Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
ซีรีส์ – Marshomme https://marshomme.com Thu, 23 Feb 2023 08:58:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png ซีรีส์ – Marshomme https://marshomme.com 32 32 รู้จักคู่จิ้นสายฮาร์ดคอร์คู่ใหม่ #หล่งท็อป จากซีรีส์ “EvenSun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์” https://marshomme.com/interview/532344/ Thu, 16 Jun 2022 12:17:00 +0000

         ปีก่อนว่าซีรีส์วายไทยคึกคักแล้วนะคะ ปีนี้คึกคักกว่าอีก เพราะผ่านไปแค่ครึ่งปี มีซีรีส์ออนไปแล้วเกือบ 40 เรื่อง ส่วนครึ่งปีหลังที่กำลังเร่งสร้างอีกไม่น้อย 30 เรื่อง รอชมกันเลยจ้ะ ฟินไปตามๆ กัน ส่วนเรื่องนี้ “EvenSun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์” ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดมาก่อน จู่ๆ ก็ปรากฏตัวว่าสร้างเสร็จแล้ว รอออนปลายเดือนมิถุนายนนี้


       คู่นำอย่าง#บุ๋นเปรม ที่ว่าแซ่บแล้ว คู่รอง หล่งซื่อลี กับ ท็อป – ณธรรศ ตันเจริญ พี่ว่าเด็ดกว่า แม้จะโคจรมาพบกันแบบงงๆ ก็ตาม
        หล่งซื่อลี อายุ 21 ปี ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ ที่โด่งดังจากการเป็นเน็ตไอดอล ด้วยภาพลักษณ์นักมวยที่หุ่นดี หน้าดี จนสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันกรี๊ดดด สลบ
        ส่วน ท็อป-ณธรรศ ตันเจริญ เริ่มงานแสดงชิ้นแรกจากภาพยนตร์“รด.เขาชนผีที่เขาชนไก่” (2015) ของผู้กำกับ กอล์ฟ ธัญวารินทร์ สุขะพิสิษฐ์ แต่มาโด่งดังมากๆ จากการประกวด The Face Men 5 ทีมโทนี่ รากแก่น ส่วนซีรีส์วาย “EvenSun ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์” แม้จะเป็นงานปุ๊ปปั๊ปรับโชด แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย


       ฉันนี่แหละ นายอาทิตย์ ใช้เวลาถ่ายทำนานไหมเรื่องนี้
       ท็อป : ประมาณ 4 คิวครับ
       หล่ง : ของเราถ่ายไม่เยอะ เพราะเราไปถ่ายในค่ายมวยครับ เลยใช้คิวน้อย

       อยากให้ทั้งสองคนเล่าคาแรกเตอร์ของตัวเองในซีรีส์ให้หน่อยครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง
       หล่ง : ของหล่งเป็นตัวละครชื่อ “อาชิง” ครับ อาชิงเป็นนักมวยที่มีความใฝ่ฝันอยากจะต่อยมวยอาชีพ อยากจะมีคู่ชกจริงจัง แต่ปมขัดแย้งมันอยู่ตรงที่ คุณพ่อของเขาไม่อยากให้ชกมวย เพราะคุณพ่อทำธุรกิจสีเทา และคุณพ่อจะไม่อยากให้ลูกออกไปคบเพื่อนและมีสังคมภายนอก เนื่องจากการทำธุรกิจสีเทาทำให้มีศัตรูเยอะ เลยเป็นห่วงลูก แต่อาชิงก็พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ไปต่อยมวยให้ได้ครับผม
       ท็อป :ส่วนคาแรกเตอร์ของ “มังกร” ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูด จะเป็นคนที่แสดงออกมาทางสีหน้าแววตามากกว่า ส่วนตัวมังกรเข้ามามีบทบาทในเรื่องอย่างไร คือคุณพ่อของมังกรเป็นหนี้ แล้วเราก็ต้องเข้ามาเป็นขัดดอกแทนคุณพ่อ ทำให้มาเจอกับอาชิงครับ เป็นคู่ซ้อมของอาชิง


      ตอนที่รับเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ตัดสินใจนานไหม
      ท็อป :ถามว่านานไหม มันพึ่งหลังจากโควิดอะครับ พอมีงานติดต่อมา ผมก็รับเลย ไม่ได้คิดอะไรมาก
      หล่ง : พอเห็นตัวบท หล่งชอบ อยากเล่นเป็นนักมวยครับ ด้วยความที่เราเป็นนักมวยอยู่แล้ว เลยอยากเล่นบทที่มีใกล้กับสิ่งที่เราถนัดก็คือนักมวย ก็เลยรับครับ

      เคมีของเราเป็นอย่างไรบ้าง ต้องworkshopนานไหมก่อนที่จะเปิดกล้อง
      หล่ง : เวิร์กชอป 2 วัน เองเนอะ ส่วนเรื่องเคมี เอาตามจริงเลยนะครับ ตอบแบบไม่สวยงาม ตอนเวิร์กชอปผมรู้สึกว่าเราเล่นคู่กันน่าจะยาก เพราะว่ายังไม่ซิงค์กันเลย
      ท็อป : ยังไม่รู้จักกันเลย ใช่
      หล่ง : ยังไม่สนิทกันพอ แต่พอมาถึงหน้ากล้องเหมือนเราก็พอมีประสบการณ์กันมาทั้งคู่ แล้วจู่ ๆ มันก็เกิดอาการซิงค์กันขึ้นมา ทำไมเราเล่นได้ แต่ตอนเวิร์กชอปเราเล่นไม่ออก


      ตอนเวิร์กชอปรู้สึกอย่างไร ที่ทำให้เรารู้สึกว่าจะเล่นคู่กับคนๆ นี้ยากจังเลย
      หล่ง : ของผมก่อนนะ ผมรู้สึกว่ากำแพงเขาสูงมาก สูงและหนามาก ผมไม่สามารถทลายกำแพงเข้าไปได้แน่ ๆ
      ท็อป : ก็ค่อนข้างที่จะสูงนะ ตอนนั้นมันปุ๊บปั๊บด้วย ไม่มีเวลาเตรียมตัว พอต้องมาเวิร์กชอป 2 วัน เราจะทำตัวอย่างไรดี จะเข้าหาเขาอย่างไร ทำอย่างไร เราก็โอเคอย่างนั้นเราค่อย ๆ ปรับตัวก็แล้วกัน แต่มันไม่ทันแล้ว จะถ่ายแล้ว

      ฉากที่หนักหน่วงที่สุดในซีรีส์
      ท็อป : ของผมเลยคือต่อยมวย เพราะผมต่อยมวยไม่เป็น เลยต้องเป็นคู่ซ้อมให้เขา เราก็ไม่รู้จะทำอย่างนี้ เขาก็สอนเรานะ มันไม่ยาก แต่มันเหนื่อยเวลาเล่นด้วยพูดด้วยมันก็เหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน
      หล่ง : ใช่ เหนื่อยมาก
      ท็อป : เหนื่อยมาก
      หล่ง : แล้วพูดไม่รู้เรื่อง พอเราเหนื่อยจะพูดไม่รู้เรื่องครับ

      หล่งล่ะ ฉากที่สุดหนักหน่วง ยากที่สุด
      หล่ง :หนักหน่วงของหล่งน่าจะเป็นการที่บอกรักผ่านการต่อยมวย ซึ่งมันยากมาก คือการต่อยมวยไม่สามารถเป็นการบอกรักได้เลย แต่จะทำอย่างไรให้มันออกมาเป็นการบอกรักได้

      จูบแรกในซีรีส์
      ท็อป : ถ้าเราพูดเป็นการจะสปอยไหมท็อป
      หล่ง : มันคือจุดพีกของซีรีส์เลยนะ

      ไม่สปอยหรอก พูดได้
      ท็อป : รอดูดีกว่าว่าจูบหรือไม่จูบ
      หล่ง : ตอนแรกจะมุมกล้องนะครับ แต่ไม่ถึงใจผู้กำกับ ก็เลยจัดจริงเลย

      ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
      ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
      หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย


        เทียบความยาก ระหว่างตอนเล่นพ่อกับลูก กับเรื่องนี้
        ท็อป : เรื่องนั้นแอบยากอยู่นะพี่ รู้สึกว่ามันเป็นเรทที่ยากครับ หนักเลยครับ รู้สึกตอนที่ออกข่าวก็มีคนมาถามว่าทำไมมีฉากนั้นด้วย เพราะตอนคุย ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้ 100% ขนาดนั้นครับ

        แต่หล่งลีเหมือนจะเล่นซีรีส์วายมาหลายเรื่อง?
        หล่ง : ครับผม แต่ว่าที่เล่นมายังไม่เคยมีคู่ไง เป็นซับเมนเสียมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเล่นที่เล่นแบบมีคู่ ถามว่าแตกต่างจากการที่เคยเล่นมาก่อนไหม มากๆ ครับ เพราะเราต้องพยายามหาเคมี หาความเข้าใจกัน รู้ใจกันว่าเราจะเล่นจังหวะไหน อย่างไร ปกติถ้าเล่นคนเดียวจะสบายกว่า แต่พอมีคู่มามันต้องรู้ใจกัน ต้องสื่อกันให้ถึง ถ้าสื่อไม่ถึงปุ๊บ เราเล่นกันไม่ได้แน่ ๆ ครับ แต่พอวันเปิดกล้องจริงมาถึง 1 2 3 ก็เล่นได้แบบงง ๆ ดีใจที่ผู้กำกับชม

        รู้สึกอย่างไรที่เราต้องรับบทในซีรีส์วายที่เล่นเป็นคู่เรื่องแรก
         หล่ง : ผมทำตัวไม่ถูกครับ ไม่รู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรให้ทุกคนกรี๊ด ผมก็ปรึกษาผู้กำกับนะว่า ทำอย่างไร ไปปรึกษา acting coach ด้วย เขาบอกว่าไม่ต้องพยายามอะไรเลย ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เล่นแล้วเราสองคนมีความสุข คนดูก็จะมีความสุขไปด้วย เราก็แค่ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุดครับ
          ท็อป : การจะเล่นคู่กันมันต้องค่อย ๆ รู้จักกัน เข้าหาเขาเยอะ ๆ พยายามรู้จักกันต้องมีเวลา แต่เรื่องไม่มีเวลา ซึ่งเราก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้มันเปิดใจ แล้วเล่นให้มีความสุข ให้รู้สึกว่าคนนี้เราเล่นคู่กับเขานะ


          แต่ซีรีส์จะออนไปแล้ว จะกดดันกว่า เพราะผู้ชมจะเกิดความคาดหวัง
          หล่ง : ใช่
          ท็อป : แอบกดดันนิดหนึ่งเนอะ
          หล่ง : ถามว่ากดดันไหม กดดันนะ เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากระแสของเราจะมาในทิศทางไหนเลย เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เราจะต้องเตรียมรับกระแสแบบไหน เราไม่รู้เลย
          ท็อป : เรายังมองไม่เห็นครับ ต้องรอซีรีส์ออนอย่างเดียว

          ท็อปเข้าวงการจากการแสดงหนังก่อนประกวดThe Face Men อย่างไรถึงไปประกวดเวทีนี้
          ท็อป : ตอบตรงๆ ไม่เคยดูThe Faceเลยนะ เราไม่รู้เลยว่ารายการนี้เป็นอย่างนี้ เดินแบบก็ไม่เป็น ถ่ายรูปก็ไม่เป็น แต่พอติดเข้าไปเราก็ทำ ๆ ตามที่เขาบอกได้เฉยเลย ชูป้ายขึ้นมาว่าเราได้ เราก็งง ช็อก ๆ อยู่แป๊บหนึ่ง จริง ๆ พอเข้ารอบไปได้เขาจะมีครูสอนให้ เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นได้ด้วยครับ

          หล่งล่ะ
          หล่ง : หล่งเริ่มจากการต่อยมวยครับ ถามว่านานไหม หล่งเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่ม เข้าวงการไม่ถึงปีนี่เองครับ ที่มีคนรู้จักมากขึ้น หล่งเริ่มจากการต่อยมวยที่มีคนให้หล่งรีวิวสินค้า หล่งก็เริ่มรับรีวิวตัวแรก แล้วก็มีตัวที่ 2 มาเรื่อย ๆ จากนั้นก็มีคนรู้จักมากขึ้น แล้วก็มีทางซีรีส์ติดต่อมาบอกลองมาแคสต์ซีรีส์ดู เรื่อง I’m Your King ก็ลองไปแคสต์ดู พอผ่านปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบ จากนั้นก็ไล่แคสต์ไปเรื่อย ๆ ครับ


       แสดงว่าทุกวันนี้ถือว่าเราทิ้งอาชีพนักมวยไปแล้วใช่มั้ย
       หล่ง : ไม่ทิ้งครับ ยังอยู่ในชีวิตผมตลอดเลย เราเกิดจากตรงนั้น มีคนรู้จักเราจากตรงนั้น มันทำให้เรามีเส้นทางในการพัฒนาตัวเองไปได้

       คิดอย่างไรกับวงการบันเทิงบ้าง คาดหวังอะไรกับงานในวงการบันเทิงบ้าง
       หล่ง : ของผมค่อนข้างจะบอกตัวเองว่าเราต้องมองไว้สูง ๆ ผมอยากมีชื่อเสียงไปถึงขั้นระดับต่างประเทศนะครับ พอเรามีชื่อเสียงในระดับต่างประเทศ อยากให้คุณพ่อที่อยู่ต่างประเทศได้เห็นว่าเรามีชื่อเสียงถึงขั้นนอกประเทศไทยแล้วนะ
       ท็อป : ส่วนท็อปไม่คาดหวังอะไรมาก แต่แค่เป็นคนที่เวลาทำอะไรก็ตามคือถ้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบกพร่องหรือผิดพลาด เราก็จะพยายามปรับเปลี่ยนพัฒนาตรงนั้น แล้วก็มองเป้าหมาย พยายามพัฒนาตัวเอง การเดินบันได ปกติคนเราจะเดินขั้นหนึ่ง แต่เราต้องเดินให้มากกว่าขั้นหนึ่ง 2 ขั้น 3 ขั้น เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้น ๆ ไปครับ


        กับซีรีส์เรื่องนี้ เต็ม 10 เราให้คะแนนเท่าไร
        หล่ง : เต็ม 10 เหรอครับ ณ ตอนที่ถ่ายอยู่ผมรู้สึกว่าผมให้เต็ม 10 แต่พอเรากลับมานอนคิด ผมให้ 5 เพราะว่าเรามีความโลภ รู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำแบบนี้ ทำไมตอนนั้นเราไม่พูดอย่างนี้ ด้วยความที่เรามีความโลภไง ตอนถ่ายทำโอเคเต็ม 10 พอกลับมานอนคิดให้ 5 เหมือนว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้
        ท็อป : ส่วนท็อป ถามว่าดีไหม เราก็พยายามเต็มที่นะ แต่เรื่องบทเราก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น เราเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องความจำ พอจำได้เสร็จแล้วเราก็ลืม เราเป็นคนที่จำไม่ค่อยได้ สมาธิสั้น

         งานชิ้นถัดไปเป็นอย่างไรเรื่องอะไรบ้าง
         ท็อป : ตอนนี้ของผมยังไม่มีเลยครับ รอ coming soon แต่น่าจะกลับมารับงานเร็ว ๆ นี้
         หล่ง : ของหล่งก็จะเป็นเรื่อง “Love Syndrome รักโคตรโหดอย่างมึง”เป็นซีรีส์วาย แสดงคู่กับแฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ แล้วก็มีหนังภาพยนตร์ 1 เรื่องที่เพิ่งถ่ายจบไป ชื่อเรื่อง “Bad Social” ครับ หนังไม่วายนะ หนังเป็นพี่ชายที่รักน้องสาวมาก ๆ


        เตรียมรับมือกับความคาดหวังของแฟนคลับไว้หรือยัง เพราะอย่างหล่งเองก็มีข่าวกับต้นหอม คิดว่ามันจะทำให้งานมันสะดุดไหม
        หล่ง : ถามว่าสะดุดไหม อาจจะไปสะดุดเฉพาะบางกลุ่ม เพราะว่าช่วงนี้ ณ ปัจจุบันเรามีความหลากหลายทางเพศ และมีความลื่นไหลทางเพศมากขึ้น การที่เราจะจิ้นกับใครหรือว่าจะถูกมองว่าเคมีตรงกัน มันไม่จำกัดเรื่องเพศแล้ว เราควรจะมองว่าจะเป็นแค่บทละครหรือว่าเป็นชีวิตจริงครับ เราไม่ได้เสียอะไร แค่เรารู้สึกว่าเราได้สัมผัสว่าเคมีเราโอเคกับคนนี้ เราอยู่กับคนนี้เราสบายใจ แล้วแฟนคลับก็ชอบเรา เราก็โอเค เราแฮปปี้ เราก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่คอย support เรา ไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนก็ตาม


         ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
         ท็อป : ของผมก็จะแบบ ผมไม่ได้เป็นคนเข้าหาเขานะ พูดได้หรือเปล่า หลุดแล้วเนี่ย โอเค พูดดีกว่า ถามว่าสนุกไหมก็สนุกแปลก ๆ ดี
         หล่ง : มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ดีกว่า มันไม่ถึงขั้นแปลกใช่ไหม เป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยลอง แต่พอลองปุ๊บมันก็ไม่แย่ เป็นครั้งแรกเลยที่จูบกับผู้ชาย

         ถามท็อปในฐานะที่เป็นนายแบบ ถ้าแฟนคลับRequestอยากให้ถ่ายรูปชุดว่ายน้ำเซ็กซี่
        หล่ง : ตอบสิ เขาถามพี่
        ท็อป : ผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างconflictกับการถ่ายรูปถอดเสื้อผ้ามาก ๆ ถ่ายได้นะ แต่เราไม่ค่อยอยากลงโซเชียลมาก เพราะรู้สึกว่ามันจะเกร่อไป มันช้ำ เบื่อ เห็นอีกแล้วเหรอ พยายามค่อย ๆ ออกมาทีละนิด ค่อย ๆ อยากให้เขาว้าวมากกว่า

ซีรีส์“EvenSunฉันนี่แหละนายอาทิตย์
สตรีมมิ่งทางiQiyi29 มิถุนายนนี้

Text Takeshi West
Photo : Issares Chosawai

]]>
‘สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ บทสัมภาษณ์ขนาดยาวว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของ เจษ – เจษฎ์พิพัฒ https://marshomme.com/interview/532170/ Mon, 08 Nov 2021 11:46:00 +0000           ช่วงโดนกักบริเวณเพราะพิษโควิดระบาดหนัก 3 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านบันเทิงเงียบสนิทกว่าเป่าสาก เพราะทั้งกองถ่ายละคร ภาพยนตร์ ซีรีส์ ฯลฯ โดนแคนเซิลไปโดยปริยาย แต่ก็ดีไปอย่าง เพราะเราได้เห็นบรรดานักแสดงชายหญิงมี ‘กิจกรรมแก้เซ็ง’ โชว์ตามโลกออนไลน์ หลายคนปลูกต้นไม้สารพัดด่างตามสมัยนิยม แต่อีกหลายคนก็เลือกกิจกรรมง่ายๆ เลี้ยงแมว เล่นดนตรี และกีฬา ก่อนที่กองละครจะกลับมาลุยถ่ายกันอีกรอบ


           วันนี้เรานัด เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ พระเอกแถวหน้าของช่อง one มาอัปเดตชีวิตและกิจกรรมยามเหงาในวันที่กองถ่ายละคร“วิมานทราย”ใกล้จะกลับมาลุยงานต่ออีกรอบเร็วๆ นี้

ช่วงว่างๆ ระหว่างพักเบรกถ่ายละครทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษบ้าง ยังต่อยมวยกับเตะบอลอยู่เหมือนเดิมไหม

           จริง ๆ ผมชอบเล่นกีฬาแทบจะทุกประเภทครับ ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่ต้องดูเพื่อนด้วย ที่ผ่านมาอยู่กับบ้านเป็นหลัก จะเน้นฟิตเนสมากหน่อย ที่บ้านผมพอมีอุปกรณ์หลายชิ้นอยู่ครับ เลยไม่ต้องรอฟิตเนสเปิด แต่ช่วงหลายปีก่อนผมชอบต่อยมวยมาก น่าจะประมาณตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี4ครับ ไปต่อยมวยแทนการออกกำลังกายอื่นๆ เพราะช่วงนั้นเตะบอลมากไม่ได้ ผมมีปัญหาเรื่องเอ็นเข่าขาด ก็เลยรู้สึกว่าอยากออกกำลังกายอย่างอื่นแทน
            จนมาเจอมวยที่ถูกโฉลก ส่วนบอล จริง ๆ หมอห้ามเตะบอลห้ามใช้เท้าเลย แต่ผมก็ฝืนๆ เตะอยู่บ้าง แอบเตะ แต่พอเตะบอลแล้วเจ็บก็ต้องพัก สภาพเข่าเรามันแย่ลงเรื่อย ๆ ครับ จนต้องไปผ่าจนได้ หลังผ่าตัด รู้เลยว่ากล้ามเนื้อส่วนนี้มันอ่อนลงมากครับ อ่อนกว่าตอนแรกที่ยังไม่ได้ผ่าอีก เหมือนผ่าตัดแล้วทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลายออกไป รู้สึกได้เลยว่าแรงขาเราไม่มั่นคง ก็ต้องเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายขาเพิ่ม ถึงจะกลับไปเตะบอลได้ปลอดภัย


แต่มวยนี่ก็เตะเยอะ ใช้ขาเยอะอยู่นะ

             เราเลือกได้ครับ เลือกใช้ข้างที่ไม่เจ็บได้ไงครับ มวยมันอยู่ที่เรา เวลาเราไปซ้อม เราไม่ได้ขึ้นไปชกจริงกับใคร เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะทำอะไร ไม่ทำอะไร แต่เตะบอลนี่มันต้องเตะกับคนอื่นไงครับ พอเตะกับคนอื่นบางจังหวะอุบัติเหตุต่าง ๆ เราควบคุมไม่ได้ครับ ตอนที่เจ็บก็ปะทะแรง บอลมันก็เลยอันตรายกว่ามวยตรงนี้ครับ

ตอนต่อยมวยหนักๆ กับตอนนี้ ช่วงไหนหุ่นฟิตกว่ากัน

            ตอนต่อยมวยน่าจะฟิตกว่านะครับ เคยถ่าย attitude อยู่เล่มหนึ่งด้วย ทุกวันนี้เล่นกีฬาอื่นน้อยลง ไปไหนไม่ได้ ผมจะเน้นเข้าฟิตเนสแทน ยกเวท วิ่ง อะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะที่บ้านผมซื้ออุปกรณ์ไว้ที่ชั้นบนของบ้าน ฟิตเนสปิดก็ไม่เป็นไร ออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เล่นฟิตเนสที่บ้านแทน


เจษ ให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องอาหารการกิน หรือว่าการออกกำลังกายรักษารูปร่างในแต่ส่วนว่า แขน ท้อง หลัง ไหล่ ฯลฯ

            ผมจะเน้นการออกกำลังกายให้สุขภาพดีครับ เรื่องอาหารการกินผมรู้สึกว่า ผมเคยไปทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วมันสร้างความกดดันให้ผมมาก เครียดน่ะ การควบคุมอาหาร เคยทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วเครียดโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกไม่โอเค ไม่มีความสุข มันอาจจะไม่เหมาะกับผมนะ แต่คนอื่นเขาทำได้ ก็คงแล้วแต่คนนะครับ

แต่น้องตรี(ภรภัทร ศรีขจรเดชา)ทำได้นะ หุ่นน่ากลัวมาก

           ใช่ ตรีหุ่นโหดมากครับ

นอกจากเข้าฟิตเนสแล้ว ทุกวันนี้ยังเล่นดนตรีอยู่มั้ย เหมือนเคยรู้มาว่าคิดจะฟอร์มวงดนตรีกับเพื่อนๆ ด้วย

           ที่บ้านผมมีห้องซ้อมดนตรีด้วยครับ อยู่ติดกับห้องฟิตเนสเลย ในห้องซ้อมดนตรีจะมีกลองชุด มีกีตาร์ เล่นกีตาร์ด้วย แต่จะตีกลองเป็นส่วนใหญ่ สมัยเด็กๆ บ้านเรามีพี่น้องสามคน พี่ชายคนรองผมเล่นกีตาร์ พี่ชายคนโตเล่นคีย์บอร์ด เล่นเปียโน พอมาถึงช่วงที่เราเริ่มเรียนดนตรีก็ไปลองเล่นอะไรที่ไม่เหมือนกับพี่ๆ ก็เลยเลือกตีกลองครับ


ระหว่างกีตาร์กับกลองชอบอะไรมากกว่ากัน

           คนละแบบครับ แต่จริง ๆ ชอบกลองมากกว่า แต่ว่ากลองมันเล่นคนเดียวไม่ได้ไง มันต้องมีวงถึงจะสนุก แต่กีตาร์นี่เราจะแบกไปไหนก็ได้ ไปกองถ่ายก็ได้ ไปทะเลไปภูเขาก็ได้ เล่นกับเพื่อนได้ ชิล ๆ คนละแบบครับ ส่วนเรื่องฟอร์มวงมีวงนี่ สมัยมัธยมก็มีวงครับ มหาวิทยาลัยก็มีวงของตัวเอง แต่พอจบมา แต่ละคนก็มีภาระเพิ่มขึ้น แต่ละคนก็มีงานต้องทำก็แยกย้ายกันไป จะเล่นบ้างเป็นโอกาสมากกว่า อย่างปิดกล้องละครอะไรอย่างนี้ ก็จะไปเล่นสนุก ๆ แต่ว่าไม่ได้มีวงจริงจังครับ

ช่วงล็อกดาวน์ นอกจากอยู่บ้านออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ แล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำอีกไหม

          เลี้ยงแมว เล่นกับแมวครับ ที่บ้านมีแมว13ตัว ส่วนใหญ่เป็นแมวหลง แมวที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างบางส่วนที่มาคลอดในบ้าน ที่เป็นตัวที่ท้องมาครับ จะมีอยู่ประมาณ 3-4 ตัวครับ


สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในทาสแมวได้ไหม

          ก็ได้มั้งครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยตามใจมันเท่าไร คือเวลาเป็นแมวเก็บ มันจะไม่เหมือนแมวซื้อมาเลี้ยง พวกนี้เขาจะมีชีวิตของเขา เราก็มีชีวิตของเรา ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเหมือนเราเลี้ยงแมวอยู่ในบ้าน อยู่ในห้อง อยู่บนเตียง ตัวโปรดของผมมีอยู่ตัวนึงครับ ตัวนี้สนิท ๆ กันหน่อย ชื่อตาล เป็นแมวพันธุ์ไทย เพศเมียครับ มันชอบอ้อน เวลาเดินขึ้นบ้าน เมื่อก่อนจะอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ตอนนี้ผมย้ายมาอยู่อีกหลังหนึ่ง พอจะเดินขึ้นไปบนห้องมันจะวิ่งตามขึ้นไปนอนอยู่ใกล้ ๆ

ไม่คิดจะเลี้ยงหมาบ้างหรือ หมาน่าจะดูเหมาะกับบ้านที่มีบริเวณเยอะ ๆ

          หมาก็เคยมีครับ มีก่อนหน้าที่จะเป็นแมว13ตัวอีก ที่บ้านนี่เลี้ยงหมามาตลอดครับ ตั้งแต่เด็กเลยครับ ทั้งหมด5ตัว แต่ไม่ได้ซื้อมาสักตัวนะ หมานี่เหมือนหนังฝรั่งเลยครับ โดนเอามาทิ้งหน้าบ้าน ใส่กล่องมาอย่างดี2ตัว แล้วโยนเข้ามาในบ้านพร้อมโน้ต ฝากดูแลหน่อยนะ เราก็สงสารก็เลี้ยงมาจนโต

ในฐานะคนเลี้ยง พอเปลี่ยนจากหมามาเป็นแมว นี่คนละอารมณ์เลยนะ

         อารมณ์เปลี่ยนมากครับ กับแมวนี่เราคาดหวังอะไรไม่ค่อยได้ หมายถึงคาดหวังให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการน่ะ ไม่ค่อยได้ เพราะแมวมีความสันโดษมากกว่าหมา แล้วแมวมันเลือกคน อย่างบางตัวติดแม่ บางตัวติดพ่อ บางตัววิ่งหนีเรา มันไม่เหมือนสุนัขที่ทุกคนในบ้านคือเจ้าของมันหมด เราก็เปลี่ยนด้วยการที่ไม่ได้คาดหวังกับมันมากแบบพอเราเข้าบ้านปุ๊ป แล้วมันจะวิ่งมารับเหมือนสุนัข


ได้ข่าวว่าบ้านเจษ ทำธุรกิจตลาดใช่ไหม

         ครับผม ชื่อตลาดพรพัฒน์ครับ อยู่ที่รังสิต

มีจำนวนแผงเยอะไหม

         เยอะครับ เป็นพันแผงครับ

โอ้โฮ นี่ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเลือกเรียนบริหารธุรกิจหรือไม่

         จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ครับ ผมไม่ได้เรียนเพราะว่ามันเป็นตลาด แต่เราเรียนเพราะเรามีธุรกิจครอบครัว แล้ววันหนึ่งเราต้องเป็นคนดูแลต่อจากเจนเนอรชั่นที่ผ่านมา ผมก็เลยเลือกเรียนในสิ่งที่วันหนึ่งเราจะกลับมาใช้ได้ครับ


แสดงว่าวางแผนชีวิตตัวเองไว้ว่า คงไม่ได้อยู่วงการบันเทิงตลอดไป

          ไม่หรอกครับ คนเรามีสองสิ่งต้องเจอในชีวิตคือ สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ อย่างตลาดเป็นเรื่องที่เราควรจะรู้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งเราต้องดูแลมัน มันต้องมีคนดูแล มันเป็นหน้าที่ของเรา แล้วเป็นสิ่งที่ครอบครัวเรามี ส่วนเรื่องงานในวงการก็เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ก็เป็นหน้าที่การงานที่เลี้ยงดูผมมาตลอด เพราะว่าปัจจุบันผมไม่ได้เงินจากธุรกิจที่บ้านจากตลาดเลยครับ แต่ผมว่ามันเป็นคนละส่วน ถ้าทำควบคู่กันไปด้วยก็จะดีครับ ผมคิดว่า ถ้าเกิดมีอะไรมาทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเดือดร้อน สมมติว่าต้องไปประชุมตลาด และติดถ่ายละครด้วย ผมจะไม่โอเค ผมจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าถึงวันนั้น

กลับมาวงการบันเทิงดีกว่า ตอนนี้เจษ กำลังจะมีผลงานอะไรใหม่ๆ

         ละคร ‘วิมานทราย’ ครับ น่าจะเร็วที่สุดแล้ว ถ่ายไปประมาณครึ่งเรื่องครับ รอถ่ายอยู่ ถ้าลับไปถ่ายได้ก็น่าจะได้เห็นออนกัน ทางช่องoneครับ

คาแรกเตอร์เป็นอย่างไรบ้างครับในวิมานทราย

         วิมานทรายเป็นละคร remake ครับ เมื่อก่อนแสดงโดยพี่ชาคริตและพี่บี น้ำทิพย์ ผมแสดงเป็นภาณิน แต่จริง ๆ บทบาทจะถูกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสถานการณ์ในเรื่อง ภาณินเป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่กับพ่อ และน้องชาย บ้านทำธุรกิจโรงแรม เป็นเศรษฐีย้อนไปในปีประมาณ 2515 ครับ เขามีน้องชายคนหนึ่งที่รักมาก แม่ฝากให้ดูแล เพราะแม่เสียชีวิตไป ภาณินเป็นคนตั้งใจทำงาน เป็นคนค่อนข้างจะรักคุณธรรม รักครอบครัว ถ้าใครมาทำร้ายครอบครัวเขาจะเป็นคนปกป้องแล้วตอนหลัง ๆ จะมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ทำให้เข้าใจผิดกับนางเอก ก็เลยจะมีช่วงหนึ่งที่เทิร์นไปเป็นแบบตบจูบนิดหน่อยครับ


ละครเรื่องนี้ท้าทายกว่าทุกเรื่องที่เราเคยแสดงมาหรือไม่

         ท้าทายกว่าทุกเรื่องไหม ผมว่าจริง ๆ ทุกเรื่องท้าทายหมดครับ ผมรู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่ผมเล่นแล้วมันง่ายเลย แต่จริง ๆ เรื่องนี้แอบยากอยู่ เพราะด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทำให้บางทีเราจะมองเข้าไปว่า ตัวละครเรากำลังทำสิ่งไม่ดีอยู่ ทำสิ่งที่แย่อยู่ เราก็ต้องพยายามกรูมมันให้เรารับกับการกระทำของตัวละครได้ เพื่อให้คนดูไม่รู้สึกว่าการกระทำนี้มันไม่มีเหตุและผล การกระทำแบบทำร้ายผู้หญิง คือไม่ได้ทำร้ายร่างกายนะครับ แต่เหมือนทำไม่ดีกับเขา เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าควรจะแค่ไหน พยายามคุยกับพี่แมนผู้กำกับว่า มันได้แค่ไหน คนดูถึงจะไม่รู้สึกว่า ผู้ชายร้ายจังเลย ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง

ผลงานไหนที่เราชอบคาแรกเตอร์มากที่สุด

          ตั้งแต่เล่นมา ผมชอบ‘ชีวิตเพื่อฆ่าหัวใจเพื่อเธอ’ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ชายทุกคนชอบ การได้เป็นมือปืนนี่อะไรที่ไกลตัวเรามาก เราคงไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสอาชีพนี้ ถ้าเกิดเราไม่ได้เป็นนักแสดงครับ บทบาทมันค่อนข้างจะไกลตัวมาก ต้องทำการบ้านกับมันเยอะ ๆ นักแสดง


