unique ของเรา

        สามคือ ต้องอาศัยโชคช่วยด้วย เพราะว่ายูทูบก็เหมือนความฝัน การจะทำความฝันให้ประสบความสำเร็จได้มันต้องมีโชคนิดหน่อย ผมเคยเห็นคนตั้งใจทำอยู่นานหลายปี ทำเท่าไหร่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ บางทีเขาอาจจะคิดว่าความสำเร็จมันสูงมากก็เลยอาจจะเหนื่อย แต่หลักๆ ก็คือ ต้องมีโชคครับ

ความถี่ในการทำคลิปลงยูทูบของซิมเป็นอย่างไร
        ตั้งแต่ผมเริ่มทำมาเมื่อสี่ปีก่อน ตั้งแต่เรียนอยู่ ม.ห้า ผมไม่เคยหยุดลงคลิปเลย อย่างน้อยอาทิตย์ละคลิป ช่วงหนักๆ ก็ห้า-หกคลิปต่ออาทิตย์ (หัวเราะ) แต่ช่วงนี้ลดลงเหลือสี่คลิปต่ออาทิตย์แล้ว เคยมีคนถามว่าผมมีเวลาเหรอ สำหรับผมแล้วสี่คลิปต่ออาทิตย์นี่กำลังดี

ใช้เวลาทำแต่ละคลิปนานแค่ไหน
        ตอนนี้ไม่ค่อยนานแล้วครับ เพราะว่าผมเริ่มมีทีมงานแล้ว มีคนประสานงานให้ มีคนตัดคลิปให้ มีตากล้องให้ ความจริงแล้วงานหลักๆ ของผมก็คือ คิดไอเดีย และแผนต่างๆ ที่เราทำในแต่ละวัน แต่ตอนถ่ายใช้เวลาวันเดียวก็เสร็จ หรือสั้นๆ แค่ชั่วโมงเดียวก็มี

ไอเดียเคยตันบ้างไหม
        โอย…บ่อยมากครับ เวลาผมตันผมบอกเลย ตอนนี้ผมตันครับ (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะถ่ายอะไร มันตันทุกวัน แต่ว่าผมก็พยายามคิดนะว่าทำไมถึงตัน หาคำตอบไม่ได้ ก็รู้ว่าทุกคนต้องตัน มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ตัน ก็เลยช่างมันละ ตันก็ตัน

        แต่ผมก็ได้เทคนิคใหม่ๆ มา สมมติว่าเราตัน เราจะทำอย่างไรให้ไม่ตัน ก็คือ การพักผ่อน ตอนแรกผมพักผ่อนนานหน่อย อาทิตย์หนึ่ง หลังๆ ผมพักผ่อนแค่สาม-สี่ชั่วโมงก็เริ่มมีไอเดียมาแล้วละ บางครั้งแค่นั่งเล่นโทรศัพท์ เปิดยูทูบดูวนๆ ไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวไอเดียมันก็มาเอง

        จริงๆ บางครั้งเราตัน เพราะว่าเราอาจจะคิดเยอะไป เราอาจจะโฟกัสหลายอย่างเกินไป สมองเราก็เลยไม่ค่อยทำงาน ทุกวันนี้ก็ยังตันอยู่ แต่ก็ทำได้เรื่อยๆ เพราะว่ามีวิธีพักผ่อน


Game Changer หรือ ‘โกงพลิกเกม’ เป็นหนังเรื่องแรกที่ซิมเล่นใช่ไหม
        ใช่ครับ ผมเล่นครั้งแรก ตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะว่ายังไม่เคยเห็นตัวเองในโรงหนัง ก็เป็นความฝันอย่างหนึ่งของผม ในเรื่องผมเล่นเป็นวัยรุ่นหนึ่งในสี่คน อยู่ในโลกของมาเฟีย แล้วเขาก็มีบอสที่คอยตามตลอด แต่ว่าวันหนึ่งบอสเสีย ซึ่งมาเฟียเขาก็ต้องเก็บส่วยใช่ไหม แต่ว่าไอ้สี่คนนี้วางแผนชั่วร้ายว่าจะไม่ให้ใครมาเอาตังค์ จะเก็บเงินส่วยเอง แล้วสุดท้ายก็ชิบหายกันทั้งแก๊ง ประมาณนี้ครับ

        หนังแนวนี้ค่อนข้างจะมีน้อยในไทย เป็นหนังแอ็กชั่นที่มีความตลก มีดราม่า และดาร์กๆ หน่อย ถ้าพูดด้วยปากผมก็ว่ามันน่าติดตามครับ

เล่นยากไหม ไหนจะการแสดง ไหนจะภาษาไทย
        โอ้…จริงๆ ถ้าถามว่าอะไรยากสุด ผมว่าภาษา เพราะว่าเวลาผมได้บทมา บางคำในบทผมไม่น่าจะพูดในชีวิตจริง คำที่แบบ…ไม่ใช่คนเกาหลีที่มาอยู่เมืองไทยจะพูดกันน่ะ บางครั้งผมก็จะถามเพื่อนๆ นักแสดงว่าคำนี้หมายถึงอะไร ผมต้องพยายามฝึกใช้มันในชีวิตประจำวัน

        แต่มันก็ยากช่วงแรกครับ เพราะผมไม่มีประสบการณ์เลย ค่อนข้างตื่นเต้น แต่ผมก็ไปเรียนแอ็กติ้งมา และฝึกมาเยอะ พอเล่นจริงก็โอเคนะครับ เพราะผู้กำกับฯ ก็ไม่ได้ด่าผมเยอะ (หัวเราะ) แต่สนุกครับ โดยเฉพาะซีนแรกที่ผมเล่นในหนัง เป็นซีนที่มีสาวโคโยตี้สองคนเข้ามารุมล้อมผม พยายามถอดเสื้อผ้า จนเหลือแต่กางเกงใน ก็สนุกดี (ยิ้ม) เป็นอะไรที่ผมชอบมาก นั่นเป็นซีนแรกเลยนะ เหมือนเป็นการละลายพฤติกรรมด้วย หลังจากซีนนั้นผมก็ไม่เกร็ง ไม่กลัวอะไรอีกเลย ชิลล์ๆ (หัวเราะ)


ซิมเรียนภาษาไทยจากที่ไหน
        ผมเคยเรียนประถมฯ ที่โรงเรียนไทย และมีเพื่อนๆ คนไทยตลอด พอมาทำงานก็พูดไทย แต่ที่ผมพูดไทยเก่งขึ้นเพราะทำยูทูบ หลายคนอาจจะไม่รู้ ต้องย้อนไปดูคลิปแรกๆ ผมจะพูดติดๆ ขัดๆ ไม่ได้พูดเร็วพูดชัดขนาดนี้ ทุกวันนี้เหมือนได้สกิลจากยูทูบล้วนๆ เลยครับ

        นอกจากทำคลิปแล้ว ผมยังฝึกจากการดูหลายๆ ช่องด้วย แล้วพยายามซึบซับภาษาที่เขาใช้กัน จากการฟัง เปิดคลิปอะไรผมก็ดูหมด สมัยก่อนผมไม่เก็ตมุขไทยเลยนะ เก็ตแต่มุขฝรั่ง ตอนเริ่มดูผมไม่ตลก แต่พอดูไปดูมาก็เริ่มซึมซับ เริ่มเข้าใจ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แต่ว่าพยายามเข้าใจอยู่ทุกวัน

        มุขของไทยยากตรงคำผวนเยอะ คำคมอีก มุขโบ๊ะบ๊ะนี่ยากมาก เข้าใจยาก และค่อนข้างมีความหมายลึกซึ้ง ก็เลยน่าเรียนและน่าลองค้นหาครับ ตอนนี้ก็ยังฝึกอยู่ทุกวัน (หัวเราะ)

คิดว่าภาษาไทยเรียนยากไหม
        ยากครับ ต้องบอกเลยว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ยากมาก ผมเรียนมาทั้งภาษาไทย เกาหลี อังกฤษ แต่ภาษาไทยเป็นอะไรที่ยากที่สุดเท่าที่เรียนมา (หัวเราะ) ตัวพยัญชนะเยอะที่สุด ทุกวันนี้ถ้าให้ท่อง ก.ไก่ถึง ฮ.นกฮูกผมก็ยังท่องไม่ได้ (ยิ้ม) ผมลืมหมดแล้ว แต่ด้วยความที่ผมเกิดที่นี่ ก็ยากเท่าๆ กับคนไทยคนอื่นที่เรียนกันครับ

ภาษาไทยคำไหนบ้างที่ยากมากสำหรับซิมในการออกเสียง
        (คิด) อาจจะเป็นคำที่มีตัวไม้เอก ไม้โท ไม้ตรี ไม้จัตวา คือบางครั้งผมเหมือนจะพูดถูก แต่คนฟังก็บอกว่าพูดไม่ถูกก็มี ที่ยากๆ มีหลายคำมากเลยคำ ทุกวันนี้ก็ยังติดสำเนียงเกาหลีอยู่บ้าง หรือว่าบางครั้งคำที่ใช้ไม้โทก็พูดเป็นไม้เอกก็มี (ยิ้ม)


