Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
ดนตรี – Marshomme https://marshomme.com Wed, 31 Jul 2019 17:49:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png ดนตรี – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ดนตรีที่ไม่มีนิยามของ ‘D GERRARD’ https://marshomme.com/interview/963/ Wed, 31 Jul 2019 17:49:00 +0000

ก่อนที่กระแสเพลงแร็ป และวัฒนธรรมฮิปฮอปจะเข้ามาตีตลาดเพลงเมืองไทยเข้าอย่างจัง! จนท่อนแร็ปเจ๋งๆ ของบรรดาแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ ต่างเข้าไปแทรกอยู่ตามซิงเกิ้ลใหม่แทบทุกสไตล์เพลง ทั้งป๊อป ร็อก และลูกทุ่ง หลายคนน่าจะเคยได้ยินเสียงนุ่มๆ สไตล์อาร์แอนด์บี ที่มาพร้อมดนตรีแนวฮิปฮอปจากเพลง GALAXY ของ D GERRARD ศิลปินหน้าใหม่ในขณะนั้น

‘บิ๊ก’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘D GERRARD’ ศิลปินที่หลายคนต่างหาคำนิยามสไตล์เพลงของเขา ต้องยอมรับเลยว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินที่ทำให้คนไทยได้เปิดโลกในการฟังเพลงแนวใหม่ๆ ที่ผสมผสานหลากสไตล์เข้าไว้ด้วยกัน บางคนบอกว่าเขาคือแร็ปเปอร์ แต่อย่าลืมนะว่าในเพลงของเขาก็มีทั้งเสียงร้องสไตล์อาร์แอนด์บี ดนตรีแนวฮิปฮอป และบางครั้งก็มีแนวการร้องสไตล์คลาสสิกแทรกเข้ามาในเพลงให้ได้ฟังกัน ก่อนจะตัดสินว่า ‘บิ๊ก D GERRARD’ คือศิลปินแร็ปอย่างที่ใครหลายๆ คนบอกไว้หรือไม่นั้น ไปทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขากันก่อน

ชีวิตวัยเด็กของ D GERRARD เป็นยังไง

เอาจริงๆ ชีวิตวัยเด็กของผมมันไม่ค่อยสนุกนัก ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดธรรมดาๆ ที่ชอบอยู่กับตัวเอง ชอบอ่านหนังสือ เพราะผมเข้าหาคนไม่เก่ง แล้วก็ไม่ได้มีเพื่อนมากเท่าไหร่ ก็มีหนังสือนี่ล่ะที่เป็นเพื่อน ถ้าพูดถึงหนังสือการ์ตูนเรื่องดังๆ มา ผมว่าผมรู้จักหมด ไม่ว่าจะเซนต์เซย์ย่า ดราก้อนบอล ผมตามอ่านครบ เพราะจะได้มีอะไรไปคุยกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนบ้าง แล้วมีอีกช่วงที่ผมติดเกมออนไลน์มาก ช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่แฮปปี้มากที่สุดช่วงหนึ่งเลยนะ เล่นเกม เก็บเลเวล สนุกกับเพื่อนในเกม ผมเลยรู้สึกอินกับมันมากเป็นพิเศษ

แล้วดนตรีล่ะ เริ่มสนใจได้ยังไง

ตอนม.ต้น ผมอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียน ทำกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ทั้งขับเสภา ร้องเพลงไทยเดิม พยายามทำความเข้าใจและคลุกคลีกับดนตรีทุกประเภทเลย มันสนุกดีนะเวลาที่เราได้รู้จักกับดนตรีหลายๆ แบบ ได้ฟังเพลงหลายๆ แนว

มาเริ่มจริงจังกับดนตรีตอนไหน

ประมาณม.ปลายครับ ด้วยความที่ผมไม่ชอบเรียนเลขเอาซะเลย แล้วบังเอิญได้ดูหนังเรื่อง Season Change เลยได้รู้ว่ามีโรงเรียนที่สอนดนตรีอย่างเดียวด้วย ตอนนั้นคิดว่าอยากลองใช้ชีวิตแบบในหนังดู เลยสอบเข้าดุริยางคศิลป์ มหิดลครับ โฟกัสเรื่องดนตรีเต็มๆ ไปเลย แล้วเลือกเรียนเอกขับร้องดนตรีคลาสสิก เพราะอาจารย์บอกว่า มันเป็นพื้นฐานของการร้องแทบทุกแบบ ถ้าเกิดรู้วิธีการร้องเพลงคลาสสิก รู้วิธีการใช้ลม จะรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ส่วนไมเนอร์ผมเรียนเป่าแซ็กโซโฟน ช่วงชีวิตตอนนั้นคือซ้อมอย่างเดียวเลย เหมือนหาตัวเองว่าเราชอบดนตรีแบบไหน แล้วทำให้ได้ฟังดนตรีเยอะขึ้นด้วย