วิมานทรายนี่มีคิวออนเมื่อไร ทันสิ้นปีนี้ไหม

             คิวออนน่าจะตามคิว lock down น่ะครับ ต้องรอให้คลายล็อกดาวน์ก่อนถึงจะออนได้ ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อนครับ ตอนนี้ถ่ายไปประมาณ 50-60% เองครับ

ที่บอก ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อน’ ถึงจะทราบคิวออนแอร์ แสดงว่าที่นี่ยังใช้ระบบถ่ายไปออนไปอยู่ใช่มั้ย

            แล้วแต่เรื่องครับ แล้วแต่ความเหมาะสมครับ บางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันสามารถทำให้ complete ได้เราก็ออนน่ะ เราก็ทำแบบนั้น แต่บางเรื่องที่ค่อนข้างที่จะต้องตอบสนองกับความต้องการหรือกระแสคนดู เราก็ตั้งใจให้มันถ่ายไปออนไป ไม่ใช่เราถ่ายไม่ทันนะครับ มันก็แล้วแต่เรื่องแหละ ซึ่งมันก็มีข้อดีคนละแบบนะครับ คือถ่ายไปออนไปบางทีเราเห็นว่าคนดูรู้สึกอย่างไรกับส่วนไหนของละครน่ะ รู้สึกดี เราก็พยายามเพิ่มเติมตรงนั้น หรือว่าอะไรที่รู้สึกค้านกับสายตาคนดูหรือว่าไม่ชอบ เราก็สามารถแก้ได้ในตอนหลัง ๆ ที่เราจะถ่ายต่อไป

เคยมีประสบการณ์ถ่ายไปออนไปบ่อยมั้ย

            ไม่เคยถ่ายไปไม่ออนเลยครับ เคยแต่ถ่ายไปออนไปทั้งนั้นเลยครับ(หัวเราะ)ไม่เคยถ่ายเสร็จแล้วออนเลย


อันไหนยากกว่ากัน

            อันไหนยากกว่ากันหรือครับ ถ้าพูดถึงเรื่องยากนี่ ถ่ายไปออนไปนี่ถ้ามันกระชั้นมาก ๆ จะยากครับ ถ้าเราต้องตัดอะไรบางอย่าง เพื่อให้เรา on air ทัน หรือว่าต้องเร่งให้ on air ทัน มันจะทำให้งานเราถูกจำกัดด้วยเรื่องของเวลาครับ ก็เลยจะยาก เพราะว่าเราก็อยากจะทำงานให้เต็มที่ อยากจะใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ไม่อยากจะต้องรีบ ๆ ส่งเทปเพื่อจะได้ออนวีคถัดไป มันก็ไม่ดี แต่ว่าถ้าเกิดถ่ายไปออนไปแล้วไม่ได้เร่งมาก ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไรนะ รู้สึกว่าง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเห็น feedback คนดู เรารู้ว่าคนดูต้องการอะไรจากละครเรา ต้องการอะไรจากตัวละคร ชอบอันไหนไม่ชอบอันไหน เราก็สามารถแก้ได้ครับ

ตั้งแต่แสดงละครมาหลาย ๆ เรื่อง เคยมีบทไหนที่อยากเล่นแต่ยังไม่เคยได้เล่นสักครั้งหนึ่งในชีวิต และคิดว่าถ้าวันหนึ่งมีโอกาสเราอยากจะเล่นบทประมาณนี้

           ถ้าให้เจาะจงเป็นบทเลย ผมว่าคงนึกไม่ออก แต่ถ้าคาแรกเตอร์น่ะเราอยากลองเล่นอะไรที่ถ้ามีโอกาสนะครับ อะไรที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าคนดูจะรู้สึกอย่างไร หมายถึงว่าคาแรกเตอร์ที่เหมือนตัวประหลาด ๆ เหมือน joker อะไรอย่างนั้นครับ ที่ละครไทยทำไม่ได้น่ะ มันเป็นความฝันของนักแสดงทุกคนแหละ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดของความเป็นละครแบบไทย ๆ อยู่ครับ


ติดตามละครวิมานทราย
ทางช่องONE31เดือนพฤศจิกายนนี้

Text by Takeshi West

Credit Photo
Photography : Attapon Kawinkrua
Styling : Pornpat Pohchatarn

]]>
รวมซีรีส์ “แนวโบรแมนซ์” ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพของผู้ชายแท้ๆ https://marshomme.com/scoop/531900/ Tue, 22 Jun 2021 03:47:00 +0000
        ไม่จริงเอาสะเลยที่บอกกันว่า ซีรีส์เกาหลีมักจะมีแต่เรื่องราวโรแมนติกชวนซึ้งออกแนวฝันๆ ระหว่างพระเอกกับนางเอกเท่านั้น แต่ซีรีส์เกายังมีอีกหลายบริบทให้ได้เห็นกันอีกมาก อย่างเช่น ซีรีส์ที่ Mars Homme กำลังจะแนะนำเป็นซีรีส์ที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพชายหนุ่มหรือ “โบรแมนซ์” (Bromance) มิตรภาพที่มาในหลากหลายรูปแบบและซับซ้อน แต่ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ประทับตราตรึงในแบบฉบับของผู้ชาย ทั้งหมดหาดูได้จาก Netflix


Navillera
        เริ่มเรื่องแรกบอกเลยว่าต้องดู และควรดู เพราะเรื่อง “Navillera” หรือในชื่อไทยว่า ดั่งผีเสื้อร่ายระบำ เป็นเรื่องที่กระชากต่อมน้ำตาอย่างมาก เรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครชาย
        เมื่อ อีแชรก (ซงคัง) ต้องกลายมาเป็นผู้ฝึกสอนบัลเลต์ให้กับ ซิมด็อกชอล (พัคอินฮวาน) ชายแก่ที่ไล่ตามความฝันที่เขาปรารถนามาตลอดชีวิต ซึ่งแรกๆคนสอนก็ไม่เต็มใจนัก ออกจะดูหงุดหงิดใส่สะด้วยซ้ำ แต่ด้วยความทุ่มเทด็อกชอลก็เอาชนะใจแชรกได้ เขาเป็นนักเรียนสูงวัยที่คอยแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจครูผู้ไม่มั่นใจในตัวเองคนนี้อยู่เสมอ จนทั้งสองได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของกันและกัน


Move to Heaven
        ฮิตสะขนาดนี้ก็คงต้องเปิดดูกันบ้างแล้วล่ะ สำหรับเรื่อง Move to Heaven มิตรภาพอันแสนพิเศษระหว่าง ฮันกือรู (ทังจุนซัง) เด็กหนุ่มผู้มีอาการแอสเพอร์เกอร์ ที่ทำอชีพนักรับทำความสะอาดและจัดการข้าวของเครื่องใช้ของผู้เสียชีวิต ทำงานร่วมกับกับคุณอาของเขาที่เพิ่งพ้นโทษออกจากเรือนจำ โจซังกู (อีเจฮุน) ซึ่งต้องกลายมาเป็นผู้ปกครองของฮันกือรูแบบไม่เต็มใจนัก
        เริ่มแรกทั้งสองมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่ทั้งคู่ก็ได้เผชิญเรื่องราวที่ทำให้เริ่มเข้าใจกันทีละน้อย โดยระหว่างที่ได้สอนให้อาของเขาเข้าใจขั้นตอนของการทำความสะอาดและจัดการข้าวของเครื่องใช้ของผู้เสียชีวิตนั้น กือรูยังได้สอนให้ซังกูเรียนรู้วิธีที่จะรับรู้และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่ผู้ตายไม่มีโอกาสได้บอกเล่าไปด้วย ทั้งคู่ต่างค่อยๆเรียนรู้กันและกัน และเริมสนิทใจกันมากขึ้น

Start-Up
        ซีรีส์ที่สนุกและได้แง่คิดดีทีเดียว Start-Up เล่าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มหัดทำธุรกิจและความสัมพันธ์อันมีเสน่ห์ของแก๊งหนุ่มๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทซัมซานเทค ซึ่งชื่อบริษัทของพวกเขามาจากการที่ทั้งสามมีคำว่า “ซาน” อยู่ในชื่อเหมือนกัน จึงกลายเป็น “ซัมซาน” หรือ “สามซาน” ซึ่งแปลว่าภูเขาสามลูกนั่นเอง


        ทั้งสามต้องผ่านบททดสอบมากมาย รวมถึงการทะเลาะกันหลายต่อหลายครั้ง แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขายังคงแข็งแกร่งไม่เปลี่ยนแปลง มีบ้างที่ได้เห็นเด็กหนุ่มเหล่านั้นหลั่งน้ำตา แต่ทว่ายิ่งทำให้มิตรภาพของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

The King: Eternal Monarch
        สนุกและลุ้นจนนาทีสุดท้าย ในเรื่อง “The King: Eternal Monarch” หรือเรื่อวจอมราชันบัลลังก์อมตะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มในแต่ละมิติคู่ขนาน


        เริ่มจากความสัมพันธ์ของจักรพรรดิอีกน (อีมินโฮ) และ โจยอง (อูโดฮวาน) หัวหน้าองครักษ์แห่งอาณาจักรโครยอ ซึ่งทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และตัวโจยองเองนั้นจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังมีอีกความสัมพันธ์ระหว่างสองหนุ่ม เมื่ออีกนได้พบกับ โจอึนซอบ ตัวตนของโจยองในอีกมิติคู่ขนานที่อยู่ในยุคสาธารณรัฐเกาหลี จากนั้นเมื่อสองตัวตนจากคนละมิติมาพบกัน ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มๆ ก็ยิ่งเติบโตงดงามขึ้นไปเรื่อยๆ


A Korean Odyssey
        เรื่องนี้ก็ไม่เป็นรองใคร เป็นการตีความเรื่องราวของไซอิ๋วแบบใหม่ A Korean Odyssey หรือชื่อภาษาไทยว่า ตำนานไซอิ๋วฉบับเกาหลี เนื้อเรื่องสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ
        เรื่องราวของซนโอกง หรือซุนหงอคง (อีซึงกิ) และปีศาจวัว หรืออูฮวีซอล (ชาซึงวอน) ซึ่งมักจะเป็นศัตรูคู่ขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้งในอีกโลกหนึ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นในเชิงทั้งรักทั้งเกลียด และมีเหตุให้ต้องมาเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่น่ารำคาญใจอีกสะด้วย และแม้ว่าต่างฝ่ายต่างก็พูดจาเสียดสีและการยั่วโมโหอีกฝ่ายไปมา แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต่างเปิดเผยความห่วงใยที่มีให้กันออกมาจนได้


Guardian: The Lonely and Great God
        ฟินตั้งแต่เห็นรายชื่อนักแสดงกันแล้ว สำหรับเรื่อง “ก็อบลิน คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ” หรือ Guardian: The Lonely and Great God


        ถ่ายทอดมิตรภาพชายหนุ่มระหว่าง คิมชิน (กงยู) ก็อบลินผู้พิทักษ์ดวงวิญญาณ และยมทูตไร้ชื่อ (อีดงอุค) ผู้ทำหน้าที่คอยส่งดวงวิญญาณไปยังปรโลก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นด้วยการทะเลาะในเรื่องหยุมหยิม ซึ่งกลายมาเป็นโมเมนต์ตลกๆ ถึงตอนแรกจะไม่ค่อยลงลอยกันเท่าไหร่ แต่ทั้งสองก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมบ้านหลังเดียวกันและเริ่มขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายทีละน้อย ก่อนทั้งคู่จะกลายมาเป็นทีมเวิร์คที่น่าเกรงขาม เมื่อต้องมาร่วมกันคุ้มครองนางเอกของเรื่อง อึนทัก (คิมโกอึน)

เรียบเรียงข้อมูลจาก Netflix

]]>
‘เรเก-ฌอง เพจ’ หนุ่มฮอตฮิตของโมงยามนี้ จากซีรีส์ ‘Bridgerton’ https://marshomme.com/scoop/531644/ Mon, 25 Jan 2021 10:08:00 +0000

Netflix ทำยอดผู้ชมทะลุเป้ากับซีรีส์คลิเช่ เว่อร์วัง อลังการโรแมนติก และเซ็กซี่ๆ เรื่อง ‘Bridgerton’ ที่เริ่มสตรีมกันตั้งแต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมาใน 76 ประเทศ จำนวนการชม 63 ล้านครั้ง จนไต่อันดับหนึ่งในโผท็อป 10

‘บริดเจอร์ตัน’ แม้จะไม่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ว่าเป็นซีรีส์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแต่มันก็ชนะใจผู้ชมได้ ด้วยแคสติ้ง คอสตูม และความอลังการของฉากย้อนยุคถอยหลังไปสองร้อยปีที่เติมแต่งให้ดูทันสมัย โดยเฉพาะเรื่องคอสตูม แค่ตัวนางเอก ‘ดาฟนี บริดเจอร์ตัน’ (แสดงโดยฟีบี ไดเนอเวอร์) ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลบริดเจอร์ตันนั้นมีการออกแบบชุดเตรียมไว้ถึง104 ชุด

แต่ประเด็นฮอตสุดของซีรีส์เรื่องนี้ในมุมมองของผู้ชมสาวน้อยสาวใหญ่ หนีไม่พ้นนักแสดงชายผิวสีและหน้าตาคมเข้มที่ชื่อเรเก-ฌอง เพจ (Regé-Jean Page) รับบทเป็น ‘ไซมอน แบสเซ็ต ดยุค แห่งเฮสติงส์’ ที่ตกปากรับคำว่าจะทำตัวเป็นคู่ควงของนางเอก


จะไม่ฮอตได้อย่างไรเล่า เพราะตั้งแต่ Netflix เริ่มปล่อยซีรีส์เรื่องนี้ออกมา พระเอกผิวเข้มคนนี้มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นแบบทะลุเป้า ยามนี้ยอดอยู่ที่ 2.7M แล้ว เรียกว่าก้าวกระโดดจากตัวเลขหลักหมื่นถึงหลักล้านครึ่งได้ภายในสามวัน

จากซิมบับเวสู่แวดวงมายา

เรเก-ฌอง เพจ เป็นลูกครึ่งซิมบับเว-อังกฤษ เกิดเมื่อปี 1990 ที่เมืองหลวงฮาราเรของซิมบับเว (ก่อนปี 2009 ยังใช้ชื่อเมือง ซอลส์บรี) เขาเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวพี่น้องสี่คน แม่เป็นพยาบาลในซิมบับเว ส่วนพ่อเป็นนักสอนศาสนาชาวอังกฤษ


ซิมบับเวในความทรงจำของเขาคือ “มันร้อน สวยงาม แห้งแล้ง และจะเปียกแฉะมากเวลาฝนตก แต่มันเป็นที่ที่สวยงามที่สุดในโลก”

ตอนเขาอายุ 14 ปีครอบครัวโยกย้ายไปกรุงลอนดอน และเข้าเรียนด้านการแสดงเมื่อตอนอายุ 19 ที่ National Youth Theatre of Great Britain เขามีโอกาสได้แสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ ‘Harry Potter and the Deathly Hallows’ ภาคแรกด้วย


ปี 2013 เรเก-ฌองเรียนจบจาก Drama Centre London จากนั้นเริ่มเข้าสู่เส้นทางการแสดงในสายละครเวที กระทั่งในปี 2016 ถึงมีโอกาสได้ร่วมงานกับทีมงานของอเมริกา ในมินิซีรีส์เรื่อง ‘Roots’ ปีเดียวกันเขายังได้รับบทนำชายใน ‘Spark’ อีกด้วย

ผลงานภาพยนตร์ของเรเก-ฌอง ได้แก่ ‘Survivor’ (2015) ‘Second Summer of Love’ (2016) ‘The Merchant of Venice’ (2016) ‘Mortal Engines’ (2018) และ ‘Sylvie’s Love’ (2020) ส่วนซีรีส์ หลังจาก ‘Spark’ แล้ว เขามีโอกาสได้ร่วมงานในซีซั่นที่สองของ ‘For the People’ (2018-2019) ก่อนจะกลายเป็นหนุ่มฮอตในชั่วข้ามคืนกับ ‘Bridgerton’


ความสามารถด้านดนตรี

นอกจากการแสดงแล้ว เรเก-ฌองยังมีความสนใจด้านดนตรี เขากับพี่ชาย-โทส เพจก่อตั้งวงดูโอขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ‘Tunya’ ในเว็บไซต์ของวงอธิบายเกี่ยวกับพี่น้องคู่นี้ว่า “เขียนเพลงร่วมกัน และเคยร่วมแจมกับวงต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ทุกวันนี้ทั้งคู่ทำเพลงอิสระ”


Tunya เพิ่งมีผลงานเพลง ‘Don’t Wait’ ปล่อยออกมาทางยูทูป (https://www.youtube.com/watch?v=GP6ETNUyiSY) และเรเก-ฌองเป็นคนร้องเพลงนี้ มีการถ่ายทำเป็นหนังสั้นซึ่งกำกับฯ และออกแบบท่าเต้นโดยลันเร มาลาโอลู

Good Kisser

เลิฟซีนในซีรีส์ โดยเฉพาะใน ‘Bridgerton’ มีค่อนข้างเยอะ บางซีนก็จะเห็นคู่พระ-นางเปลื้องผ้า บทจูบปากนี่ก็เหมือนกัน ดูเป็นเรื่องธรรมดาของซีรีส์ตะวันตก

ลอนดอน ฮิวจ์ส-คอมเมเดียนสาวชาวอังกฤษ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Glamour ว่าเธอเคยทำงานร่วมกับเรเก-ฌองในรายการโชว์ ‘Sitcom in the U.K. that never got made’ แล้วมีฉาก ‘จูบครั้งแรก’ กับเขา


“เขาทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจกับฉากจูบมากเลย เพราะฉันไม่เคยทำมาก่อน และมักจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่เขาเป็นมืออาชีพมาก สุดยอดจริงๆ” จนทำให้เธออยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า ฉากเซ็กซ์ของเขาใน ‘Bridgerton’ จะเป็นอย่างไร

นอกเหนือจากนั้น ฮิวจ์สยังยืนยันด้วยว่าระหว่างเธอกับเขาเป็นความสัมพันธ์แค่เพื่อน และข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเรเก-ฌองกับนางเอกใน ‘Bridgerton’ เจ้าตัวยืนยันเช่นกันว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ที่สนิทสนมและเข้าใจกันได้ดีเท่านั้น

เจมส์ บอนด์คนใหม่?

