ปีก่อนว่าซีรีส์วายไทยคึกคักแล้วนะคะ ปีนี้คึกคักกว่าอีก เพราะผ่านไปแค่ครึ่งปี มีซีรีส์ออนไปแล้วเกือบ 40 เรื่อง ส่วนครึ่งปีหลังที่กำลังเร่งสร้างอีกไม่น้อย 30 เรื่อง รอชมกันเลยจ้ะ ฟินไปตามๆ กัน ส่วนเรื่องนี้ “EvenSun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์” ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดมาก่อน จู่ๆ ก็ปรากฏตัวว่าสร้างเสร็จแล้ว รอออนปลายเดือนมิถุนายนนี้
คู่นำอย่าง#บุ๋นเปรม ที่ว่าแซ่บแล้ว คู่รอง หล่งซื่อลี กับ ท็อป – ณธรรศ ตันเจริญ พี่ว่าเด็ดกว่า แม้จะโคจรมาพบกันแบบงงๆ ก็ตาม
หล่งซื่อลี อายุ 21 ปี ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ ที่โด่งดังจากการเป็นเน็ตไอดอล ด้วยภาพลักษณ์นักมวยที่หุ่นดี หน้าดี จนสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันกรี๊ดดด สลบ
ส่วน ท็อป-ณธรรศ ตันเจริญ เริ่มงานแสดงชิ้นแรกจากภาพยนตร์“รด.เขาชนผีที่เขาชนไก่” (2015) ของผู้กำกับ กอล์ฟ ธัญวารินทร์ สุขะพิสิษฐ์ แต่มาโด่งดังมากๆ จากการประกวด The Face Men 5 ทีมโทนี่ รากแก่น ส่วนซีรีส์วาย “EvenSun ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์” แม้จะเป็นงานปุ๊ปปั๊ปรับโชด แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย
ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์ ใช้เวลาถ่ายทำนานไหมเรื่องนี้
ท็อป : ประมาณ 4 คิวครับ
หล่ง : ของเราถ่ายไม่เยอะ เพราะเราไปถ่ายในค่ายมวยครับ เลยใช้คิวน้อย
อยากให้ทั้งสองคนเล่าคาแรกเตอร์ของตัวเองในซีรีส์ให้หน่อยครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง
หล่ง : ของหล่งเป็นตัวละครชื่อ “อาชิง” ครับ อาชิงเป็นนักมวยที่มีความใฝ่ฝันอยากจะต่อยมวยอาชีพ อยากจะมีคู่ชกจริงจัง แต่ปมขัดแย้งมันอยู่ตรงที่ คุณพ่อของเขาไม่อยากให้ชกมวย เพราะคุณพ่อทำธุรกิจสีเทา และคุณพ่อจะไม่อยากให้ลูกออกไปคบเพื่อนและมีสังคมภายนอก เนื่องจากการทำธุรกิจสีเทาทำให้มีศัตรูเยอะ เลยเป็นห่วงลูก แต่อาชิงก็พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ไปต่อยมวยให้ได้ครับผม
ท็อป :ส่วนคาแรกเตอร์ของ “มังกร” ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูด จะเป็นคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าแววตามากกว่า ส่วนตัวมังกรเข้ามามีบทบาทในเรื่องอย่างไร คือคุณพ่อของมังกรเป็นหนี้ แล้วเราก็ต้องเข้ามาเป็นขัดดอกแทนคุณพ่อ ทำให้มาเจอกับอาชิงครับ เป็นคู่ซ้อมของอาชิง
ตอนที่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ตัดสินใจนานไหม
ท็อป :ถามว่านานไหม มันพึ่งหลังจากโควิดอะครับ พอมีงานติดต่อมา ผมก็รับเลย ไม่ได้คิดอะไรมาก
หล่ง : พอเห็นตัวบท หล่งชอบ อยากเล่นเป็นนักมวยครับ ด้วยความที่เราเป็นนักมวยอยู่แล้ว เลยอยากเล่นบทที่มีใกล้กับสิ่งที่เราถนัดก็คือนักมวย ก็เลยรับครับ
เคมีของเราเป็นอย่างไรบ้าง ต้องworkshopนานไหมก่อนที่จะเปิดกล้อง
หล่ง : เวิร์กชอป 2 วัน เองเนอะ ส่วนเรื่องเคมี เอาตามจริงเลยนะครับ ตอบแบบไม่สวยงาม ตอนเวิร์กชอปผมรู้สึกว่าเราเล่นคู่กันน่าจะยาก เพราะว่ายังไม่ซิงค์กันเลย
ท็อป : ยังไม่รู้จักกันเลย ใช่
หล่ง : ยังไม่สนิทกันพอ แต่พอมาถึงหน้ากล้องเหมือนเราก็พอมีประสบการณ์กันมาทั้งคู่ แล้วจู่ ๆ มันก็เกิดอาการซิงค์กันขึ้นมา ทำไมเราเล่นได้ แต่ตอนเวิร์กชอปเราเล่นไม่ออก
ตอนเวิร์กชอปรู้สึกอย่างไร ที่ทำให้เรารู้สึกว่าจะเล่นคู่กับคนๆ นี้ยากจังเลย
หล่ง : ของผมก่อนนะ ผมรู้สึกว่ากำแพงเขาสูงมาก สูงและหนามาก ผมไม่สามารถทลายกำแพงเข้าไปได้แน่ ๆ
ท็อป : ก็ค่อนข้างที่จะสูงนะ ตอนนั้นมันปุ๊บปั๊บด้วย ไม่มีเวลาเตรียมตัว พอต้องมาเวิร์กชอป 2 วัน เราจะทำตัวอย่างไรดี จะเข้าหาเขาอย่างไร ทำอย่างไร เราก็โอเคอย่างนั้นเราค่อย ๆ ปรับตัวก็แล้วกัน แต่มันไม่ทันแล้ว จะถ่ายแล้ว
ฉากที่หนักหน่วงที่สุดในซีรีส์
ท็อป : ของผมเลยคือต่อยมวย เพราะผมต่อยมวยไม่เป็น เลยต้องเป็นคู่ซ้อมให้เขา เราก็ไม่รู้จะทำอย่างนี้ เขาก็สอนเรานะ มันไม่ยาก แต่มันเหนื่อยเวลาเล่นด้วยพูดด้วยมันก็เหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน
หล่ง : ใช่ เหนื่อยมาก
ท็อป : เหนื่อยมาก
หล่ง : แล้วพูดไม่รู้เรื่อง พอเราเหนื่อยจะพูดไม่รู้เรื่องครับ
หล่งล่ะ ฉากที่สุดหนักหน่วง ยากที่สุด
หล่ง :หนักหน่วงของหล่งน่าจะเป็นการที่บอกรักผ่านการต่อยมวย ซึ่งมันยากมาก คือการต่อยมวยไม่สามารถเป็นการบอกรักได้เลย แต่จะทำอย่างไรให้มันออกมาเป็นการบอกรักได้
จูบแรกในซีรีส์
ท็อป : ถ้าเราพูดเป็นการจะสปอยไหมท็อป
หล่ง : มันคือจุดพีกของซีรีส์เลยนะ
ไม่สปอยหรอก พูดได้
ท็อป : รอดูดีกว่าว่าจูบหรือไม่จูบ
หล่ง : ตอนแรกจะมุมกล้องนะครับ แต่ไม่ถึงใจผู้กำกับ ก็เลยจัดจริงเลย
ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย
เทียบความยาก ระหว่างตอนเล่นพ่อกับลูก กับเรื่องนี้
ท็อป : เรื่องนั้นแอบยากอยู่นะพี่ รู้สึกว่ามันเป็นเรทที่ยากครับ หนักเลยครับ รู้สึกตอนที่ออกข่าวก็มีคนมาถามว่าทำไมมีฉากนั้นด้วย เพราะตอนคุย ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้ 100% ขนาดนั้นครับ
แต่หล่งลีเหมือนจะเล่นซีรีส์วายมาหลายเรื่อง?
หล่ง : ครับผม แต่ว่าที่เล่นมายังไม่เคยมีคู่ไง เป็นซับเมนเสียมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเล่นที่เล่นแบบมีคู่ ถามว่าแตกต่างจากการที่เคยเล่นมาก่อนไหม มากๆ ครับ เพราะเราต้องพยายามหาเคมี หาความเข้าใจกัน รู้ใจกันว่าเราจะเล่นจังหวะไหน อย่างไร ปกติถ้าเล่นคนเดียวจะสบายกว่า แต่พอมีคู่มามันต้องรู้ใจกัน ต้องสื่อกันให้ถึง ถ้าสื่อไม่ถึงปุ๊บ เราเล่นกันไม่ได้แน่ ๆ ครับ แต่พอวันเปิดกล้องจริงมาถึง 1 2 3 ก็เล่นได้แบบงง ๆ ดีใจที่ผู้กำกับชม
รู้สึกอย่างไรที่เราต้องรับบทในซีรีส์วายที่เล่นเป็นคู่เรื่องแรก
หล่ง : ผมทำตัวไม่ถูกครับ ไม่รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรให้ทุกคนกรี๊ด ผมก็ปรึกษาผู้กำกับนะว่า ทำอย่างไร ไปปรึกษา acting coach ด้วย เขาบอกว่าไม่ต้องพยายามอะไรเลย ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เล่นแล้วเราสองคนมีความสุข คนดูก็จะมีความสุขไปด้วย เราก็แค่ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุดครับ
ท็อป : การจะเล่นคู่กันมันต้องค่อย ๆ รู้จักกัน เข้าหาเขาเยอะ ๆ พยายามรู้จักกันต้องมีเวลา แต่เรื่องไม่มีเวลา ซึ่งเราก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้มันเปิดใจ แล้วเล่นให้มีความสุข ให้รู้สึกว่าคนนี้เราเล่นคู่กับเขานะ
แต่ซีรีส์จะออนไปแล้ว จะกดดันกว่า เพราะผู้ชมจะเกิดความคาดหวัง
หล่ง : ใช่
ท็อป : แอบกดดันนิดหนึ่งเนอะ
หล่ง : ถามว่ากดดันไหม กดดันนะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากระแสของเราจะมาในทิศทางไหนเลย เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เราจะต้องเตรียมรับกระแสแบบไหน เราไม่รู้เลย
ท็อป : เรายังมองไม่เห็นครับ ต้องรอซีรีส์ออนอย่างเดียว
ท็อปเข้าวงการจากการแสดงหนังก่อนประกวดThe Face Men อย่างไรถึงไปประกวดเวทีนี้