เอาจริงๆ แล้วช่วงแรกผมค่อนข้างแอนตี้การฟังเพลงลูกทุ่งมากนะ ผมเป็นคนพัทลุง ที่นั่นมีทั้งคนฟังเพลงลูกทุ่ง และเพื่อชีวิต พอลองฟังมันก็เหมือนฟังไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าเขาฟังอะไรกัน อาจจะเหมือนที่คนฟังลูกทุ่งบางคนฟังเพลงแร็ปไม่เข้าใจ ซึ่งเอาจริงๆ กำแพงทั้งหมดนี้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ เลย ถ้าเราเปิดใจ ปรับทัศนคติใหม่ ฟังแล้วคิดตามว่ามันเป็นเพลงแนวไหน ทำไมคนชอบฟังกันจัง พอคิดแบบนี้แล้วทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น ยิ่งพอมาคิดว่า ทำไมทีเพลงสากลที่ไม่เข้าใจภาษา เรายังเสพเพลงพวกนี้ได้เลย ทำไมเพลงที่เข้าใจภาษาจะฟังไม่ได้ จุดนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่า ดนตรีมันเป็นไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่มันอยู่ที่องค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้ง Groove อารมณ์เพลง และความรู้สึก เวลาที่เราฟังเพลงละตินแล้วรู้สึกสนุก มันก็เป็นเรื่องของ Groove อะไรประมาณนี้ครับ ช่วงนั้นผมฝึกสกิลล์มาเรื่อยๆ แต่พอเรียนจบมันก็มีจุดที่ทำให้ผมรู้สึกเคว้ง

เล่าเรื่องราวความเคว้งในครั้งนั้นให้ฟังหน่อย

หลังจากเรียนจบม.ปลาย ผมต้องมาคิดว่าจะไปต่อทางไหนดี ตอนนั้นคุณพ่อมองว่า ดนตรีเป็นอะไรที่ใช้ในชีวิตประจำวันยาก หมายถึงหาเงินยาก ทำธุรกิจยาก แล้วที่บ้านผมเองก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลอย จิวเวลรี่ ผมเลยต้องตามใจที่บ้าน เรียนอะไรที่มันสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้ เลยสอบเข้าไปเรียนธรณีวิทยา ที่จุฬาฯ ครับ การเรียนที่นั่นมันได้ความรู้เยอะมากเลยนะ มันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่คือการเรียนจริงๆ แต่มันก็เคว้งมากในเวลาเดียวกัน เหมือนกับว่าไม่มีใครที่พอจะคุยกันรู้เรื่อง หรืออยู่ด้วยได้เลย ผมทั้งกดดันและเครียดสุดๆ จนตัดสินใจเปลี่ยนไปเรียนการตลาดที่ม.กรุงเทพแทน พอเปลี่ยนคณะ เปลี่ยนมหาวิทยาลัย เพื่อนที่เจอก็เปลี่ยนไป ตรงนี้มันทำให้ผมได้เก็บข้อมูล และทำความเข้าใจว่าคนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ซึ่งมันประยุกต์มาเป็นเพลงของเราได้ด้วย เอาเข้าจริงแล้วตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะทำอะไร รู้อย่างเดียวเลยว่าอยากเป็นศิลปิน แต่ขั้นตอนจะทำยังไงให้เป็นศิลปินได้เนี่ย ไม่รู้เลย ถ้าได้ออกโทรทัศน์ ร้องเพลงเฉยๆ ก็คงเป็นนักร้องธรรมดาคนหนึ่ง

“สำหรับผม ผมอยากเป็นศิลปินที่เป็นทั้งนักร้อง และนักแต่งเพลงอยู่ในคนเดียวกัน การถ่ายทอดเพลงผ่านประสบการณ์จริงของเรามันดูจริงกว่า แล้วมันก็เท่กว่ามาก”

เพลงแรกของ D GERRARD

โห…เพลงแรกของผมนี่เด็กมากครับ ม.ต้นเลย ผมประกวดวงดนตรีในงานวันแม่ เข้ารอบ 3 ทีมสุดท้าย ก็เลยเอาวะ ลองเขียนเพลงเองดู ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงเขียนยังไง แต่มีครูคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับผมว่า เขียนเพลงมันไม่ยากหรอก มันก็เหมือนเขียนเรียงความนั่นแหละ ถ้าเขียนเรียงความเป็นก็น่าจะเขียนเพลงได้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยครับว่า เขียนให้มันพอฟังได้ก็พอ คอร์ดเพลงก็ลองตีๆ ดูจากที่เรารู้ ลองหาเมโลดี้ไปใส่ แต่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนเพลงเองจริงๆ จังๆ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนี้เองครับ