ซิมยังมีช่องที่ร้องเพลงด้วยใช่ไหม
        ใช่ครับ ตอนช่วงโควิดปีก่อนเขาทำช่อง Kyutae Oppa Music ขึ้นมา ทำคัฟเวอร์เพลงเป็นภาษาเกาหลี แต่เป็นเพลงไทยนะครับ แปลเป็นภาษาเกาหลีมาร้อง ทำไปสักพัก ตอนนี้หยุดทำไปก่อน อาจจะกลับมาอีกรอบ จริงๆ มันก็สนุกดีนะครับ แต่พอร้องไปสักพักก็รู้สึกว่าผมชอบทำยูทูบธรรมดามากกว่า

ในช่องยูทูบของซิมทำเห็นมีคลิปเป็นซีรีส์ ‘เมียอีสาน’ ด้วย
        อ้า…ใช่ครับ เป็นภรรยาอีสาน ภรรยารัสเซีย ภรรยาอะไรอีกนะ จำไม่ได้ เยอะแยะ (หัวเราะ)

แต่ไม่ใช่ภรรยาจริงๆ ใช่ไหม
        อ๋อ…ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่แต่งงาน (หัวเราะ) คือต้องบอกก่อนว่า สาเหตุที่ผมทำคลิปนั้นเพราะผมอยากทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งผมก็หาคนที่จะมาเล่นกับผมได้ และคนดูจะต้องชอบด้วย ผมก็เลยไปหาคนที่ชื่อ มินตัน (มินตรา เชื้อวังคำ) ซึ่งวัยรุ่นชอบเขามาก ลองติดต่อเขาดู ปรากฏว่าเขาอยู่อีสาน เฮ่ย…น่าสนใจดี ผมไม่เคยไปถ่ายที่อีสานด้วย สไตล์บ้านๆ แล้วถ้าเกาหลีไปอยู่อีสานจะเป็นอย่างไร


        ผมก็เลยลองคุยกับเขาว่าจะทำเป็นซีรีส์ยาวๆ เป็นภรรยาอีสาน ใช้ชีวิตท้องถิ่น ตามพ่อเขาไปทำงานบ้าง ตำส้มตำ หรือไปโรงเรียนที่อีสาน พอซีซั่นหนึ่งจบก็มาที่กรุงเทพฯ ต่อ มินตันกับผมก็ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ต่างๆ นานา ความจริงช่องผมจะมีคู่จิ้นตลอดนะครับ จนถึงวันนี้มีหลายคน

คอนเซ็ปต์คือคู่จิ้น เหมือนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อย่างนั้นหรือเปล่า
        ไม่เชิงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันครับ คาแรกเตอร์ผมในคลิปเหมือนจะคอยจีบเขาตลอด แต่ผู้หญิงก็ไม่สนใจ เหมือนให้คนดูลุ้นว่าเมื่อไหร่จะจีบติดวะ แต่สุดท้ายก็แยกทางกัน (หัวเราะ) ทำสนุกมากกว่า แต่คนดูก็รู้นะครับว่ามันเป็นมุขแบบซีรีส์สนุกๆ

ผู้หญิงที่เป็นแฟนในชีวิตจริงล่ะ
        ตอนนี้ก็ถ่ายด้วยกันครับ เขาชื่อน้องพิม (โบราณ / IG:@pimmmmss) ก็แบบว่า…คนน่าจะเบื่อแล้วแหละอะไรที่ซ้ำๆ ผมเปลี่ยนคู่จิ้นมาหลายคน และผมก็เริ่มมีอายุแล้ว ก็เลยอยากจะโชว์ความจริงจังเสียหน่อย คือต้องคอยหาเรื่องใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ คราวนี้มีมาแบบครึ่งจริงครึ่งปลอม แต่ก่อนมีแต่ปลอม อันนี้ครึ่งจริงครึ่งปลอม (หัวเราะ)

ซิมเรียนจบชั้นมัธยมฯ ปลายแล้วได้ไปเรียนต่อที่ไหนหรือเปล่า
        ผมไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยแค่หนึ่งปี แล้วลาออก เหตุผลคือ ตอนนั้นผมคิดว่าผมมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากทำอะไรมากกว่า ชัดเจนว่าอนาคตอยากทำอะไร เป็นอะไร ก็เลยออกมา

        แต่ก็เสียดายนะครับ เพราะว่าเราทิ้งช่วงวัยรุ่นไปเลย จริงๆ ก็แอบอิจฉานะ เจอเด็กๆ ใส่ชุดนักศึกษาไปเที่ยวกัน สาวๆ เต็มไปหมดเลย ไม่ใช่เสียใจนะ เสียดาย (หัวเราะ) แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมบอกก่อนนะครับว่า เรียนก็ดี แต่ไม่เรียนก็ไม่มีปัญหา มันอยู่ที่ว่าเรามีเป้าหมายอย่างไรบ้าง อยากให้มองไกลๆ ไว้ก่อน ถ้ารู้สึกโอเคก็ลาออก แต่ผมอยู่นอกมหาวิทยาลัยผมก็ได้เรียนรู้เท่าๆ กัน


ตอนนั้นวางแผนให้กับตัวเองไว้อย่างไร
        ตอนนั้นก็อยากเรียนนั่นละ แต่มีความรู้สึกว่าถ้าเราเอาเวลาที่มีไปทุ่มลงตรงนี้ มันอาจจะเวิร์กกว่า แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันจะเวิร์กร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง มันก็เสี่ยงนะ เราทิ้งจุดหนึ่งไปเพื่อไปทุ่มเทให้กับอีกจุดหนึ่ง ก็กังวลแหละตอนนั้น แต่ทำใจได้ ก็เลยตัดสินใจลาออก จนทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหา ผมตั้งใจทำงาน และยังมีเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิตอยู่เรื่อยๆ ครับ

ซิมต้องไปเกณฑ์ทหารที่เกาหลีด้วยไหม
        (หัวเราะ) ทุกคนถามเรื่องนี้กันมากเลย เป็นคำถามที่น่าสนใจนะ ทุกคนที่เกาหลีต้องไปเกณฑ์ทหาร ต้องไป แต่ว่ามันมีข้อยกเว้นเยอะมาก และผมก็อยู่ในข้อยกเว้นเหมือนกัน อย่างแรกคือผมเกิดที่เมืองไทย พ่อแม่ย้ายมาอยู่เมืองไทยยี่สิบกว่าปีแล้ว พ่อแม่ทำงานเกี่ยวกับศาสนา เปิดคริสตจักร นี่ก็อยู่ในข้อแม้อีกเหมือนกัน และยังมีข้อยกเว้นอีกหลายอย่างที่ผมไม่รู้ก็มี แต่ว่าหลักๆ ผมไม่ต้องไป

        ระยะหลังกฎเกณฑ์ที่นั่นเริ่มเบาลงเรื่อยๆ จากเดิมต้องไปเป็นทหารสองปี ตอนนี้เหลือหนึ่งปีหกเดือน อินเตอร์เน็ตก็เริ่มใช้ได้ เหมือนเบาลงแล้ว และผมก็รู้สึกว่าอีกไม่นานเรื่องเกณฑ์ทหารอาจจะหายไปก็ได้ เพราะมันก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ความจริงทุกวันนี้ไม่ได้ทำสงครามกันด้วยคนแล้วนะ มันมีการทำสงครามกันหลายอย่าง ใครจะรู้ว่าจริงๆ โควิดอาจจะเป็นสงครามอย่างหนึ่งก็ได้ (หัวเราะ)


        เกาหลีก็เริ่มรู้แล้ว และเริ่มลดลงมาเรื่อยๆ ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แต่คนไทยค่อนข้างซีเรียส รู้สึกว่าเกาหลีทุกคนต้องไปเกณฑ์ทหาร เพราะดาราเกาหลีทุกคนต้องไป มันเหมือนภาพลักษณ์ของดารา ถ้าใครไม่ไปคนจะด่ากันทั้งประเทศ สังคมที่นั่นค่อนข้างโหดร้ายนิดหน่อย

        พูดตรงๆ ผมเองก็ไม่อยากไปนะ เพราะว่าผมเกิดที่นี่ โตมาที่นี่ ถ้าผมไปก็เหมือนไปโดยหน้าที่ ซึ่งผมว่าผู้ชายเกาหลีค่อนข้างน่าสงสารนะ ทุกคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าหน้าที่เราคือปกป้องประเทศ ทุกคนต้องไปเป็นทหาร

ที่เกาหลีเขาเกณฑ์ทหารตอนอายุเท่าไหร่
        ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ตั้งแต่อายุสิบแปดปีถึงสามสิบปี ความจริงเลื่อนได้ แต่ถ้าอายุเกินสามสิบก็อาจจะยาก และมีข้อยกเว้นอื่นอีก อย่างบางคนมีภาระต้องดูแลครอบครัว นั่นก็ยกเว้นได้เหมือนกัน หรือไม่ต้องไปฝึกแบบโหดก็ได้ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าจะไปฝึกเป็นทหารบก ทหารเรือ หรือทหารอากาศ