ท็อป : ตอบตรงๆ ไม่เคยดูThe Faceเลยนะ เราไม่รู้เลยว่ารายการนี้เป็นอย่างนี้ เดินแบบก็ไม่เป็น ถ่ายรูปก็ไม่เป็น แต่พอติดเข้าไปเราก็ทำ ๆ ตามที่เขาบอกได้เฉยเลย ชูป้ายขึ้นมาว่าเราได้ เราก็งง ช็อก ๆ อยู่แป๊บหนึ่ง จริง ๆ พอเข้ารอบไปได้เขาจะมีครูสอนให้ เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นได้ด้วยครับ
หล่งล่ะ
หล่ง : หล่งเริ่มจากการต่อยมวยครับ ถามว่านานไหม หล่งเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่ม เข้าวงการไม่ถึงปีนี่เองครับ ที่มีคนรู้จักมากขึ้น หล่งเริ่มจากการต่อยมวยที่มีคนให้หล่งรีวิวสินค้า หล่งก็เริ่มรับรีวิวตัวแรก แล้วก็มีตัวที่ 2 มาเรื่อย ๆ จากนั้นก็มีคนรู้จักมากขึ้น แล้วก็มีทางซีรีส์ติดต่อมาบอกลองมาแคสต์ซีรีส์ดู เรื่อง I’m Your King ก็ลองไปแคสต์ดู พอผ่านปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบ จากนั้นก็ไล่แคสต์ไปเรื่อย ๆ ครับ
แสดงว่าทุกวันนี้ถือว่าเราทิ้งอาชีพนักมวยไปแล้วใช่มั้ย
หล่ง : ไม่ทิ้งครับ ยังอยู่ในชีวิตผมตลอดเลย เราเกิดจากตรงนั้น มีคนรู้จักเราจากตรงนั้น มันทำให้เรามีเส้นทางในการพัฒนาตัวเองไปได้
คิดอย่างไรกับวงการบันเทิงบ้าง คาดหวังอะไรกับงานในวงการบันเทิงบ้าง
หล่ง : ของผมค่อนข้างจะบอกตัวเองว่าเราต้องมองไว้สูง ๆ ผมอยากมีชื่อเสียงไปถึงขั้นระดับต่างประเทศนะครับ พอเรามีชื่อเสียงในระดับต่างประเทศ อยากให้คุณพ่อที่อยู่ต่างประเทศได้เห็นว่าเรามีชื่อเสียงถึงขั้นนอกประเทศไทยแล้วนะ
ท็อป : ส่วนท็อปไม่คาดหวังอะไรมาก แต่แค่เป็นคนที่เวลาทำอะไรก็ตามคือถ้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบกพร่องหรือผิดพลาด เราก็จะพยายามปรับเปลี่ยนพัฒนาตรงนั้น แล้วก็มองเป้าหมาย พยายามพัฒนาตัวเอง การเดินบันได ปกติคนเราจะเดินขั้นหนึ่ง แต่เราต้องเดินให้มากกว่าขั้นหนึ่ง 2 ขั้น 3 ขั้น เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้น ๆ ไปครับ
กับซีรีส์เรื่องนี้ เต็ม 10 เราให้คะแนนเท่าไร
หล่ง : เต็ม 10 เหรอครับ ณ ตอนที่ถ่ายอยู่ผมรู้สึกว่าผมให้เต็ม 10 แต่พอเรากลับมานอนคิด ผมให้ 5 เพราะว่าเรามีความโลภ รู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำแบบนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่พูดอย่างนี้ ด้วยความที่เรามีความโลภไง ตอนถ่ายทำโอเคเต็ม 10 พอกลับมานอนคิดให้ 5 เหมือนว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ท็อป : ส่วนท็อป ถามว่าดีไหม เราก็พยายามเต็มที่นะ แต่เรื่องบทเราก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น เราเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความจำ พอจำได้เสร็จแล้วเราก็ลืม เราเป็นคนที่จำไม่ค่อยได้ สมาธิสั้น
งานชิ้นถัดไปเป็นอย่างไรเรื่องอะไรบ้าง
ท็อป : ตอนนี้ของผมยังไม่มีเลยครับ รอ coming soon แต่น่าจะกลับมารับงานเร็ว ๆ นี้
หล่ง : ของหล่งก็จะเป็นเรื่อง “Love Syndrome รักโคตรโหดอย่างมึง”เป็นซีรีส์วาย แสดงคู่กับแฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ แล้วก็มีหนังภาพยนตร์ 1 เรื่องที่เพิ่งถ่ายจบไป ชื่อเรื่อง “Bad Social” ครับ หนังไม่วายนะ หนังเป็นพี่ชายที่รักน้องสาวมาก ๆ
เตรียมรับมือกับความคาดหวังของแฟนคลับไว้หรือยัง เพราะอย่างหล่งเองก็มีข่าวกับต้นหอม คิดว่ามันจะทำให้งานมันสะดุดไหม
หล่ง : ถามว่าสะดุดไหม อาจจะไปสะดุดเฉพาะบางกลุ่ม เพราะว่าช่วงนี้ ณ ปัจจุบันเรามีความหลากหลายทางเพศ และมีความลื่นไหลทางเพศมากขึ้น การที่เราจะจิ้นกับใครหรือว่าจะถูกมองว่าเคมีตรงกัน มันไม่จำกัดเรื่องเพศแล้ว เราควรจะมองว่าจะเป็นแค่บทละครหรือว่าเป็นชีวิตจริงครับ เราไม่ได้เสียอะไร แค่เรารู้สึกว่าเราได้สัมผัสว่าเคมีเราโอเคกับคนนี้ เราอยู่กับคนนี้เราสบายใจ แล้วแฟนคลับก็ชอบเรา เราก็โอเค เราแฮปปี้ เราก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่คอย support เรา ไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนก็ตาม
ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย
ถามท็อปในฐานะที่เป็นนายแบบ ถ้าแฟนคลับRequestอยากให้ถ่ายรูปชุดว่ายน้ำเซ็กซี่
หล่ง : ตอบสิ เขาถามพี่
ท็อป : ผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างconflictกับการถ่ายรูปถอดเสื้อผ้ามาก ๆ ถ่ายได้นะ แต่เราไม่ค่อยอยากลงโซเชียลมาก เพราะรู้สึกว่ามันจะเกร่อไป มันช้ำ เบื่อ เห็นอีกแล้วเหรอ พยายามค่อย ๆ ออกมาทีละนิด ค่อย ๆ อยากให้เขาว้าวมากกว่า
ซีรีส์“EvenSunฉันนี่แหละนายอาทิตย์”
สตรีมมิ่งทางiQiyi29 มิถุนายนนี้
Text Takeshi West
Photo : Issares Chosawai
ทำไมหลายเรื่องจึง“แป้ก” ?
เรื่องนี้หาคำตอบไม่ยาก เพราะเนื้อหามันวนอยู่ในอ่างไงล่ะ แต่เราก็ได้เห็นความตั้งใจของนักเขียนหลายๆ คน รวมทั้งผู้ผลิตที่มีความพยายามในการหาแนวทางการนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ แต่ซีรีส์ที่‘แหวก’และ‘แหกขนบ’วาย(ที่เน้นโมเมนต์จิ้นๆ ฟินๆ)ไปไกลสุดกู่ ณ เพลานี้ คงต้องยกนิ้วให้ “รักเดียว”ซิตคอมวายเรื่องแรกจากช่องวัน31ที่เพิ่งจะออนแอร์เมื่อเร็วๆ นี้ ทำเอาสาววายตะลึงตึงโป๊ะไปตามๆ กัน เพราะมันฮาเกินกว่าจะเก็บไปฟินน่ะสิคะ แม่จ๋า
คู่พระเอก-นายเอกหน้าใหม่ “เอิร์ท-ธนกฤต ตาละโสภณ” และ “วิน-ทรงสิน ใจพันธุ์” ดูจะเคมีเข้ากันไปดี และไปได้สวยกับแนวทางซิตคอมที่ต้องปล่อยมุกเรียกเสียงฮาอยู่เรื่อยๆ(งานถนัดของช่องนี้เลยทีเดียว ดูผลงานเก่าๆ อย่างเป็นต่อ,บางรักซอย9และเสือ เก้ง ชะนี ก็เชื่อขนมกินได้)เอิร์ท-ธนกฤต อาจจะไม่ใช่หน้าใหม่ซะทีเดียว เพราะเคยมีผลงานออกมาบ้างจากซีรีส์และงานโฆษณา ส่วนวิน-ทรงสิน นั้นใหม่เอี่อมอ่องถอดด้านมาเลี่ยมทอง เพราะเปิดซิงที่นี่เป็นที่แรก
กว่าจะมาลงตัวกันที่คู่นำซิตคอม“รักเดียว”เอิร์ท–วินทำอะไรกันมาก่อน
เอิร์ท: ของเอิร์ทเริ่มจากการแคสต์งานโฆษณา เดินแบบ และมีโอกาสได้ไปเล่นละครบ้าง แต่ไม่ได้เป็นตัวเมนหรือตัวหลักครับ พอดีมีผู้ใหญ่เห็นผมจากทางโฆษณาว่าหน่วยก้านดี เลยเรียกเรามาคุยกับผู้ใหญ่ทางช่องวัน จนสุดท้ายก็ได้มาเจอซิตคอมรักเดียว ที่มีโอกาสได้เล่นเป็นตัวเมนครับ รู้สึกตื่นเต้น และตกใจมากที่รู้ผลว่าแสดงได้ซิตคอมเรื่องนี้
วิน: วินเป็นคนเชียงใหม่ เคยเป็นนายแบบ ถ่ายแบบ และเคยประกวดมาหลายเวทีครับ จากเชียงใหม่ก็มากรุงเทพฯ เลยครับ คือมีผู้ใหญ่ทางช่องวันเขาติดต่อไปว่า อยากให้ลองมาแคสต์ซิตคอมเรื่องนี้ดู ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีนะ เลยตัดสินใจลองมาแคสต์ ได้มาเจอกับพี่ ๆ ที่มาแคสต์ด้วยกันหลาย ๆ คน มาเจอกับพี่ ๆ ทีมงาน ผู้กำกับ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าได้หรือเปล่า ช่วงรอคำตอบนานมากกกกกก ตื่นเต้นมาก ๆ
วินเป็นคนเหนือ ตอนที่รู้ว่าจะต้องมาแสดงซิตคอม ปรับวิธีการพูดนานไหม
วินเป็นคนใช้ภาษาเหนือมา 19 ปี พอปีที่ 20 ย้ายมากรุงเทพฯ เราก็ต้องขยันพูดมาก ๆ พอมาอยู่ตรงนี้ใช้เวลาปรับนานมากครับ 3-4 เดือน ทางช่องส่งให้ไปเรียนกับครูภาษาไทย เพื่อปรับการพูดครับ กว่าจะพูดวรรณยุกต์ สระ ร เรือ ล ลิง ได้ชัดนี่ อู้หู ลำบากเหมือนกัน ผมเลยตั้งใจปรับเปลี่ยนการพูดจนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน หลัง ๆ มานี่เริ่มไม่มีคอมเมนต์เรื่องการพูดเหน่อ หรือว่าพูดเสียงขึ้นจมูกแล้ว
