“เบนจามิน เจมส์ เดวิส” หรือที่เราเรียกจนติดปากว่า “เบน เดวิส” เป็นนักเตะที่สามารถเลือกได้ 3 สัญชาติทั้ง เวลส์ ที่เป็นเชื้อสายที่มาจากพ่อไทย เชื้อสายที่มาจากแม่ รวมถึง สิงคโปร์ เป็นประเทศที่เดวิส ย้ายไปอยู่ขณะที่คุณพ่อรับหน้าที่เป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอลเยาวชน JSSL Singapore เบน เดวิส เริ่มเรียนโรงเรียนกีฬาของสิงคโปร์ ก่อนบ้านไปเรียนไฮสกูลที่อังกฤษ และไต่เต้าการเป็นนักฟุตบอลที่นั่นจนกระทั่งได้เข้าร่วมทีมฟูแล่มชุดใหญ่ และมีโอกาสได้ลงแข่งในศึกคาราบาวคัฟ ฤดูกาล 2019-2020 ด้วย
ส่วนอนาคตกับทีมชาติไทย เบน เดวิส เข้าร่วมทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เมื่อปีที่แล้ว และได้สร้างผลงานที่น่าจนจำเมื่อวานนี้ อ่ะ ส่งใจเชียร์ทีมชาติไทยด่วนๆ หาทางสดใสรอเราอยู่
Photo : @ben_james_davis
@love.all.benjamindavis
@ben_james_davisfc
ไทม์ เป็นหนุ่มลูกครึ่งไทย-ปากีสถาน ที่มีดีกรีบัณฑิตทางวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮุสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ชนะใจเหล่าคณะกรรมการ ด้วยบุคลิกภาพ ความหล่อสดใส และศักยภาพความสามารถที่โดดเด่นเฉพาะตัว
ก่อนเข้าร่วมประกวด Man Hot Star Thailand 2022 'ไทม์ – โอบนิธิ' เคยเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายของการประกวด GQ MEN 2021 และเคยผ่านงานโฆษณาและเดินแบบมาหลายชิ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงได้เห็นผลงานของหนุ่มคนนี้มากขึ้นแน่นอน
Photo :
กองประกวดMan Hot Star Thailand
IG @obnithik_
FORGET IT ค่ะ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้
ผู้ชายแบบแฮร์รี่ สไตล์ส คือผู้ชายที่มาพร้อม attitude ที่เปิดกว้างในเรื่องเพศ และฮีสามารถแต่งตัวในสไตล์androgynous ที่ไม่จำเป็นต้องระบุเพศ แต่สนุกกับการแต่งตัวแที่แม้เครื่องแต่งกายหลายๆ ชิ้นจะเป็นของผู้หญิงก็ตาม ส่วนรสนิยมทางเพศนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ล่าสุด แฮร์รี่ สไตล์ส ท้าทายชีวิตการแสดงของตัวเองอีกครั้งกับบทเกย์ตำรวจ ใน ผลงานการกำกับของผู้กำกับ ไมเคิล กราเดจ ที่หยิบเอานิยายดังของ Bethan Robert มาดัดแปลงเป็นหนังที่มีเซ็ตติ้งเป็นยุค 90s ในเมืองไบรท์ตัน ประเทศอังกฤษ
My Policeman เป็นเรื่องราวรักสามเส้าระหว่าง มาเรียน (เอมม่า คอร์ริน) ที่ดันไปตกหลงรัก ทอม (แฮร์รี่ สไตล์ส) นายตำรวจหนุ่มรูปหล่อ แต่เผอิญว่าทอมนั้นเป็นเกย์ และแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับแพทริค (เดวิด ดอว์สัน และรูเพิร์ต เอเวอเรตต์) มาหลายปี และรับรู้เหตุการณ์ที่มีผู้หญิงมาชอบแฟนหนุ่ม ทั้งสามจึงจัดฉากให้มาเรียนแต่งงานกับทอม เพื่อปกปิดความลับทั้งหมด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เกย์กับหญิงสาวมันไม่ง่ายอย่างทีคิด เพราะทันทีที่ใครคนหนึ่งทำเรื่องโป๊ะแตก ความสัมพันธ์ก็พร้อมที่จะแตกร้าวในคราเดียวกัน