จากก่อนหน้าที่เคยมีข่าวการเฟ้นหาตัวนักแสดงคนใหม่มารับบท ‘เจมส์ บอนด์’ แทนแดเนียล เครก ในโผเคยมีรายชื่ออย่าง พอล เมสคาล จาก ‘Normal People’ เฮนรี คาวิลล์ จาก ‘Superman’ ซิลเลียน เมอร์ฟีย์ จาก ‘Peaky Blinder’ และไอดริส เอลบา-หนุ่มผิวสีที่ดูเหมือนจะไล่แซงใครต่อใครมาทุกโค้ง


จนกระทั่งเมื่อสอง-สามสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกระแสของซีรีส์ ‘Bridgerton’ เริ่มเข้าสู่วงจรข่าว ชื่อของเรเก-ฌอง เพจดูเหมือนจะทำให้โผพลิก

แม้เรื่องนี้จะยังไม่เป็นกระแสในข่าวหลัก แต่อย่างน้อยบรรดาแฟนคลับก็มีการไถ่ถามในทวิตเตอร์และอินสตาแกรม ว่าเขากำลังจะกลายเป็น 007 คนถัดไปหรือเปล่า

เสียงของเขาเกี่ยวกับคนผิวสีบนจอหนัง

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เรเก-ฌองให้สัมภาษณ์นิตยสาร InStyle เกี่ยวกับการได้เห็นภาพความสุข รื่นเริงของคนผิวดำบนจอหนัง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในอดีต


“ในวัฒนธรรมหนังหรือซีรีส์ที่เราพบเห็นบ่อยครั้งก็คือ ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีต เราจะเห็นแต่คนผิวขาวเท่านั้นที่แสดงออกถึงรอยยิ้มแห่งความสุข แต่คุณรู้ไหม เราทุกคนรู้จักที่จะยิ้มมาตั้งแต่โลกยุคแรกๆ เราทุกคนแต่งงานมีครอบครัวกันมาตั้งแต่โลกยุคแรกๆ เราทุกคนมีความโรแมนติก ความเย้ายวนใจ และความงดงาม นั่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ ฉะนั้นละครพีเรียดสำหรับผู้คนที่ไม่ใช่ผิวขาว ไม่ควรที่จะหมายถึงแค่ความทุกข์เศร้าเท่านั้น”

และเขายังพูดถึงบทบาทของตนเองใน ‘Bridgerton’ ด้วยว่า “ถ้าเราอดทนกับพระเยซูผิวขาวมาได้นานขนาดนี้แล้ว ทำไมผู้คนจะทนกับดยุคที่ผิวดำไม่ได้เล่า”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
Just Another Love Story ชีวิตนอกจอของหนุ่มวิศวะ ‘พร้อมราชภัทร’ แห่งซีรีส์ ‘En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ’ https://marshomme.com/aboy/529984/ Fri, 03 Jul 2020 17:20:00 +0000

จบรวดเร็วทันใจใน 3 EP มาไว เคลมเร็วสไตล์วัยทีนที่ไม่ต้องการดีเทลมากมายนัก แต่ #เหนือพระราม ก็สานต่อจักรวาลของ ‘En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ’ ได้อย่างน่าเอ็นดู เรื่องราวของรุ่นพี่วิศวะปีสอง ที่ดันไปปิ๊งเด็ก ม.6 น้องชายของแฟนเพื่อนน่ะสิ กินเด็ก ใครๆ ก็ชอบเนอะ แต่เหนืออื่นใดที่บทบาทนี้มันโดนใจสาววาย ก็คงต้องยกนิ้ว ‘พร้อม-ราชภัทร วรสาร’ ที่มารับบทบาทเป็นเหนือ รุ่นพี่วิศวะจอมเจ้าชู้ มาดกวน หน้านิ่ง ไม่หล่อมาก แต่ยั่วใจให้เด็ก ม.ปลาย อยากกิน เออ มันใช่


ชีวิตจริงของ ‘พร้อมราชภัทร’ ก็เรียนวิศวะ เหมือนบทบาทที่เขาแสดง อดีตเดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คนนี้ก็มาตามสูตรนักแสดงอีกหลายคน ที่โตมาจากการเป็นเดือนคณะ ก่อนจะเป็นที่เลื่องลือในโลกโซเชียล และสุดท้ายก็โดนจิกเข้าวงการบันเทิง


ตั้งแต่เปิดกล้องมาทั้งหมดนี่เป็นอย่างไรบ้างกับคู่ของเรา

คู่ของผมใช่ไหม รู้สึกสนุกดีครับ รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้นครับ แต่แปลกตรงช่วงแรกๆ ตรงที่ว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วทีนี้พอมาอยู่ด้วยกันปั๊บ เฮ้ย! เรารู้สึกว่าเขาจะเป็นคนอย่างไรนะ จะนิสัยอย่างไร เล่นกับเขาเป็นอย่างไร แต่พอได้แสดงด้วยกันไปเรื่อยๆ แล้วเรารู้สึกว่าเออ เริ่มรู้จักกันมากขึ้น สัมผัสกันมากขึ้น และการที่เราได้เวิร์กช็อปกันมากขึ้น ทำให้รู้จักกันมากขึ้นครับ

ที่มาที่ไปที่ทำให้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้

โดนทาบทามมาครับว่าน้องคาแร็กเตอร์ตรงกับบทนี้ คือจริงๆ แล้วผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรผมจะชอบแสดงออก เช่น การแต่งตัว จริงๆ ผมเป็นคนที่ชอบแต่งตัว เป็นคนที่ชอบลงรูปอะไรเท่ๆ แล้วพี่ๆ เขาก็มาเห็นและบอกว่า เออ สนใจคนนี้ น้องดูนิ่งๆ เท่ดี เขาบอกว่าสนใจมาเล่นซีรีส์ไหม ตอนนั้นผมยังไม่เคยแสดงซีรีส์เลย ผมอยากลองทำอะไรสิ่งใหม่ๆ บ้าง อยากลองปลดล็อกตัวเองดูครับ ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรได้ดีบ้าง ทำอะไรได้ไม่ดีบ้างครับ เลยลองมาแสดงซีรีส์นี้


ทำไมถึงชอบแต่งตัว

รู้สึกว่าการแต่งตัวหรือว่าการหาเสื้อผ้ามาใส่ มันจะเป็นการบ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเอง บ่งบอกความคิดของตัวเอง และบ่งบอกแนวของตัวเองครับว่า เรามีความคิดอย่างไร ชอบทำอะไร อย่างเช่นว่าแต่งตัวสไตล์มินิมัล ก็จะดูเป็นคนที่เรียบง่าย คนนี้จะเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ แต่ถ้าอีกคนหนึ่งเป็นแนว street ก็ต้องดูเท่ ดู option เยอะไว้ก่อน มันจะบ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองได้ผ่านทางเสื้อผ้าที่ใส่ครับ

สไตล์ของพร้อมเป็นอย่างไร

ถ้าเด่นๆ เลยผมชอบแนว Korea Street ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันนะ มันจะเป็นแนวของเสื้อผ้าแนวดาร์กๆ ดำๆ แต่ว่ามีออพชั่น มีดีเทลอยู่เหมือนกัน

เป็นคนสนใจแฟชั่นมานานหรือยัง

สนใจตั้งแต่เด็กเลยครับ คือด้วยความที่สมัยเด็กๆ เคยดูทีวี พวก Fashion Week มันทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย! ทำไมเสื้อผ้าดูสวยจัง มันไม่เหมือนเสื้อผ้าธรรมดาหรือว่าเสื้อผ้าประจำวันของเรา ผมเลยรู้สึกอยากลองใส่เสื้อผ้าอย่างนั้นดูบ้าง เผื่อจะเท่แบบเขาบ้าง


เคยฝันอยากจะเป็นนายแบบหรือเปล่า

เคยครับ นี่ความฝันหลักผมเลยนะ อยากเป็นนายแบบ จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่ชอบการเดินแบบ ชอบแฟชั่น ผมเคยนั่งดูพวกแบรนด์เสื้อผ้า เขาจะมีโฆษณาใช่ไหม มีโชว์ใน Fashion Week แล้วให้พวกดารา นายแบบ นางแบบมาเดิน แล้วผมรู้สึกว่าอยากไปยืนในจุดจุดนั้นสักวันหนึ่งครับ

เคยเดินแบบไหม

เคยเดินบ้างครับ แต่ไม่ใช่งานใหญ่ขนาดนั้นครับ

ตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหน

ตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล


เป็นคนขอนแก่น?

ไม่ได้เป็นคนขอนแก่นครับ จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่มีบ้านอยู่ 2 จังหวัด คือฝั่งพ่อผมเป็นคนอุบลราชธานี ฝั่งแม่ผมเป็นคนอำนาจเจริญ ทีนี้แม่ผมทำงานอยู่ที่อำนาจเจริญ ผมเลยต้องไปเรียนอยู่ที่อำนาจเจริญ ไปอยู่กับแม่ครับ จันทร์-ศุกร์ ผมจะอยู่ที่อำนาจเจริญ เสาร์-อาทิตย์ ผมจะกลับอุบลราชธานี ไปมาๆ 2 จังหวัด ผมก็ไม่รู้นะว่าจะตอบว่าเป็นคนจังหวัดไหนดี ผมอยู่ 2 จังหวัดตั้งแต่เด็ก ทั้งอุบลราชธานีและอำนาจเจริญครับวัยเด็กของผม ผมเริ่มไปๆ มาๆ 2 จังหวัด ช่วง ม.ต้น แต่สมัยประถม ผมเรียนอยู่ที่เดียวเลยที่อำนาจเจริญครับ แล้วสมัยเด็กๆ เหนื่อยนะ ผมรู้สึกว่าการไปเรียนเฉยๆ เหนื่อยแล้ว และสมัยเด็กผมเคยเป็นเกเรมาก่อนครับ เคยไปมีเรื่องมาด้วย

ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะ

ด้วยความที่ว่าพ่อผมเป็นวิศวกรอยู่แล้วครับ เพราะว่าทำงานที่ปั๊มขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ผมเห็นพ่อ เวลาพ่อกลับมาจากที่ทำงาน พ่อจะเอาเอกสารมาด้วย จะมีรูปภาพแปลกๆ ที่ผมรู้สึกว่าเท่จัง ทำไมได้ทำงานกับพวกเครื่องจักร ผมก็รู้สึกว่าอยากเดินตามพ่อด้วย และด้วยความที่ว่าบ้านผมเป็นธุรกิจเกี่ยวกับรถตู้ครับ รถตู้วิ่งระหว่างจังหวัด ทีนี้ผมรู้สึกว่าการเลือกเรียนวิศวะ เรียนเกี่ยวกับเครื่องจักร สาขาเครื่องกล เราจะได้รู้เรื่องว่าระบบการทำงานของเครื่องยนต์รถว่าเป็นอย่างไร ถ้าสมมุติรถพังมาหรือว่ารถเกิดมีปัญหามา เราควรจะซ่อมที่ไหนหรือทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา

ตอนเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเข้า ม.ขอนแก่นที่เดียวหรือเปล่า หรือที่อื่นด้วย

ไม่ครับ จริงๆ แล้วถ้าถามผมว่าชอบกรุงเทพฯ ไหม ผมก็อยากเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ นะ ผมชอบนะ แต่ว่าผมเป็นคนที่เห็นรถติดแล้วมันอึดอัด สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอากาศที่กรุงเทพฯ ไม่ได้สดชื่นเท่าการที่เราอยู่ตามธรรมชาติ ผมเลยเลือกที่จะลงขอนแก่นกับเชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ว่าบ้านผมอยู่ฝั่งภาคอีสาน และตอนนั้นแม่เป็นห่วง แม่ก็เลยบอกว่าเรียนขอนแก่นดีกว่า แม่ไปหาได้ง่าย แม่หวงครับ (หัวเราะ) ผมเลยเลือกลงขอนแก่นครับ

เข้าปี 1 ได้เป็นเดือนของคณะด้วยหรือเปล่ารู้สึกว่าจะดังอยู่พักหนึ่งใน social media

ใช่ครับ ตอนปี 1 เป็นเดือนของคณะครับตอนนั้นก็ไม่ถือว่าดังนะครับ ด้วยความที่ว่าธรรมดาทุกมหาวิทยาลัยเฟรชชี่จะเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว แบบมีน้องใหม่เข้ามา ผมก็ไม่รู้นะว่าเขาชอบผมเพราะอะไร แต่พี่เขาบอกว่าน้องน่ารัก เลยมีคนตามจีบในช่วงนั้นโดนรุ่นพี่ดึงไปครับ ดึงไปเลยวันแรกที่ผมเข้าไปรับน้องคณะ รุ่นพี่เดินมาเลยกับ A4 แผ่นหนึ่ง แล้วบอกว่าพี่ขอชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไว้หน่อย ผมก็ถามไปว่าพี่จะไปทำอะไร ตอนแรกพี่เขาโกหกว่าพี่จะเอาไปทำกิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วทีนี้ตอนเย็นพี่เขาก็โทรมาบอกว่า พี่เลือกน้องเป็นเดือนนะ พรุ่งนี้มาคัดด้วยเขาจะเลือกมา 5 คน ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 5 คน แล้วก็เลือกไปประกวดภายในคณะ เพื่อเลือกเอาแค่คู่เดียว ผู้หญิง 1 คน ผู้ชาย 1 คน เป็นเดือนคณะและเป็นตัวแทนคณะครับ


อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนที่ไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย ความรู้สึกผมมันดีนะ มันดีตรงที่ว่าพอเราไม่ได้ไปยึดติดกับตำแหน่ง แล้วแบบพอเราไม่ได้ตำแหน่งปั๊บ เออ เราก็รู้สึกว่ามันยังมีอะไรอีกมากมายที่เราสามารถทำได้ สามารถไปทำได้อย่างที่เดือนมหา’ลัยเขาทำไม่ได้ ผมก็ไม่เสียดายนะ มันเป็นแค่ตำแหน่งเฉยๆ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือจิตสำนึกเราจะเป็นอย่างไร มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เป็นเดือนมหา’ลัยหรือไม่ คือคุณจะทำ คุณจะบริจาคของ คุณเป็นเดือนมหา’ลัยคุณต้องบริจาคของ แต่ว่าผมก็คนธรรมดา ผมบริจาคได้เหมือนกัน มันเป็นตำแหน่งที่เขาเรียกกันเฉยๆ

เคยดูซีรีส์วายเรื่องอื่นก่อนมาแสดงหรือเปล่า

ผมไม่เคยดูนะครับ แต่เคยเห็นเพื่อนเล่าให้ฟัง เพื่อนผมที่เขาเคยดู เขาชอบมาเล่าว่าทำไมชายชายชอบกันแล้วเขาเขิน ผมก็แบบดูอะไรอยู่เนี่ย ผู้ชายผู้ชายชอบกัน ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร รักกันอย่างไร ผมเลยถามเพื่อนมันเป็นอย่างไร เพื่อนตอบไม่ได้ ตอบแค่มันน่ารักดีอะไรประมาณนี้

ตอนนี้รู้สึกหรือยัง หลังจากที่เราต้องแสดงนำเองแล้ว

ผมเริ่มรู้สึกนะ ผมเริ่มเข้าใจฟีลลิ่งว่าทำไมเขาต้องเป็นแบบไหน คือความรู้สึกมันจะคล้ายๆ กัน แค่เราเปลี่ยนเป้าหมายให้เป็น เช่นว่าเราเสียใจที่แฟนเราทิ้งไป มันก็เหมือนแฟนทิ้งทั่วๆ ไป แต่แค่เวลารัก เขาเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มองที่เพศ เขามองที่คน มองที่ลักษณะ ไม่ได้มองที่ว่าคนคนนั้นเขาเป็นผู้หญิงผู้ชาย เขาแค่ทำให้เรามีความสุข เราก็รู้สึกโอเคแล้ว