พอรู้ว่าต้องมาเล่นซิตคอม และเป็นซิทคอมวายด้วย ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
เอิร์ท: ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนงานงานหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำนะ รู้สึกว่ามันท้าทายกับอาชีพนักแสดงเหมือนกัน ในการที่เข้ามาเล่นซิตคอมวาย เพราะปกติจะต้องมีนางเอกพระเอกใช่ไหมครับ แต่วายจะเปลี่ยนเป็นนายเอกแทนซึ่งท้าทายความสามารถของนักแสดงนะครับ แล้วก็ต้องทำการบ้านกันเยอะเหมือนกัน
วิน : ผมคิดว่ามันเป็นความท้าทายจริง ๆ แหละ แต่มันปนกับความสนุกที่น่าสนใจนะ อยากลองเล่น เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทยด้วย ผมคิดไว้ในหัวว่ามันต้องสนุก ต้องมีความฮาทุกอีพี
เอิร์ท : ความซิตคอม ความสนุกต้องมาแน่นอน แล้วยิ่งมาเจอพี่นก(จิรศักดิ์ โย้จิ๋ว)ผู้กำกับ เสือ ชะนี เก้ง และเป็นต่อ ที่เราดูตั้งแต่เด็ก ได้สัมผัสกับซิตคอมพวกนี้ตั้งแต่เด็กด้วยแล้ว ทำให้รู้สึกว่าซิตคอมรักเดียว มันต้องออกมาครบรสแน่นอน
คาแรกเตอร์ในรักเดียวเป็นอย่างไร
เอิร์ท : คาแรกเตอร์ของเอิร์ทน่ะ จริง ๆ ไม่ได้เป็นคนตลก แต่จะมีกิมมิกในความที่นิ่งของบทรัก ซึ่งจะแตกต่างกับบทเดียว ตรงความนิ่งตรงนี่แหละที่จะทำออกมาฮา และเป็นความคอนทราสต์กับเดียวนะ
วิน : ถ้ารักกับเดียวเจอกันมันจะมีความฮาอยู่ในนั้น เพราะว่าสองคนนี้จะเป็นตัวกัดกันตลอด ผมจะเป็นคนที่กัดเขาตลอด แล้วเขาจะเป็นคนรับ บางทีถ้าเขามีแผนของเขา เขาก็จะเอาคืน เพื่อจะทำให้ผมเสียหน้า หรือว่าทำให้ผมอับอายให้เพื่อน ๆ ผมล้อผม เพราะว่าคาแรกเตอร์ของเดียวจะเป็นคนที่ขี้โวยวาย จะเป็นคนที่มั่นใจในงานของตัวเอง เวลาเอาไปเสนอเขา เขาบอกงานนี้ยังไม่ดี ถ้ามันไม่ดี ต้องอธิบายว่าเพราะอะไรถึงไม่ดี ถ้ามันถูกคือจะแก้ แต่ถ้าไม่ถูกคือไม่แก้
เอิร์ท : คือฝั่งคาแรกเตอร์เดียวเขาจะมีเหตุและผลของเขาเยอะมากเลยครับ แต่รักนี่เขาจะมีความเป็นหัวหน้างาน ซึ่งเขาก็มีเหตุผลกับเขาน่ะแหละ แต่เขาจะไม่มีรายละเอียด เขาจะเป็นผู้ชายที่ตงฉิน ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่คนนี้จะดีเทลเยอะกว่า
คาแรกเตอร์ในซิตคอมกับเราตัวจริง ๆ ต่างกันมากมั้ย
เอิร์ท : คาแรกเตอร์ของรักกับเอิร์ท เอิร์ทรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึง โดยความที่จริง ๆ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนเยอะเท่าไร เป็นคนโลกส่วนตัวสูงครับ
วิน : ใช่พี่เขาเงียบ ๆ ตอนผมเจอครั้งแรกเขายังไม่ค่อยคุยเลย แต่ผมอ่ะ‘เฮ้ยพี่’ผมจะเป็นคนที่เสียงดังตลอด พี่เขาจะบอกพูดเบา ๆ ก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เขาจะเป็นคนที่เวลาเจอผม เหมือนผมคุยกับเขาอะไรสักอย่างผมก็จะตะโกนอยู่นั่นน่ะ พี่เขาก็จะต้องคอยบอกว่าเบาๆ เสียงลงหน่อย มาคุยกับผม ผมก็ไม่รู้สึกเหงาน่ะ หลัง ๆ มาพี่เขาเริ่มติดผมแล้วนะครับ ติดนิสัยไปแล้ว(หัวเราะ)
เอิร์ท : ติดความเสียงดังจากมันนี่แหละครับ
วินเป็นคนช่างพูดหรือหรือพูดมาก
วิน : ใช่ครับ พูดมาก เพราะว่าผมเป็นคนที่อยู่เงียบมากๆ ไม่ได้ ถ้าจะอยู่กันหลาย ๆ คน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่ตะโกนแหกปากเสียงดัง นั่นแหละครับ คาแรกเตอร์นี้มีความคล้ายคลึงผมมาก มันไม่ใช่แค่ คนที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ในแบบมั่นใจเกินเบอร์ ที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะให้แก้ไขอะไร ไม่ฟังใครสักอย่าง แต่ผมก็ทำการบ้านเพิ่มนะ ลองไปคุยกับพี่ ๆ หลาย ๆ คนว่า พี่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองหรือเปล่า พี่เป็นคนที่เรียนเก่งแบบนี้แล้วพี่มั่นใจหรือเปล่า หลาย ๆ คนก็มาช่วยแชร์ประสบการณ์นี้ พอทำการบ้านกับตัวละครมากๆ เข้า มันก็เออพอเข้าใจความรู้สึกนี้เหมือนกัน
ปกติความ‘วาย’นี่มันจะต้องเล่นเรื่องโมเมนต์ และความเข้าขากันของนักแสดง ครั้งแรกที่มาเจอกันปุ๊บ ใช้เวลาจูนกันนานไหม กว่าที่เคมีจะลงตัวกัน
เอิร์ท :ไม่นานครับ
วิน : ต้องเรียกว่าจูนหรือเปล่า พอเดินมาเจอกันก็‘เฮ้ย’ใส่กัน อย่างนี้เลย
เอิร์ท : มันไม่ต้องจูนอะไรเยอะ สำหรับเราเจอกันครั้งแรก สนิทกันเลยครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน อยู่ดี ๆ สนิทกันเฉยแล้วพอไปเรียนแอ็กติ้งก็เริ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันเยอะขึ้น คลาสแอ็กติ้งช่วยละลายพฤติกรรม แล้วก็ได้ไปฟิตเนสด้วยกันอีก มันก็เลยเหมือนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน
วิน : เพราะว่ามันเดินทางด้วยกันบ่อยไงครับ เดินทางไปเรียนผมจะติดรถพี่เอิร์ทไป ตอนกลับพี่เอิร์ทก็กลับมาส่งคอนโดอย่างนี้ มันทำให้เราสนิทกันไวขึ้นครับ
งานวายชิ้นแรก เราเคยดูซีรีส์วายมาก่อนไหม
เอิร์ท : ซีรีส์วายผมยังไม่มีโอกาสได้ดูเป็นเรื่องเป็นราว เห็นผ่าน ๆ บ้าง ก็รู้สึกว่านักแสดงทุกคนมีความตั้งใจที่จะทำงานของแต่ละเรื่องให้ออกมาดีที่สุด รวมถึงตัวเอิร์ทกับวินด้วยครับ มันไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นซีรีส์วายแล้วเราจะเล่นไม่ได้ ไม่ใช่เลย ยิ่งอยากเล่นเข้าไปอีก มันเป็นความท้าทายอีกบทเรียนหนึ่งที่เราต้องเล่นร่วมกัน
วิน :ใช่ครับ
เกร็งไหมถ้าแฟนคลับจะคาดหวังความมุ้งมิ้ง ให้ได้ไปฟินกันต่อทั้งในซีรีส์และนอกจอ
วิน : ผมว่ามันถูกอยู่แล้วนะครับที่แฟนคลับจะคาดหวังน่ะ คือถ้าเราไม่อยากเกร็ง เราต้องทำงานตัวนี้ออกมาให้ดีที่สุด
เอิร์ท : มีอยู่แล้วครับ ในเหตุการณ์ต่างๆ ของเรื่องนี้ แต่มันจะแตกต่างตรงที่เป็นซิตคอมบวกซีรีส์ครับ
วิน : มันจะมีโมเมนต์ อย่างนี้ครับ มันจะมีโมเมนต์ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แบบมีหน้าใกล้กันนิดหนึ่ง พอแบบเฮ้ยมองทำไมน่ะ
เอิร์ท : อาจจะมีมากกว่านั้นนะ
วิน : ใช่ ๆ มีมากกว่านั้นอีก อยากจะให้ไปลองติดตามดู มันจะมีโมเมนต์แบบที่ทุกคนจะพยายามจิกหมอนทีละนิด อึ๊ย ๆ
เอิร์ท : แต่จริง ๆ แล้วผมรู้สึกว่าอย่างซิตคอมรักเดียว อยากให้คนดูติดตามพัฒนาการของตัวละครของเรา จะเห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนติดตามทุกอีพี เพราะว่ามีทั้งปี
สิ่งหนึ่งที่สาววายต้องอยากรู้แน่เลย คือใครเป็นเคะเป็นเมะ
เอิร์ท : ผมเป็นพระเอก วินเป็นนายเอก
วิน : อยากให้ไปในดูซิตคอม แล้วลองไปตีความกันเองว่า มันจะออกมาแบบไหน เพราะว่าในคาแรกเตอร์คือเป็นผู้ชายทั้งสองคน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย จนมาเจอกัน
ถ่ายทำไปหลายอีพีแล้ว ซีนไหนที่ยากที่สุด ถึงเนื้อถึงตัวมั้ย
เอิร์ท : ซีนที่ยากที่สุด ไม่มีครับ จริง ๆ มันมีแหละ แต่มันไม่ได้ยากขนาดนั้น มีตอนแรก ๆ น่ะครับ ตอนแรก ๆ ที่
วิน : กว่ามันจะจูนกันแต่ละคนได้ และที่มันเป็นอีพีแรกที่แบบทุกคนได้เข้ามารวมซีนเดียวกัน จะจูนกันลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าตัวผมเองก็เกร็ง เวลาเจอกับรุ่นพี่ นักแสดงอาวุโสอย่าง น้าโย่ง พี่นุ้ย พี่เอม พี่แอมแปร์ ครับ มันตื่นเต้นน่ะ เราต้องมาเล่นจับมือถือแขนกัน ตอนแรกก็คิดว่ามันยาก แต่พอหลัง ๆ เล่นไป เริ่มให้เราผ่อนคลายขึ้น แล้วก็สนุกกว่าเดิม
จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง?