ด้วยสรีระรูปร่าง ความสูง พ่วงมากับใบหน้าอันหล่อเหลาของ “หลิวซินอวี๋” ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ป็อปปูล่าไม่น้อย จนถูกตั้งฉายาว่า “เจ้าชายนักสเก็ตน้ำแข็ง” ชื่อของ หลิวซินอวี๋ หรือ柳鑫宇ถูกสืบค้นอย่างมากในโลกออนไลน์ ทันทีที่ปรากฏภาพของ “ยูซุรุ ฮานิว” นักสเก็ตน้ำแข็งชาวญี่ปุ่น ที่ถูกชายหนุ่มอุ้มจนตัวลอย
เส้นทางกว่าจะมาเป็นนักนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งลีลามืออาชีพของเขา เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 11 ปี ผลงานในการแข่งขันจัดอยู่ในเกณฑ์ดีเลยทีเดียวแถมเคยคว้ารางวัลระดับนานาชาติมาไม่น้อย
เป็นต้นว่า รางวัล Asian Winter Games Ice Dance Champion 2017 ที่จัดขึ้นที่ซัปโปโรและเคยเข้าร่วมOlympic athlete 2018 ปัจจุบัน หลิวซินอวี๋ อายุ 27 ปี เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1994 เกิดที่มณฑลหลี่จิน เมืองฉางชุน
เรียบเรียงข้อมูลจาก:https://thethaiger.com/ Photo : IG@xinyuleo
]]>
เริ่มจากรูปร่างที่สูงยาวแถมมีซิคแพคแน่นๆสะดุดตา ยิ่งตอนเผยท่อนบนด้วยแล้วมีหนาวๆร้อนๆ ตามมาด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาสะดุดตา นี่อาจจะเป็นคุณลักษณะเบื้องต้นที่ทำให้ชายคนนี้ฝ่าด่านเข้าร่วมประกวดเวที “Mr Gay world USA 2021”
“แจ็ค ไททัส” ปัจจุบันกำลังเรียนผู้ช่วยแพทย์อยู่ปีสุดท้าย มหาวิทยาลัยเนวาดาลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และฝึกงานอีกเทอมเดียวที่โรงพยาบาลก็จะเรียนจบทันที แจ๊ค เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสื่อว่า
“เวที Mr Gay world USA 2021ให้ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากเลยครับ ที่สำคัญเลยทำให้ผมได้รู้ว่า คนเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกันทั้งเรียน / ทำงาน / ประกวด และก็ความรับผิดชอบที่มากขึ้นครับและเรียนรู้ที่จะทำอะไรเผื่อสังคม”
โปรไฟล์ของแจ๊คอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องร้องว๊าวเลยทีเดียว คือการเป็นหนุ่มที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชอบทำกิจกรรมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ร่วมช่วยเหลือชุมชน องค์กรต่างๆของรัฐเป็นจำนวนมาก และเป็นอาสาสมัครในการตรวจเชื้อ HIV และให้คำปรึกษาทุกอาทิตย์
“ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งคือได้รับโอกาสดีๆจาก ผู้ใหญ่ ผู้ว่าการรัฐ และมูลนิธิต่างๆที่ให้โอกาสเข้าไปช่วยเหลือในศูนย์HIV เป็นช่วงปีที่มีความสุข และก็ยุ่งเหยิงไปพร้อมๆกัน เพราะว่าจะต้องสอบไฟนอลด้วย”
และเร็วๆนี้ หนุ่มแจ๊ค จะต้องไปแข่งต่อระดับประเทศในการประกวด Man Of Nations 2022 ยังไงส่งแรงใจเชียร์ “แจ็ค ไททัส” ในฐานนะคนไทยที่มีเลือดไทยร้อยเปอร์เซ็นต์
Photo : Facebook Jack Titus
]]>