ความยากของการแต่งเพลงคืออะไร

ผมว่าการเขียนเพลงให้จบเนี่ย ยากนะครับ คนส่วนใหญ่พอเริ่มเขียนแล้วมักจะจบไม่ลง เพราะไม่รู้จะหาความสมบูรณ์แบบให้กับเพลงยังไง หรือบางครั้งอาจคิดมากไปจนงานไม่เสร็จ มัวแต่กังวลว่าอยากให้งานมันออกมาดีขึ้นไปอีก แต่อย่าลืมนะครับว่า ถ้าแต่งไม่เสร็จ ก็ไม่มีใครได้ฟังเพลงของเรานะ

อะไรทำให้ตัดสินใจมาแข่งขัน The X-Factor

ช่วงนั้นผมทำเพลงมาได้สักพักแล้วครับ ปล่อยเพลงในยูทูบช่องของตัวเองมาได้สัก 7-8 เพลง กำลังอยู่ในช่วงท้อมากเลย ตั้งใจทำเพลงเอง ทำเอ็มวีเอง ทำทุกอย่างเอง แล้วผลที่ได้คือมันไม่มีคนฟัง ยอดวิวมันน้อย เลยต้องมานั่งคิดว่าเราจะทำยังไงดี ตอนนั้นตั้งลิมิตกับตัวเองไว้ว่า ภายในปีนี้ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน หรือทำธุรกิจอะไรสักอย่าง

คนรอบๆ ตัวผมบอกว่า เพลงผมมันไม่แย่นะ มันฟังได้ แต่มันติดอยู่ที่จะทำยังไงให้ทุกคนได้ฟัง เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ลองประกวดดู มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เข้าไปแข่ง The X-Factor ผมก็ใช้เพลงตัวเองนี่แหละ จะได้สื่อถึงความเป็นตัวเราได้มากที่สุด อยากทำอะไรบางอย่างให้คนได้เห็น ได้ลองฟังเพลงของผม ได้ท้าทายตัวเอง และเซอร์ไพรส์คนที่บ้านด้วย

“คนที่บ้านมักพูดกับผมว่า ร้องเพลงอยู่แต่ในบ้าน แล้วใครเขาจะมาได้ยินเพลงของเราล่ะ”

แสดงว่า The X-Factor คือจุดเปลี่ยนให้ D GERRARD กลับมามีพลังทำเพลงอีกครั้ง

ใช่ครับ เวทีถือเป็นอีเวนต์สำคัญในชีวิตผมเลย มันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมาก มันทำให้ผมได้ทำอะไรที่มากกว่าตื่นนอน กินข้าว ตอนนั้นผมอินกับมันมาก แต่ไม่ได้คิดว่ามันเปลี่ยนชีวิตอะไรขนาดนั้น แค่คิดว่าได้ร้องเพลงที่ตัวเองมั่นใจว่าดีให้คนอื่นๆ ได้ฟัง ให้ทุกคนได้ตัดสินว่า สรุปแล้วเพลงของผมมันดีจริงหรือเปล่า

นิยามแนวเพลงของ D GERRARD

ผมเป็นคนชอบฟังเพลงหลายแนวมาก เลยมองว่าไม่ว่าจะเพลงแนวไหน มันก็อยู่ด้วยกันได้หมด ถ้าส่วนผสมมันลงตัว ผมเลยเอาสิ่งที่ผมชอบมาใส่ในเพลง ให้มันเกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ผมมีพื้นฐานของเพลงเป็นการร้องสไตล์ R&B ที่ผมชอบ ส่วนที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นฮิปฮอป เพราะจังหวะกลองมันชวนให้เป็นแบบนั้น แถมยังมีท่อนแร็ปอยู่ในเพลงอีก ถ้าใครที่เคยฟังเพลงของผมจะรู้ว่าบางเพลงผมก็ใส่โอเปร่าลงไปด้วย

“การทำเพลงมันก็เหมือนการทำอาหารจานหนึ่ง เพลงของผมเปรียบเสมือนอาหารฟิวชั่น ที่ผมใส่ส่วนผสมเป็นสิ่งที่ผมชอบลงไปในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่เลี่ยนและลงตัวในแบบของเรา”

การศิลปินในยุคนี้กับยุคก่อน คิดว่ามันยากและง่ายยังไงบ้าง

ผมว่ายุคก่อนเป็นยากนะ น่าจะยากกว่าเยอะเลยด้วย เพราะมันไม่มีช่องทางให้โปรโมตมากนัก มีแค่สื่อกระแสหลัก เวลาจะฟังเพลงแต่ละทีต้องซื้อเทป หรือฟังวิทยุเท่านั้น จะได้เป็นศิลปินแต่ละทีก็ต้องมีค่ายเพลงมาติดต่อ เอาไปปั้น แต่ทุกวันนี้มีอินเทอร์เน็ต ใครๆ ก็เข้าถึงเพลงได้ ศิลปินสมัยนี้ก็ปั้นตัวเองได้