        แต่ก็นั่นละ สังคมเกาหลีปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กว่า ลูกผู้ชายต้องไปฝึกโหด จริงๆ เป็นเรื่องที่สังคมกดดันมากกว่า หลายคนจึงพากันไปลงเป็นทหารเรือ ซึ่งโหดมาก ขี่ม้า ว่ายน้ำข้ามทะเล (หัวเราะ) แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องฝึกโหดขนาดนั้น อันนี้อยู่ที่ว่าใครจะเลือกไปไหนมากกว่า

ตอนนี้ซิมยังถือสัญชาติเกาหลีอยู่ใช่ไหม
        ใช่ครับ สัญชาติไทยขอยาก มีขั้นตอนเยอะ

ใช้สิทธิ์เกิดที่เมืองไทยไม่ได้เหรอ
        ไม่ได้ครับ แต่ถ้าผมมีเมียไทยก็อาจจะได้ หรือว่าผมจ่ายภาษีครบห้า-หกปีก็สามารถยื่นขอได้เหมือนกัน จริงๆ ที่ผมอ่านมา ถ้าใครมีเงินก็ขอสัญชาติได้ แต่ตัวผมไม่รู้ อายุผมยังน้อยอยู่


แต่ซิมก็เสียภาษีเหมือนกันนี่
        ใช่ครับ ตอนนี้ผมจดทะเบียนบริษัท ก็ต้องเสียภาษีเหมือนกัน

อนาคตจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยหรือจะกลับไปเกาหลี
        ผมจะอยู่เมืองไทยครับ เพราะว่าตอนผมไปอยู่เกาหลี ผมรู้สึกเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า เหมือนคนไทยไปต่างประเทศ จะรู้สึกเหมือนไปเที่ยวใช่ไหม สักพักก็อยากกลับมาบ้าน (หัวเราะ) ผมรู้สึกผูกพัน คนที่นี่ค่อนข้างอบอุ่นดี ผมไม่อยากไปอยู่ที่ไหน อยากอยู่เมืองไทยไปเรื่อยๆ

ยังมีบ้านอยู่ที่เกาหลีหรือเปล่า
        มีครับ ครอบครัวฝั่งญาติๆ หรือฝั่งปู่ย่าตายายก็ยังมี เวลาไปเกาหลีก็จะไปนอนบ้านปู่ย่าตายาย

แต่ไม่เหมือนบ้านที่เมืองไทย
        ไม่เหมือนเลยครับ เหมือนต่างประเทศมากกว่า อยู่สักพักผมก็อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว ไม่มีอะไรที่มันแซ่บ อาหารที่มันเปรี้ยว เค็ม ไม่มี (หัวเราะ) อยากกลับมา เพราะที่นี่เป็นถิ่นเรา เรารู้ว่าเราจะไปไหน รู้ว่าจะทำอะไร แต่ที่เกาหลีเราเหมือนไม่รู้อะไรมาก

มีแผนการทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม
        ผมคิดตลอดครับ เพราะว่ามันก็เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน จริงๆ ไม่ว่างานอะไรมันก็ไม่แน่นอน อยู่ดีๆ วันหนึ่งอาจจะโดนไล่ออกก็ได้ หรือว่าบริษัทอาจจะปิดก็ได้ หลายคนก็เคยบอกผม ถ้าเรามีงานอยู่แล้ว เราก็ควรจะมีอีกงานหนึ่งที่มันเลี้ยงชีพเราได้ ถ้างานหนึ่งดับไป

        ผมก็หางานแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ไปลงทุนลงหุ้นตรงนั้นตรงนี้บ้าง ช่วยปั้นช่องของลูกน้องบ้าง หรือช่องใหม่ๆ ต่างๆ หรือเริ่มเล่น TikTok เพื่อรับงานทาง TikTok อะไรที่มันมาใหม่ผมค่อนข้างเปิดรับตลอด ถ้าเราศึกษาก่อนคนอื่นเราก็มีโอกาสมากกว่า ใช่ไหม อย่างล่าสุดมี Clubhouse มา ผมก็รีบไปศึกษาดูว่ามันดีอย่างไร มันใช้อย่างไร แต่ตอนนี้มันก็ดับไปแล้ว (หัวเราะ)


แต่ก็ยังเกี่ยวข้องอยู่กับวงการ IT
        ใช่ครับ เพราะผมอยากอยู่แค่ตรงนี้ เพราะผมเก่งในตรงนี้ ผมเก่งในงานออนไลน์ ผมเก่งในงานมาร์เก็ตติ้ง ถ้าจะให้ผมไปเปิดธุรกิจขายอาหาร ผมว่ามันหารายได้หลักให้เราไม่ได้หรอก อีกอย่างมันอาจจะไม่ใช่แนวทางของเราก็ได้ เพราะสมัยนี้ออนไลน์ล้วนๆ ครับ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ชายหนุ่มที่ไม่เคยย่ำอยู่กับที่และทำความรู้จักชีวิตอย่างเข้าใจ ของ กระทิง ‘ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์’ https://marshomme.com/interview/531860/ Tue, 11 May 2021 04:00:00 +0000

        นักแสดงหนุ่มของช่อง 3 ที่เพิ่งก้าวขึ้นแท่นพระเอกเป็นหนุ่มร่างสูง 191 เซนติเมตรแฟนละครน่าจะคุ้นหน้าเขาจากละคร ‘นางอาย’ ‘ลิขิตรัก’ ‘หน่วยลับสลับเลิฟ’ ก่อนเขาจะสวมบทพระเอกใน ‘เทพธิดาปลาร้า’ ที่เพิ่งผ่านตากันไป

        ‘กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ เป็นหนุ่มจากเชียงราย ที่มักออกตัวบ่อยครั้งเวลาให้สัมภาษณ์สื่อว่าเขาเป็นเด็กจากต่างจังหวัด


        “ผมว่าเด็กบ้านนอกเข้าใจโลกมาก และเห็นใจคนอื่นเยอะ” เขาบรรยายถึงข้อดีของสิ่งที่เป็น “อีกอย่างผมทนความลำบากได้ ผมรู้สึกว่าผมเคยเจออะไรเหล่านี้มาแล้ว และการที่ผมจะไปอยู่ในจุดที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ผมจะทนได้มากกว่าคนอื่น ผมไม่งอแงครับ”

        แต่ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นคนจากต่างจังหวัด คือนิสัยส่วนตัวของเขา

        “ผมเป็นคนที่ถ้าไม่สนใจอะไรผมจะทิ้งไปเลยครับ คือจะไม่เอาเลย จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น นั่นคือนิสัยแย่ๆ ของผม”

        นอกจากนั้นเขายังยอมรับว่าไม่ใช่คนเซนสิทีฟ ถึงขนาดไม่ละเอียดอ่อน

        “แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนหรือครอบครัว อะไรที่ผมรู้สึกว่าทัชกับคนที่ผมสนิทมากๆ ผมจะอ่อนไหวกับความรู้สึกอะไรง่ายๆ แต่ไม่ได้จุกจิกนะครับ ถ้าเกิดมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมจะเซนสิทีฟกับครอบครัวและเพื่อนผมมาก”

        กระทิงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพด้วยทุนนักกีฬา และเขาคงจะกลายเป็นนักบาสเกตบอลของสโมสรที่ไหนสักแห่ง ที่ขะมักเขม้นกับการฝึกซ้อมเพื่อลงสนามแข่ง หากว่าเขาไม่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเข้าสู่วงการบันเทิงเสียก่อน


นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว กระทิงยังทำอะไรอีกบ้าง
        ก็มีถ่ายแฟชั่น และเดินแบบครับ และทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย ชื่อแบรนด์ UncleMich ติดตามกันได้ใน IG @unclemich_bkk

ชื่อแบรนด์ได้มาจากไหน
        ชื่อมาจากนักบาสฯ ครับ ไมเคิล จอร์แดน ก็เป็นลุงจอร์แดน คือแบรนด์ของผม ผมตั้งใจจะทำเป็นแฟชั่นวินเทจ สไตล์การแต่งตัวของนักบาสฯ ยุค 1990s ผมก็มี reference เป็นไมเคิล จอร์แดนครับ ที่เวลาเขาใส่ชุดออกงานเป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวโคร่งๆ หน่อย ก็จะเป็นแนวนั้นหมดเลย

        แต่เราก็จะเอามาทำเป็นแนวเรโทรผสมกับวินเทจด้วย ให้มันเข้ากับยุคสมัยกับคนที่ใส่เสื้อ อย่างเสื้อก็ over size เลย กางเกงก็ทรงกระบอก ทรงลุง

จุดเด่นคืออะไร
        เราจะรวมทุกอย่างที่เป็นแฟชั่นของนักกีฬาสมัยก่อน ทั้งนักบาสฯ และนักฟุตบอล สไตล์ของคนที่แต่งตัวสมัยนั้นแล้วดูเท่ และสมัยนี้ยังแต่งได้อยู่ เราก็เอามาประยุกต์ ก็คือใช้แพตเทิร์นเสื้อผ้าแบบนั้น แต่ว่าลายเราอาจจะปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบของเราเองครับ


ไมเคิล จอร์แดนเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นบาสเกตบอลของกระทิงใช่ไหม
        ครับ เขาเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักครั้งแรก สมัยก่อนผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้ดูยูทูบหรืออะไร ผมรู้จักคนแรกก็จอร์แดน ตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นด้วย