คู่ที่เล่นกับเราจูนเคมีกันนานไหม

นานเหมือนกันนะ ด้วยความที่ผมเป็นคนซน เกรียน เป็นคนชอบแกล้งคนอื่น แต่คู่ของผม พี่เบนซ์เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ สุขุม ผมรู้สึกไม่กล้าไปทำอะไรเขา ผมจะกวนอะไรเขามั้ย ตอนแรกๆ ไม่กล้าครับ แต่ปรับกันไปเรื่อยๆ มันใช้เวลาอยู่ครับ มีคุยกันบ้าง เวลาวันว่างโทรคุยกัน วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น


ในกองสนิทกับใครที่สุด

ผมรู้สึกว่าสนิทกับทุกคนเลย ผมเป็นคนที่กวนเขาไปหมด กวนไปทุกคน แล้วผมไม่ได้ให้ความสำคัญว่าใครสำคัญกว่า ใคร ทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กำกับหรือเป็นช่างไฟ ผมจะให้ความสำคัญเท่าๆ กัน เพราะรู้สึกว่าค่าของคนมันวัดกันไม่ได้ บางคนให้ค่าเขาไม่เท่ากัน ถ้ามันจะน้อยจะมาก เขาจะทำให้มันลดเอง แต่ผมจะให้เต็มร้อยหมดเลย

มีพี่น้องกี่คนไลฟ์สไตล์ของเด็กขอนแก่นเป็นอย่างไรบ้าง

มีน้องสาวอีกคนหนึ่งครับ ตอนนี้จบม.6 แล้ว กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยไลฟ์สไตล์ของเด็ก มข. เหรอครับ คือขอนแก่นเป็นเมืองร้อน ร้อนมาก แล้วส่วนมากพวกเราจะแต่งเสื้อผ้าสบายๆ ไม่มีอะไรมาก แบบถ้าเสื้อกล้ามได้ก็เสื้อกล้ามครับ


ประทับใจอะไรในมหาวิทยาลัยขอนแก่นบ้าง

ประทับใจทุกอย่างเลย อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ แต่ว่าผมชอบมาก ขอนแก่นเป็นที่ที่ดีที่สุดที่หนึ่งของภาคอีสาน เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ผมรู้สึกว่าพอเราได้มาเรียน เราได้เจอแต่คนที่เรารู้สึกโอเค เข้าหากันได้ง่าย ผมชอบภาคอีสานตรงที่คนจะทำความรู้จักกันได้ง่าย แค่เดินไปยืนอยู่ข้างกัน ซื้อน้ำส้ม เขาก็จะคุยกันแล้ว มันไม่ได้คุยกันยากขนาดนั้น คนอีสานจะ friendly ครับ

ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง

มีครับผมเป็นคนที่อยากทำงานเป็นอิสระ แบบไปได้หลายๆ ที่ ไปได้เรื่อยๆ สมัยเด็กๆ ผมอยากเป็นนักบินอวกาศ ผมอยากรู้ว่านอกโลกมันมีอะไรบ้าง ถ้าสมมุติว่าเราออกไปนอกโลกปั๊บ มันเป็นจักรวาลแล้วใช่หรือเปล่า แต่พอออกไปจากจักรวาลปั๊บ มันจะเป็นหลายกาแล็กซี พอออกไปจากกาแล็กซีเขาจะเรียกอะไร ทีนี้ผมก็เลยชอบตรงที่ว่าเวลาเราออกไปข้างนอกอวกาศมันเป็นดำๆ ไปหมดใช่ไหม ผมเลยไม่รู้ไงว่าขอบเขตของมันจะอยู่ตรงไหน มันจะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมไหม สมมุติว่าโลกเราอยู่ตรงกลาง พอเราขี่ยานไปเรื่อยๆ สักครั้งหนึ่ง เราจะไปชนกับอะไรหรือเปล่า หรือว่ามันจะไปได้เรื่อยๆ มันเป็นความชอบส่วนตัว พอเราโตขึ้นมาเรารู้สึกว่านักบินอวกาศมันเป็นได้ยากมากเลย ก็เลยลดลงเป็นพวกวิศวะ จริงๆ ผมอยากทำงาน NASA นะ แต่มันดูจะฝันสูงเกินไป เลยลดลงมาเรื่อยๆ พอลดลงมาถึงวิศวะ ผมรู้สึกว่าวิศวกรก็เท่นะ ผมก็เลยมีความฝันว่าไหนๆ ไปนอกโลกไม่ได้แล้ว เราไปทั่วโลกเลยแล้วกัน อยากเป็นหนุ่มวิศวะที่ไปทำงานทั่วประเทศ ทั่วโลก อยากรู้ว่าความคิดแต่ละประเทศเป็นอย่างไร มีวิวัฒนาการหรือว่าเป็นเทคโนโลยีของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ไหนๆ เราก็ออกไปนอกโลกไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าทั้งหมดในโลกนี้เป็นอย่างไร


คาดหวังอะไรกับซีรีส์ตอนที่เราเป็นพระเอกบ้างมั้ย

ผมคาดหวังอย่างเดียวครับ อยากให้ทุกคนได้มีความสุขกับสิ่งที่ผมตั้งใจทำมากที่สุดครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่าถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะทำออกมาได้ดีไหม หรือทำออกมาได้แค่ไหน แต่ผมทำให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ผมทำได้แล้ว ผมก็อยากให้ทุกคนโอเคกับสิ่งที่ผมพยายามทำให้มันดีที่สุด แค่นั้นก็พอ

ซีรีส์ En Of Love มี 3 ตอนวิศวะมีเกียร์น่ะเมียหมอ, กลรักรุ่นพี่ และเหนือพระราม สามารถชมย้อนหลังได้ทาง LINE TV

]]>
อย่าเพิ่งเกลียด ‘ชางกึนวอน’ ใน ‘Itaewon Class’ https://marshomme.com/scoop/463306/ Tue, 17 Mar 2020 17:55:00 +0000
ใครที่ติดหนึบกับซีรีส์ Itaewon Class จะต้องรู้สึกเกลียด ‘ชางกึนวอน’ รับบทโดย ‘อันโบฮยอน’ นักแสดงหนุ่มที่ฝากฝีมือไว้ในหลายเรื่อง Mars Homme พาไปทำความรู้จักกับเส้นทางกว่าจะมาเป็นนักแสดงมากความสามารถของอันโบฮยอนที่รับรองว่าจากที่เกลียดบทบาทในการเป็นชางกึนวอน จะต้องหลงรักอันโบฮยอนคนนี้แน่ๆ


안보현


อันโบฮยอนหนุ่มน้อยจากเมืองปูซาน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแดคยอง สาขา Modeling สมัยมัธยมเคยเป็นนักมวยของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ม.1 จนถึง ม.6 ฝีมือในการเป็นนักมวยโรงเรียนก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา อันโบฮยอนกวาดรางวัลมาเพียบในการแข่งขันระดับชาติในฐานะนักมวยมือสมัครเล่น


หุ่นพิฆาต

ร่ำลือกันมาตั้งแต่ช่วงที่อันโบฮยอนเป็นนายแบบ ว่ากันว่าหุ่นลีนๆของเขาใครเห็นเป็นต้องสะดุด และมาพร้อมกับความสูง 187 เซนติเมตร ที่ทำให้เขาดูโดดเด่นอย่างมากหากเทียบกับนายแบบในรุ่นราวคราวเดียวกัน


การแสดงในนาม ‘อันโบฮยอน’

อันโบฮยอนเป็นนักแสดงเต็มตัวตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบันเป็นนักแสดงของค่าย FN Entertainment ต้นสังกัดเดียวกับอีดาแฮ และอิมซูฮยัง และสนิทสนมกับคิมอูบิน ตั้งแต่สมัยที่ทำงานเป็นนายแบบจนถึงปัจจุบัน เขาเคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Radio Star เมื่อปี 2018 ว่าคิมอูบินเป็นคนสำคัญที่ช่วยเหลือเขาบนเส้นทางสายนักแสดง

“ผมจบจากโรงเรียนนายแบบเหมือนกันกับเขา เรามีอายุห่างกัน 1 ปี และก่อนที่เราได้พบกันในฐานะนักแสดง ผมเคยขอยืมชุดเขาใช้ในงานเลี้ยงของโรงเรียนและเราก็สนิทกันด้วยครับ” ไม่เพียงแค่นั้น อันโบฮยอนยังบอกอีกว่า คิมอูบินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มาเยี่ยมเขาในระหว่างที่เขาเข้ากรมรับใช้ชาติ

ปี 2014
เริ่มเดบิวต์ผลงานการแสดงชิ้นแรกในปี 2014 ในซีรีส์ Golden Cross (KBS,2014) ซีรีส์ Two Mothers (KBS,2014) My Secret Hotel (tvN,2014)

ปี 2015
ซีรีส์ The Dearest Lady (MBC,2015)

ปี 2016
เป็นที่รู้จักมากขึ้นในบทอิมควังนัม หรือฉายาพิคโกโร่ นายทหารในทีมอัลฟ่าของกัปตันยูชีจิน (รับบทโดยซงจุงกิ) ในซีรีส์ Descendants of the Sun (KBS,2016) อันโบฮยอนยังแจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ ผ่านผลงาน Hiya (2016) ที่แสดงร่วมกับอีโฮวอน (โฮย่า)


ปี 2017
ในซีรีส์ย้อนยุค Rebel: Thief Who Stole the People (MBC,2017)
บทมูคยอง ในซีรีส์ My Only Love Song (Netflix,2017)

ปี 2018
บทพโยแทจิน ในหนังสั้น Dokgo Rewind (2018) แสดงร่วมกับเซฮุน EXO คังมินา และบทแบคโดฮุน ในซีรีส์ Hide and Seek (MBC,2018)


ปี 2019
ในปีนี้เส้นทางการแสดงของอันโบฮยอนเฉิดฉายถึงขีดสุด และแน่นอนว่าใครๆ ก็พูดถึงฝีมือการแสดงของเขา แถมยังพ่วงด้วยแฟนคลับที่ติดตามเขาเป็นจำนวนมาก

บทบาทนัมอึนกี เพื่อนของซองด็อกมี (รับบทโดยพัคมินยอง) ในซีรีส์ Her Private Life (tvN,2019)
ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในภาพยนตร์ร่วมทุนเกาหลี-ญี่ปุ่น Memories of a Dead End (2019) ที่ซูยอง SNSD – ชุนสุกะ ทานากะ รับบทนำ


ปี 2020
ชื่อของเขาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ในบทของ ‘ชางกึนวอน’ ในซีรีส์ Itaewon Class (JTBC,2020)

ข้อมูลเรียบเรียงจาก : https://www.korseries.com/
ภาพ : igbohyunahn / https://twitter.com/BohyunThaifans

]]>
หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล “ความปากกล้าของผมเกิดขึ้นจากการได้ลองและได้ล้ม” https://marshomme.com/interview/959/ Tue, 06 Aug 2019 16:09:00 +0000

บริษัทพร้อมมิตรโปรดักชั่น ที่เคยผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไทยและละครโทรทัศน์มาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเป็นที่นัดหมายของเรากับ ‘คุณชายอดัม’ โอรสวัย 33 ปีของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา เป็นอาคารโล่ง และดูเงียบเหงา เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้ผลิตผลงานภาพยนตร์หรือละครเหมือนในอดีตอีกแล้ว

บริเวณชั้นสองของอาคารที่เรานั่งสนทนา มีหุ่นในชุดเครื่องแต่งกายโบราณ และบอร์ดแสดงสถานที่ บรรยากาศคล้ายพิพิธภัณฑ์ คุณชายอดัมเล่าว่า ยังคงใช้สถานที่แห่งนี้สำหรับการประชุมงานในบางโอกาส แต่ก็นานๆ ครั้ง ส่วนตัวเขานั้นยังคงใช้บ้านพักเป็นสถานที่ทำงานเป็นหลัก

“ผมทำบ้านเป็นออฟฟิศครับ ผมชอบออฟฟิศแย่ๆ รกๆ อุปกรณ์กล้องเต็มไปหมด และมีเตียงอยู่ข้างๆ ออฟฟิศ ตื่นขึ้นมาก็ลุกเดินมาทำงานได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ออฟฟิศทำหนังไหนที่ไม่มีเตียงอยู่ข้างๆ ที่ทำงาน ผมว่ามันผิดนะ”

ตอนนี้คุณชายทำอะไรอยู่บ้าง

เยอะอยู่ครับ ตอนนี้ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับฯ ผู้จัดทั้งละคร ซีรีส์ หนัง มีหมด แต่ทำเป็นงานอิสระ ซึ่งตอนนี้ก็มีซีรีส์ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ซีซันที่สาม เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ 12 กรกฎาคมนี้ทาง Monomaxxx ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์โดยเฉพาะ แล้วยังมีงานโปรดิวเซอร์หนังเรื่อง ‘Classic Again’ ซึ่งรีเมคหนังเก่าเรื่อง ‘The Classic’ ของเกาหลี และซีรีส์ที่กำลังจะทำอีกเรื่องหนึ่ง แต่อันนี้ยังบอกไม่ได้ครับ ความลับทางราชการ (ยิ้ม)

อีกตำแหน่งคือ เป็นผู้บริหารอยู่ที่ Viu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ตอนนี้น่าจะรู้จักกันดีแล้ว เพราะมีซีรีส์เกาหลีเยอะ และยังมีซีรีส์ไทยอีกชุดใหญ่เลย มีผู้บริหารอีกชุดหนึ่งดูแลด้านคอนเทนต์ เรื่องการผลิตออริจินอล ซีรีส์ด้วย ด้านการซื้อ-ขายคอนเทนต์ด้วย ก็ดูทั้งไทยและช่วยในต่างประเทศ

นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีงานจัดรายการวิทยุคลื่นความคิด 96.5 MHz ในเครือข่ายขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) และไปช่วยงานฟรีอีกเยอะมากครับ เป็นกรรมการสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ ไปช่วยเป็นเลขานุการธุรกิจภาพยนตร์ที่ สสว. (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตั้งขึ้นมา งานอะไรที่ช่วยเหลือวงการได้ ถึงฟรีก็ไปช่วยอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของผม เขาก็ส่งไปสู้รบปรบมือด้านวิชาการในเวทีดีเบต เวทีเสวนา สายที่ไม่ต้องมีความป๊อปปูลาร์หรือความมีชื่อเสียงมาเกี่ยวนะครับ ผมลุยหมด

แบ่งเวลาเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวอย่างไร

ผมไม่แบ่งครับ ความจริงตารางงานเต็มทุกวัน เสร็จงานนี้แล้วต่อด้วยงานนั้น จนกระทั่งเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง กลับมานั่งเขียนบทต่อถึงตีสาม แล้วคิดงานต่อ ก่อนจะดูหนังหรือละครเพื่อศึกษางาน หลังจากนั้นก็นอน เจ็ดหรือแปดโมงก็ตื่นละ ผมทำงานเจ็ดวัน ทั้งสัปดาห์ จนกระทั่งมันเต็ม แล้วตัวเองน็อค ถึงจะได้หยุดพัก

ธุรกิจบันเทิงบนแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไปอย่าง Viu ที่คุณชายทำหน้าที่บริหารอยู่มีความยากง่ายอย่างไร

ไม่ยากนัก สิ่งที่สำคัญคือ รู้ว่าเรากำลังทำให้ใคร แพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มจะมีสเกลของมันอยู่ สเกลระดับโลกอย่าง Netflix หรือ Amazon ระดับ Region อย่าง Viu หรือ iFlix ระดับประเทศก็ไลน์ทีวี, Hollywood HD, Doonee หรือ AIS Play แต่ละที่แตกต่างกัน การวางกลยุทธ์ก็จะคนละแบบ การวางกลยุทธ์ของ Monomaxxx ซึ่งเน้นไปทางผู้ชายก็จะมีงานแบบที่เห็น มีสาวๆ หน้าอกใหญ่ๆ มีหนังมีซีรีส์ Viu มีซีรีส์เกาหลี ซึ่งเป็น best friend ของผู้หญิง มีงานประเภทที่สาวๆ ดูแล้วชอบ พวกติ่งเกาหลีชอบ พวกติ่งซีรีส์ไทยชอบ ส่วนไลน์ทีวีก็เป็นไทยเหมือนกัน มีจีเอ็มเอ็ม มีรายการทีวี มีรายการวาไรตี้ดีๆ มีงานที่เหมาะกับพวก first jobbers ทั้งกลุ่มในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ดังนั้นการบริหารงานจึงไม่ยากครับ เพราะเรารู้ว่าต้องการสื่อถึงใคร และในสื่อนี้เราได้ของมาตอบสนองเขาจริงหรือไม่ ถ้ามันตอบสนองเขาปุ๊บ พอเขาดูจบเราจะมีอะไรให้เขาดูต่อ เขาบันเทิงไหม หรือไม่บันเทิงเพราะอะไร หาทางแก้ได้ไหม ง่ายแค่นี้จริงๆ นะครับ พื้นฐานมันไม่ได้มีอะไรมาก จริงๆ มันมีรายละเอียดปลีกย่อย แต่รายละเอียดปลีกย่อยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณเริ่มฟัง ฟังเสียงผู้ชม ไม่ใช่แค่ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ดูตัวเลขที่เกิดขึ้น มีอะไรที่มันขึ้นและลง แล้วเราก็เอาไปวิเคราะห์หลังจากนั้น วิเคราะห์เสร็จแล้วก็ไปทำความเสี่ยงด้วย ไม่ใช่วิเคราะห์แล้วจบ ถ้าวันนี้ผลออกมาดี และถ้าเราทำแบบนั้นล่ะ จะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก ก็ต้องมีความเสี่ยง ต้องพร้อมที่จะเจ๊งด้วยนะ ถ้าไม่เจ๊งเราจะไม่นำหน้า เราจะไม่โต