เรื่องราวของ Blue Period นั้นกล่าวถึงเด็กหนุ่มชั้น ม.ปลายที่ชื่อว่า ยาโทระ ยางุจิ ที่ตัวเขาเองนั้นแม้จะชอบออกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนๆยันเช้า แต่ผลการเรียนนั้นกลับโดดเด่น เพราะเขานั้นมีความพยายามอย่างมากในการใช้ชีวิตให้สมกับความคาดหวังของคนอื่น แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาได้เห็นภาพที่รุ่นพี่เขียนไว้ในห้องศิลปะของโรงเรียน ภาพนั้นมันก็ได้ส่งผลกระทบไปยังจิตใจของเขา และมันก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเลือกที่จะเดินเข้ามาในเส้นทางของเด็กศิลป์ เพียงเพราะต้องการจะวาดรูป โดยที่ไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า เส้นทางสายนี้มันโหดหินขนาดไหน
ความสนุกของการ์ตูนเรื่องนี้คือการให้ตัวเอก ยาโทระ ค่อยๆพาคุณเข้าไปรู้จักกับโลกแห่งศิลปะ เริ่มจากการวาดรูปในห้องเรียน ค่อยๆให้เราได้เรียนรู้พื้นฐานการวาดรูป และการใช้อุปกรณ์ไปพร้อมกับพระเอก ก่อนจะพาเราออกไปสู่โลกที่กว้างขึ้นทั้งโรงเรียนติวศิลปะ การไปดูงานตามหอศิลป์และตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งในการ์ตูนนั้นจะเล่าอย่างละเอียดว่าการเป็นเด็กศิลป์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนั้นไม่ได้ง่าย เพราะใช้เงินไม่ใช่น้อย
แถมอัตราการแข่งขันยังสูงมาก ต่อให้สอบติดได้ อนาคตก็ไม่รู้ว่าเรียนจบมาจะสามารถใช้เลี้ยงชีพได้จริงหรือไม่อีก(ปัญหานี้คงเป็นกันทั้งโลก) และยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานศิลปะว่านี่เป็นเพียงการทำตอบโจทย์เพื่อให้สอบติด หรือเป็นงานที่คนสร้างงาน ต้องการแสดงสิ่งที่ตัวเองต้องการนำเสนอออกมาจริงๆ ซึ่งหากใครเคยเรียนศิลปะ หรือเตรียมสอบเข้าคณะทางศิลปะมาล่ะก็ จะยิ่งอินกับการ์ตูนเรื่องนี้เป็นพิเศษ ประมาณว่าเฮ้ยเราก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มานี่หว่า
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือตัวละครอื่นๆที่อยู่รอบตัวพระเอก ปกติการ์ตูนสายนี้มักจะมีตัวละครที่เรียกว่าเป็นคู่แข่งของพระเอกออกมาอย่างชัดเจน แบบที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เป็นเป้าหมายที่พระเอกจะต้องเอาชนะให้ได้ แต่ในเรื่องนี้ ทุกคนเป็นคนธรรมดา ที่มีข้อดี และข้อด้อยต่างๆกันไป
ในความรู้สึกที่เป็นคู่แข่งสอบเข้ากันนั้น มันก็มีความเป็นเพื่อนที่ยอมรับในตัวซึ่งกันและกันเข้ามาด้วย และแต่ละคนก็มีปัญหาที่ต่างกันไป เช่นมีปัญหากับทางบ้านเรื่องการเลือกคณะที่เรียน มีปัญหากับการเข้าสังคม หรือบางคนก็ยังไม่แน่ใจในจุดหมายของตัวเองจริงๆ
ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ ที่เชื่อว่าคนที่อ่าน หรือดูการ์ตูนเรื่องนี้ จะพบส่วนที่เชื่อมโยงกับชีวิตของตัวเองไม่มากก็น้อย และยังมีตัวละครเพื่อนพระเอกที่เป็น LGBTQ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเห็นการ์ตูนญี่ปุ่นนำมาเล่าถึงในแบบที่พาคนดูลงไปสำรวจจิตใจของตัวละคร รวมถึงมุมมองของสังคมญี่ปุ่นที่มองคนเหล่านี้ออกมาอย่างสมจริง
Blue Periodเป็นผลงานของอาจารย์ สึบาสะ ยามากูจิ ที่เริ่มตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2017 เป็นการ์ตูนที่มีกระแสพูดถึงมากมายในโลกโซเชี่ยลและตอนนี้ก็ได้ถูกนำมาทำเป็นอะนิเมแล้ว สามารถหาดูได้ทาง Netflix