เอิร์ท : จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง อันนี้ต้องติดตามในซิตคอมรักเดียวนะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าผู้กำกับอย่างพี่นกนี่ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน
วิน : การันตีจากเป็นต่อและเสือ ชะนี เก้ง
อยากให้สองคนพูดถึงกันและกันว่า ในตัวของแต่ละคนนี่เราชอบอะไรมากที่สุด
เอิร์ท : ชอบน้องเป็นเด็กน่ารักนะครับ ถึงจะเสียงดังก็ตาม แต่เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครเลย น้องอาจจะเคยเกเร จากที่เคยคุยเฮ้ยผมเด็กเกเรนะ แต่น้องเป็นเด็กน่ารักมาก ๆ ก็อัธยาศัยดีครับ ใช่ครับ อัธยาศัยดีหรือเปล่าล่ะ(หัวเราะ)
วิน : ส่วนพี่เอิร์ท จริง ๆ ตอนแรกผมกลัวพี่เอิร์ทนะ ตอนที่แคสต์ด้วยกันแรก ๆ น่ะ แคสต์ผ่านzoom ตอนนั้นพี่เขาผมยาวไง ผมยาวเป็นโจรเลยครับ ผมอยากให้พี่เอิร์ทตอนผมยาวมากๆ เขาดูน่ากลัวมากน่ะ แต่พอมาแคสต์ด้วยกัน มารู้จักกัน พี่เขาเป็นคนน่ารักครับ เป็นคนที่เงียบ ๆ ไม่ค่อยคุยเล่นกับใครมาก
เอิร์ท : แต่ตอนนี้ก็ไม่เงียบแล้ว
วิน : ใช่ หลัง ๆ มาไม่เงียบแล้ว ติดนิสัยผมไป แล้วเวลาผมมีอะไรก็จะปรึกษาพี่เขา พี่เขาเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลยรู้สึกว่าเวลาผมปรึกษาอะไรพี่เขาน่ะ มันรู้สึกปลอดภัย แล้วเราคุยได้ทุกเรื่อง
ถ้าไม่ได้ทำงาน ชีวิตวันๆ อะไรบ้าง
เอิร์ท : เวลาว่างของเอิร์ทจะออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง เป็นคนชอบร้องเพลงครับ ก่อนเกิดโควิด ผมจะชอบทำสองสิ่งนี้พอ ๆ กัน สมมติว่าออกกำลังกายตอนช่วงเย็น และจะมาเล่นกีตาร์ผ่อนคลายตอนช่วงดึก ๆ
วิน : ส่วนผมเป็นเด็กกลางแดดครับ ชอบเตะบอลออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ชีวิตจะมีแต่ออกกำลังกาย หรือไม่ก็ขับรถเที่ยวดอยชมธรรมชาติ เพราะว่าแถวบ้านผมน่ะจะมีแต่ดอย ผมก็จะมีมอเตอร์ไซค์เล็ก ๆ คันหนึ่งขับไปแถวป่า ไปสวน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางแดด
วินเคยเป็นสายประกวดมาก่อน เอิร์ทก็เป็นนายแบบมาก่อน มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรให้หุ่นเป๊ะตลอดเวลา
เอิร์ท : ของเอิร์ทช่วงแรกคือคุมอาหาร แล้วก็ออกกำลังกายโดยการโดดเชือกทุกวันเลย เพราะว่าจริง ๆ น่ะผมไม่ค่อยชอบเข้าฟิตเนส แต่ชอบbody weightมากกว่า พวกดึงข้อหรือวิดพื้น จะดึงข้อวันละ100 วิดพื้นวันละ 100 แล้วก็คุมอาหารบ้างแต่ไม่เคร่งขนาดนั้นน่ะครับ
วิน : โอ้โฮ ถ้าเล่าถึงการออกกำลังกายของผมนะครับ ผมจะเป็นคนที่ออกกำลังกายหนักมาก เคยใช้ชีวิตอยู่ในยิม 15 วันๆ ละประมาณ 16 ชั่วโมง เพราะฟิตเนสแถวบ้านผมเปิด 24 ชั่วโมงครับ ผมจะเป็นคนที่ติดยิมมาก ช่วงก่อนที่มี passion ว่าจะต้องประกวด ก็จะคุมอาหารด้วย ยกน้ำหนักด้วย เคยเล่นที 15 วันไม่พัก จนผมโทรมมากๆ เหนื่อยมาก ๆ ครับ
คนที่เล่นฟิตเนสบ่อย ๆ แล้วหุ่นดี เขาจะมีส่วนหนึ่งของร่างกายที่เขารู้สึกภูมิใจมาก ส่วนนั้นคือ?
วิน : ถ้าเป็นพื้นฐานของผู้ชายผมว่า‘หน้าอก’ครับ
เอิร์ท : หน้าอกเหมือนกัน
วิน : ใช่ หน้าอกกับแขน เพราะว่าถ้าหน้าอกเราดี แขนเราก็จะเดินยืดนิดหนึ่ง ปกติน่ะคนที่เริ่มเล่นฟิตเนสใหม่ ๆ เขาจะเล่นแต่แขน เขาคิดว่าถ้าแขนใหญ่ก็คือหุ่นดีแล้ว
เอิร์ท : จริง ๆ ก็ไม่ได้ผิดนะ
วิน : ใช่ ไม่ได้ผิด แล้วแต่ความชอบของคนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าหน้าอก แต่ส่วนตัวผมจริง ๆ ผมภูมิใจในซิกแพคตัวเองนะ เพราะเป็นสิ่งที่กว่าจะขึ้นน่ะลำบากมาก และก็ดูแลยากมาก ๆ
เอิร์ท : แต่อย่าถามถึงซิกแพคตอนนี้นะ หายเกลี้ยง
วิน: ใช่ครับ ช่วงนี้โควิดไม่ได้เข้ายิมครับเลย
คาดหวังกับซิทคอมเรื่องแรกอย่างไรบ้าง
เอิร์ท : คาดหวังมากครับ คาดหวังว่าจะทำให้ตัวเองแสดงแต่ละตอนให้ดีขึ้น ๆ ผมก็เลยขยันทำการบ้านมากขึ้น คนที่มีประสบการณ์น่ะครับว่า พี่ ผมไม่เข้าใจมันต้องเข้าถึงบทบาทนี้อย่างไร เพราะในชีวิตจริงเราไม่ได้มีความเป็นบอสขนาดนั้นเหมือนรักน่ะครับ แต่คุณรักจะมีความเป็นบอส มีความนิ่งในแบบของเขา ซึ่งผมรู้สึกว่าในความเป็นรัก ผมมองว่าเขาเหมือนเป็นสิงโตซึ่งล่าเหยื่อ แต่ว่าไม่ได้ล่าเหยื่อแบบตะครุบ แต่เขาจะใช้สายตามองว่าเออมาเมื่อไรโดนแน่
วิน : ล่าเหยื่อนี่คืออะไร หมายถึงผมเป็นเหยื่อเหรอ
เอิร์ท : ใช่แล้วล่ะ ก็ประมาณนี้ครับ จะกดดันเรื่องการทำการบ้านมากกว่ากับการแสดง แต่ไม่อยากจะกดดันมาก เพราะจะทำให้การแสดงที่ออกมาจะดูเครียด แล้วคนดูจะไม่สนุก
วิน : ส่วนของผมคาดหวังไหม มาก ๆ ครับ ผมอยากให้ทุกคนดูแล้วฟินไปด้วยกัน เพราะว่าทุกคนตั้งใจมาก พี่ ๆ ทีมงาน พี่ ๆ ผู้กำกับ ทีมเขียนบท หรือว่าทุกคน พี่ ๆ นักแสดงทุกคน และพวกผมสองคนก็เหมือนกัน พยายามให้มันออกมาดีที่สุด เพราะเราคาดหวังว่าอยากจะให้ทุกคนน่ะเขาติดตามเราไปตลอด รักเรา หลงรักรักและเดียว เราอยากให้ตัวละครตัวนี้อยู่กับทุกคนนาน ๆ ครับ
เมื่อกี้เห็นพูดถึงเรื่องร้องเพลง อยากจะออกsingleของตัวเองบ้างมั้ย
เอิร์ท : อยากมาก เอาจริง ๆ นะ ได้ก็ดี ผมอยากออกsingleของตัวเองๆ เพราะจริง ๆ ผมชอบร้องเพลงและอยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง
วิน : ถ้าสมมติได้ก็ดี ผมคิดว่าผมอยากจะมีโมเมนต์ที่เปิดคอมแล้วนั่งฟังเพลงตัวเองน่ะ
เอิร์ท : แล้วยิ่งมีคนร้องตามได้ด้วยนะ
วิน : ใช่ ๆ อยากจะมีคนร้องตามเพลงของเรา ถ้าอนาคตมีได้ก็ยินดีนะครับ
สุดท้ายฝากความฟินของรักเดียวหน่อย
เอิร์ท : ผมบอกเลยว่าพี่ ๆ แฟนคลับทุกคนที่เป็นสาววายนะครับ เตรียมจิ้นกับซิตคอมรักเดียวนะครับ เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทย ผมบอกเลยว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะว่าจะมีความสนุก ความมัน ความแซ่บ ความซ่า ในซิทคอมเรื่องนี้นะครับ รักเดียวนะครับ แน่นอน
Text by Takeshi West
ซิตคอม “รักเดียว”
ออกอากาศทางช่องONE31
ทุกวันอาทิตย์ เวลา22.15น.
ขอบคุณภาพประกอบซิตคอมจากช่องONE31
ที่แรกกับการขึ้นปกแมกกาซีนออนไลน์ของหนุ่ม เก้า-นพเก้า เดชาพัฒนคุณ พระเอกซีรีส์วายจากเรื่อง “นับสิบจะจูบ” เต็มอิ่มไปกับแฟชั่นเซ็ทถึง 100 กว่าหน้า ดุกันให้ฟิน ให้จุใจ แถมยังมีคลิปสัมภาษณ์และเบื้องหลังแฟชั่นแบบ Uncencor ของน้องเก้า นอกจากนี้ในยังมีเนื้อหาในเล่มให้อ่านกันเต็มอิ่มพ่วงมาด้วยคลิปต่างๆ
แฟน “นับสิบ” ไม่ควรพลาดกับE Photobookสามารถดาวน์โหลดได้แล้ววันทางช่องทางต่อไปนี้
OOKBEE :
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/24031655-fd39-4e66-976f-840579f18515/mars-homme-magazine-online-kao?fbclid=IwAR3nhtTxtYCFAMQSzg2xiQ3uswO0Pltqz1TIEjAYN_0rugEgiZSkoDpRmTk
แม้ตลาดซีรีส์วายในปีนี้จะบูมสุดขีดเพราะมีลิสต์รอผลิตและออนแอร์อยู่เกือบ40เรื่อง นี่ยังไม่นับซีรีส์วายเกาหลี ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ที่เข้ามาตีตลาดไทยบ้างแล้ว แต่ฟังธงไว้เนิ่นๆ ว่าหนึ่งในพระเอกที่จะดังมากในปีนี้จะมีชื่อ “เก้า-นพเก้า เดชาพัฒนคุณ” พระเอกซีรีส์วายเรื่อง“นับสิบจะจูบ”ที่กำลังออนแอร์เร็วๆ นี้ทางช่อง3HD เก้า นพเก้า ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเสียทีเดียวเพราะก่อนหน้านี้เก้าเคยแสดงซีรีส์วาย“ด้ายแดง”มาแล้ว เพียงแต่ด้วยบทคู่รองที่ได้รับ ทำให้ออร่ายังไม่เปล่งประกายมากนักแต่แฟนคลับก็หนาแน่น กับก้าวใหม่ในฐานะนักแสดงนำ มีสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายอยู่ไม่น้อย
Q : ก่อนจะถามเข้าเรื่อง อยากรู้ว่าทำไมถึงชื่อ “เก้า”
A : ผมเกิดวัน 9 เดือน 9 เวลา 9 โมง ครับผม และก็เกิดมาอยู่ห้องคลอดเลขที่ 9 แม่กับป้าก็เลยตั้งชื่อว่าให้ “เก้า” นพเก้า ครับ
Q : ถ่ายซีรีส์จบหรือยัง นับสิบจะจูบ เป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย
A : จบแล้วครับ ก็จะได้ดูกันเร็ว ๆ นี้ครับ ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ เรื่องนี้เป็นซีรีส์วายเรื่องที่ 2 ครับ แต่แสดงนำเป็นเรื่องแรกครับ นับสิบนี่ถ้าตามคาแรกเตอร์ จะเป็นคนเงียบ ๆ คล้าย ๆ ผม พูดน้อย แต่เวลาเขาพูดหรือเวลาเขาคิดอะไรนี่เขาจะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ มันจะแสดงออกในคาแรกเตอร์ของเขา ในการกระทำของเขา เขาจะเป็นคนมีแผนการ มีกระบวนการทางความคิดที่เวลาเขาจะเข้าหาหรือหลอกใช้ใคร แต่ตรงนี้จะแตกต่างจากตัวผมนิดหนึ่งตรงที่ว่า ผมเป็นคนพูดน้อยหรือผมเป็นคนพูดจาตรง ๆ แต่ไม่ได้มีแฝงในคำพูดเหมือนตัวนับสิบครับ ผมเป็นคนซื่อ ๆ
Q : จากที่เล่นเป็นบทรองในด้ายแดงแล้วมาแสดงเป็นคู่นำนี่รู้สึกอย่างไรบ้าง
A : ตื่นเต้นและกดดันมากครับ พอเป็นนักแสดงนำเรื่องแรกนี่ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันเลยว่า เราจะทำออกมาดีหรือเปล่า เราจะทำตามที่แฟนนิยายเขาคาดหวังไว้ได้หรือไม่ แต่พี่ตี๋ผู้กำกับเขาก็คอยให้คำปรึกษาผม คอยให้คำแนะนำผม เขาก็บอกให้ผมทำออกมาแบบที่ตั้งใจ แสดงความสามารถออกมา หวังว่าแฟนซีรีส์เขาก็จะมองข้ามจุดพลาด จุดด้อยของเราไป แล้วก็เห็นความพยายามของเรา มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีครับ
Q : เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราจะต้องมาแสดงนำ และพอต้องมานำในซีรีส์วายด้วย เป็นอย่างไรบ้าง
A : ผมไม่ได้คิดหรอกครับ แต่ก็มีความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราบ้างว่า สักวันหนึ่งเราจะมาเป็นนักแสดงนำหรือว่าได้โอกาสมารับบทเป็นบทนำบ้าง และพอต้องมารับบทนำจิงๆ หนักเลยครับ หมายถึงจูบหนักเลยครับ พอจากตอนแรกเป็นรองใช่ไหมครับ มันก็อาจจะมีซีนหวาน เลิฟซีนบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่พอเรามาเป็นบทนำนี่เราหนักหน่วงมากครับ
Q : แสดงว่าเลิฟซีนตรงกับในนิยาย ?