จดจำสไตล์การเล่นของเขามาใช้กับตัวเองด้วยไหม
        ผมจำความคิดของเขามากกว่า เขาเป็นคนที่มีความคิดแปลก แต่มันก็ทำให้เขาไปถึงจุดที่เขาไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ยอมแพ้ เป็นคนที่ต้องการจะชนะมากๆ เขาเกลียดการแพ้ เวลาเขาซ้อมเล่นในทีมเขาจะจริงจังมาก และเพื่อนมักจะโดนเขาด่าตลอด เพราะเขาเป็นคนที่เล่นแล้วอยากชนะ เขาไม่อยากแพ้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน และไม่สนวิธีการ

พอไม่ได้เป็นนักบาสฯ แล้ว กระทิงเลิกเล่นบาสฯ ไปเลยหรือเปล่า
        ก็ไม่ถึงกับเลิกครับ ผมก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า ไม่ได้จริงจังเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องไปซ้อมทุกวัน ต้องดูแลรักษาร่างกาย หรือต้องไปแข่งทัวร์นาเมนต์ เดี๋ยวนี้ผมจะเล่นแบบ…เช่าสนามเล่นกันกับเพื่อน อาทิตย์ละสามวัน ไปออกกำลังกาย ไปรีแลกซ์เสียมากกว่า ไม่ได้ทิ้ง คือว่างก็จะไปเล่นบาสฯ เพราะผมรู้สึกว่าเวลาเล่นบาสมันเป็นอะไรที่ผมรีแลกซ์ตัวเอง เวลาทำงานบางทีเราอาจจะคิดเยอะ พอไปเล่นกีฬาหรือทำสิ่งที่เราชอบ มันรู้สึกว่าหัวผมโล่งขึ้น พร้อมที่จะกลับไปทำงานใหม่


ตอนผละออกมา กระทิงก้าวไปถึงจุดไหนของการเล่นบาสฯ แล้ว
        ผมเคยเล่นสโมสรของไทยแลนด์ ลีกครับ แต่ทีมโรงเรียนของผมเป็นสังกัดไฮเทค (Hitech Basketball Club) ก็เล่นได้สักพักหนึ่ง ประมาณสองปี แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยผมก็มาทำงานในวงการ

        ละครเรื่องแรกที่ผมเล่นเป็นนักแสดงรับเชิญจะคาบเกี่ยวช่วง ม.หกกับมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนนั้นใกล้จะจบและทัวร์นาเมนต์บาสฯ แข่งเสร็จแล้ว งานก็เข้ามาพอดี ผมก็เข้าเวิร์กช็อป ไปเรียนจนเข้ากองถ่าย และพอถ่ายไปได้สักพักหนึ่งผมก็เข้าปีหนึ่ง ก่อนเปิดเทอมปีหนึ่งผมก็ถ่ายละครเสร็จพอดี

        แต่ช่วงแรกๆ ผมยังสับสนอยู่ว่าจะมุ่งไปทางไหนดี จะไปทางบาสฯ ไปทางการแสดง หรือจะตั้งใจเรียนดี ผมเอาสามอย่างไงครับ ช่วงนั้นเลยวุ่นๆ แต่ผมต้องหนักไปทางทุนนักกีฬา เพราะว่าผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยทุนนักกีฬา ก็คือเล่นกีฬามหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ก็คือต้องซ้อมทุกวัน

กระทิงเลือกเรียนด้านการตลาด แล้วมันไปกันได้กับกีฬาหรือเปล่า
        ผมว่ามันใช้ได้นะครับ คือตอนแรกผมก็คิด หรือว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ดี แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเรียนนิเทศฯ ผมก็จะไม่ได้อย่างอื่นเลย เพราะงานที่เราทำ เราก็สามารถเรียนนิเทศฯ ได้โดยประสบการณ์ ผมเลยอยากเรียนการตลาดเพิ่มดีกว่า เผื่อผมจะเอาไปใช้ทำโน่นนี่ ต่อยอดกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เป็น second job ของตัวเอง

เข้ามาอยู่ในวงการห้าปีแล้ว ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
        ก็เยอะครับ ตอนแรกที่ผมเข้ามา ผมยังขี้อายอยู่เลย ผมไม่กล้ามองหน้าคนอื่น ยิ่งเป็นผู้หญิงผมยิ่งไม่กล้ามองหน้า เพราะผมอยู่กับผู้ชายเยอะ พอเริ่มข้ามกำแพงตัวเอง ความขี้อายของเรา…มันไม่ได้หายไปเลย แต่จะอายในเรื่องที่ควรอายมากกว่า คือปกติกับคนที่ไม่สนิทผมจะไม่ยุ่งเลย ผมจะอยู่แต่กับเพื่อน และเวลาอยู่กับเพื่อนก็เฮฮา แต่พออยู่กับคนอื่นผมก็จะเขินขึ้นมาทันที


ตอนนี้กระทิงได้บทพระเอกแล้วใช่ไหม
        ก็ได้มาสักพักหนึ่งแล้วครับ

มีเรื่องไหนบ้าง
        ที่ออนแอร์ไปแล้วที่ผ่านมาก็มี ‘เทพธิดาปลาร้า’ และที่ถ่ายทำอยู่มี ‘แค้นรักสลับชะตา’

กระทิงมีวิธีจำบทอย่างไร
        ความเข้าใจครับ ผมว่าผมต้องอ่านให้เข้าใจ ถ้าจำเป็นไดอะล็อกเลยผมว่าผมจะสับสน ผมจะจำเอาว่า ผมจะพูดกับคนนี้ผมจะพูดอะไรกับเขา ใช้ความเข้าใจว่าเรากำลังคุยกันอยู่ ผมต้องการอะไร เขาเป็นใครสำหรับผม และถ้าผมได้ยินคำที่เขาถามขึ้นมา มันเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า เราต้องการสิ่งนี้จากเขาเราก็จะพูดออกมาได้ ยิ่งบทยาวๆ เรายิ่งต้องทำความเข้าใจ สำหรับผมนะครับ

ที่ผ่านมาบทยาวที่สุดกี่หน้า
        โห…ผมเคยโดนเรื่อง ‘พราวมุก’ ประมาณสอง-สามหน้า แต่ไม่ได้พูดทีเดียวสอง-สามหน้านะครับ ก็พูดหลายบรรทัดอยู่ เป็นซีนที่ผมด่าเขา สอนเขาด้วยเหตุผลด้วยว่า เออ…ทำแบบนี้มันไม่ถูก ทำแล้วรู้หรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุผลคืออย่างนี้ๆๆ ที่เราไม่อยากให้ทำ แล้วเขาก็เถียงมา เราก็มีเหตุผลต่อ ประมาณสอง-สามหน้า อันนั้นรู้สึกว่ายากที่สุด

ผ่านมาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเชี่ยวขึ้นไหม
        ก็เชี่ยวขึ้นนะครับ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองยังไม่เก่ง ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ


ขอถามเรื่องกระปุก (พัชรา ทับทอง) ยังคบหากันอยู่ใช่ไหม
        ครับ

พอเปิดตัวแฟนแล้ว กระทิงก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นคู่จิ้นกับดาราคนไหนได้ ถูกไหม
        (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ สำหรับผมมองว่างานก็เป็นงาน ชีวิตส่วนตัวก็เป็นชีวิตส่วนตัว ผมมองว่าอยากให้เขาเสพงานเรามากกว่า เพราะผมก็ชอบมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน แต่ผมไม่ซีเรียสเรื่องที่ว่าจะมีคู่จิ้นหรือไม่มีนะ ผมเข้าใจในงาน และเข้าใจตัวเองด้วย

แต่ถ้ามีคู่จิ้น มันจะกลายเป็นกระแสมากกว่าไหม
        ครับ ผมก็เคยคิดนะครับ คือถ้ามันจะจิ้น อาจจะจิ้นด้วยงาน เคมีเข้ากัน อย่างไรมันก็จิ้นละครับ ถ้างานของเรากับเขาเคมีมันดีต่อกัน มันก็โอเค

ตอนนี้กระทิงเข้าขากับนักแสดงหญิงคนไหนบ้าง แบบที่เคมีตรงกัน
        เข้าขากับใครบ้างงี้เหรอ (หัวเราะ) ผมก็เล่นมาไม่เยอะ ที่ซ้ำก็มีบัว-นลินทิพย์ (สกุลอ่องอำไพ) เคยเล่นด้วยกันมาสองเรื่อง ผมรู้สึกว่าเคมีบัวตรงกับผม แบบว่า…รู้สึกว่าเป็นคนที่เวลาเราอยู่ด้วยแล้วโอเค สบายใจ ทำงานด้วยได้ลื่น ปกติผมจะติดเกรงใจนิดหนึ่ง แต่นี่เราสนิทกัน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาทำงานกับบัวแล้วลื่นไหล