Text : STEP HEN
ขอบคุณภาพและข้อมูล : Luckpim / Netflix
]]>เพิ่งมีข่าวประกาศออกสื่อสำหรับ ‘ไป๋ ทากุล’ นายแบบหนุ่มชาวเมียนมา ที่ถูกศาลทหารตัดสินจำคุก 3 ปี จากการที่ออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐประหารในเมียนมา บนความเคราะห์ที่ต้องถูกคุมขังก็ยังมีเรื่องราวๆดีเกิดขึ้นกับเขาคนนี้อยู่บ้าง
โดยทาง TC Candler เว็บไซต์ที่จัดอันดับหนุ่มหล่อ-สาวสวยระดับโลก ที่รวมไปถึงความนิยมคนบันเทิงและเซเลบริตี้ทั่วโลก โดยกลุ่มนักวิจารณ์อิสระของสหรัฐ ก็ได้เผยผลการจัดอันดับอย่างเป็นทางการ ซึ่งรางวัลหนุ่มหล่อที่สุดในโลกปี 2021 ตกเป็นของ‘ไป๋ ทากุล’ ที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากกับผลการตัดสินครั้งนี้พร้อมกับเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาลทหารเมียนมาให้เร่งปล่อยตัวจากการคุมขัง
ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหล่า Mars Homme รวบรวมเรื่องราวเล็กๆ ของหนุ่ม‘ไป๋ ทากุล’ มาให้แฟนๆทำความรู้จักกับหนุ่มหล่อคนนี้มากขึ้น กับ10 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ‘ไป๋ ทากุล’
ดาวน์โหลดแฟชั่นและบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่
MEB :
https://www.mebmarket.com/ebook-106942-Mars-Homme-Magazine-%E2%80%A6
ศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสักเป็นอะไรที่หลายคนปรารถนาว่าครั้งหนึ่งต้องมีรอยสักเล็ก ๆสักจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย มุมมองใหม่ๆเรื่องการสักเปลี่ยนไปตามเวลา ลบภาพจำไปเลยว่าคนสักเป็นคนไม่ดีอย่างงั้นอย่างงี้ ความคิดแบบนี้เอาท์สุดๆ
นักแสดงดาวตลกชื่อดัง อย่าง Pete Davidson เป็นอีกคนที่ชอบการสักอย่างมาก แทบจะทั่วทั้งร่างกายของชายคนนี้ฝากรอยสักไว้เต็มไปหมด และแน่นอนว่าทุกรอยสักมีเรื่องราว แรกเริ่มการสักครั้งแรกของเขาเกิดจากการต้องการปิดบังแผลเป็นบนตัว แต่ก็เพราะความนิยมชมชอบการสักเป็นการส่วนตัวแน่นอนละ ว่ามีรอยสักแรกก็ต้องมีตามมาอีกเพียบ
Peteเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารLife & Style เรื่องรอยสักเอาไว้ว่า
“ตั้งใจจะลบรอยสักออกทั้งหมด เพราะเวลารับงานแสดงแต่ละครั้งต้องมานั่งปิดรอยสักต่าง ๆ กินเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน จะง่ายกว่านี้เยอะถ้าผมลบออกทั้งหมด ยอมรับว่าตอนที่สักลายต่าง ๆ เข้าค่อนข้างมีอารมณ์อ่อนไหว แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกรำคาญริ้วรอยที่อยู่บนร่างกายพวกนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ”
กรณีของ pete เขามีรอยสักอยู่บนตัวมากถึง 104 ลายด้วยกัน ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เขาเริ่มทยอยลบรอยสักไปบ้างแล้ว และ คาดว่าอีก 2 ปีตอนเขาอายุ 30 ก็น่าจะลบได้ทั้งหมด ว่าไปแล้วก็แอบเสียดายรอยสักของเขาเหมือนกันนะ เพราะแต่ละลายอย่างคูล
เรียบเรียงข้อมูลจาก MGR ONLINE