Viu เพิ่งเปิดครบรอบปีที่สอง ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่อันดับท็อปของตลาดได้ เพราะเราฟังและเราปรับตัว เราเข้าใจคนดู บางทีคนอยู่บนหอคอยงาช้างหรือผู้บริหารใหญ่ๆ เขาไม่เข้าใจหรอก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว “เรามีเงิน เรามีทุกอย่างนี่ ไม่ขาดทุนน่ะ เรามีดารา มีทุกอย่างให้เลือกสรรเลย มีคนเก่งๆ เยอะแยะมากมาย มีผู้จัด มีผู้กำกับ มีทุกอย่าง จะเจ๊งได้ไง” ถ้าคุณมีทุกอย่างแล้ว คุณจะสงสัยไหมครับ ผมเคยสงสัยไง ผมเลยตั้งคำถาม ก็เลยมา… นอกเหนือจากทำงานเป็นผู้กำกับฯ แล้ว ที่วันหนึ่งเคยของานเขา “ขอโทษนะครับ งานผมน่าจะโอเคนะครับ น่าจะขายได้นะครับ ให้เงินผมที” ลองผมเปลี่ยนมาสวมหมวกอีกใบดู ผมก็เลยมาสมัครทำงานที่ Viu ก็เลยได้เข้าใจในส่วนของหมวกคนที่เป็นคนจ่ายด้วย และส่วนของหมวกที่เป็นคนขอด้วย

ในส่วนของคอนเทนต์มีมาจากทางไหนบ้างครับ

มีจากเกาหลีครับ จากฝั่งเพื่อนร่วมงานที่ดูแลการซื้อคอนเทนต์ อย่างของผม เวลาต่างประเทศจะใช้ของไทย ผมก็ช่วยดูแล

ซึ่งของไทยทางคุณชายก็ผลิตเองด้วย

ใช่ครับ เราผลิตเอง ความจริงเราเรียนรู้จากเกาหลี เพราะเรามีคอนเทนต์จากเกาหลีเยอะ พอมีเยอะเราก็เริ่มศึกษาว่าเราชอบเพราะอะไร หรือคนดูชอบเพราะอะไร เรามักพูดว่าเราอยากเป็นอย่างเกาหลี ไอ้คำว่าอยากเป็นอย่างเกาหลี ภาษาชาวบ้านน่ะคืออะไร คืออยากได้เงินเท่ากับเกาหลีเหรอ ถ้าอยู่ดีๆ ผมยื่นเงินให้ซีรีส์ละ 350 ล้านบาท ให้ทำละครสิบตอนจบ เชื่อไหมครับว่าเราจะไม่ได้ ‘Game of Thrones’ ทั้งๆ ที่นี่คือราคาที่ ‘Game of Thrones’ ทำ นี่คือราคาที่ ‘Boardwalk Empire’ ทำ เราจะไม่ได้เท่ากับ ‘Descendants of the Sun’ ต่อให้เราได้เงินเท่าเขานะ คุณมีเงินซื้อดาราได้ทั่วโลกแล้ว แต่คุณทำไม่ได้เพราะอะไร

ผมเห็นหลายโปรเจ็กต์ที่ได้เงินเยอะแล้วพัง นี่ไงเราเลยเริ่มศึกษา เราเป็นผู้กำกับฯ เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น โปรดิวเซอร์เราก็เคยเป็นมาแล้ว เราเคยคุมเงินมาก่อน และเรายังเป็นคนดูแลแพลตฟอร์ม เราก็เรียนรู้ว่า เรื่องนี้ประสบความสำเร็จเพราะอะไร นั่งดูสิ ดูด้วยตาเปล่าก่อน สนุกไหม เออ…ซีรีส์นี้สนุก มีแบบนี้แบบนั้น ตัวละครมีเสน่ห์แบบนี้ไง เราก็เรียนรู้ พอเราเริ่มเรียนรู้ เราก็คิดว่า เอาประสบการณ์ตรงนี้ ผนวกกับข้อมูล มารวมกัน แล้วเอาไปยื่นให้คนทำหนังที่มีไฟ มีแรง มีความปรารถนาอยากจะทำ ไม่ใช่ใครก็ได้ด้วยนะ ต้องเป็นคนที่มีความปรารถนาอยากจะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า ไประดับเอเชียได้ไหม พอที่จะทำเป็นสินค้าส่งออกได้ไหม เพราะถ้าเราจะผลักดันตัวเองไปทำอย่างนั้น เราก็ต้องคิดวิธีใหม่ และเราต้องสร้างตลาดใหม่ ตลาดของเราคืออะไร โลกออนไลน์ ซึ่งไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย

ก่อนหน้านี้เมื่อราวหก-เจ็ดปีที่แล้ว คุณชายเคยให้สัมภาษณ์ว่า คอนเทนต์ในโลกออนไลน์มีสีเทาเยอะ ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหม

ยังมีอยู่เยอะครับ คือคอนเทนต์น่ะครับ ปัจจุบัน…ผมจะใช้คำว่าอะไรดี มันไม่มีขาวกับดำ คือมันไม่มีสูตรสำเร็จว่าหนึ่ง-ประสบความสำเร็จได้ด้วยอะไร สอง-เล่าเรื่องแล้วคนชอบเพราะอะไร สาม-การลงทุนพวกนี้ ลงทุนแล้วมีคนดูแน่นอน มีเรตติ้งแน่นอน ทุกอย่าง-ในเชิงธุรกิจนะ มันไม่ได้มีความชัดเจนตลอดเวลา ถ้ามีผู้รู้เขาคงชนะแล้ว

แต่ถ้าโดยส่วนตัวของผม คำว่าสีเทาในการเล่าเรื่องก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ประเทศไทยเล่าเรื่องที่ผู้ร้ายเป็นคนดี คนดีเป็นผู้ร้าย เรื่องของความไม่ซ้ายก็ขวา แต่ผมรู้สึกว่าโลกของสื่อสำหรับผม…เราต้องเล่าเรื่องของสังคมที่ซับซ้อนขึ้น เราจะเห็นว่ายุคหลังๆ มันดีขึ้นมาก เพราะว่ามีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น ผู้ร้ายมีมิติขึ้น ผู้ร้ายสามารถเป็นคนดี หรือคนดีสามารถเป็นผู้ร้ายได้ มีเหตุและผล นั่นคือในเชิงการเล่าเรื่อง มันก็ยังเป็นสีเทา

คุณชายเรียนรู้อะไรบ้างจากการทรานสฟอร์มของ analog มาเป็น digital สู่แพลตฟอร์มที่หลากหลายในทุกวันนี้

ผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ได้เรียนรู้เลยมั้งครับ เพราะผมเริ่มทำ FuKDuK เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว FuKDuK เป็นอินเตอร์เน็ตทีวีเจ้าแรกๆ ของเมืองไทย สมัยพี่จอห์น (วิญญู วงศ์สุรวัฒน์) ยังทำอินเตอร์เน็ตทีวีรวมกลุ่มกัน ยังไม่แตกเป็น spokedark TV รุ่นนั้นเลย ตั้งแต่ยังไม่มีเฟซบุ๊ก ผมเรียนมาตั้งแต่ต้น ผมพูดมาตั้งแต่ต้นว่าโลกเราจะไปสู่ยุคที่…อะไรที่จะสบายกว่า เราไปน่ะ แค่ว่ามันจะเมื่อไหร่ และผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่าความหลากหลายมันไปได้ไกลขึ้น ทีนี้ขั้นตอนต่อไปคือเราสื่อสารกับประชากรโลกได้หรือยัง เรามีพื้นที่เปิดแล้ว ตอนนี้เราเปิดให้คนไทย ไปทางไหนเราก็เจอคนไทย คำว่า “ยูทูเบอร์” กลายเป็นอาชีพไปแล้ว

เมื่อสิบปีที่แล้วผมบอกว่าเราจะทำสื่อลงออนไลน์ ทุกคนขำ มันเป็นอาชีพได้จริงเหรอ ทุกวันนี้ถ้าถามเด็กๆ ว่าอยากเป็นอะไร ส่วนใหญ่จะบอกว่าอยากเป็นยูทูเบอร์ อยากเป็นเกมแคสเตอร์ อยากเป็นแคสเตอร์ใน Bigo Live โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราไปถึงคนได้ทั้งประเทศแล้ว ขั้นตอนต่อไป เราแข่งในประเทศไม่พอ เราต้องเริ่มแข่งในสเกลเอเชีย สเกลโลก ด้วยภาษาของเรานะ ด้วยวิธีการของเรานะ ไม่ใช่เราจะกระโดดไป เมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว เราพยายามจะทำตัวเองเป็นฮอลลีวูด แล้วสุดท้ายเราพยายามทำตัวเป็นเกาหลี เป็นจีน เราไม่พยายามทำตัวเป็นไทย ที่สามารถสื่อสารกับทั้งโลกได้บ้าง นี่แหละเป็นปัญหา

โลกเปิดแล้วนะ อินเตอร์เน็ตเปิดแล้ว อย่างเรื่องราวของ 13 หมูป่า คนติดตามกันทั้งโลก นั่งติดหน้าจอให้กำลังใจเด็กทั้งสิบสามคน ทั้งโลกเชื่อมถึงกันด้วยภาษาของเรา ด้วยวัฒนธรรมของเราได้ หรือชิพกับเดล-สองพี่น้อง ทำไมอเมริกันถึงคิดคอนเซ็ปต์ให้เข้าถึงวัฒนธรรมไทย หรือ ‘แอมฟิเบีย’ การ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ลงดิสนีย์ แชนเนล นางเอกเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน สอนสัตว์ประหลาดกินลาบ ใช่ไหมครับ นี่คือเราเล่าเรื่องของเราเองไปสู่โลกได้ แล้วทำไมเราไม่เล่า เราแค่ต้องหาภาษาภาพ ไม่ใช่ภาษาพูด ตอนนี้เรากำลังบอกว่าปัญหาของเราคืออุปสรรคเรื่องภาษาพูด ไม่ใช่ เราดูซีรีส์เกาหลี ฝรั่ง หรือจีนได้ คนอินโดฯ ดูซีรีส์ไทยได้ ไม่ใช่เรื่องของภาษาพูดแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของภาษาภาพ หรือภาษาการเล่าเรื่อง ที่เรายังขาด เรายังไม่ได้เรียนรู้เพียงพอ ยังไม่เก่ง

ต้องเรียนตามตรงว่าเรายังตามหลังคนต่างชาติเยอะ ในเรื่องของการผลิตสื่อ เรื่องของการสร้างงานที่ดี เรามีไอเดีย เรามีคนเก่ง แต่ในจำนวนที่น้อยเกินไป ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เก่ง เวลาไปเจอโลกกว้างแล้วเราเหมือนฝุ่นละอองเล็กๆ ในอากาศ ซึ่งเราต้องทำตัวเองให้เหมือนเม็ดทรายได้แล้วนะ (หัวเราะ) ยังไม่ต้องพูดถึงการเป็นขวดโหลนะ เป็นเม็ดทรายก่อน ขอขยายตัวหน่อย ก็ต้องเรียน ต้องศึกษา ต้องพยายาม

การปรับตัวของอุตสาหกรรมบันเทิง จำพวกหนัง ละคร ซีรีส์ หรือเพลงในบ้านเราต่อจากนี้ มีแนวโน้มจะเป็นไปในทิศทางไหน

ไปหาอะไรที่สนุกครับ ไปหาอะไรที่คนชอบ คำว่าคนชอบเป็นอะไรที่ไม่เคยนิ่งสักวัน วันนี้ชอบแบบหนึ่ง พรุ่งนี้ชอบอีกแบบหนึ่ง ไม่มีการคาดการณ์ที่ชัดเจน และมุ่งไปทิศทางไหน เพราะว่าสิ่งใดที่ดีจะดึงดูดคน สิ่งใดที่ทำแล้วดูสนุกมันจะดึงคนเข้ามา คำว่าสนุกในที่นี้ก็พูดยาก จำกัดความได้ยาก

ตอนนั้นที่บ้านผมทำ ‘โหมโรง’ ใครจะคิดว่ามันสนุกล่ะ ไม่มีใครคิดว่าหนังดนตรีไทยจะสนุก แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็มีงานแบบ ‘บุพเพสันนิวาส’ ‘เมีย 2018’ โผล่ขึ้นมา หรือมี ‘ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น’ มี ‘แนนโนะ- Girl from Nowhere’ คนไทยจะคิดอะไรแบบนี้ได้เหรอ กึ่งๆ ‘Black Mirror’ เลยนะ หรือ ‘Home Stay’ เรื่องเป็นไซไฟมากๆ เลย เราจะคิดอย่างนั้นได้ยังไง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ งี้ เรื่องเกี่ยวกับโกงข้อสอบ แต่ไปจีน คนดูมหาศาล พี่บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) กลายเป็นไอดอลของคนทั้งประเทศในเวลาอึดใจหนึ่ง จาก ‘เคาท์ดาวน์’ มาเป็น ‘Bad Genius’ (ฉลาดเกมส์โกง)

ถ้าถามว่ามันจะมุ่งไปทิศทางไหน มันไร้ทิศทางอยู่แล้ว เพราะว่าการไร้ทิศทางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าเป็นภาษาของผมจะเรียกว่า Free Market คือ ณ วันหนึ่งสมัยที่มันยังมีทิศทาง มีคนคุมมันได้ แล้วเราก็จะไม่มีทางเข้าไปในอุตสาหกรรมได้เลย ตาสีตาสาเดินเข้าไป ผมอยากเสนอหนัง ผมมีไอเดีย ผมมีความคิด ผมเข้าไม่ได้ เข้าไม่ถึงตัว จะไปเอาเงินได้ไง สิบล้านยี่สิบล้านมาทำหนัง แต่ทุกวันนี้ความไร้ทิศทางมันทำให้เกิดตลาดเสรีที่แท้จริงว่า ถ้าคุณทำคอนเทนต์แล้วคนชอบ มันมีคนซื้อ มีคนทำ ถ้าคุณไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยเกมส์ต่างๆ ที่คุณสามารถหยิบมาใช้ได้ อาวุธมันหลากหลายขึ้น ที่จะทำให้งานของคุณประสบความสำเร็จ

ดังนั้น มันไร้ทิศทางมากๆ และก็ไม่ต้องคาดเดา ปล่อยมัน เหมือนความสนุกของมันคือ ไม่คาดเดาในเรื่องของคอนเทนต์ ไม่ต้องคาดเดาในเรื่องของละคร เพลง หรือหนัง มันอาจจะมีอะไรดีๆ ขึ้นมา อาจจะมีเพลงรักเจ๋งๆ ขึ้นมา อย่างเพลง ‘Papaya’ ที่วง Babymetal ของญี่ปุ่นร้องกับพี่กอล์ฟ-ฟักกลิ้งฮีโร่ นี่คือสิ่งที่เป็นความไร้ทิศทาง แล้วมันสนุกว่า มีไอดอลเกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด อะไรก็ตามที่สามารถเกิดขึ้นได้มันก็เกิดขึ้น มันมีความกล้าที่จะเกิดขึ้น

หมายความว่ามันจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนทำมากขึ้นด้วยไหม

ความเสี่ยงมันมีอยู่แล้วตลอดครับ การทำหนังทำละคร พ่อแม่สอนผมมาตั้งแต่วันแรกว่ามันคือการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ต้องเข้าคาสิโนเลยครับ ทำหนังเถอะ เพราะไม่รู้หรอก อยู่ดีๆ ฝนตกคนก็ไม่ดูหนังแล้ว แค่ฝนตกคนก็ไม่ออกจากบ้านแล้ว ตอนที่หนัง ‘ตำนานนเรศวรมหาราช 3’ ฉายน่ะตรงกับวันเคอร์ฟิวอะครับ ทำไงล่ะ รัฐบาลบอกเคอร์ฟิว หนังฉายจะได้ตังค์ยังไงละ

ถามว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไหม ถ้าคุณเข้ามาทำงานด้านนี้แล้ว คุณก็อยู่ในความเสี่ยงโดยปริยายตั้งแต่ต้นครับ ทำอาชีพอื่นรวยและมั่นคงกว่านี้เยอะ อาชีพคนทำหนังไม่มั่นคงครับ มันมีอิสรภาพที่เราจะได้สนุกกับมัน อิสรภาพในการเล่า ในการพูด ในการทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ผมอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นผมทำซีรีส์เกี่ยวกับญี่ปุ่นแล้วขาย แล้วผมก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นค่อยทำ เราได้ค้นพบของใหม่ แต่ความเสี่ยงมีไหม – มี ความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว มันก็เป็นน้ำหนักที่ต้องดูกันไป