ชอบโมเมนต์ไหนเวลาอยู่ด้วยกัน
        ผมชอบโมเมนต์ที่เทคแคร์ เพราะว่าเขาจะเทคแคร์เรา ตรงนี้ผมแฮปปี้ คือผมเป็นคนที่เลือกซื้อของไม่เป็น อย่างเสื้อผ้าเราเลือกเองได้ แต่เรื่องครีม เรื่องสิว ผมแพ้ยาสระผมงี้ มันต้องใช้อะไรวะ แต่แฟนผมจะรู้ว่าผมแพ้ง่าย ผิวจะเป็นอย่างนี้ ผมใช้ครีมนี้ถูกกับหน้าผม เขาจะจัดการให้ทุกอย่าง หรือครีมอาบน้ำก็จะซื้อให้ทั้งเซ็ตเลย เหมือนแม่ผม แม่ก็ทำอย่างนี้ เพราะผมแพ้ง่าย แล้วพอผมคบกับเขา เขาก็จะดูแลผมอย่างนี้ มันเป็นการเทคแคร์ แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้ว

เคยคุยกันถึงเรื่องอนาคตของความสัมพันธ์ไหม
        ไม่ครับ ไม่เคยคุยกันเลยเรื่องอนาคต ผมรู้สึกว่าอะไรที่มันดีอยู่แล้ว หรือเป็นไปได้ดี ไปต่อไปลื่นไหล ผมว่าไม่อยากคาดหวังดีกว่า ถ้าคนเราไปกันได้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มันไปของมันได้เรื่อยๆ เราก็จะไม่เบื่อด้วย ไม่ต้องมานั่งคิดว่า เฮ้ย…ตั้งใจเป้าอยากให้คุณเป็นอย่างนี้ หรือคาดหวังว่าอีกห้าเดือนอยากให้เป็นอย่างนี้ ผมว่ามันจะแย่ลง สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอะไรที่เข้ากันได้มันจะไหลต่อไปได้เรื่อยๆ ปล่อยมัน flow ไป

ดูไม่เลื่อนลอยไปเหรอ
        ไม่เลื่อนลอยครับ ไม่ได้คบกันแบบเรื่อยๆ แต่คือ ผมรู้สึกว่ามันไปได้อยู่แล้ว ผมเลยไม่อยากคิดมาก ผมว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ถ้ามันใช่ มันก็คือใช่ของมันเลย ผมไม่ใช่ประเภทนักวางแผน ผมชอบอารมณ์ที่แบบ…อะไรที่ไม่คาดหวัง มันจะมีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น มันเป็นโมเมนต์แฮปปี้มากกว่า

มีเรื่องขัดแย้งกันบ้างหรือเปล่า
        ก็มีครับ เป็นปกติ ทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องผมไม่ค่อยละเอียดอ่อนในเรื่องความรู้สึก ก็จะแบบลืมตอบไลน์บ้าง คือผมเป็นคนขี้เกียจอ่านไลน์ แต่จะชอบลื่นดู IG ดู Pinterest ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยตอบใคร แต่เห็นว่าเขาไลน์มาแล้ว เราก็ว่าเดี๋ยวจะตอบแล้ว แต่บางทีผมลืมไง (หัวเราะ) ผมจะเป็นอย่างนี้บ่อยมาก แล้วเขาก็จะมางอนบ้าง น้อยใจว่าเราไม่สนใจ

แต่หายเร็ว
        หายเร็วครับ คือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ในส่วนของเขาที่เราไม่ชอบล่ะ
        ไม่มีนะครับ คือผมรู้สึกว่าผมแฟร์ ถ้าคบกันผมก็โอเค ผมให้สเปซเขา ให้เขาได้เจอเพื่อน เจอใครผมก็ไม่ได้ว่า ผมให้ความเชื่อใจเขา เขาให้ความเชื่อใจผม เราแลกกันแฟร์ๆ คือทุกคนมีชีวิตของตัวเองอยู่แล้วครับ แต่ว่าเราให้ความเชื่อใจเขา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอย่างไรกับมัน ผมคิดอย่างนี้มากกว่า แฟร์ๆ ไปเลย


ครอบครัวของกระทิงยังอยู่ที่เชียงรายใช่ไหม
        ใช่ครับ ยกเว้นพี่ชาย ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย มาเรียนเป็นเทรนเนอร์

มีโอกาสกลับไปบ้านบ้างหรือเปล่า
        ผมกลับไปบ้างครับ แต่ว่าช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้กลับไป ประมาณปีหนึ่งกลับไปสอง-สามครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่แม่ก็จะมาหา เหมือนเราสลับกัน อย่างบางช่วงผมไม่ว่าง แม่ก็จะมาดูบ้าน มาเช็ดทำความสะอาดให้ สาม-สี่เดือนมาครั้ง

มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเชียงรายไหม
        เยอะมากครับ เวลากลับไปบ้านบางทีผมจะมีฟีลแบบ…ไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลย ที่นั่นรถก็ไม่ติด มันเป็นอะไรที่คุ้นเคย สบาย ชิลล์ เพื่อนก็อยู่ที่นั่น แล้วไปไหนมาไหนก็สะดวก ตื่นมาก็มีข้าวกิน ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ ผมอยู่คนเดียว ตื่นมา เฮ้ย…กินอะไรดี บางทีต้องไปหากิน แต่บางทีก็เบื่อไปกินร้านเดิม แต่ข้าวแม่ผมกินได้เรื่อยๆ แม่ทำอะไรมาผมก็กิน เป็นอะไรที่สบายมาก เวลาอยู่กับพ่อแม่ทุกอย่างในตู้เย็นมีให้กินหมด ไม่ต้องออกไปหา ถึงเวลาแม่ก็เรียกกินข้าว หรือผมออกไปหาเพื่อนข้างนอก เที่ยงก็กลับมากิน แทบไม่ต้องใช้เงินดีกว่า แล้วอยู่ที่นั่นบางทีผมไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ขออีกสักแป๊บแล้วกัน

เมนูของแม่ ชอบอะไรมากที่สุด
        ผัดกะเพรา แม่ทำผัดกะเพราอร่อยมาก

ไม่เหนือเลยนี่
        (หัวเราะ) อาหารเหนือก็มี ที่แม่ทำอร่อยเขาเรียกแกงอบไก่ น้ำจะคล้ายแกงเผ็ด แต่มันจะเป็นน้ำที่มีพริกเหลืองๆ อร่อยมาก ตอนแรกเอาไก่ไปอบเบาๆ ก่อน แล้วเอามาต้มต่อ มันจะเปื่อยมาก อร่อยมาก แล้วก็น้ำพริกหนุ่ม


มีสถานที่แนะนำในเชียงรายบ้างไหม
        ผมชอบร้าน ‘ชีวิตธรรมดา’ มันจะเป็นคาเฟ่ อยู่ติดแม่น้ำกก ฟีลคล้ายสวนหน่อย ข้างๆ จะมีโต๊ะให้นั่งริมแม่น้ำ มีโซฟาคล้ายๆ บอลลูนที่เวลานั่งแล้วมันจะยวบลงไป ผมชอบไปนั่งที่นั่น วิวดีมาก ยิ่งเราไปนั่งกินตอนเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก โอเคเลย

        นอกนั้นก็จะมีดอยช้าง ภูชี้ฟ้า นั่นก็จะเป็นแนวธรรมชาติ หน้าหนาวเวลาผมกลับบ้านผมก็จะไปกับเพื่อน อาบน้ำกันตั้งแต่ข้างล่างหกโมง-ทุ่มหนึ่ง เพราะเราจะไม่อาบข้างบน หนาวมาก อาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปทำอาหารกินกัน ตั้งแคมป์ แล้วนอน ตื่นเช้าก็ลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าหน้าหนาวผมแนะนำให้ขึ้นดอยครับ


กระทิงมองอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองอย่างไร
        ที่ผมมอง ที่คาดหวังไว้ ผมคิดว่าผมก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะไม่ได้ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ก็ตั้งใจว่าผมจะทำเต็มที่ ผมจะเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้ จะเล่นให้สมบทบาท แบบว่าเวลาไปที่ไหนมีคนเรียกเราเป็นชื่อตัวละครตัวนั้น นั่นจะเป็นอะไรที่ผมแฮปปี้

        ผมอยากให้ผมโตขึ้นแล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เล่นได้หลายบทบาท และเข้าถึงบทบาทให้ได้ ก่อนที่ผมจะจบอาชีพนักแสดง แต่จนกว่าผมจะจบผมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะจบเมื่อไหร่

        ผมคิดว่าผมโชคดีนะครับที่ได้มาทำงานตรงนี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็รู้สึกว่า อีกวันมาเราก็มีแรงตื่นไปทำงาน เพราะใจเราอยู่กับมัน ผมรักงานนี้


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
โลกที่ไม่ต้องซับซ้อนกับชีวิตเรียลๆของ ‘ตงตง – กฤษกร กนกธร’ https://marshomme.com/interview/531830/ Thu, 22 Apr 2021 05:35:00 +0000

ถึงเรื่องราวจะเก่า เพราะนำมาจากวรรณคดีคลาสสิกของไทย แต่เนื้อหาโดยรวมยังร่วมสมัยอยู่เสมอ ละคร “วันทอง” ทางช่องวัน 31 จึงสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชมได้มากทีเดียว ไม่เพียงเพราะรวมดาราระดับแม่เหล็กแล้ว แต่นักแสดงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกทึ่งกับบทบาทใหม่ เอามากๆ คงต้องยกให้ ‘ตงตง – กฤษกร กนกธร’ หรือ ตงตง เดอะสตาร์ ที่หลายคนเรียกติดปากนั่นแหละ ตงตง ในบทพระไวย หรือพลายงาม ทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาดหวัง ทั้งบทบู๊ และดราม่าหนักๆ กระชากใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้สาวน้อยใหญ่ใจละลายแบบศิโรราบก็คงเป็นความขาววิ้งๆๆ ที่ใสกิ๊งไปทุกส่วน


วันทองเป็นละครพีเรียดเรื่องแรกของตงตงหรือเปล่า?