ดาบพิฆาตอสูร เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างนักล่าอสูร และเหล่าอสูรที่ออกทำร้ายผุ้คนในยุคไทโช โดยฝั่งอสูรนั้นนำโดย คิบุทสึจิ มุซัน ซึ่งเลือดของมุซันนั้นมีความสามารถในการเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้เป็นอสูรได้ โดยหนึ่งในเหยื่อของมุซันนั้นก็คือ เนซึโกะ น้องสาวของทันจิโร่ ตัวเอกของเรื่อง ทว่าเนซึโกะนั้นแม้จะได้รับเลือดของมุซันไป แต่กลับต่อต้านไม่คุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ทันจิโร่จึงเข้ามาปกป้องเนซึโกะและเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปในฐานะนักล่าอสูรเพื่อที่จะจัดการกับมุซันและหาหนทางที่จะทำให้เนซึโกะกลับมาเป็นมนุษย์
ดาบพิฆาตอสูรนั้นจะเป็นการ์ตูนแนวสูตรสำเร็จของจัมป์ที่เน้นไปที่การพัฒนาของตัวเอกจากคนไร้ฝีมือไปเป็นคนที่เก่งขึ้นและปราบปีศาจที่ร้ายกาจไปเรื่อยๆ ได้พบปะกับพวกพ้องที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นมิตรภาพที่น่าจดจำ แต่ก็มีจุดที่การ์ตูนเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่น คือ การที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะตัวละครที่ได้รับความนิยม ตัวละครหลักที่เหมือนเป็นหนึ่งในตัวเอก มีโอกาสที่จะตายตอนไหนก็ได้ เพราะการต่อสู้ระหว่างนักล่าอสูรกับอสูรนั้น ชัยชนะขึ้นอยู่กับไหวพริบเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทำให้นี่เป็นจุดหนึ่งที่นักอ่านหรือคนดูต้องลุ้นทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ขึ้น เพราะไม่ใช่ว่าฝ่ายพระเอกจะเป็นผู้ชนะเสมอไป และเมื่อถึงเวลาที่ตัวละครที่เราผูกพันต้องล้มหายตายจาก มันก็ส่งผลต่อจิตใจคนอ่านหรือคนดูอยู่พอควรเลยทีเดียว
แม้ตัวหนังสือการ์ตูนจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่จุดที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ดังเป็นพลุแตกจริงๆ ก็มาจากอนิเมะที่เริ่มออกอากาศในปี 2019 ที่ได้สตูดิโอ Ufotable มาเป็นผู้สร้าง โดยสตูดิโอนี้มีชื่อเสียงในการทำงานที่มีคุณภาพสูง และปกติจะรับงานซีรี่ส์มากสุดปีละ1เรื่องเท่านั้น ซึ่งในตอนแรก ก็ไม่มีใครคาดไม่ถึงว่าตัวอนิเมจะดังขนาดนี้ เพราะโดยปกติ อนิเมจากจัมป์มักจะเน้นการเลือกเวลาออกอากาศทางทีวีในช่วงเวลาไพร์มไทม์ที่เข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย แต่ดาบพิฆาตอสูรแรกเริ่มนั้นออกอากาศในรอบดึก (23.30น.) ซึ่งแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เวลาที่เด็กละครอบครัวเขาดูกัน แต่ด้วยคุณภาพของตัวอนิเมะที่ทำออกมาได้ดีมาก กระแสจากโซเชียล รวมถึงการออกอากาศผ่านทางสตรีมมิ่งเช่นNetflixก็ทำให้อนิเมเรื่องนี้ ได้รับการพูดถึงในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จนถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ดาบพิฆาตอสูร เป็นการ์ตูนที่ เข้าถึงคนหมู่มากและก้าวเข้าสู่ทำเนียบการ์ตูนระดับตำนานตามรุ่นพี่อย่าง ดราก้อนบอล , วันพีซ ,นารูโตะ ไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งตัวต้นฉบับหนังสือการ์ตูนที่ตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นจัมป์นั้นได้จบสมบูรณ์ลงไปตั้งแต่กลางปี 