A : น่าจะครับ
Q : เก้าเข้าวงการมาได้อย่างไร
A : ผมเริ่มจากการถ่ายโฆษณาครับ แต่เดินยังไม่เคยนะครับ แรกๆ ก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าจะมาเล่นละคร เพราะว่าเราไม่ได้มีความสามารถทางด้านนี้จริงจัง ผมเป็นคนขี้อายมาก ไม่คิดเลยว่าจะได้มาทำตรงนี้ สมัยเด็กๆ อยากเป็นนักกีฬา แต่น้าของเรารู้จักผู้จัดการดารา เขาก็มาชักชวนเรา ซึ่งก็คือพี่วุฒิที่ชวนมาให้ทำอะไรง่าย ๆ ก่อน ไป cast โฆษณาไปถ่ายครั้งแรกก็ยังโดนผู้กำกับด่า รู้สึกท้อเหมือนกันนะ แต่พอเราได้เข้ามาทำตรงนี้แล้ว มีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ แล้วเราเห็นความตั้งใจของเขา เราเห็นการผลักดัน มันก็ทำให้เราชอบและเราอยากทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
Q : จากหนุ่มขี้อายพอต้องมาแสดง ปรับตัวหรือเรียนรู้อะไรต่างๆ ยากมั้ย
A : มากครับ แต่ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ รับประสบการณ์จากคนอื่นมา ยิ่งเรื่องนับสิบนี่ผมได้พาร์ตเนอร์ที่ดีมากเป็นอัพ (ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง) เขาเป็นคนที่เก่งมาก ผมบอกเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่ง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องการแสดง ผมยกให้เขาเลยครับ ผมจะบอกเขาตลอด บอกกับทุกคนตลอดว่า ได้เรียนรู้อะไรจากอัพบ้าง เขาเป็นคนถ่อมตัว เราทำงานกับเขาเราก็แอบเก็บประสบการณ์ดีๆ มา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก
Q : ก่อนมาเล่นซีรีส์วาย เก้าเคยเล่นละครมาก่อนเรื่องหนึ่ง
A : ใช่ครับ เรื่องสะใภ้กาฝาก ของ TV Thunder ครับ บทที่ได้ก็จะเป็นคนทะเล้น ๆ เป็นคนพูดมาก
Q : แล้วพอมาเล่นซีรีส์วายเราปรับตัวหรือยากไหมกว่าเดิมมั้ย
A : ยาก ๆ เพราะว่ามันต้องเป็นคนไหลลื่น และยิ่งผมเป็นคนที่พูดน้อย ยิ่งเป็นคนขี้อาย ความธรรมชาติหรือเสน่ห์ ความแพรวพราวก็ไม่ค่อยออกมา มันก็ยากเหมือนกันครับ แต่ถ้าเทียบความยากระหว่างด้ายแดงกับนับสิบนะ จริง ๆ ทั้งสองเรื่องเป็นบทที่หนักทั้งคู่ แต่คือนับสิบนี่เราจะได้เล่นนำ เราจะได้เล่นเยอะกว่า ได้เล่นทั้งคอมเมดี้ ดราม่า เลิฟซีน มันรวมอยู่ในเรื่องนับสิบหมดเลยครับ ซึ่งในตอนที่เราเล่นด้ายแดงก็จะมีแค่ดราม่า
Q : ชอบอันไหนมากกว่ากัน
A : จริง ๆ ชอบทั้งคู่ เพราะว่าเป็นผลงานส่วนตัวผมเลย และผมได้รับโอกาสดีๆ เรื่องด้ายแดงนี่ได้โอกาสจากพี่นิวเลย ทำให้ผมได้มีฐานแฟนคลับที่มากเพิ่มขึ้นทุกวัน นี่ก็เพราะพี่นิวเลยครับ
Q : คิดอย่างไรที่นักแสดงชายยุคนี้ ถ้าจะแจ้งเกิดต้องแสดงซีรีส์วาย
A : คิดว่าเป็นก้าวแรกนะครับ เพราะว่าวงการของวัยรุ่นจะให้ไปเริ่มเล่นละครเลยมันก็เป็นโอกาสที่ยาก เพราะว่าเขาก็มีฐานคนดูที่มันสูงมาก พอเราได้เริ่มลองเล่นซีรีส์ก่อน มันก็ทำให้เราเรียนรู้และพัฒนาขึ้น
Q : เมื่อกี้เก้าบอกว่าเก้าเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำงานในวงการ แล้วกับเรื่องร้องเพลงล่ะ ทำไมจู่ ๆ ไปจอยกับโปรเจ็กต์ BOYFREINDS ได้
A : ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มากกว่าครับ เราก็ทำงานมา พอเข้าวงการเราเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมานิด ๆ หน่อย ๆ ผู้ใหญ่เขาก็เห็นแววมั้งครับ เขาก็เอ็นดูเรา ก็ชวนให้เราไปลองร้องเพลงไหม อยากเป็นศิลปินไหม เราก็ได้มีโอกาส ต้องขอบคุณทางผู้ใหญ่มากกว่า จริง ๆ ผมไม่เก่งด้านนี้เลย
Q : แล้วพอต้องไปร้องเพลงแล้วเรารู้สึกอย่างไร เราร้องได้ไหม หรือว่าเอ๊ะเราค้นพบอะไรบางอย่างในตัวเรา
A : ค้นพบเหมือนกันครับ ค้นพบว่าเออเราไม่ได้ร้องเพี้ยนมาก (หัวเราะ) จากเดิมที่ว่าเราคิดว่าเราร้องเพี้ยนเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่ได้ร้องเพี้ยนมาก และเราสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการเริ่มทำงานทางด้านเป็นศิลปิน ก็ทำให้เราพัฒนาขึ้น แล้วเวลาทุกครั้งที่เราได้รับโอกาสขึ้นเวทีหรือขึ้นคอนเสิร์ตนี่ ก็ทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็ตื่นเต้นมาก และมันก็จริง ๆ ผมจะมีปัญหาทางด้านก่อนขึ้นเวทีมาก จะเกิดอาการเหมือนขาสั่นครับ
Q : พอมีโอกาสได้จอยโปรเจ็กต์ BOYFREINDS แล้วมีอะไรสะกิดเราให้อยากเป็นศิลปินบ้างไหม หมายถึงเป็นศิลปินเดี่ยวในอนาคต
A : อยากครับ สะกิดเราเหมือนกัน เพราะว่าก่อนที่เราจะมาทำงานเพลง เราเป็นนักแสดง แต่เราก็อยากเป็นศิลปินมาก่อน เพราะว่าเราชอบเล่นดนตรี คนเรามีความสุข เราก็ร้องเพลง มันก็มีความคิดว่าเราอยากเป็นศิลปินอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กครับ
Q : เมื่อกี้เก้าบอกว่าเป็นเด็กขี้อายและเคยมี aim ว่าอยากจะเป็นนักกีฬามากกว่า กีฬาที่ชอบคืออะไร
A : ฟุตบอล จริง ๆ ผมได้มีโอกาสเป็นนักกีฬาเกือบทุกประเภทเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กลองมาหมดแล้วทั้งว่ายน้ำอะไรอย่างนี้ก็ตั้งแต่เด็กเลย และก็สุดท้ายมาก่อนฟุตบอลก็เป็นบาสเกตบอลประจำโรงเรียน แล้วก็มาเป็นนักฟุตบอล และสุดท้ายก็มาทำวงการ
Q : ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไร เป็นคนกรุงเทพฯ หรือเปล่า
A : ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ครับ คนเหนือครับ คนพะเยาครับ เกิดและเติบโตที่นั่น เป็นลูกคนเดียวครับ ชีวิตวัยเด็กก็ไม่มีอะไรมากครับ ส่วนใหญ่ก็อยู่กับเพื่อน เรียน กลับบ้าน เป็นคนไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก
Q : เป็นลูกคนเดียวไม่โดนสปอยล์หรือ
A : ไม่ครับ คุณพ่อนี่เข้มงวดหนักมาก ส่วนคุณแม่ก็อาจจะมีสปอยล์บ้างนิดหนึ่ง แต่ว่าไม่หนักมากครับ ตอนเรียนมัธยม ติดเพื่อนจริงจังมากครับ ตอนนี้ เรื่องเที่ยวเรื่องอะไรพวกนี้ทิ้งหมดทุกอย่าง ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียว
Q : เป็นคนดูแลตัวเองอย่างไร
A : เมื่อก่อนก็ใส่เสื้อยืด กางเกงสีดำ ไม่ดำก็ขาว วนเวียนอยู่อย่างนั้น แค่นี้แหละครับ แต่ปัจจุบันก็มีโอกาสให้เราได้แต่งตัวมากขึ้น ดูแลตัวเองมากขึ้น เป็นเรื่องที่สนุกเหมือนกัน เหมือนได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เริ่มหาเสื้อสีสันมาใส่ เริ่มแต่งตัวมากขึ้นครับ
Q : เรื่องออกกำลังกาย รักษาหุ่นล่ะ
A : ส่วนใหญ่คุมอาหารดีกว่าครับ ผมไม่ได้ค่อยเข้าฟิตเนสมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนบ้าฟิตเนสมาก ตอนเริ่มเล่นแรก ๆ ถึงกับว่าเคยมีกล้ามสวยมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาจริง ๆ ครับ
Q : ความสนุกในกองถ่ายมีอะไรบ้างไหม ระหว่าง นับสิบกับด้ายแดง เล่าให้ฟังหน่อย
A : ด้ายแดงก็สนุกกับเพื่อน ๆ มาก น้อง ๆ ด้ายแดงนี่เราเป็นคนที่แก่ที่สุดในกองเลยนะครับ น้องโอห์ม น้องแซมมี่ น้องเอิร์ธ น้องเปรม น้องบุ๋น ทุกคนอายุน้อยมาก 20 นิด ๆ ไม่มีใครเกิน 22 อะไรอย่างนี้ แล้วผมกกระโดดไปถึง 25-26 ครับ พวกเขาเรียกผมว่าลุง แต่เรามีนิสัยเด็กๆ อยู่แล้วเราก็เข้ากับน้อง ๆ ได้ง่าย ส่วนกองนับสิบนี่ก็อายุไล่เลี่ยกันหน่อย ก็สนิทกันเป็นเพื่อนกัน สนุกกันคนละแบบครับ
Q : ตัวตนของเก้าจริง ๆ เป็นอย่างไร
A : ผมหรือครับ ตัวตนของผมจริง ๆ ถ้าผมอยู่กับเพื่อนผมก็จะเป็นคนค่อนข้างช่างพูดเหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่กับเพื่อนสนิทเรา เราก็มีอะไรให้พูดกับเพื่อนสนุกสนาน พูดได้ไปเรื่อยเหมือนกันถ้าอยู่กับ ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนเป็นรุ่นพี่มากกว่า เพราะว่าบางทีผมก็เป็นคนที่พูดน้อย แล้วเราคบคนที่อายุเยอะกว่า เขาก็จะเป็นคนชอบพูดให้เราฟัง แล้วเขาเห็นเราเป็นคนฟังที่ดี เขาก็แบบว่าทำให้ผมมีเพื่อนสนิทหรืออะไรเป็นรุ่นพี่เยอะ