ก่อนหน้านี้มีเรื่อง “สายรักสายสวาท” ครับ แต่ว่าคำพูดไม่ได้เก่าเท่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นพีเรียดยุคโบราณเรื่องแรก ที่หนักหน่วงกว่ามากครับ เพราะว่าด้วย หนึ่ง ภาษา สอง คือ แอ็กติ้ง สาม คือเราด้วยความที่มีแรงกดดันหลายอย่าง หนึ่งเราเป็นเด็ก new gen และพี่ๆ นักแสดงแต่ละคนที่เราร่วมงานด้วยคือรุ่นใหญ่ทั้งนั้น ความกดดันเลยค่อนข้างสูง และสอง พอเราได้อ่านบทปุ๊บ ต้องเข้าฉากกับพี่ใหม่(ดาวิกา)และยิ่งมารู้อีกว่าพี่สันต์(สันต์ ศรีแก้วหล่อ)กำกับด้วย ฉะนั้นแรงกดดันมันเยอะมาก

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อรู้ว่าต้องประกบรุ่นใหญ่ อย่าง ป้องณวัตร,ชาคริต,ใหม่ดาวิกา และอีกมากมาย

เราเตรียมตัวโดยการทำการบ้านกับบทครับ เพราะภาษานี่ยากสำหรับผมมาก ทั้งคำว่า “ขอรับ” และยังมีอีกเยอะ ผมต้องค่อยๆ นั่งอ่านบท ช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดกล้อง ผมก็พยายามทำการบ้านเยอะมาก อ่านบท 10-20 รอบ แต่ละฉากเป็นอย่างไร เพื่อที่จะให้คำพูดเข้าปากมากที่สุด และพอเราเข้าไปในกองถ่าย ปุ๊บ เราได้ทำความรู้จักกับคนนั้นคนนี้ในกอง เริ่มสนิทกันมากขึ้น ผมก็เริ่มจับคาแรกเตอร์ได้ ทุกอย่างมันไปเร็วมาก มันไม่ได้มีเวลาเหมือนที่เราเคยทำกับเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ผมได้ทำการบ้านจริง ๆ ได้เอาการบ้านนี่มาใช้จริง ๆ คือไม่มีเวลาแม้กระทั่งมาจับบทหน้าเซ็ต ทุกอย่างคือต้องพร้อมมาตั้งแต่ที่บ้าน มากองปุ๊บ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว เสร็จปุ๊บ เข้าฉาก 5 4 3 2 ต้องเล่นได้แล้ว จะแก้ก็ต่อเมื่อพี่สันต์สั่ง อาจจะมีแก้นิด ๆ หน่อย ๆ เพิ่มเติมบ้างบางฉาก แต่โดยรวมทุกอย่างคือต้องพร้อม ไม่ใช่ว่าจะมาผิดบทในเซ็ต จำบทไม่ได้ ไม่มีครับ


เล่าถึงตัวละครพลายงามให้ฟังหน่อย มีความสำคัญอย่างไรกับวันทอง

ผมรับบทเป็นพระไวย พระไวยนี่เป็นลูกของวันทองครับ ความสำคัญของตัวละครนั้น ผมตีความมาว่าพระไวยรักแม่มาก อยากให้แม่กลับมาอยู่กับพ่อคือขุนแผน คือเราเติบโตมาโดยการที่ไม่รู้ว่า พ่อเราคือใคร ตอนแรกเราคิดว่าเป็นขุนช้าง แต่แล้วมันก็มีหลายเหตุการณ์ที่จะมีขุนช้างพาเข้าไปในป่า ตอนที่เรายังเด็กและจะฆ่าเรา แต่เรากลับรอดมาได้ แม่เรามาช่วยไว้ทัน ก็เลยส่งตัวผมนี่ไปอยู่กับคุณย่าที่ต่างจังหวัด และก็เลี้ยงดูเราจนเติบโต และเริ่มตามหาว่า พ่อที่แท้จริงคือใคร เราได้กลับมาเจอแม่ กลับมาเราพยายามทำทุกอย่าง เรียนรู้วิชาอาคม เรียนทุกอย่าง ตามพ่อ จนสุดท้ายเราก็ได้ไปรบชนะศึก ได้อวยยศ แล้วก็ไปตามหาพ่อจนเจอ ได้มาเห็นว่านี่หรือคือพ่อเรา ได้มาเห็นว่าพ่อเราอยู่กับอีกคนหนึ่งและแม่เราก็มาเห็นพอดี

เราก็เสียใจไหม เสียใจ แต่เหมือนที่คนบอกว่าทำไมวันทองถึงสองใจ ทำไมขุนแผนถึงเจ้าชู้ แต่จริง ๆ สมัยก่อน การมีเมียหลายคนนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนที่มีเมียเยอะจะเป็นคนที่มีอำนาจ มีบารมี เราจึงเข้าใจแม่ และเราก็ต้องเข้าใจในยุคนั้นด้วย แต่เราก็อยากให้แม่กลับมาอยู่กับพ่อ แต่แม่ไม่ได้อยากที่จะกลับมาแล้ว

ก่อนที่จะถ่ายทำเรื่องนี้ เราต้องไปฝึกฟันดาบ ขี่ม้า นานไหม

ถ้าฝึกอย่างฟันดาบ เท่าที่จำได้ สมัยมัธยม เคยเรียนกระบี่กระบอง ก็เรียนตามวิชาไป แต่พอมาเจอของจริงแล้วนี่คือมันจะมีคิวบู๊ คิวบู๊นี่ก็คือเราก็ผ่านประสบการณ์มาบ้าง แต่ว่าเรื่องจับดาบนี่จะยากหน่อย ตอนถ่ายมีเวลาซ้อมอยู่ประมาณ 15 นาที มั้งครับ แต่ผมรู้สึกว่ากิจกรรมพวกนี้ผมเข้าใจง่าย ผมฝึกแป๊บเดียว ผมเป็นเลย และบางซีนที่ต้องถ่ายทั้ง Long Take ด้วย มี cut บ้าง insert บ้าง แต่ Long Take ถ้าพูดถึงการฟันก็ 20 ดาบ โอ้โฮ!โหดมาก มีเวลาฝึกซ้อม 15 นาที แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากนะ แบบดีใจมาก อย่างขี่ม้านี่ก็ไปเรียนชั่วโมงครึ่ง ชั่วโมงครึ่งก็จัดเต็มเลย ตอนแรกอยู่ในคอกกลม ๆ ที่ล้อมให้ม้าวน ๆ ครับ อยู่ในนั้น 5 นาที ครูเขาบอกว่าออกมาเลย ออกจากคอกแล้วไปลุยข้างนอกเลย ผมก็ไปลุยข้างนอก เริ่มจาก Trot Trot ไปเบา ๆ ผ่านไป 10 นาที ก็ต้องออกไปลุยเลย ภายในชั่วโมงครึ่งผมทำได้ขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าดีใจมากนะ เพราะผมทำอย่างเต็มที่มาก


ในฐานะที่เราเป็นเด็กเจนใหม่ พอต้องมาแสดงละครที่เป็นวรรณคดีคลาสสิกของไทย เคยกลับไปอ่านบทประพันธ์เดิม หรือว่าได้ศึกษาเรื่องราวก่อนไหม

มีครับ นิดหน่อย เพราะอย่างที่ผมเรียนมาตอนมัธยม หรือว่าฟัง ๆ มาจากวรรณคดี เราก็จะรู้แค่ว่านี่คือขุนช้าง ขุนแผนนะ นี่คือวันทองนะ วันทองนี่สองใจ คบหลายคน ก็จะรู้แค่นี้ครับ แต่พอเรามารู้ว่าต้องมารับบทพระไวยในวันทอง เราต้องศึกษาเพิ่ม และยิ่งเข้าไปเล่นด้วยนี่เรายิ่งเข้าใจว่า จริง ๆ วันทองไม่ได้สองใจนะ ขุนแผนมีเมียเยอะเพราะอะไร ขุนช้างเขาร้ายกับเรา เขาจะเลวทรามทำไม เพราะอะไร เราได้มารู้จริง ๆ ยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์มา ปีนี้ก็ปีที่ แล้วที่อยู่วงการบันเทิง เป็นอย่างไรบ้าง