“ผมมองว่ายุคนี้ใครๆ ก็ปั้นตัวเองให้เป็นศิลปินได้ แต่จะยืนระยะได้นานแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ศิลปินในยุคก่อนเป็นยาก แต่เป็นแล้วเป็นยาวเลย”

จุดสูงสุดของการทำเพลงของ D GERRARD

คนเรามันต้องมีฝันไปเรื่อยๆ ครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราทำได้แล้ว มันก็ควรจะฝันกันต่อ บางคนอาจจะพอใจแล้ว แต่ผมอยากลองไปต่อเรื่อยๆ นะ ทำไมเราไม่ลองไปอยู่ในจุดที่ทุกคนฝันอยากจะเป็นดู อยากรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง ตอนนี้มีคนฟังเพลงของผมมากขึ้น คนไทยเริ่มเปิดใจฟังอะไรใหม่ๆ แล้ว มันก็สำเร็จไปจุดหนึ่ง แต่ผมยังอยากเห็นศิลปินไทยโด่งดังระดับโลก เช่นเดียวกับศิลปินระดับโลกคนอื่นๆ ที่ดังมากในไทย ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ลิซ่า BLACKPINK ทุกคนดีใจที่คนไทยก้าวไปได้ไกล และผมอยากให้มีศิลปินไทยที่ไปสู่จุดนั้นได้อีก และผมอยากเป็นคนหนึ่งที่ทำให้คนต่างชาติได้เห็นความเจ๋งของคนไทย

โปรเจ็กต์ล่าสุดที่ทำกับค่ายเกาหลี เป็นยังไงบ้าง

โปรเจ็กต์นี้ผมทำร่วมกับ Brandnew Music ค่ายเพลงที่เกาหลีครับ ทำร่วมกับ 2 ศิลปิน ตอนนี้ปล่อยออกมา 2 เพลง คือ Come Back To Me กับ BUMKEY ศิลปิน R&B ที่อยู่ในวงการเพลงเกาหลีมานาน ส่วนอีกเพลงคือเพลง 24 hrsทำกับ KittiBที่เป็นแร็ปเปอร์ ยอมรับเลยว่ากังวลมาก กลัวภาษาจะเป็นอุปสรรค เพราะผมเองก็ไม่เคยเสพอะไรเกี่ยวกับเกาหลี พูดเกาหลีก็ไม่ได้ แต่อย่างที่ผมบอกว่าดนตรีคือภาษาสากล แค่เรารู้คอนเซ็ปต์ของงาน เข้าใจตรงกัน ปัญหาเรื่องภาษาก็ดรอปไปเลย เราเขียนเพลงในมุมมองของเรา เขาเขียนในมุมมองของเขา พอเอามาเรียบเรียงเข้าด้วยกันมันก็กลายเป็นความกลมกล่อมขึ้นมา ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุกมากๆ เลยครับ

D GERRARD กับความรัก มีมุมมองยังไงกับเรื่องนี้

สำหรับผมมันมีเรื่องสำคัญอยู่ประมาณ 3 ข้อ คือความเข้าใจ การกระทำ และความจริงใจ คือคนสองคนรักกัน มันต้องไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างต้องการ มันต้องมีการประนีประนอม เข้าใจซึ่งกันและกันให้มากๆ ซึ่งเข้าใจอย่างเดียวก็ไม่พออีก เพราะบางครั้งการกระทำของเรา มันก็ไม่ได้แสดงออกว่าเราเข้าใจ ความจริงใจที่มีให้กันก็สำคัญมาก ความรักที่ดีควรจะเปิดเผยและโปร่งใส ดังนั้นความรักมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาไว้ให้มันอยู่กับเราอย่างมีความสุขได้นาน ผมก็เลยยังไม่มีความรักในตอนนี้ครับ

ผู้หญิงสวยในสายตาของ D GERRARD ต้องเป็นแบบไหน

ถ้าเป็นเรื่องภาพลักษณ์ภายนอก คงต้องหน้าตาคมๆ แต่มีนิสัยน่ารัก เซ็กซี่มากแต่ไม่มีจริตเลยก็ไม่ได้นะ แต่ส่วนที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดเลยก็คือความฉลาด มีความสามารถ คุยกันสนุก คุยตลก เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้