Q : กับอัพนี่ตอนที่รู้ว่าต้องมาแสดงด้วยกันนี่ จูนกันนานไหมกว่าเคมีจะคลิกกัน
A : กับอัพนี่เป็นเรื่องที่จูนกันง่ายมากนะครับ เพราะว่าอัพก็เป็นคนคุยสนุกสนานมาก ตอนเจอกันครั้งแรกผมเกร็ง ๆ นิดหนึ่ง แต่อัพก็ชวนผมคุย ผมก็ชวนอัพคุย เราคุยกันแบบไม่ถือตัว เหมือนคนบ้าคุยกัน เพราะเราเล่นอะไรกันคล้าย ๆ กัน มีความเป็นเด็ก คล้าย ๆ กัน
Q : แล้วพอสนิทกันมากแล้วต้องมีบทแบบเลิฟซีน ฟีลลิ่งตอนนั้นอย่างไรบ้าง เขินไหม
A : เขินไหม เขินอยู่แล้วครับ เพราะว่าอัพเป็นเพื่อนเรา และเราได้ลองจูบกับเพื่อน ถึงมันจะเป็นบท มันก็มีความรู้สึกเขินอยู่ดี ผมก็ถามอัพเหมือนกันนะว่ารู้สึกอย่างไร ครั้งแรกเหมือนกันใช่ไหมครับ อัพก็บอกเขิน ครั้งแรกผมก็เขิน ทุกวันนี้ก็ยังเขินอยู่ ใช่ และก็เอาออกไปไม่ได้อยู่ดีความเขิน
Q : เหตุผลที่แฟนคลับต้องชมนับสิบจะจูบ มันต่างจากซีรีส์วายเรื่องอื่นอย่างไร
A : คือจะบอกว่าเรื่องนับสิบนี่เป็นเรื่องที่มีหลายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นดราม่า คอมเมดี้ เลิฟซีน โรแมนติก มีครบหมดเลยครับ บางทีเราก็เล่นเป็นนิยายบ้าง สยองขวัญบ้าง มีครบมากจริง ๆ อยากให้ทุกคนได้ดูครับว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร แล้วมันเป็นเรื่องราวของเหมือนคล้าย ๆ เบื้องหลังวงการซีรีส์วาย ทั้งมุมมอง แฟนคลับ หรือมุมมองนักแสดงที่หยิบมาเล่นกันได้ ก็อยากให้ทุกคนติดตามเรื่องนี้พี่ ๆ ผู้กำกับและทีมงานทุกคนนี่เขาตั้งใจทำงานเต็มที่มากครับ
Q : ย้อนกลับไปนิดหนึ่งตอนที่เราคุยกันเรื่องด้ายแดง เก้าบอกว่ามันเริ่มทำให้เรามีฐานแฟนคลับมากขึ้น ทุกวันนี้แฟนคลับเราเป็นอย่างไรบ้างครับ
A : แฟนคลับผมหรือครับ ผมจะเรียกแฟนคลับตัวเองว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ผมไม่ค่อยอยากเรียกว่าแฟนคลับ พี่ ๆ น้อง ๆ ผมนี่เป็นคนที่น่ารักมากครับ เท่าที่ผมรู้จักมาเกือบทุกคนนะครับ เวลาผมไปทำงานที่ไหนเขาก็จะคอยส่งกำลังใจ บางทีเขามาไม่ได้เขาก็จะมาหา
Q : ทุกวันนี้เราเล่นโซเชียลมีเดียเยอะมากน้อยแค่ไหน
A : น้อยมากครับ
Q : ทำไม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นช่องทางที่เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับเราได้ตลอดเวลา
A : มันบอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับ บางทีเราจะเป็นคนที่ชอบส่องเหมือนกันนะ เข้าไปส่องว่ามีคนพูดถึงเราบ้างไหม บางทีเราไม่ได้เข้ามานาน ๆ เพราะว่าเวลาผมอยู่ห้อง ผมก็จะเป็นคนทำโน่นทำนี่ ถ้าทำงานผมก็จะเป็นคนตื่นเต้นกับงาน หรือเรายังใหม่อยู่ ลืมเข้าไปเล่น หรืออะไรอย่างนี้ครับ แต่หลัง ๆ นี่มีบ้าง เพราะว่าเราต้องแบบว่าแอบส่องแฟนคลับ
Q : หรือว่าจริง ๆ แล้วเก้าเป็นคนที่มี space ของตัวเองค่อนข้างสูง
A : ถามว่ามี space ของตัวเองค่อนข้างสูงไหม ไม่ค่อยนะครับ ถ้าคนที่รู้จักผมจริง ๆ อย่างเพื่อนสนิทผม เขาจะรู้ว่าผมเป็นคนอยากจะเข้าหาคนนั้นคนนี้ หรือ friendly เป็นคนค่อนข้างเปิดเผย พูดจาตรง ๆ
Q : ตอนที่เล่นด้ายแดงที่บอกว่าเป็นดราม่าหนัก ๆ เวลาผู้กำกับเขาคัทแล้วเราดึงตัวเองกลับมาอย่างไร
A : ผมหรือครับ ผมนี่จริง ๆ ผมเป็นคนค่อนข้างจะ down ยาก มันจะคัทตัวเองง่ายมากผม พอคัทปุ๊บเราก็จะนิดหนึ่ง นิ่งนิดหนึ่งแล้วสามารถกลับมาเป็นตัวเราได้ เพราะว่าเราอยู่กับปัจจุบันมากกว่า เราจะเทียบเคียงหรือใช้ความคิดหรือสถานการณ์ปัจจุบันมาเทียบเคียงมากกว่า มันก็ทำให้เราหลุดออกมาง่าย ผมไม่เคยใช้การเทียบเคียงเรื่องอดีตหรืออะไรที่มันหนัก ๆ ในชีวิต
Q : โอเค เรื่องความรักเป็นอย่างไรบ้างครับ
A : เรื่องความรักหรือครับ ยังไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนี้ครับ เพราะว่าผมอยากโฟกัสกับงานมากกว่า ทำให้ดีก่อนครับ
Q : อยากฝากผลงานล่าสุดของเราหน่อย
A : ก็ฝากซีรีส์นับสิบจะจูบ ด้วยนะครับ อยากให้คนมาติดตามและมาดูเยอะ ๆ ครับ เพราะว่าพวกเราและทีมงานนี่ตั้งใจทำกันมากฃ จะได้ชมเร็ว ๆ นี้ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ทางช่อง WeTV นะครับ และช่อง 3 หมายเลข 33 ครับ
โดย Takeshi West
ติดตามดาวน์โหลดได้แล้วที่ :
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/24031655-fd39-4e66-976f-840579f18515/mars-homme-magazine-online-kao
https://www.mebmarket.com/ebook-150114-Mars-Homme-Magazine-Online-KAO
]]>
Season 2 เพิ่งออนแอร์ไปหมาดๆ ความรู้สึกหลังออนแอร์ ระหว่าง Season 1 กับ Season 2 แตกต่างกันเป็นอย่างไรบ้างคะ
โอ : ตื่นเต้นครับ เมื่อวานนั่งลุ้นอยู่ว่าจะออกมาอย่างไรบ้างครับ
สตรอง : โอถามผมตลอดเลยครับว่า ดูหรือยังๆ แต่ผมว่าซีซั่น 2 ตื่นเต้นกว่าครั้งแรกนะ
ทำไมล่ะ
สตรอง : ผมรู้สึกว่า มันหายไปช่วงหนึ่ง
โอ : ใช่ครับ มันห่างหายไปสักพักหนึ่ง แล้วเรารู้สึกว่าพอกลับมา Season 2 พวกเราก็อยากรู้ด้วยว่ามันจะเป็นอย่างไร การตัดออกมาเป็นอย่างไร
สตรอง : เพราะเราก็ยังไม่เคยเห็นเคย
โอ : ใช่ๆ เรายังไม่เคยเห็นเลย เราก็ต้องดูไปพร้อมกับผู้ชมครับ
สตรอง : แล้วประเด็นก็คือ พาร์ตแรกจะเป็นพาร์ตที่โอ๊ตจีบป๊อบใช่ไหมครับ มันจะเป็นพาร์ตที่ดูได้เรื่อยๆ แต่พาร์ตนี้จะเป็นพาร์ตที่หนักหน่วงหน่อยๆ จะเป็นพาร์ตที่พวกเราทำงานหนักมาก
โอ : เพราะว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างที่จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
สตรอง : ใช่ครับ
ดูจากทีเซอร์แล้ว แรงขึ้น เหมือนมีการซ่อนปมเพื่อนทรยศอะไรอยู่ในที่
สตรอง : เยอะๆๆ ซึ่งเจ็บ บอกเลยว่าเจ็บ คนดูต้องติดตาม
โอ : ใช่ครับ ต้องติดตามจริงๆ ครับ
ความยากในการถ่ายทำซีซั่นแรกกับซีซั่น 2 ต่างกันมากไหม
สตรอง : เอาจริงๆ ซีซั่นแรกจะไม่ค่อยเข้ากับตัวผมสักเท่าไร เพราะว่าซีซั่นแรก โอ๊ตจะเป็นคนที่ดูกะล่อนๆ ชอบตอดนิดตอดหน่อย แต่พอมาซีซั่น 2 Final Call มันจะเป็นเริ่มเข้มข้น คือเริ่มเข้าใกล้ตัวผมมากขึ้น ด้วยความที่พอเริ่มมีความรักจริงๆ แล้ว มันก็จะค่อยๆ ลึก ลึกลงไปจนมีปมที่ผูกกับหลายๆ อย่าง ทำให้น่าติดตามมากขึ้นครับ แล้วก็ยากมากขึ้นด้วยโอ : ส่วนผมรู้สึกว่า ซีซั่น 1 กับซีซั่น 2 มีความยากพอๆ กันนะ ด้วยความที่เป็นเรื่องแรกของผม ผมยังใหม่อยู่ เพราะฉะนั้นการแสดงระหว่าง 2 ซีซั่น ผมรู้สึกว่า ความยากและความน่าตื่นเต้นมันพอ ๆ กันครับ แต่ว่าความยากก็จะน้อยกว่าความตื่นเต้น เพราะตื่นเต้นก็จะน้อยลงแล้ว
เมื่อกี้สตรองบอกว่าตัวซีซั่น 2 ใกล้กับตัวเรามากขึ้น คำว่าใกล้ นี่คืออะไร หมายถึงบุคลิกของตัวเรา หรือตัวเราจริงๆ
สตรอง : มันไม่เชิงว่าเป็นตัวเราจริงๆ แต่ว่ามันเป็นการ recall memory ของเราที่ว่า มันเป็นช่วงที่เรารักใครคนหนึ่ง แล้วก็มันดันมีปมส่วนตัวของโอ๊ต สปอยล์ได้ไหม มันไม่ควรสปอยล์นะ แต่บอกให้นิดหนึ่งก็ได้ว่า มันเป็นปมเกี่ยวกับครอบครัว การโดนคนที่เรารักหักหลัง
โอ : ใครล่ะ
สตรอง : เออนั่นดิ ใครล่ะ เออใช่ อาจจะตรงกับชีวิตของใครหลายๆ คนก็ได้ ด้วยความที่ว่าในเรื่องโอ๊ตเป็นคนที่มีความรักไม่มีขอบเขต รักใครก็รักได้ แล้วก็ทำให้หลายๆ อย่างมองไปแล้วมันดูเล็กน้อย แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดี มันไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่ แต่ว่าพอในเรื่องมันจะมีสิ่งเร้าอื่นๆ เข้ามา ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้น แล้วก็ดำเนินไปจนจบ
ตอนที่จบซีซั่นแรก ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากไหม
โอ : ตอนที่จบซีซั่นแรก ผมรู้สึกว่า การดำเนินชีวิตเราเปลี่ยนนะ เพราะเริ่มมีคนรู้จักเรามากขึ้นครับ แต่ว่าถ้าถามนิสัยของผมกับตอนแรกที่เล่น กับตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคือตัวป๊อบกับเรามีความคล้ายกันมากๆ อยู่แล้ว แม้ว่าเราจะเป็นผู้ชาย แต่ว่าเราเป็นผู้ชายที่แบบ
ขี้อ่อย
โอ : ไม่ได้อ่อย
สตรอง : จริงๆ มันขี้อ่อย
โอ : ไม่ได้ขี้อ่อย มันเป็นไปตามธรรมชาติ
สตรอง : นั่นแหละเขาเรียกมึงขี้อ่อย
โอ : เหรอ
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ อีบุ๊ค : MARS HOMME Magazine Online
ดาวน์โหลดผ่านช่องทาง
https://www.mebmarket.com/index.php?action=SearchBook&page_no=1&type=tab_all&search=mars%20homme
https://www.ookbee.com/search?keyword=mars%20homme&searchType=all
ห่างหายไปพักใหญ่ๆ เบญจกาย ยังไม่หายไปจากโลกนี้นะคะ แค่ปลีกวิเวกไปจิกแรงงานต่างด้าวแถวสมุทรปราการมาค่ะ อุ๊บส์ ไม่ใช่เพื่อการนั้นนะคะ อย่าคิดมากแค่ออกไปทำวิจัยเรื่องความเป็นอยู่ว่าแรงงานต่างด้าวอยู่กันสบายดีมั้ย เผื่อมีอะไรที่เบญจะช่วยได้บ้าง ระหว่างที่ขับรถตระเวนเข้าตรอกซอกซอย สายตาก็ไปพบกะเทยสาวแต่งชุดข้าราชการเดินพบปะประชาชนอยู่ในย่านหมู่ 9 ตำบลบางปูใหม่ ในใจก็ อ๊ะ คสช. ให้เดินหาเสียงแล้วหรือ? แต่ไหนๆ ก็มาบุกถึงถิ่นนางแล้ว ก็ต้องคุยกับนางสักนิด ชะรอยว่ามาบุกถ้ำเสือ ถ้าไม่ซูฮกเจ้าถิ่น อาจจะโดนตบเอาง่ายๆ
สาวหน้าฉ่ำ ตัวท้วมๆ สมส่วน ท่านนี้คือ ‘เปรมม่า’ (หรือเปรม ตามชื่อที่บ้าน) ‘ณัชชากฤฒ เดือนแจ่ม’ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ค่ะคุณขา กะเทยเมืองไทยนี่เก่งนะคะ อยู่ได้ทุกอาชีพ อย่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คอยดูแลชุมชนต่างๆ ก็มีจำนวนไม่น้อยทั่วประเทศไทย จะเรียกได้ว่างานขับเคลื่อนชุมชนไทยนี่กะเทยก็เป็นหัวจักรสำคัญมิใช่น้อย ดิฉันเอ่ยปากทักทายแนะนำตัวและเชื้อเชิญขอสัมภาษณ์เธออย่างเป็นทางการ ซึ่งเธอก็ยินดีที่จะแนะนำตัวให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกัน แถมคุยไปคุยมา เธอยังมีชีวิตหลายๆ ด้านที่น่าสนใจอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
Q : เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมากี่ปีแล้ว ช่วยเล่าที่มาหน่อยค่ะ
A : เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมา 4 ปีแล้วค่ะ ตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นข้าราชการนะคะ มาจากการเลือกตั้ง ตอนแรกเนี่ย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาทำงานด้านนี้ เพราะก่อนหน้านี้ เปรมทำงานบริษัทเอกชนอยู่ที่ภูเก็ต เป็นผู้จัดการภาคใต้ ดูแลภาคใต้ทั้งหมด คือบริษัทที่เคยทำเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ตทั่วภาคใต้ ก็เลยต้องดีลงานกับเขาไปทั่ว คราวนี้พอทำงานไปได้สักพักใหญ่ๆ มีความรู้สึกว่า เรากลับบ้านมาหาพ่อแม่ดีกว่า ก็เลยพักงาน ทีนี้ตอนช่วงพักงานได้ทำอาชีพส่วนตัวด้วย ค้าขายพวกน้ำหอมบนอินเทอร์เน็ต มันก็ใช่ว่าจะขายดีมาก แต่ขายได้เรื่อยๆ เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หยุดการทำงานบริษัทเอกชนไปเลยค่ะจากนั้นหนึ่งปี มีผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านมาขอให้ร่วมทีมเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และลงแข่งในการรับเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน เพราะผู้ใหญ่บ้านคนเก่าหมดวาระไป จำต้องมีการเปิดแข่งขันด้วยการเลือกตั้งใหม่ ทีมผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เราก็ปรึกษากันนะ ว่าอยากจะมาพัฒนาสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้านของเรา อยากทำอะไรบ้าง เลยตัดสินใจลงแข่งขัน แล้วก็ได้รับการเลือกตั้งชนะคะแนนเสียงมาค่ะ
Q : ตอนที่เราเสนอตัวลงสมัครเข้าทีมเนี่ย ทุกคน รวมทั้งลูกบ้านรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นกะเทย
A : รู้ค่ะ รู้ว่าเป็นกะเทยหรือว่าสาวสองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะจริงๆ ในชุมชนเราก็อยู่กันมา เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนกันเองทั้งนั้นล่ะค่ะ ในแง่การทำงานที่ผ่านมาการเป็นกะเทยหรือว่าสาวสอง ไม่มีปัญหาเลยนะ มิหนำซ้ำคนแถวนี้ชอบด้วยค่ะ ทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชน คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา เพราะเราเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พูดคุยง่าย แล้วเราก็ช่วยเหลือเขาได้ทุกเรื่องในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง ทั้งเรื่องการสาธารณสุขต่างๆ น้ำ ไฟ ท่อตัน หรือไม่ก็เป็นในส่วน อสม. เราต้องดูด้วยนะคะ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ส่วนเรื่องความมั่นคงก็มีบ้าง จากการตรวจพื้นที่ เราก็พบว่ามีเรื่องยาเสพติดอยู่บ้าง ต้องประสานงานกับฝ่ายปกครองด้วย ตำรวจ ปลัดอำเภอ ต้องประสานสิบทิศค่ะ
Q : ที่ผ่านมา 4 ปี มีปัญหาอะไรที่หนักอกบ้างไหมคะ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลประชาชน
A : ปัญหาหนักอกนี่ น่าจะมีแค่อย่างเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ หรือว่าจะสู้กับปัญหานี้ให้ได้ นั่นก็คือเรื่อง ‘งานเยอะ’บางทีเนี่ยได้พักผ่อนแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง เพราะงานมันต่อเนื่องกัน บางทีลูกบ้านเสียชีวิตเราต้องไปดูแล ต่อด้วยทำโครงการอื่นๆ พอจะเสร็จปุ๊บ อ้าว! ต้องไปดูงูเข้าบ้านนั้นต่อตะกวดเข้าบ้านนี้บ้าง บางทีก็มีฟ้าผ่า งานมันติดๆๆ กัน เป็นเรื่องปัญหาของภายในชุมชนเนี่ยล่ะค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเราจะได้พักผ่อนน้อย เราก็แฮปปี้ เพราะเราตั้งใจมาทำในส่วนนี้ คิดอย่างเดียวว่า เรามีโอกาสได้ทำบุญได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ
Q : การที่เขตนี้่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทำให้มีแรงงานต่างชาติเข้ามาอยู่มากพอสมควร เรื่องนี้เราต้องไปช่วยดูแลด้วยหรือเปล่า
A : แรงงานต่างชาติในพื้นที่ ถ้าในบางปู หมู่ 9 ที่ดูแลอยู่เนี่ยนะคะ ต้องบอกว่าเยอะมากๆ เพราะว่าเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่หน้าที่ของเรา ไม่ต้องดูแลพวกเขาโดยตรง แต่เท่าที่ผ่านมาพวกเขาก็อยู่ร่วมกันกับคนไทยได้ดีนะคะ แต่ต้องเคารพกฎหมายไทย ห้ามยุ่งกับเรื่องยาเสพติด ห้ามมึนเมาวิวาท แล้วด้วยความทที่เราเป็นคนเอเชียเหมือนกัน เวลาถึงเทศกาลสำคัญๆ อย่างลอยกระทง เข้าพรรษา พวกเขาก็อยู่ร่วมกันด้วยดี อย่างชาวพม่านี่ต้องชมเขานะคะว่าชอบทำบุญมาก ทำบ่อยกว่าคนไทยอีกนะคะ
Q : ไลฟ์สไตล์ของคนบางปูเป็นอย่างไรบ้าง
A : ไลฟ์สไตล์ของคนบางปู ถ้าคนพื้นที่จะไม่อะไรมากนะคะ จะคล้ายๆ กับสังคมเมืองทั่วไป เพียงแต่ที่นี่จะมีธรรมชาติสไตล์บางปู เช่น ทะเลบางปู ตอนเย็นๆ จะมีคนออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพเยอะ ส่วนในวันปกติก็จะไปทำงานกัน จะเป็นในออฟฟิศหรือว่าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือบางส่วนก็ไปทำงานในกรุงเทพฯ นะคะ คล้ายๆ กับสังคมเมืองทั่วไปค่ะ
Q : ในชุมชนของเรามีคนที่เป็นกะเทยเยอะไหม
A : ในชุมชนมีเพศที่สามค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ส่วนมากจะทำงานโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ประชากรในหมู่ 9 จะมีอยู่ประมาณ 3,000 คน แต่มีประชากรแฝงประมาณ 30,000-40,000 คน ซึ่งมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาทำงานที่สมุทรปราการคนเหล่านั้นก็มีทุกเพศนะคะ บางทีเนี่ยเจอหนุ่มสาวหน้าตาดี แต่เขาไม่ได้เป็นเพศชายเพศหญิง ทักผิดก็มีนะคะ