5 ปี แล้วครับ ก็ต้องฝึกฝนครับ ฝึกฝนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพูด ร้องเพลง หรือว่าการแสดง ผมทำทุกอย่างที่เราไม่มี หรือว่าเป็นกิจกรรมอะไรที่จะสามารถนำมาใช้ในละครได้ ผมทำหมด ไม่ว่าจะขี่ม้า ยิงปืน ผมคิดเสมอว่าผมอยากทำทุกเรื่องที่ผมได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ เวลาที่หยิบยื่นโอกาสให้ สมมติเขาถามผมว่ายิงปืนเป็นไหม ผมไม่อยากตอบที่ว่าไม่เป็นครับ ขี่ม้าเป็นไหม ไม่เป็นครับ ผมอยากที่จะพร้อมเสมอ ไม่ว่าเขาจะถามอะไรมา ผมพร้อมครับ ผมเป็นครับ


เคยคิดไหมว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้

ก็คิดนะครับว่าอยากที่จะก้าวไปให้ไกลมากที่สุด คือทุก ๆ เรื่องที่ผมได้โอกาสมาทุก ๆ ปี ผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตเสมอ คือเราไม่รู้หรอกว่าในปีข้างหน้าหรือในวันต่อ ๆ ไปเราจะได้เล่นละครอีกไหม เพราะฉะนั้นผมก็ทำมันอย่างเต็มที่ แต่ก็คิดเอาไว้เสมอในทุก ๆ วันว่า ผมอยากเก่งขึ้น ผมอยากเรียนรู้จากกองละคร เรียนรู้จากนักแสดงท่านอื่น ๆ เราควรเรียนการแสดงเพิ่มไหม แต่ว่าการเรียนในห้องนี่มันอาจจะยังไม่พอ แล้วเราจะไปเรียนอะไรเพิ่มได้บ้าง เพราะฉะนั้นในกองนี่แหละครับคือสิ่งที่ผมจะเรียนเพิ่มเติมมัน ผมก็เลยพยายามเรียนรู้จากคนหลาย ๆ คน เรียนการใช้ชีวิต คอยดูแอ็กติ้งของคนนั้นคนนี้ หลาย ๆ คน และก็ไปนั่งหลังผู้กำกับ เรียนรู้จากผู้กำกับ พอเรายิ่งทำงานมากขึ้นได้ไปนั่งหลังผู้กำกับในทุก ๆ กอง ผมยิ่งมีความฝันของผมอยู่แล้วว่าอยากเป็นผู้กำกับ

อยากเป็นผู้กำกับ อยากกำกับอะไร

กำกับละครครับ คือทุกเรื่องที่ผ่านมา ผมจะได้เจอเด็ก new gen ใหม่ ๆ คือตั้งแต่ “สาวน้อยร้อยล้านวิว” ก็จะมีน้องเซียงเซียง(พรสรวง รวยรื่น), “4เทพผู้พิทักษ์” ก็เป็นน้องผิงผิง(ณิชา ปิยะวัฒนานนท์), “สูตรรักแซ่บอีหลี” เป็นน้องมุก(ณปภัทร ฐิตะกวิน) ทุกเรื่องที่ผ่านมา เราจะเจอแต่เด็ก new gen ผมก็จะได้บอกได้สอนในเรื่องของการแสดงให้น้องๆ บ้าง บางคนเขาเข้ามาใหม่ เขาไม่มีผลงาน บางครั้งก็ไม่ได้เรียน actingเลย เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้กำกับเลยก็ได้ไหม มันก็ได้ แต่ว่าบางครั้งที่ผู้กำกับแนะนำแล้วน้องก็อาจจะไม่เข้าใจ ก็จะมีเรานี่แหละที่จะคอยบอกคอยสอนคนในกอง และมีนักแสดงคนอื่น ๆ คอยสอนไปด้วยกัน มันยิ่งทำให้ผมยิ่งชอบการกำกับ มันสนุกมากเลย ยิ่งผมไปนั่งเรียนรู้ เป็นผู้ช่วยของผู้กำกับผมยิ่งสนุกว่า ที่ทำงานวันนี้คือพี่สนุกว่ะ ถึงแม้มันจะเหนื่อยจะยากแต่มันสนุกดี


มีโอกาสไปถ่ายทอดประสบการณ์ new gen บ้างหรือยัง และหากมองย้อนกลับไปมองตัวเอง สมัยที่เข้ามาวงการมาใหม่ ๆ จนกระทั่งวันนี้ จัดตัวเองเป็น senior ระดับหนึ่งแล้วหรือยัง

มองย้อนกลับไป เมื่อก่อนนี่ผมก็โดนด่า โอ้โฮ!โดนด่าเละเทะเหมือนกัน แต่เราคือผมมีหัวใจที่สู้ เราอยากที่จะเก่งขึ้น และเราอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้น พยายามไปเรียนรู้ทุก ๆ อย่าง ผมจะบอกทุก ๆ คนเสมอนะ ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้ acting เก่งถึงขนาดนั้น ไม่ได้เก่งมากมาย แต่ว่าอย่างน้อยผมเชื่อว่าทุก ๆ สิ่งที่เราผ่านมาในชีวิต ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่เราผ่านมา ผมเชื่อว่ามันจะดีกับตัวน้องได้ น้องจะสามารถเอาไปปรับใช้ได้ ผมไม่ได้คาดหวังว่า วันหนึ่งผมจะต้องได้รับอะไรตอบแทนกลับมา ผมบอกว่า ผมไม่เอา วันหนึ่งสิ่งที่ผมบอกไป ถ้าน้องเกิดดังมากๆ ดังกว่าผมด้วยซ้ำ ผมจะดีใจ เพราะผมรู้สึกว่าผมจะได้เห็นเด็กคนหนึ่งเราเคยบอกจากที่ไม่เป็นเลย แต่ในอีกวันหนึ่งเขาเก่งมาก และเขาได้รับรางวัล เขามีคนชื่นชม ผมจะปลื้มใจ

เคยคุยกับผู้ใหญ่หรือยังว่า ถ้ามีโอกาสอยากลองกำกับดูบ้าง

ยังครับ ยังไม่มีโอกาสครับ ขอเรียนรู้ไปก่อน ซึ่งมันยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า มีตรงนี้ด้วยหรือ เราอาจจะยังไม่เก่งพอที่จะสามารถไปเป็นได้ แต่ผมเชื่อว่าผมจะเรียนรู้มัน เรียนรู้และวันหนึ่งผมจะเป็นให้ได้ ซึ่งอยากเป็นมาก และก็อยากทำให้ได้ในสักก่อน 30 นี่ผมอยากกำกับสักเรื่องแล้ว

บทบาทที่เราเคยได้รับมา รู้สึกประทับใจหรือชอบเรื่องไหนมากที่สุด

บทบาทที่ประทับใจมากที่สุดก็จะเป็นวันทองนี่ครับ บทตัวพระไวยนี่ครับ คือมันเข้ากับชีวิตจริงด้วย เรารักแม่ เราทำทุกอย่างเพื่อแม่ เราอยู่กับแม่มาทั้งชีวิต ตัวจริงผมก็เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นผมจะอินได้ง่าย และผมก็เลยประทับใจว่า มันมีเรื่องราวต่าง ๆ และเราได้แบบทำเพื่อแม่ของเรา


อยากให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแม่หน่อย ณ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังกลับไปเยี่ยมแม่ที่มหาสารคามบ้างมั้ย?

ก็มีกลับไปบ้างครับ มีคนถามผมเยอะมากเหมือนกันในเรื่องนี้ว่า ได้กลับไปบ้านบ้างหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่ค่อยลงโซเชียลว่ากลับบ้าน แต่ผมก็กลับไป หรือไม่แม่มาหาเราที่กรุงเทพฯ บ้าง เพราะตอนนี้พี่ชายผมมาเรียนหมอต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี อีก 2 ปี ก็จะกลับไปเป็นอาจารย์หมอแล้ว ตอนนี้คือแม่ผมอยู่บ้านคนเดียวที่มหาสารคาม ซึ่งคือผมก็เป็นห่วงแหละ คิดถึงเสมอ อยากจะพิสูจน์เหมือนเดิมในสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์ว่า เราเข้ามาทุกวันนี้คืออยากทำให้แม่ และทำให้ทุก ๆ คนเห็นว่า ถึงไม่ได้เป็นหมอนี่ก็สามารถที่จะเลี้ยงครอบครัวได้โดยที่ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ เหมือนกัน ผมยังยืนยันคำเดิมอยู่ว่าจะทำให้ได้

อยู่วงการมาเคยเจอดราม่าอะไรหนัก ๆ อะไรบ้าง

ดราม่าหนัก ๆ หรือครับ จะมีตอนร้องเพลงเดอะสตาร์นั่นแหละครับ ที่คนบอกว่าร้องเพี้ยน แต่ตอนนั้นพอผมฟังมา และไปอ่าน บางคนก็บอกว่าอย่าไปอ่านเลย แต่ผมไม่ ผมอ่าน ผมอ่านทุกอัน ใช่ครับ คนว่าผมร้องเพี้ยน แต่ผมจะเอาคำเหล่านั้นที่ผมฟัง มาไปพัฒนาต่อ อย่างนั้นผมจะไปเรียนร้องเพลง ผมไปเรียนเพิ่ม ผมทำทุกอย่าง ผมจะพัฒนาทั้งด้านร้องเพลงและผมจะพัฒนาทั้งด้านการแสดง และผมเชื่อว่าวันนี้ผมพัฒนาขึ้นในทุก ๆ อย่างในทุก ๆ ด้าน