ที่ผ่านมา ความรักให้อะไรกลับมาบ้าง

ก็ให้เพลงมาหลายเพลงเลยนะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ผมจะเขียนเพลงจากประสบการณ์ความรัก ตัวผมเองก็ผ่านมาหลายรูปแบบ หลายมุมมอง มันทำให้ผมรู้ว่าความรักมันไม่ได้สวยงามเสมอไป มีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องแย่ๆ มีความสุขก็ต้องมีความทุกข์ ทุกอย่างมันปะปนกันมา อยู่กับเราอย่างแนบเนียนจริงๆ

]]>
เส้นทางสายดนตรี และเมโลดี้ชีวิตของ ‘ภูมิ วิภูริศ’ https://marshomme.com/interview/994/ Mon, 22 Apr 2019 17:35:00 +0000

เสียงทุ้มที่ขับร้องเพลงภาษาอังกฤษรื่นหู ทำให้เราสะดุดกับวิดีโอที่แรนดอมขึ้นมาในยูทูบทันที ขณะกำลังคิดว่า เป็นผลงานของนักร้องฝั่งอังกฤษหรืออเมริกากันแน่ แต่แล้วชื่อที่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้เราประหลาดใจ
‘PhumViphurit’ หนุ่มชื่อไทยกับรอยยิ้มสดใสทำให้เราอดไม่ได้ต้องค้นหาประวัติของเขาในกูเกิล แล้วเราก็ได้แปลกใจรอบที่สอง เมื่อพบว่านักน้องหนุ่มคนนี้กำลังมีทัวร์คอนเสิร์ตทั้งเอเชียและยุโรป ยิ่งได้เห็นความสามารถทางดนตรีของเขา ก็ยิ่งทำให้เราอยากรู้จักหนุ่มคนนี้มากขึ้น และเมื่อโอกาสของการได้นั่งคุยกับเขามาถึง เราก็พบว่า ไม่ใช่แค่บทเพลงไพเราะ แต่เมโลดี้ชีวิตของ ‘ภูมิ-วิภูริศศิริทิพย์’ ก็น่าฟังไม่แพ้กัน

“การเป็นศิลปินในยุคโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่ยากมาก อาจจะมีหนึ่งพันคอมเมนต์ที่ชอบเรา แต่คุณอาจจะเลื่อนไปเจอหนึ่งคอมเมนต์ที่บอกเราว่า ‘Oh, you are shit!’ เราก็จะแบบ ‘โว้ววว!’ มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

จุดเริ่มต้นในเส้นทางสายดนตรี
ภูมิโตมากับดนตรีครับ ไม่ได้โตมากับการเล่นดนตรีอะไรขนาดนั้น แต่เป็นคนที่ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก น่าจะเป็นช่วงม.ต้นที่อยากลองเล่นกีตาร์ ลองเล่นดนตรี ลองตีกลอง โชคดีที่ในโรงเรียนมีมิวสิกคลาส เลยลองไปร่วมกิจกรรมของคลาสดู จากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ มีการเล่นคัฟเวอร์ลงยูทูบ จนได้มาเป็นภูมิทุกวันนี้ครับผม

เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้ไหม
ไม่เลยครับ ทุกวันนี้ยังงงอยู่เหมือนกันว่า ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เราแค่ชอบเล่นดนตรี ชอบฟังดนตรี เพราะมันรู้สึกได้ปลดปล่อย และรู้สึกโชคดีมากที่มีวันนี้ตอนที่คัฟเวอร์ลงยูทูบ เราแค่อินกับดนตรีอัลเทอร์เนทีฟในตอนนั้น แค่อยากลองเอามาทำเพราะเราชอบ ภูมิไม่ได้เป็นคนกล้าแสดงออกขนาดนั้น ภูมิเป็นคนขี้อายแค่รู้สึกว่า ยูทูบมันเป็นอะไรที่เราสามารถทำในห้องนอนเราได้ เราจะถ่ายกี่เทคก็ได้ ถ่ายทั้งคืนก็ได้จนกว่าเราจะพอใจกับมัน แล้วเรายังสามารถกลับไปฟังก่อนแล้วค่อยปล่อยออกไปได้มันรู้สึกได้ระบายดี

ทำไมต้องเป็นแนว‘นีโอโซล’ กับ ‘อินดี้ โฟล์ก’
ตอนที่ทำอัลบั้มชุดแรกมันเป็นแนวอินดี้ โฟล์กเพราะตอนนั้นภูมิอินกับกีตาร์โปร่งมาก จริงๆ อิทธิพลของภูมิมันไม่ได้มาทางอินดี้ โฟล์กขนาดนั้น อาจจะเป็นแค่ทางคอร์ดที่เราเลือกเล่นมันดูเป็นอินดี้ โฟล์กก็เลยออกมาแบบนั้น ส่วนนีโอ โซลจะอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ ที่กำลังทำคอนเซ็ปต์อยู่ อาจจะออกมาทางนั้นเพราะเราเลือกเล่นกีตาร์ไฟฟ้า และทางคอร์ดเราอาจจะหวานขึ้นมานิดหนึ่ง คนเลยตีความว่าเรามาทางนีโอ โซล แต่ตัวภูมิเอง ถามว่าภูมิฟังนีโอโซลมั้ย ไม่ใช่ เรียกได้ว่าแต่ละวันภูมิฟังหลายๆ แนวมาก