จากคนทำหนัง วันหนึ่งมานั่งในตำแหน่งผู้บริหาร คุณชายเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรของตัวเองที่ชัดเจนบ้าง

ไม่เห็นครับ ผมยังอยากทำหนัง และก็ถูกค่ายหนังปฏิเสธเหมือนเดิม ก็ยังทำหนังอยู่ครับ ไม่เห็นความแตกต่างอะไร เราแค่เห็นปัญหา แล้วเข้าไปแก้ เราเห็นตั้งแต่ตอนเป็นผู้กำกับฯ ตอนเขียนบท ตั้งแต่ตอนทำทีวีแล้ว ที่มาทำอินเตอร์เน็ตทีวีก็เพราะว่า ระบบไม่ได้เอื้อให้มีอิสรภาพในการทำงาน ระบบทุนนิยมไม่มีอิสรภาพ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมืองนะ แต่ว่าระบบทุนนิยมนี่อันตรายกว่าอิสรภาพทางการเมือง เพราะว่าการเมือง…เวลาเราพูดถึงการเมือง เราโดนบล็อก แต่ถ้าพูดถึงอิสรภาพของทุนนิยมที่คุณจะเล่าอะไรก็ได้ที่ขาย แล้วทุกคนบอกว่าทุกอย่างไม่ขายยกเว้นอันนี้ โอ…มันแย่กว่าหรือเปล่า ผมไม่ได้เป็นฝ่ายซ้ายนะ แต่ทุนนิยมนี่มันไม่มีอิสรภาพ

ผมไปหาอินเตอร์เน็ต เพราะมันมีอิสรภาพในการเล่าอะไรที่เป็นตลาด ขนาดเล่าตลาดยังเล่าไม่ได้เลยตอนนั้น ผมก็ย้ายมา ขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะแก้ปัญหาเดิมนั่นละครับ ว่าเราจะมีอิสรภาพในการเล่าเรื่องที่ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ตลาดได้หลายแบบยิ่งขึ้น ก็ย้ายมาเพื่อทำความเข้าใจ เรียนรู้ และการได้ทำงานหลายๆ ตำแหน่ง…ผมเคยเป็นผู้บริหาร PPTV ผมไปอยู่ในช่องทีวีเลย ก็ได้รู้เลยว่ากลไกมันเป็นอะไร กลไกทำไมวุ่นวาย ทำไมมันไม่เปิด มันไม่เกิด ทำไมมันอยู่เรตติ้งเท่านี้ อยากรู้ก็ต้องไปนั่งเอง ผมเข้าไปนั่งแล้วเห็นตัวเลขจริง ปัญหาจริง right in your face เลย กระแทกหน้า เลือดกบปาก เราก็เห็นจริง แล้วเราได้ลองแก้ปัญหาจริง เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราพูดน่ะ แก้ได้จริงหรือไม่ได้จริง แล้วการเป็นผู้บริหารมันช่วยตรงนี้ ช่วยให้เราไม่ปากกล้า ความปากกล้าของผมเกิดขึ้นจากการได้ลองและได้ล้ม และการล้มตรงนี้มันทำให้หนังของผมหนาขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ และผมพูดในสิ่งที่ผมประสบมาแล้ว

ไลฟ์สไตล์ของคุณชายเป็นอย่างไร

ชิลล์ๆ ครับ สนุก ผมเอ็นจอยชีวิตง่ายมาก ถ่ายรูป เจออะไรก็เล่า ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเล่น หากมีโอกาสก็อยากไปหาอะไรกินอร่อยๆ ดูหนังทุกคืน อ่านหนังสือ อ่านวิกิพีเดีย ถ้าผมสนใจอะไรผมเปิดวิกิพีเดียก่อนเลย ผมชอบเซิร์จ อย่างผมอยากได้ตุ๊กตาพะยูน ผมก็ไปเซิร์จหาว่าจะซื้อได้ที่ไหน ปรากฏว่าทั้งเอเชียนี่หายากมาก มีก็แต่ตุ๊กตามานาตี คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามานาตีกับพะยูนต่างกัน มานาตีมีสามพันธุ์ พะยูนมีหนึ่งพันธุ์ อะไรพวกนี้ผมอ่านจากวิกิพีเดีย อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า Dugong หรือพะยูนเป็นอย่างนี้ อีกสามประเภทเรียกว่ามานาตี ที่เหลือสูญพันธุ์หมดแล้ว และสัตว์พันธุ์นี้มันใกล้เคียงกับอะไรบ้าง พบว่ามันเหมือนช้าง มันมีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับช้าง แต่เป็นช้างที่อยู่ในน้ำ

ผมอ่านโน่นอ่านนี่แล้วสนุกไปกับชีวิต หรือถ้าว่างเมื่อไหร่ก็เที่ยวผับกินเหล้าเมาบ้าบอ กินร้านอิซะกายะ บาร์ เธค ไปเที่ยวรูท 66 เหมือนคนปกติทั่วไปแหละครับ ผมเอ็นจอยกับชีวิต ไลฟ์สไตล์ไม่จำเป็นต้องมีอะไรหวือหวาก็ได้ และถ้ามีโอกาสผมอยากไปดำน้ำมาก ไม่ได้ลงน้ำดำน้ำนานมากแล้ว คิดถึงทะเล คิดถึงโลกใต้น้ำ แต่ว่าด้วยความยุ่งของชีวิตทำให้ไม่ค่อยได้ไป จริงๆ ได้ไปทะเลบ่อย ถ้าอยากไปก็ได้ไป แต่การลงไปดำน้ำมันต้องหาสตางค์ระดับหนึ่ง ซึ่งชีวิตผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น ครอบครัวผมก็ไม่สบายกันหลายคน ต้องช่วยกันดูแล การไปเที่ยวแบบนั้นก็เริ่มลืมมากขึ้น แต่ก็ยังเที่ยวเฮฮาสนุกสนานอยู่ ส่วนใหญ่จะขอมีเวลานอนมากขึ้นเท่านั้นเอง

ตอนนี้เจอตุ๊กตาพะยูนหรือยัง

เจอแล้วครับ อยู่บน e-Bay มีคนแนะนำในเฟซบุ๊กว่าหาซื้อตุ๊กตาพะยูนได้ทาง e-Bay ผมชอบครับ มันน่ารักๆ ผมมีตุ๊กตาอยู่เต็มบ้าน ผมสะสมของเล่นเยอะครับ บ้านเต็มไปด้วยของเล่น ตอนนี้มีปืน เขาเรียก Nerf Gun ผมมีอยู่ห้าสิบกว่ากระบอก วันดีคืนดีก็ชวนเพื่อนๆ มายิงกันที่ออฟฟิศผม ยิงกันยับเลย เป็นสงครามกลางเมืองย่อมๆ ก็สนุกดี คือผมก็ยังคิดเหมือนเด็กอยู่นะครับ ไม่ได้คิดเหมือนผู้ใหญ่ ยังไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่น่ะเป็นด้วยความรับผิดชอบดีกว่า แต่สมองต้องเป็นเด็ก ถ้าสมองไม่เป็นเด็กเราจะไม่คิดอะไรใหม่ๆ คิดอะไรต้องมีข้อจำกัด

ผมยังคิดเหมือนเด็กครับ ตุ๊กตา การ์ตูนผมอ่านหมด ทั้งการ์ตูนไทย ฝรั่ง อะนิเมะ มังงะญี่ปุ่น ผมติด ‘เบอร์เซิร์ก’ (Berserk) มาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันก็ยังไม่จบเสียที คือผมสนุกกับทุกอย่าง เอ็นจอยกับชีวิตมาก ทุกวันมีความสนุกอยู่แล้ว เพราะความเครียดก็มี เลยหาความสนุกกับการปลูกต้นไม้หน้าบ้าน สนุกกับเครื่องตัดหญ้าใหม่ (หัวเราะ) สนุกกับการนั่งทำกูเกิล โฮม คือยังสนุกกับอะไรที่ปัญหาอ่อนได้ทุกวันละครับ
ผมไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไรขนาดนั้น เป็นคนบ้าๆ บอๆ ด้วยซ้ำ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
จากเกมดังสู่ซีรีส์ The Witcher โปรเจ็กต์ยักษ์ของ Netflix https://marshomme.com/scoop/1059/ Wed, 07 Nov 2018 15:46:00 +0000
Netflix เผยชื่อนักแสดงนำในซีรีส์เรื่องใหม่ The Witcher ได้นักแสดงหนุ่ม Henry Cavill จากบทบาท Superman ในภาพยนตร์ Man of Steel, Batman v Superman ที่สลัดลุคฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงมาเป็นฮีโร่เหนือมนุษย์มือปราบอสูรร้ายอย่าง Geralt ในซีรีส์ The Witcher ที่โด่งดังจากเกม CD Project

The Witcher เป็นนิยายชื่อดังจากประเทศโปแลนด์ โดยนักเขียน Andrzej Sapkowski ที่จะมาช่วยให้คำปรึกษาด้าน Creative โดยมี Sean Daniel ผู้สร้าง The Mummy และ Jason Brown มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง รวมไปถึง Platige Image S.A. ที่จะมาช่วยในเรื่องของ Visual Effects อีกทั้งได้รับความร่วมมือจาก Tomas Baginski ผู้กำกับ intro Video ของ The Witcher ทั้ง 3 ภาค ที่จะมาสมทบช่วยการกำกับซีรีส์เรื่องนี้อีกด้วย

Geralt ถือเป็นตัวละครเอกที่สำคัญในเรื่อง The Witcher ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม มีดวงตาที่คล้ายกับสัตว์ป่าสามารถมองเห็นได้ในที่มืด มีความสามารถใช้เวทมนตร์และการใช้ดาบ โดยเหล่า Witcher ฝึกหัดจะได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ส่งผลต่อระบบประสาท ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการพัฒนา เพิ่มความแข็งแกร่งกับร่างกาย Geralt คือคนเดียวที่สามารถผ่านการทดสอบนี้ เขาจึงได้รับสารพิษที่ปรุงขึ้นพิเศษ ขณะเดียวกันการทดลองนี้ได้ส่งผลให้เส้นผมกลายเป็นสีขาวและสีผิวจาง จึงได้รับฉายาว่าหมาป่าสีขาว

การสร้างซีรีส์ชุด The Witcher บน Netflix จะเน้นเรื่องราวในนิยายเป็นหลัก ผู้กำกับหญิงอย่าง Lauren S. Hissrich ได้เปิดเผยข้อมูลว่าทาง Twitter ส่วนตัวว่า The Witcher ซีซั่นแรกจะมีทั้งหมด 8 ตอน จะฉายในช่วงปี 2019 และมีไม่ต่ำกว่า 3 ซีซั่น ในส่วนของการถ่ายทำเป็นในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นสถานที่ตามแบบฉบับของเกม ทั้งนี้แฟนคลับหลายคนได้คาดเดาว่าน่าจะได้ชมในช่วงปี 2020 เพราะในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้นโปรเจ็กต์และแคสติ้งตัวนักแสดง แน่นอนว่าหลายคนคงตั้งตารอว่าใครจะได้มารับบทหมาป่าสีขาวอย่าง Geralt ซึ่งก่อนหน้านี้พระเอกมาดเท่อย่าง Henry Cavill ได้เคยเปรยๆ ไว้ว่าอยากรับบท Geralt ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฝันของเขาจะเป็นจริง เมื่อมีรายงานมาว่าเขาได้รับบทพระเอกแสดงนำอย่างเป็นทางการ แฟนคลับต่างก็พากันดีใจที่จะได้ชมผลงานและหุ่นล่ำๆ ของพระเอกคนนี้

หลังจากได้ตัวนักแสดงที่จะรับบท Geralt ไม่นานก็เกิดกระแสดราม่าสำหรับการแคสติ้งตัวละครตัวต่อไปอย่าง Ciri เป็นหนึ่งในตัวละครเด่นของซีรีส์ ที่มีข่าวว่าอาจเป็นตัวละครผิวสีหรือชนกลุ่มน้อย จากต้นฉบับแล้ว Ciri เป็นสัญชาติโปแลนด์ผิวขาว อายุ 13-14 ปี จึงไม่สมเหตุสมผลที่ตัวละครจะเป็นคนชาติอื่น ตอนนี้ได้นักแสดงหลักของซีรีส์ครบแล้ว นั่นรวมไปถึงบท Ciri และ Yennefer สองตัวละครหลักที่ได้ Freya Allen รับบทเป็น Ciri และ Anya Chalotra จะรับบทเป็น Yennefer แต่ก็ไม่พ้นมีกระแสถึงการมารับบทบาทของทั้งสองสาวนี้ว่ายังหน้าใหม่เมื่อเทียบกับ Henry Caville

นอกจากนี้ Lauren S. Hissrich ได้บอกถึงการคัดเลือกตัวนักแสดงว่า บุคลิกต้องเข้ากับบทบาทนั้นจริงๆ ต้องมีความสามารถ เป็นมืออาชีพเหมาะสมกับบทตัวละคร ส่วนนักแสดงที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว ได้แก่ Jodhi May ที่จะมารับบทเป็นราชินิ Calanthe ของเมือง Cintra, Björn Hlynur Haraldsson ที่รับบทเป็นสามีของราชินี และตัวละครสมทบอื่นๆ อีกมากมาย

นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับแฟนๆ ที่จะได้รับชมซีรีส์ที่สร้างขึ้นมาจากเกมดังยอดนิยมเร็วๆ นี้ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติพันธุ์ วัฒนธรรม เพศ และสีผิว เมื่อชมซีรีส์เรื่องนี้จนจบ แน่นอนว่าผู้ชมหลายคนคงได้ประโยชน์มากกว่าการชมเพื่อความสนุกสนาน


]]>
เมื่อ ‘ผลประโยชน์’ มาก่อน ‘ความรู้สึกแฟนซีรีส์’ #(2) https://marshomme.com/lifestyle/1071/ Mon, 29 Oct 2018 16:07:00 +0000
สิ่งที่ค้างคาใจหลายท่านอยู่ตอนนี้ ดิฉันเชื่อว่าเป็นปมปัญหาว่าทำไมผู้จัดซีรีส์ถึงไม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มผลิต เพราะการทำซีรีส์แบบมืออาชีพ ไม่ได้สักแต่ว่าผลิตให้เสร็จๆ แต่มันมีกระบวนการทางการตลาดอยู่หลายขั้นตอน ตั้งแต่การหาสปอนเซอร์มาไท-อินในซีรีส์ ให้นักแสดงได้ถือได้ใช้ผ่านซีนในซีรีส์ การวางตารางเพื่อโปรโมตซีรีส์ กิจกรรมพิเศษอื่นๆ ไปจนถึงงานจ้างออกอีเวนต์ ซึ่งในทางที่ถูกต้อง นักแสดงนำควรไปออกงานพร้อมกันทั้งหมด เนื่องจากในช่วงเวลาที่ต้องการเพิ่มฐานแฟนคลับและโปรโมตซีรีส์ ควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (ส่วนบางงานจะได้เงินมากเงินน้อย หรือบางงานฟรี ก็เป็นไปตามความเหมาะสมไป) ไม่ใช่กะปริดกะปรอยงานนี้ไป 2 คน งานนี้ไป 5 คน แฟนซีรีส์ก็เหมือนคนกำลังฉี่แต่ฉี่ไม่สุดสักทีแทนที่จะได้ฟินแบบเต็มอิ่ม

ทำไมต้องเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย?