อ่านคอมเมนต์มากๆ ทำให้เราจิตตกบ้างหรือเปล่า

ไม่ครับ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ มันไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผู้กำกับมาชมหรือว่าด่า หรือว่ารุ่นพี่ด่าหรือว่าชม ผมว่าคำด่านี่มีค่ามากกว่าชมด้วยซ้ำ สมมติเขาชมมา แล้วอย่างไรต่อ ชมมาก็ดีใจผ่าน ๆ ไป แล้วก็จบที่แค่นั้น และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปทำอะไรต่อ แต่ถ้าเขาด่ามา นั่นแหละครับคือสิ่งที่เราจะเอาไปสามารถไปพัฒนาต่อได้ แม้ว่าตอนนี้ผมเล่นดีแล้ว แต่ว่าผมอยากให้คนด่าด้วยซ้ำ ผมอยากรู้ว่าสิ่งไหนนี่ที่ผมควรจะไปพัฒนาต่อ สิ่งไหนผมควรแก้ไข ผมเลยชอบคำด่ามากกว่าด้วยซ้ำ ผมเลยชอบอ่าน ยิ่งด่ามาผมยิ่งชอบ จริง ๆ ครับ


แสดงว่าจิตเข้มแข็งพอสมควร

จิตเข้มแข็งไหม ก็ต้องเข้มแข็งแหละ แต่เราไม่สามารถจะไปห้ามใครต่อใครให้มาพูดตามที่เราต้องการได้ ทุกคนเขาก็มีความคิดในแบบของเขาเอง เพราะฉะนั้นเรานี่ ในฐานะเราก้าวมาอยู่จุดนี้แล้ว เราต้องรับฟัง เราต้องเปิดกว้าง ทั้งชมทั้งด่าเรารับฟัง และเอาคำติชมนี่ไปพัฒนาต่อ เอาคำชมนี่ไปพัฒนาต่ออีก ไม่ใช่ว่าเอาคำชมมาแล้วจบมันแค่นั้น เราก็จะเก่งแค่นั้น แต่ถ้าเราเอาทั้งคำด่าทั้งคำชมมา ด่าแรงแค่ไหน เราได้สิ่งนั้นไปพัฒนาต่อ เขาชมมา ทำไมเราไม่คิดว่าเราอยากเก่งมากกว่านี้เพื่อที่จะให้เขาชมเรามากกว่านี้อีก คือผมนี่เข้ามาผมอยากให้คนนี่ไม่ได้มองผมแค่หน้าตา ผมอยากให้คนรู้จักผมในฝีมือการแสดงและด้านร้องเพลง 


กลับมาสู่โหมดไลฟ์สไตล์บ้าง ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์ ทุกวันนี้ยังออกกำลังกายอะไรเหมือนเดิมหรือเปล่า

ทุกวันครับ อาทิตย์หนึ่ง7วัน ต้องมีอย่างต่ำแล้ว5วัน คือออกกำลังกาย เล่นกีฬา ทุกอย่างครับ ผมว่าผมต้องพร้อมเสมอ ฟิตเนสจะหนักหน่อย เพราะว่าถ้าเราไม่ไปเล่นนี่มันก็อาจจะหายไป ผมก็ต้องมีวินัยกับมัน อย่างถ่ายละครเสร็จ4ทุ่ม นี่ต้องไปแล้ว คือเราไม่ได้มีเวลาเยอะ แต่เรา manage เวลาได้ คือปกติเป็นคนเล่นฟิตเนสก็ 5-6 โมง แต่ว่าพอเรามาถ่ายละครนี่เราเลิกดึก อาจจะมี 2 ทุ่ม บ้าง 4 ทุ่ม บ้าง ผมก็จะดูเวลาแล้ว ถ้าเลิก 4 ทุ่ม พรุ่งนี้ถ่ายเช้าหรือเปล่า เราไหวไหม สภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ ถ้าไหวปุ๊บก็ไป 4 ทุ่ม-เที่ยงคืนครับ และเราค่อยกลับไปพักผ่อน ซึ่งเราต้องใช้เวลาแบบนี้แหละในการเข้าฟิตเนส

การเป็นพระเอกกับการดูแลบอดี้ รูปร่างหน้าตา ความสำคัญอย่างไร

เราต้องเล่นละคร ต้องไปโชว์ตัว event หรืออาจจะมีถ่ายอะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นคนที่เขาดูเขาก็ต้องอยากได้เห็นในสิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครอยากเห็นอะไรที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเราก็ทำอะไรได้ ไม่ว่าจะหน้าตา หรือหุ่น หรืออะไรอย่างนี้ครับ เราต้องดูแลมันสม่ำเสมอ


ตงตงเคยมีความจิ้นกับนนกุล (บางรักซอย9/1)อยู่พักหนึ่ง ไม่อยากจะไปเล่นซีรีส์วายบ้างหรอ

มีสิครับ คือเราดูนี่ คือผมดูไหม ผมดูนะ ดูแล้วก็สนุกด้วยซ้ำ อยากไปลองด้วยซ้ำ คือตอนนั้นเราเล่นบางรักซอย 9/1 กับนนกุล เรายังรู้สึกอินอยู่เลย บางครั้งก็รู้สึกชอบแหละ แล้วกระแสตอนนั้นดีมากนะ มีคนคอยเชียร์เยอะ คอยจิ้นเยอะ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าการชอบผู้ชายมันผิด มันไม่ได้แย่ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ผมอยากลองเล่นซีรีส์วายนะ คือเราอยากลองว่า ถ้าเราไปอยู่จุดนั้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร และเราอยากลองเล่นจริง ๆ

แฟนคลับเป็นอย่างไรบ้าง

ยังรักเหมือนเดิมครับ ก็อาจจะมีคนเก่า มีหายไปบ้าง คนใหม่เข้ามา ซึ่งเราเข้าใจทุก ๆ อย่าง คือด้วยเวลาผ่านไปหรืออะไร มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เป็นสัจธรรมมนุษย์ แต่ผมก็จะบอกแฟนคลับตัวเองเสมอว่า ผมจะคิดตัวเองนี่ไม่ได้เป็นดาราสูงส่งอะไรขนาดนั้น ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ ที่แค่มาทำอาชีพนี้ ที่มาเล่นละคร อยากให้มองว่าผมเป็นคนธรรมดา เป็นเหมือนเพื่อนพี่น้อง เราอยู่กันแบบธรรมดา อยากมาหาผมเมื่อไรก็มา หรืออย่างแฟนคลับจะไปเมนหลายคน ผมก็ไม่ว่า ผมบอกผมเข้าใจด้วยซ้ำว่าทุกคนเขาบางครั้งเราก็ไม่ได้มีงานทุกวัน เขาก็อาจจะไปชอบคนนั้นบ้าง ซึ่งผมไม่ได้เสียใจหรืออะไรเลย แค่ว่างเมื่อไรเรามาเจอกัน ผมอยากใช้ชีวิตแบบแฟนคลับก็เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเหมือนกัน จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ

แล้วพอเราเล่นละครหลังข่าวมีแฟนคลับรุ่นใหญ่เข้ามาบ้างไหม

เยอะครับ ๆ ก็มีรุ่นแม่ ๆ เยอะ เขาก็ชื่นชอบเรา เวลาเราไปต่างจังหวัด คนก็รู้จักเรามากขึ้น อย่างเวลาไปตลาด โอ้โฮ!แตกตื่นเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะครับ เราเห็นเขามีความสุข เราก็ดีใจนะ เวลาเขาเจอเราแล้วถาม ตงตงหรือเปล่าลูก? อะไรอย่างนี้ คือเราจะดีใจมาก


ความรักครั้งล่าสุดที่กำลังมีข่าวอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง

จะตอบอย่างไรดี น้องก็น่ารักดีครับ น่ารักดี คือเราถ่ายละครด้วยกัน เรื่องกู้ภัยหัวใจสู้นี่แหละ เป็นละครก่อนข่าว และเราก็ร่วมงานกัน มันเป็นพี่น้องกันนี่แหละ คือถ้าพูดถึงคือเราก็ถ่ายละครด้วยกัน แล้วน้องก็ชวนไปถ่าย YouTube น้องทำช่องของน้องไงครับ พอมันสนิทกันมากขึ้น ผมว่าเราก็ได้เริ่มเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ซึ่งเป็นความลับไหม ผมก็ตอบได้ไม่เต็มปาก แต่ว่าผมมีความสุขเวลาที่อยู่กับน้อง น้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก และก็เป็นธรรมชาติมาก ๆ ผมชอบคนแบบนี้ คนที่แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ต้องใช้ของแพง ไม่ต้องไปกินอาหารแพง ๆ อยู่ข้างทางก็ได้ ใช้กระเป๋าใช้เสื้อผ้าอะไรก็ได้ เฮฮา เป็นตัวของตัวเอง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แล้วน้องเป็นแบบนั้น

Text by Takeshi West

]]>