ถ้างั้นมีใครที่ภูมิคิดว่าได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากเขามากที่สุด
อันนี้ภูมิก็จะพูดทุกครั้งนะครับว่าภูมิไม่ได้มีซาวด์ดนตรีที่ได้รับมาจากใครชัดเจน ไม่ได้มีอิทธิพลทางดนตรีขนาดนั้น แต่คนภูมิชอบที่สุดก็ คือ Mac Demarco ศิลปินแคนาดา ชอบมุมมองเวลาเขาแต่งเพลงชอบในไลฟ์สไตล์ที่เขามี ชอบในทัศนคติเขา ถือว่าเป็นแฟนเพลงมาแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนที่สามารถแต่งเพลงในสตูดิโอใหญ่ๆ ได้ แต่เขาเลือกที่จะทำเองในบ้านเล็กๆ ซึ่งคุณภาพอาจจะไม่ได้สูงมากแต่มันได้ความจริงใจอะไรบางอย่าง เพราะว่าในโลกตอนนี้มันมีดนตรีที่สามารถโปรดิวซ์ออกมาได้เยอะๆ แต่เขาเลือกที่จะทำเหมือนงานโฮมเมด งานคราฟต์ที่มีลายเซ็นชัดๆ มันน่าสนใจมากๆ

ภูมิว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก ที่หากคุณมีกลุ่มคนฟัง มีคนฟอลโลว์เยอะๆ มีชื่อเสียงเยอะๆ แล้วดนตรีจะถูกดึงไปทางด้านธุรกิจ คนที่หาจุดกลางได้ว่า เราเป็นแบบนี้นะและยอมจะทำแบบนี้เพื่ออยู่รอดกับโลกดนตรี ภูมิเลยชอบ Mac Demarcoที่เขาหาจุดตรงกลางตรงนั้นได้ เขาประสบความสำเร็จสูง แต่ยังคงมีความเป็นตัวเองสูงมากๆ ไม่สูญเสียตรงนั้นไป เป็นแรงบันดาลใจสำหรับภูมิมากๆ ที่จะทำงานออกมาแบบนี้ ไม่ว่าดนตรีเราจะมีคนฟังมากขึ้นกว่านี้ไหม หรือน้อยลง ทำให้เราใส่ใจมันจริงๆ ไม่ใช่รีบทำเพื่อเอาไปรีบขายช่วงคริสต์มาสอะไรแบบนั้น


“ภูมิแค่แต่งเพลงที่ภูมิชอบในตอนนั้น แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารในช่วงนั้น แค่นั้นเอง”

อะไรทำให้เราได้รับการตอบรับจากต่างประเทศก่อนประเทศไทย
อันนี้เป็นอะไรที่ภูมิตอบไม่ได้จริงๆ เพราะในมุมมองของภูมิ ภูมิแค่แต่งเพลงที่ภูมิชอบในตอนนั้น แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารในช่วงนั้น แค่นั้นเอง ตอนที่ภูมิปล่อยออกไป ภูมิไม่ได้มีกลยุทธ์ว่า โอเค มันต้องไปถึงกลุ่มผู้ฟังเมืองนอกนะ ตอนนั้นแค่ภูมิชอบ แล้วมันไปของมันเอง เพลงแรกที่มันเกิดขึ้นก็คือ ‘Long Gone’จำได้ว่าภูมิส่งไปเกือบทุกชาร์ตในประเทศไทย แต่มันไม่ติดที่ไหนเลย แล้วอยู่ๆ มันก็ไปโผล่ในต่างประเทศ ติดเพลย์ลิสต์ในยูทูบ แล้วก็ไหลไปเรื่อยๆจากนั้นกลุ่มผู้ฟังต่างประเทศก็เข้ามาเรื่อยๆ ยอดติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ภูมิไม่ได้ออกสื่อโปรโมตอะไรเลย