ก็ในเมื่อผู้จัดหน้าใหม่ๆ ไม่ได้มีเครือข่ายรายการมากมายเหมือนแกรมมี่ ช่องสาม ช่องเจ็ด การเซ็นสัญญาระยะสั้นๆ ถือว่าเซฟ เคสนี้จะเกิดที่ GrammyTV ยากสักหน่อย เพราะบริษัทนั้นมีรายการที่สามารถเอาเด็กไปต่อยอดทำโน่นทำนี่ได้อีกเยอะ ผู้จัดการส่วนตัวนักแสดงก็ไม่กล้า ‘เยอะ’ ใส่ ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเกิดกับผู้จัดอิสระเสียส่วนใหญ่

ถ้าคุณๆ ไปดูรายชื่อนิยายวายที่ถูกซื้อและเตรียมผลิตออกมาในปีหน้า จะเห็นว่าผู้จัดอิสระทั้งนั้นเลยค่ะ สิ่งที่ผู้จัดอิสระหรือหน้าใหม่จะต่อรองกับบรรดาผู้จัดการเขี้ยวลากดินไม่ได้เลยก็หนีไม่พ้นเรื่องการเป็นต้นสังกัดหรือเจ้าของเด็กแม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่ง (ปกติถ้าทำสักสองซีซั่นก็น่าจะอยู่ที่ 1-3 ปี) ถ้าผู้จัดเปิดโมเดลลิ่งเอง เหมือนที่ COPY A ทำ (ผู้สร้าง Make It Right 1-2) ก็คงไม่มีปัญหา แต่เคสของ 2Moons2 กับ ‘บังเอิญรัก’ ไม่ใช่แบบนั้น


เคส 2Moons เกิดจากการที่ผู้ได้รับสิทธิ์ในลิขสิทธิ์นิยาย ผู้จัด และผู้จัดการดารา ไม่สัมพันธ์กัน ผู้จัดออกทุน ผู้จัดการดาราเป็นต้นสังกัดนักแสดง ผู้ได้รับสิทธิ์ในลิขสิทธิ์นิยายนั้นยิ่งไม่ชัดเจน ว่าใครได้สิทธิ์แต่แรก บางสายรายงานว่าผู้จัดการนักแสดงได้รับลิขสิทธิ์แต่แรก แล้วเริ่มหาผู้ลงทุน แต่ภายหลังที่มีปัญหาก็เลยยกสิทธิ์ให้ผู้จัดไปทำเวอร์ชั่นใหม่ แต่เด็กยังเป็นของตัวเองอยู่ แต่อีกสายหนึ่งรายงานว่า ผู้จัดได้ลิขสิทธิ์มาแต่แรก เพียงแต่คอนโทรลเด็กไม่ได้ เลยวีนกันวงแตก ซึ่งต้นเหตุปัญหาได้เขียนไปหมดแล้ว

สมัย 2Moons กำลังดัง เราจึงได้เห็นการเดินสายพร้อมกัน 6 คนของนักแสดงนำบ้างในบางงาน แต่เราจะได้เห็นภาพการออกงานเป็น 5 : 1 มากกว่า ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะผู้จัดการมาคนละสาย แต่ทุกคนสมประโยชน์แล้ว เด็กดังมีแฟนคลับล้นแล้ว ก็แยกย้ายทางใครทางมัน 5 คนไปทำเพลงเป็นบอยแบนด์ในนาม SB FIVE ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มเซ็นเข้าสังกัดใหญ่ และโดนสั่งห้ามไม่ให้รับงานที่เป็นคู่จิ้นอีกต่อไป แฟนคลับบ้านเดี่ยวคงไม่รู้สึกอะไร แต่แฟนคลับหมอป่า-วาโย ใจสลายนะคะ แล้วผู้จัดซีรีส์ล่ะ คืนทุนแล้วหรือยัง? ไม่มีเสียงตอบจากหมายเลขที่ท่านเรียกค่ะ ช่วงปลายปีก่อนเราจึงได้ยินข่าววีนแตกกันเรื่องทำ Photobook ที่ผู้จัดซีรีส์จะทำออกขาย แต่ทำไม่ได้เนื่องจากไม่ได้เป็นต้นสังกัดของนักแสดงไง เจ็บแล้วจบมั้ยคะ

ครั้นพอจะเริ่มทำ 2Moons2 มันก็ต้องเริ่มแคสติ้งนักแสดงใหม่ทั้งหมดด้วยเหตุฉะนี้ ผู้จัดเจ้าเดิมและผู้กำกับหน้าใหม่ยืนยันผ่านโซเชียลมีเดียมาแล้วว่า 2Moons2 จะเริ่มใหม่ตั้งแต่ภาคแรกค่ะ ไม่ได้มาเริ่มเล่มสองเหมือนที่หลายคนเข้าใจ ส่วนใครจะมาสวมบทบาทเป็นหมอป่า-วาโย, มิ่ง-คิท, โฟร์ท-บีม นั้น โปรดติดตามตอนต่อไป 2Moons2 จึงกลายเป็นเคสแรกในประวัติศาสตร์ซีรีส์ไทยที่ซีซั่น1 และ 2 ใช้นักแสดงกันคนละชุด กระชากความรู้สึกของแฟนซีรีส์มากยิ่งนัก (Love Sick ก็มีเปลี่ยนตัวนักแสดงนะ หลายท่านอาจกำลังแย้งในใจ ใช่ค่ะมีการเปลี่ยนตัว แต่บทที่เปลี่ยนมันคือบทเพื่อนโน่ ซึ่งเป็นบทรองนะคะ ไม่ใช่ตัวแสดงหลัก)

แล้วเหตุการณ์ก็มาซ้ำรอยเดิมที่ ‘บังเอิญรัก’

ไม่ต้องถามนะคะ ว่าผู้จัดซีรีส์ได้จับเด็กเซ็นสัญญาไว้หรือไม่ ถ้าเซ็นคงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผู้จัดการนักแสดงวีนแตกกันผ่านสื่อออนไลน์แบบนี้

เคสของ ‘บังเอิญรัก’ อาจจะต่างกับ 2Moons2 อยู่นิดหน่อยก็ตรง แม้ซีรีส์จะดัง แต่ผู้จัดการนักแสดงยังอยากให้นักแสดงในสังกัดของตนแสดงซีรีส์ต่อ เพราะนั่นคือพอร์ตที่ดีกับนักแสดง และเอาไปต่อยอดทำเงินได้อีกมากมาย แต่ปัญหาก็คือผู้จัดการนักแสดงแบ่งออกเป็น 6 : 1 : 1 จะเรียกว่ามาจากสามสังกัดก็ว่าได้ 2ใน 3 นั้นสนิทสนมกันดี จึงไม่มีปัญหาใดๆ ยกเว้นหนึ่งเดียวในสมการนี้

มันก็เลยเกิดกรณีด่ากันผ่านโซเซียลมีเดียไง ว่าพวกมากรวมหัวกันกีดกัน เพื่อกำจัดเด็กของตัวออกจากซีรีส์ เวลาออกงานก็ไปแค่ 7 ขาด 1 เป็นอย่างนี้อยู่หลายงาน ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบนะคะ ว่าทำไมไม่เซ็นสัญญากันสักหน่อย (หรือว่าเซ็นแต่ควบคุมไม่ได้ ก็ไม่ทราบ) อย่างน้อยในช่วงการโปรโมตซีรีส์ก็ให้ผู้จัดเป็นคนคุมคิว ออกงานจะได้ภาพที่ออกมาก็จะมีเอกภาพหน่อย ให้แฟนคลับซีรีส์ได้จิ้นได้ฟินกันให้หนำใจแล้วหลังจากซีรีส์จบจะนัดตบกันหลังตึกสยามพารากอน ดิฉันก็จะไปช่วยเป็นกรรมการให้ค่ะ นัดมาได้เลย

ล่าสุดก่อนเขียนต้นฉบับนี้เสร็จ เห็นข้อความในโซเชียลสะบัดบ๊อบใส่กันอย่างเป็นทางการ รอยร้าวที่เกิดขึ้นคงยากที่จะประสานได้ ก่อนจะจบเรื่องนี้ อยากเล่าเคส ‘เมียวิศวะ’ให้ฟังสักหน่อย เมื่อต้นปีทีมผู้จัดประกาศรายชื่อนักแสดงชุดหนึ่ง ซึ่งสร้างกระแสในโลกโซเชียลได้มากทีเดียวยังไม่ทันเปิดกล้อง แฟนคลับก็มาแล้วค่ะคุณขา มองเห็นอนาคตแล้วใช่มั้ยว่าผลประโยชน์มันมากขนาดไหน แต่ยังไม่ทันได้เปิดกล้อง นักแสดงชุดแรกก็สลายม็อบไปคนละทาง ข่าวลับแจ้งมาว่า ผู้จัดซีรีส์ต้องการให้เด็กเซ็นสัญญาประมาณ 4 ปี เพื่อเตรียมไว้สำหรับการผลิต โปรโมต และกิจกรรมอื่นๆ ที่จะตาม แต่ผู้จัดการนักแสดงไม่ยอมค่ะ โดยให้เหตุผลว่านี่คือการขโมยนักแสดงในสังกัดของตน

ใครผิดใครถูกไปตรองดูนะคะ แต่ที่สรุปได้แน่นอนก็คือ ผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนความรู้สึกแฟนซีรีส์ค่ะ

]]>
เมื่อ ‘ผลประโยชน์’ มาก่อน ‘ความรู้สึกแฟนซีรีส์’ #(1) https://marshomme.com/lifestyle/1073/ Fri, 26 Oct 2018 13:40:00 +0000

Text : เบญจกาย


ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา วงการซีรีส์วายในบ้านเรามีเรื่องฉาว! สองเรื่องติดๆ กันค่ะ ตั้งแต่ ‘เดือนเกี้ยวเดือน 2’ ที่ซัดกันในโลกออนไลน์อย่างเมามันส์ ต่อด้วย ‘บังเอิญรัก เดอะซีรีส์’ ซึ่งซีซั่นแรกยังไม่ทันจบบริบูรณ์ดี ก็มีเรื่องวีนกันจนซีรีส์แตก ส่อแววว่าภาคสองจะไม่มีนักแสดงนำที่ชื่อ ‘เซ้นต์-ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา’ ผู้รับบท ‘พีท’ อีกต่อไป

มองเผินๆ ทั้งสองกรณี เหมือนจะต่างกัน แต่เบื้องลึกที่ไม่ลับที่สุดนั้น ‘เหมือนกันทุกประการ’ มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ระหว่างใครน่ะหรือ? ถ้าไม่ใช่ ‘ผู้จัด’ และ ‘ผู้จัดการนักแสดง’

แล้วปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

เรื่องผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครมาเนิ่นนานมากแล้ว แต่เคสของซีรีส์วายในบ้านเรา มันมาปะทุในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งไม่ได้มีแค่กรณีของซีรีส์ทั้งสองเรื่องที่เกริ่นไปเท่านั้น หลายเรื่องที่ไม่เป็นข่าวก็มีอยู่มาก เพียงแต่เรื่องพวกนั้นเขาตบตีกันก่อนจะเริ่มผลิต แล้วก็วีนกันวงแตกไปก่อนแล้ว เลยไม่มีดราม่าในโลกออนไลน์ให้เราได้เสพ เช่น ซีรีส์เกี่ยวกับเมียวิศวะ เป็นต้น

ก่อนจะแตะความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อยากปูพื้นฐานความเข้าใจบางเรื่อง ให้คุณๆ ได้เข้าใจสักเล็กน้อยค่ะ เดี๋ยวพอเข้าประเด็นปุ๊บ จะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายอะไรให้ยืดยาวอีก

การทำซีรีส์หรือละคร ในยุคก่อนที่โซเชียลมีเดียจะบูมเหมือนในทุกวันนี้ นักแสดงส่วนใหญ่จะเซ็นสัญญาอยู่ 2 แบบ คือสัญญาระยะสั้น (เฉพาะในช่วงที่ต้องผลิตและโปรโมตละคร อาจจะแค่ 1-2 ปี ก็แล้วแต่จะตกลงกัน) และสัญญาระยะยาว หรือการเซ็นเพื่อเป็นนักแสดงในสังกัดของช่อง/บริษัท/ค่ายละคร โดยต้นสังกัดก็ต้องมีสิ่งที่จูงใจ อาทิ มีงานละครอย่างต่อเนื่องปีละกี่เรื่อง ก็แล้วแต่จะตกลง ความแตกต่างของการเซ็นสัญญาทั้งสองแบบนั้นต่างกันพอสมควร ถ้าเป็นสัญญาระยะสั้น นักแสดงอาจจะมีโมเดลลิ่ง หรือมีผู้จัดการส่วนตัวดูแลอยู่แล้ว แต่ยินดีร่วมงานกับผู้ผลิตหรือต้นสังกัดที่ผลิตซีรีส์หรือละครเรื่องนั้นๆ โดยผลประโยชน์ก็ตกลงกันไปว่า การรับงานจะต้องหักเงินเข้าผู้ผลิต (ต้นสังกัด) กี่เปอร์เซ็นต์ ผู้จัดการส่วนตัวได้กี่เปอร์เซ็นต์ และนักแสดงได้กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนสัญญาระยะยาวดูจะง่ายกว่า เพราะเป็นการผูกสมัครรักใคร่เข้าเป็นนักแสดงในสังกัด เซ็นกันยาวๆ เริ่มต้นที่ 5 ปี หลังจากจบสัญญา ถ้าแฮปปี้ก็อยู่ต่อ ถ้าไม่แฮปปี้ก็ค่อยว่าย้ายสังกัด (เราจึงได้เห็นดาราช่อง 3 ช่อง 7 แกรมมี่ และค่ายอื่นๆ ย้ายสลับกันไปมาเป็นว่าเล่นไงล่ะ)

แต่เคสที่มีปัญหาเสมอคือสัญญาระยะสั้น เพราะเมื่อตลาดทีวีดิจิตอลและแอพพลิเคชั่นอย่าง LineTV เปิดโอกาสให้มีผู้จัดหน้าใหม่ๆ ได้จำนวนมาก มันก็กลายเป็นช่องทางในการหารายได้จากตัวเด็กในช่วงเวลาหนึ่งๆ ไปด้วย ไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะว่าทำไมถึงมีนักแสดงรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายกว่าแต่ก่อนโดยที่ป้าแก่พ่อเฒ่าอย่างเราก็ตามไม่ทัน

หลายท่านอาจกำลังคิดอยู่ว่า การทำซีรีส์วายนี่กำไรมันเป็นกอบเป็นกำขนาดนั้นเลยหรือ? ขนาดละครดังๆ ยังยอดโฆษณาตกเลย คุณคิดถูกค่ะ รายได้จากการขายโฆษณาทางทีวีไม่ได้ดีเท่าไหร่ เผลอทำได้ก็แค่เสมอตัว เพราะพฤติกรรมการชมละคร/ซีรีส์ เปลี่ยนจากการดูตามช่วงเวลาออนแอร์ไปสู่การดูผ่านมือถือ และจะดูเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ เม็ดเงินโฆษณาจะเทไปสู่ LineTV และบรรดาแพลตฟอร์มที่เป็น contents provider อื่นๆ อย่างเป็นกอบเป็นกำ

เมื่อกำไรจากโฆษณาหด แต่ช่องทางการทำกำไรอื่นๆ ยังมีอยู่ สิ่งเดียวที่ผู้จัดซีรีส์วายจะต้องทำให้ได้ก็คือการสร้างฐานแฟนคลับสาววายให้กับนักแสดง หรือการปั้นให้เป็นคู่จิ้นที่มีคนเลิฟมากๆ ก่อนจะไปหารายได้จากการพาเด็กออกอีเว้นต์แทน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ ว่า micro influencer จะมีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้ามากกว่าดาราดังๆ หลายท่าน ยิ่งคู่จิ้นคู่ไหนแฟนคลับเยอะ เวลาออกงานทีสามารถยึด #hashtag ในทวิตเตอร์ได้เป็นหมื่นเป็นแสน ราคาค่าตัวก็ไม่แพงเท่าดาราบิ๊กเนมที่แสนจะเรื่องเยอะ อานิสงส์ในการประชาสัมพันธ์ก็จะไปตกอยู่กับเจ้าของสินค้าหรือเจ้าของงานอีเว้นต์โดยปริยาย (ใครที่ไม่เคยเห็นศักยภาพของสาววาย กรุณาเดินออกจากถ้ำมาชมโลกกว้างบ้าง แล้วจะเข้าใจ) เพราะบรรดาแฟนคลับสาววายนี้ พวกเธอจิตใจงดงามมาก เวลานักแสดงบอกให้ช่วยติด #hashtag อะไร พวกนางจะช่วยด้วยความเต็มใจและเต็มที่ เพราะสาววายต่างรู้สึกแบบเดียวกันว่า ขอบคุณเจ้าของสินค้าและเจ้าของงานที่สนับสนุนนักแสดงที่ตัวเองรัก

คุณเริ่มเห็นเค้าลางของปัญหาแล้วใช่มั้ยคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ในลำดับต่อไป

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผู้จัดการส่วนตัว(หรือโมเดลลิ่ง) ไม่ยอมเซ็นสัญญากับผู้จัดซีรีส์ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม แค่ยินยอมให้นักแสดงร่วมแสดงกับซีรีส์นั้นๆ ได้ ปัญหาที่จะตามมาก็หนีไม่พ้น เมื่อซีรีส์ออนแอร์แล้ว นักแสดงดังแล้ว แฟนคลับทะลักทะล้น นักแสดงก็พร้อมที่จะเฉิดฉิ่งไปทางใครทางมันได้ (หากผลประโยชน์ไม่ลงตัว) โดยมองข้ามความรู้สึกของแฟนซีรีส์ไปอย่างไม่มีเยื่อใย (ถ้าเป็นซีรีส์ที่มีภาคเดียวจบคงไม่มีปัญหาค่ะ แต่นิยายวายสมัยนี้ เขียนกัน 3-4 เล่มจบ แล้วแยกไปแต่งนิยายอีกเหลายเรื่อง เพื่อรองรับการจิ้นตัวละครอื่นๆ ด้วย การทำซีรีส์แค่ภาคเดียวมันก็เลยรองรับความฟินได้ไม่เต็มร้อย โดยเฉพาะคนที่เคยอ่านนิยายมาก่อน)

หลายท่านอาจจะกำลังนึกตามอยู่ว่า ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ทำไมผู้จัดยอม เดี๋ยวครั้งหน้าจะมาแจกแจงให้ฟังค่ะ เรื่องมันยาว

]]>