2020 โดยที่เนื้อเรื่องของการ์ตูนได้จบลงตามความตั้งใจของอาจารย์โคโยฮารุจริงๆ ไม่ได้ลากเรื่องให้ยาวขึ้นตามเรตติ้งที่พุ่งกระฉูด ซึ่งเรื่องแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก เพราะโดยปกติหากการ์ตูนเรื่องไหนขายดี จัมป์จะไม่มีวันให้ยอมจบแบบง่ายๆแน่นอน จะต้องมีการขึ้นภาคใหม่ ยืดเรื่องออกไปให้ขายได้นานที่สุด กลับกันหากเรื่องไหนเรตติ้งไม่ดีก็จะถูกตัดจบโดยพลัน
แต่สำหรับคนที่ดูอนิเมะนั้นก็ไม่ต้องห่วง เพราะเรื่องราวที่นำมาสร้างไปในซีซันแรกนั้น แทบจะเป็นแค่บทนำเรื่องเท่านั้น เนื้อเรื่องทั้งหมดจริงๆน่าจะแบ่งทำอนิเมะได้ไม่ต่ำกว่า 5 ซีซัน ไม่นับภาคแยกย่อยที่จะไปทำหนังโรงได้อีก ซึ่งในตอนนี้ อนิเมะซีซัน 2 ก็ได้ออกฉายทางสตรีมมิ่งแล้ว ในไทยเองก็หาดูได้จากหลายช่องทาง สำหรับผมสะดวกสุดก็ดูจาก Netflix นี่แหละ โดยฉายชนญี่ปุ่นสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องซีซัน 2 เจ็ดตอนแรกนั้นเป็นการเอาเนื้อหาจากหนังโรงภาครถไฟนิรันดร์มาตัดต่อใหม่โดยเพิ่มรายละเอียดเข้าไปมากขึ้น ซึ่งคนที่ดูหนังมาแล้วก็อาจจะต้องอดทนรอกันอีกสักนิดเพื่อจะได้ดูเนื้อเรื่องช่วงต่อไปของดาบพิฆาตอสูรนี้
Text : STEP HEN
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
-Netflix
-powerupmag
Squid Game – เล่นลุ้นตาย
ถึงจะมีคนจำนวนมากพยายามบ่นว่าซ้ำบ้าง เดาได้บ้าง ตรรกะป่วยบ้าง หรือจบห่วยบ้าง แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราพิจารณาความรู้สึกในฐานผู้ดูของเราดีๆ การดูซีรีส์เกาหลีขนาดความยาว 9 ตอน ทาง Netflix เรื่อง Squid Game ก็จะปฏิเสธได้ยากว่า ซีรีส์ที่เกี่ยวกับเกมโชว์ที่ผู้เล่นต้องเอาชีวิตเข้าแลกเรื่องนี้ มันเป็น “ซีรีส์เพื่อความบันเทิง” ที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงอย่างค่อนข้างจะครบถ้วน และสมบูรณ์แบบ
โดยแน่นอนว่า นอกจากความลุ้นระทึกกับเรื่องราวการสมัครใจเข้าไปเพื่อเล่นเกมโชว์ แบบรวมพลคนติดหนี้ใน Squid Game ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินรางวัลที่พวกเขาหวังว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตห่วยๆ พังๆ ให้กลายเป็น “ปัง” ขึ้นมาได้ อีกมิติหนึ่งเรื่องราวของ Squid Game ก็ทำหน้าที่สะท้อนธาตุบางอย่างในตัวมนุษย์ ออกมาได้เราได้เห็นแบบที่ไม่ต้องการการตีความอะไรมากมาย
“คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด”
“ความโลภเป็นเหตุให้คนทำได้ทุกอย่าง”
“เพื่อเงินเราอาจจะไม่สามารถไว้ใจใครได้”
เกมต่าง ๆ ที่เราเห็นในเรื่องล้วนแล้วแต่ออกแบบมาได้อย่างน่าสนใจ ทั้ง เกมเออีไอโอยู,เกมแกะน้ำตาล,เกมลูกแก้ว ไปจนถึงเกมสะพานกระจก ล้วนแล้วแต่ทำให้เราได้กลับมาสะท้อนใจไม่น้อย