โชว์แรกที่ได้ขึ้นในฐานะ ‘ภูมิ วิภูริศ’ คือที่ไหน
โชว์แรกในนามภูมิ จริงๆ น่าจะเป็น 2015 ไม่ก็ 2014 ตอนนั้นภูมิออกไปเพลงหนึ่ง แล้วมีโอกาสไปเล่นแถวเอกมัย ทองหล่อ จำได้เลยว่ามีคนมาดูประมาณ 6 คน เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ดีใจมาก ถึงคนจะมาดูไม่เยอะแต่เราได้ขึ้นเวทีในนามศิลปินครั้งแรก ทั้งๆ ที่เพลงครึ่งหนึ่งเป็นเพลงคัฟเวอร์ แต่ก็ยังดีใจที่ได้โอกาสนั้น ส่วนคอนเสิร์ตต่างประเทศครั้งแรก ภูมิเคยไปเล่นที่ Show Case ไต้หวัน อันนั้นเป็นโชว์เดี่ยว แต่Full Show จะเป็นที่โตเกียว ชิบุยา ดีใจมากเพราะเราไม่เคยได้สัมผัสแฟนเพลงต่างประเทศมาก่อน ถึงเพลงเราจะไม่ได้เป็นที่นิยมขนาดนั้น แต่มันได้คนละอารมณ์มากๆ

ไปแสดงมาแล้วหลายประเทศ มีประเทศไหนที่ประทับใจบ้าง
จริงๆ ประทับใจหลายประเทศมากๆ ถ้าในเอเชีย ภูมิประทับใจเกาหลีและญี่ปุ่นมากๆ เป็นประเทศที่รู้สึกว่า ผู้ฟังที่นั่นเขารู้สึกซาบซึ้งไปกับศิลปะและดนตรีสูง พวกเขามีพลังบางอย่างที่เรารู้สึกได้เวลาเราไปแสดง ฝั่งยุโรปชอบเบอร์ลินมากๆ ลอนดอนก็สนุกมาก อัมสเตอร์ดัม ก็สนุกมาก อเมริกานี่ชอบทั้งประเทศที่ไปโชว์เลย เพราะวัฒนธรรมการฟังดนตรีของเขาน่าจะตรงกับรสนิยมของเราที่สุด ก็เลยสนุกมากจริงๆ

มีค่ายเพลงต่างประเทศติดต่อมาให้ไปร่วมงานด้วยบ้างไหม
มีครับมี เคยมีร่วมงานอยู่บ้างกับศิลปินต่างประเทศ ส่วนจะไปทำงานจริงจังกับต่างประเทศไหม ยังไม่ได้วางแผนขนาดนั้น โลกของดนตรีปัจจุบันมันกำหนดไม่ได้ขนาดนั้นไว้ดูโอกาสที่เข้ามา แล้วอะไรที่เราคิดว่าเหมาะกับเราค่อยทำ

การได้ไปโตเมืองนอก ส่งผลต่อภูมิยังไงบ้าง
รู้สึกว่า ภูมิจะได้อิทธิพล มุมมอง ความคิด ไลฟ์สไตล์ มาจากนิวซีแลนด์มากกว่า ภูมิรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์มีความเป็นชาวนิวซีแลนด์สูงมาก เพราะตอนที่กลับไทยมา ภูมิยังมีคัลเจอร์ช็อกกับไทยไปเหมือนกัน ตอนนี้ถ้ากลับไปนิวซีแลนด์ ก็อาจจะมีคัลเจอร์ช็อกเหมือนกัน ภูมิว่ามันแค่ทำให้เราเห็นโลกจากหลายๆ มุม ทำให้เราไม่ซีเรียสกับอะไรมาก เพราะเรารู้ว่า มันมีหลายมุมมองในทุกๆ อย่าง เช่นทัศนคติการทำงาน เราไม่เชื่อว่าเราต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่ง คนถึงจะยอมรับเรา อันนี้คิดว่าได้มาจากนิวซีแลนด์มากๆ

“ภูมิไม่รู้สึกว่าเราต้องรีบทำงานเพื่อจะเค้นมันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันต้องรู้สึกว่าจะถ่ายทอดจริงๆ ให้มันเป็นภูมิเท่าที่จะเป็นได้”

อัลบั้มแรกมีการทำงานอย่างไร

ภูมิเป็นคนเริ่มแต่งเพลงเองทั้งหมดเลยครับ ช่วงแรกภูมิอาจจะทำงานไม่ครบทุกขั้นตอน อาจจะแต่งแค่เนื้อร้องและกีตาร์โปร่ง พอเข้าใจการโปรดิวซ์มากขึ้น ก็เริ่มเข้าไปมีส่วนในขั้นตอนอื่นๆ มากขึ้น ภูมิว่าตัวตนของภูมิเข้าไปอยู่ในผลงานเยอะมาก ถ้าสังเกตจะเห็นว่า หลังจากปล่อยเพลงแรก กว่าจะออกอัลบั้มภูมิใช้เวลา 4 ปีในการทำ 9 เพลง ภูมิไม่รู้สึกว่าเราต้องรีบทำงานเพื่อจะเค้นมันออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ต้องรู้สึกว่าจะถ่ายทอดจริงๆ ให้มันเป็นภูมิเท่าที่จะเป็นได้