Q : การที่เราเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่เป็นเพศที่สาม เขาได้มาขอความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาอะไรจากเราบ้างไหม
A : เรื่องขอความช่วยเหลือของลูกบ้านเพศที่สามตอนนี้ยังไม่เคยเจอนะคะ เพราะว่าเชื่อว่าแต่ละคนเขาก็จะมีวิธีการจัดการเรื่องส่วนตัวได้ค่ะ แล้วส่วนใหญ่จะมีไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของตัวเอง แต่ถามว่าพอเจอหน้ากันคุยไหม ก็ทักทายกันปกติ
Q : การที่เราเป็นกะเทย เวลาต้องไปติดต่องานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยเฉพาะการเข้าหาผู้ใหญ่ในตำแหน่งสูงๆ มีอุปสรรคอะไรบ้างไหม
A : ที่ผ่านมาไม่ได้พบปัญหานะคะ ตอนเข้ามาแรกๆ ก็จะมีกังวลนิดหนึ่งว่าเราจะเอาภาพลักษณ์ไหนดี แต่งหญิงมั้ย หรือแต่งแมนดี เขาจะดูถูกหรือเหยียดเพศกันไหม แต่พอมาทำไปได้สักพักต้องบอกเลยว่าผิดคาด ที่นี่มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสสูงมาก ทุกคนเลย ทุกหน่วยงานนะคะ แล้วทุกคนพูดจาดีน่ารัก ให้ความช่วยเหลือเราดี คอยชี้แนะแนะนำเราดีมาก เราต้องบอกว่าขอบคุณผู้ใหญ่ทุกภาคส่วนของบางปู แล้วก็ในอำเภอเมืองมากเลยค่ะว่า ทุกท่านนิสัยดีและน่ารัก แล้วเป็นกันเองดีมากค่ะ
Q : อยากจะถามเรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวนิดหนึ่ง นอกจากจะเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแล้วยังมีงานอดิเรกอื่นๆ ที่เราสนใจอะไรบ้าง
A : งานอดิเรกของเปรมนะคะ ถ้าว่างก็จะเล่นอินเทอร์เน็ต เข้าเว็บ เล่นทวิตเตอร์ แต่ว่าส่วนมากเป็นคนชอบดูซีรีส์วาย ก็เลยทำเพจเพื่อสาววายค่ะ ชื่อ Y Relation รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับซีรีส์วาย ซึ่งเป็นเรื่องความรักของผู้ชายกับผู้ชายนะคะ ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มค่อนข้างเยอะทีเดียว
Q : การเป็นกะเทยแล้วไปดูซีรีส์ที่เป็นสาววาย เรารู้สึกอย่างไรที่แบบสาววายมาชอบซีรีส์เกย์
A : หมายถึงว่า ผู้หญิงที่มาชอบซีรีส์ที่เป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันน่าจะถูกใจผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าผู้หญิงก็ต้องชอบผู้ชายหล่ออยู่แล้ว แล้วผู้ชายหล่อสองคนนี้มาคุยกัน น่ารักใส่กัน มาจีบกัน สาววายเขาคงจะชอบนะคะ ก็เลยติดกลายเป็นภาพลักษณ์ของตัวเขาไปว่า เขาชอบผู้ชายจิ้นกัน
Q : มันเป็นเทรนด์ หรือว่าจริงๆ แล้วมันมีอะไรที่ตอบสนองความต้องการลึกๆ ของสาววายหรือเปล่า ในการที่ชอบให้ผู้ชาย 2 คนมาได้เสียกัน
A :เป็น coming out ของสาวๆ ในยุคนี้ เพราะว่าในยุคก่อนเนี่ย แม้จะมีบ้างแต่ไม่เยอะ แต่ว่าพอประเทศไทยมีซีรีส์วายเรื่องแรกและเรื่องที่สองตามมา มันตอบโจทย์สาวๆ เลยมีชอบมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว เปรมเชื่อว่าผู้หญิงที่ชอบซีรีส์วายเนี่ย เขาชอบกันมานานแล้ว ทีนี้ก็เลยมีการจับกลุ่มรวมตัว ถ้ามีซีรีส์เรื่องไหนที่เป็นชายชายคู่กันก็จะมีแฟนคลับเยอะแฟนคลับบ้าน นี่ล่ะค่ะเป็นสาววาย แล้วก็ติดตามซีรีส์วายในของแต่ละเรื่องค่ะ
Q : ตอนนี้คอมมิวนิตี้ของสาววายที่เราดูแลอยู่ ประมาณกี่คน
A : ชื่อกลุ่ม We love Y Thai นะคะ ในกลุ่มจะอยู่ใน Facebook นะคะ ไปหาดูได้ ก็อยู่ที่ 100,000 คนแล้วค่ะ
Q : แล้วในแพลตฟอร์มอื่นๆอย่างในทวิตเตอร์ล่ะ
A : ในทวิตเตอร์นะคะ ตอนนี้ก็มีผู้ติดตามยังไม่เยอะมากนะคะ ประมาณ 3,000 คน แล้วก็มีไลน์กลุ่มนะคะ ซึ่งเราก็กระจายกัน มีแอดมินท่านอื่นด้วย และมีไลน์กลุ่มอยู่ประมาณ 3 กลุ่มค่ะ กลุ่มละ 500 คน
Q : สัดส่วนของสมาชิกเป็นชะนีกี่คน และเป็นกะเทยจริงๆ ที่เป็นเกย์ประมาณเท่าไร
A : เคยเข้าไปดูในข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มนะคะ สมาชิกของกลุ่ม We love Y Thai ส่วนมากเป็นผู้หญิงวัยรุ่น 11-15 ปี เยอะหน่อย 15-20 ปี จะรองลงมา ส่วนผู้ชายที่เป็นผู้ชายแท้ๆ อาจจะมีแค่ไม่ถึง 10 คน หรือไม่ก็ไม่เกิน 1% เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นผู้ชายที่เป็นเกย์หรือว่าเป็นไบอะไรต่างๆ ค่ะ
Q : ซีรีส์วายมันจะไปได้อีกไกลไหมในความคิดของเรา
A : ตอนนี้ เทรนด์ซีรีส์วายค่อนข้างออกมาเยอะ และแข่งกันเยอะมาก เพราะฉะนั้นถ้าทางต้นสังกัด หรือทางผู้กำกับทำซีรีส์วายที่มีเนื้อหาเข้มข้น ไม่ได้ออกแนวเหมือนยุคแรกคือจิ้นกัน หรือว่ามีเนื้อหาที่เป็นชายชาย แต่ตอนนี้ต้องแข่งกันด้วยเนื้อหา แล้วก็การตัดต่อลำดับภาพค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่ายังไปได้อีกไกลนะคะ ถ้าผลงานวายออกมาแล้วมีคุณภาพ ก็จะมีคน support อยู่เรื่อยๆ
Q : มีเกย์บางคนรู้สึกอารมณ์เสียเวลาที่ดูซีรีส์วาย เพราะว่าฉากเลิฟซีนก็ไม่ถึงใจ ในฐานะที่เราดูแลเรื่องคอนเทนต์สาววายอยู่ เรามีความคิดเห็นอย่างไร
A : เกย์บางคนจะไม่ชอบซีรีส์วายค่ะ เพราะว่าบางทีจะมีฉากที่ไม่สมจริงใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่าซีรีส์วายคือการมโนหรือว่ามโนภาพไปเองของสาววาย เพราะฉะนั้นการมโน จะมโนอะไรก็ได้ จะให้น่ารักฟรุ้งฟริ้งไปเท่าไรก็ได้ บางทีมันจะไม่เรียล หรือไม่จริงนะคะ หรือบางทีมันอาจจะเกินจริง แล้วถ้าคนเป็นเกย์ดูเนี่ย จะไม่ชอบเพราะมันไม่สมจริง ในชีวิตจริงของเกย์มันจะไม่ใช่วาย ส่วนในซีรีส์มันจะโอเวอร์เกินจริงอยู่แล้ว มันจะไม่เหมือนกับชีวิตเกย์จริงๆ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ถ้าซีรีส์เรื่องไหนมโนได้มากหรือทำได้มากก็อาจจะถูกใจ แต่ว่าถ้าซีรีส์เรื่องนั้นเนี่ยทำได้น้อยก็อาจจะไม่ถูกใจเกย์ก็ได้นะคะ
Q : ในฐานะที่เราดูแลพื้นที่ ถ้าจะให้แนะนำสถานที่เที่ยว สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักบางปูได้ไปลองสัมผัสดูบ้าง เราจะแนะนำอะไรบ้าง
A : สถานที่เที่ยวของอำเภอเมือง ตำบลบางปู หรืออำเภอบางปู หลักๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของตำบลบางปูเลยก็คือ สถานตากอากาศบางปู ซึ่งที่นั่นตอนเย็นๆ จะมีนกนางนวลจำนวนมาก แล้วก็มีสะพานที่ทอดยาวออกไปในทะเล มีร้านอาหาร ที่สามารถไปรับประทานอาหาร กินลมชมวิวค่ะ ในบรรยากาศตอนเย็นๆ นักท่องเที่ยวจะชอบมาก ต่อมาก็คือเมืองโบราณสมุทรปราการ ซึ่งค่อนข้างที่จะใหญ่โต แล้วขึ้นชื่ออยู่แล้ว มีทั้งกองถ่ายละครซีรีส์หนังของไทยและของต่างชาติมาใช้เสมอ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคนไทยด้วย อีกที่หนึ่งคือ ช้างเอราวัณ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมชื่นชอบเหมือนกัน ส่วนวัดดังๆ ได้แก่ วัดท่านพ่อลี หรือว่าวัดอโศการาม เป็นวัดที่ชาวบ้านมากราบไหว้กันเยอะมาก มากันไกลๆ ก็มีนะคะ เพราะว่าวัดนี้สงบร่มรื่น
Q : ปกติเวลาเราไปทำงานนี่เราแต่งหน้าไปทำงานทุกวันหรือมั้ย
A : แต่งหน้าทุกวันเลยค่ะ แต่ถ้าอยู่ในหมู่บ้านจะไม่ค่อยได้แต่ง เพราะถ้าสมมุติว่าไปจับงู จับตะกวด หรือไม่ก็ปีนเสาไฟ ทุบท่อ ไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือว่าเวลาทำความสะอาด ตัดกิ่งไม้ ดูแลความเรียบร้อยของนักเรียนนักศึกษา หรือว่ามีเหตุตีกัน หรือเกิดเรื่องตายอะไรอย่างนี้ เอาง่ายๆ ว่างานในหมู่บ้านจะไม่ค่อยแต่งหน้า แต่ถ้าออกมานอกหมู่บ้านเมื่อไร ไม่ว่าจะไปอำเภอ ไปตำบล ไป สน. หรือว่าไป อบต. อบจ. ไปอนามัย เขตอะไรต่างๆ อย่างนี้ค่ะ จะแต่งหน้านะคะ ในลุคนี้ตลอด
ขอขอบคุณสำนักงานเทศบาลตำบลบางปู ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ
www.bangpoocity.com