การได้ดูหนังที่พูดถึงเกมโชว์ การการเล่นเกม ที่ถ่ายทอดออกมาด้วยภาพที่ค่อนข้างโหด เลือดสาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเรื่องราวนั้นมันสามารถสะท้อน และเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์จริง เรื่องราวจริง ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้ มันคือเนื้อหาที่เราสามารถพูดได้ละครับว่าทำออกมากี่ทีก็ชวนติดตาม ทำมากี่ทีก็สะเทือนใจ เพราะเรื่องราวเกมโชว์เหล่านั้นมัน “สะท้อนสันดานของมนุษย์” ออกมาได้ดีจริง ๆ
The Platform – ชนชั้นสูงชนชั้นล่าง
ถ้าจะพูดถึงเกมที่สะท้อนภาพความสูงต่ำ เหลื่อมล้ำแบบชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นต่ำ ในสังคมได้ดีที่สุดเกมหนึ่งก็คงจะเป็นเกเลิฟท์มรณะ จากหนังเรื่อง “The Platform”
The Platform เป็นหนังวิทยาศาสตร์ สยองขวัญ สะท้อนสังคม ที่เล่าเรื่องของกลุ่มคนที่ถูกจับมาใช้ชีวิตอยู่ในห้องขังที่มีการออกแบบระบบการให้อาหารที่พิสดารที่สุดที่เราเคยดูมาในภาพยนตร์ โดยผู้เล่นแต่ละคนจะถูกแบ่งออกเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในชั้นความสูงที่แตกต่างกันออกไป โดยในแต่ละวัน ทางผู้จัดเกมจะมีการเสิร์ฟอาหารจำนวนมากให้ผู้เล่นทุกคน ในแต่ละชั้นกินตามลำดับ ตั้งแต่ชั้น 1 ที่อยู่ด้านบนสุด และชั้นที่ 132 ที่อยู่ด้านล่าสุด
แล้วชนชั้นล่างจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าแม้แต่เศษอาหาร ก็ยังไม่หลงเหลือมาแม้แต่น้อย จากพวกที่อยู่สูงกว่า
Alice in Borderland – เกมโพธิ์แดง เกมวัดความเป็นคน
Alice In Borderland คือซีรีส์ญี่ปุ่นอีกเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบในวันที่ Squid Game ของเกาหลีเริ่มมีการเผยแพร่ผ่านทาง Streaming คงเพราะเนื้อเรื่องของเกม รวมไปถึงเรื่องความพยายามเอาตัวรอดของผู้เล่นเกม ซึ่งในเชิงสะท้อน “สันดานมนุษย์” เกมที่ผู้เขียนมังงะต้นฉบับของ Alice in Borderland ออกแบบมามันก็ทำหน้าที่ได้ดีเหลือเกิน
เกมใน Alice in Borderland ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามเครื่องหมายบนไพ่ โพธิ์ดำคือความแข็งแร่ง,ความหลามตัดคือเกมใช้สมอง,ดอกจิกคือเกมของความร่วมมือ และโพธิ์แดงคือเกมจิตวิทยา ซึ่งเกมโพธิ์แดงใน Alice in Borderland นี่และครับที่รีดเค้นสันดานของผู้เล่นออกมาได้อย่างน่าสะเทือนใจเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นเกมหมาป่ากับลูกแกะ ที่ให้ผู้เล่นทั้งหมดเปลี่ยนกันเป็นหมาป่าซึ่งเป็นผู้ล่า หรือลูกแกะผู้ถูกล่า เกมที่ผมว่าทำให้ใครก็ตามที่ต้องเผชิญ ถึงขึ้นหัวใจสลายได้ง่ายๆ ไปจนถึงเกมหลักของ Alice in Borderland ที่เรียกว่า “เกมล่าแม่มด” เกมที่ทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กัน กลายเป็นไม่ไว้ใจกัน และหันมาทำร้ายกันได้ง่ายๆ
All the God Will – ร่วมมือหรือเอาตัวรอด
All The God Willเกมเทวดาฆ่าไม่เลี้ยง คือหนังที่สร้างมาจากมังงะในชื่อเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าจะการ์ตูนต้นฉบับ หรือฉบับภาพยนตร์ เรื่องราวของเกมเทวดาก็ตั้งคำถามถึง “สันดานของมนุษย์” ไม่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเกมดารุมะ,แมวกวัก,ตุ๊กตาล้มลุก,หมีขาว หรือ ตุ๊กตาแม่ลูกดก ทุกเกมที่เกิดขึ้นใน All the God Will มีเงื่อนไขที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่ตรงที่ ผู้เล่นไม่มีทางรู้เลยว่าเกมที่กำลังเล่นอยู่จะมีผู้รอดกี่คน จะรอดเฉพาะคนที่ชนะ,ทุกคนที่ร่วมมือกัน หรือทุกคนที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้น ภาพที่เราได้เห็นแทบจะทุกครั้งในการเล่นเกมของตัวละครใน All the God Will ก็คือการถกเถียงกันของผู้เล่นว่า ใครควรจะเป็นคนจบเกม ถ้ายอมให้เพื่อจบ เพื่อนจะรอดคนเดียวมั้ย ไอ้เงื่อนไขบ้าๆ นี่ละที่วัดอะไรต่อมิอะไรได้มากเหลือเกิน
13 เกมสยอง – เพื่อเงินเราทำได้ทุกอย่าง
ในหมวดหนังไทย ที่ปนไปทั้งความสยองขวัญ ระทึกขวัญ สั่นประสาท เชิงจิตวิทยา งานของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เรื่อง13 เกมสยอง เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ติดอยู่ในความทรงจำของคไทยหลายๆ คน
หนังเล่าเรื่องราวของตัวละครที่ชื่อ “ภูชิต” มนุษย์เงินเดือนที่กำลังจนตรอกในเรื่องของรายได้ โดนไล่ออกจากงาน,หนี้สินล้นพ้นตัว,ล้มเหลวในความรัก ฯลฯ แล้วจู่ “ภูชิต” ก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เมื่อมีสายโทรศัพท์ปริศนา ยื่นของเสนอให้แกเข้าร่วมเล่นเกม เพื่อเงินรางวัล 100 ล้านบาท
ใน13 เกมสยอง ภูชิต ต้องเอาชนะเกมไปทีละเกมทีละเกม เพื่อรับเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ดีกรีความยากของเกมก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเงาตามตัว ตั้งแต่ฆ่าแมลงวัน,ทำให้เด็กร้องไหน,กินสิ่งปฏิกูล ไปจนถึงเกมที่ทำให้ผู้เล่นแทบจะต้องก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปเลยและทุกเกมใน 13 เกมสยองมันตั้งคำถามกลับมาที่เราคนดูว่า “เพื่อเงินเราจะยอม ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ หรือ?”
เรียกว่าตั้งแต่ 13 เกมสยอง จนถึง Squid Game จะว่าไปแล้วในมุมของผู้ชมสายบ่น เขาก็ไม่ผิดที่จะมีความรู้สึกว่า “อีกแล้ว…เกมอีกแล้ว” เพราะ หนังทำนองนี้มันไม่ได้มีเท่าที่ว่ามาในนี้ เรื่องของเกมโชว์แห่งความตายแบบนี้มันถูกหยิบมาทำ หยิบมาเล่าแบบซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะวงการบันเทิงฝั่งญี่ปุ่น
แต่ถ้าเราลองมองให้ลึกลงไปในคำว่า “อีกแล้ว” ว่ามันมีสาเหตุที่น่าสนใจของการทำซ้ำที่ว่านี้ ไม่ว่าลักษณะการเล่นเกมในเรื่องจะถูกสร้างสรรค์ออกมาแตกต่างกันแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เราเห็นอยู่ได้บ่อย ๆ ในหนังทำนองนี้ก็คือ “พฤติกรรมขอมนุษย์” โดยเฉพาะฝั่ง “สันดานเลว” ที่แต่ละเรื่องก็ต่างมีตัวละครที่เมื่อเข้าตาจน พวกเขาก็จะเผย “สันดาน” ที่ว่าออกมาให้เห็น และการขยายภาพ “สันดานมนุษย์” ที่ความจริงในสังคมมักจะมีอยู่แบบหลบๆ ซ่อน ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในเรื่อง กับการได้เห็นหายนะของเจ้าของสันดานที่ว่านั้น มันช่างเป็นภาพที่ผมว่าเรายินดีจะดูซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบไม่มีเบื่อจริง ๆ
โดย จีนViewfinder
Source : Netflix