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากไหน
มักจะเป็นสิ่งที่ภูมิรู้สึกในตอนนั้นๆ อย่างเพลงล่าสุดที่แต่งอยู่ ไม่ได้พูดถึงความวิตกกังวล แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าเรากลัวว่าเราวิตกกังวลหรือเปล่า อย่างเรานอนไม่ค่อยหลับ คิดถึงแต่เรื่องซ้ำๆ เดิมๆ วนไปวนมา พอภูมิกลับมาคิดแล้ว ภูมิเอาเรื่องความเครียด ความเศร้า มาแต่งเป็นเพลงเสียมากกว่า ซึ่งเป็นมุมมองที่เราเพิ่งตระหนักว่า เราเอาเรื่องแบบนั้นมาแต่งเยอะเลย

มองวงการเพลงไทยตอนนี้ยังไงบ้าง
วงการเพลงไทยตอนนี้ภูมิมองว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองมากๆ เพราะว่าตอนนี้ เหมือนกับมีวงใหม่ๆ ออกมามาก ภูมิเองยังตามฟังไม่ทันเลย ถือว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองมาก วงเมืองนอกทั้งวงใหญ่ๆ และวงอินดี้เล็กๆ เข้ามาแสดงในไทยมากขึ้นด้วย มันเป็นสัญญาณบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า การฟังดนตรีหรือการเป็นนักดนตรีในไทย มันเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งการเป็นคนทำงานสายครีเอทีฟด้านดนตรี การทำงานช่วงนี้จะสนุกมากๆ

ความรักมีผลต่อเพลงของภูมิมากไหม
บางครั้งภูมิพยายามจะแต่งเพลงที่ไม่เกี่ยวกับความรัก แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่เรารู้สึกมากที่สุด ช่วงที่ภูมิแต่เพลงอัลบั้มแรก จะเป็นช่วงอายุ 18–21 ปี เป็นช่วงที่เราปฏิเสธว่าเราไม่รู้สึก แต่จริงๆ เป็นช่วงที่รู้สึกกับความรักมากที่สุด ช่วงนั้นแต่งเพลงรักเยอะมาก มีทั้งHappy Ending และเศร้าๆบ้าง แต่เราก็เลือกนำเสนอในมุมของเรา

มีเสียงวิจารณ์ด้านลบเกี่ยวกับผลงานบ้างไหม
มีครับมี ช่วงแรกเป็นช่วงที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะเราทำผลงาน เราไม่ได้คาดหวังผลตอบรับอะไรกับมันมาก พอเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตเราก็เลือกที่จะเข้าใจว่า เราทำผลงานออกไป ถ้าคนที่แสดงอะไรออกมาในทางลบใส่เรา ก็ถือว่า วิน-วิน มันเป็นโลกของการแสดงความเห็นอย่างเสรี ใครจะพูดอะไรก็ได้ เราได้แสดงของเราไป เขาแสดงของเขากลับ เราก็ต้องเลือกที่จะโอเค การเป็นศิลปินในยุคโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่ยากมาก อาจจะมีหนึ่งพันคอมเมนต์ที่ชอบเรา แต่คุณอาจจะเลื่อนไปเจอหนึ่งคอมเมนต์ที่แบบ ‘Oh, you are shit!’เราก็จะแบบ ‘โว้ววว’ มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าอะไรที่มันอยู่ในอินเทอร์เน็ตแล้ว มันจะอยู่กับเราตลอดไป

“จริงๆ ภูมิเป็นคนปกติ เศร้าก็มี วิตกกังวลก็มี เรามีทุกอารมณ์ ภูมิแค่อยากเลือกที่จะมีความสุขมากกว่า เพราะชีวิตมันมีความเศร้าพอแล้ว”

ภูมิก่อนเป็นศิลปินกับการได้เป็นศิลปินแล้วแตกต่างกันแค่ไหน
ไม่ได้แตกต่างขนาดนั้นในการใช้ชีวิต ภูมิว่าภูมิไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ในด้านการทำงานมันก็มีเปลี่ยนไปบ้าง เช่น อาจต้องมีผู้จัดการคุยงานแล้วนะ หรือไปไหนมาไหนก็มีคนรู้จักมากขึ้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับภูมิมากๆ คือ การรู้สึกว่า ต้องอยู่กับคนที่เขารักเราจริงๆ คนชอบมองว่าภูมิเป็นคนแฮปปี้ตลอดเวลา แต่จริงๆ ภูมิเป็นคนปกติ เศร้าก็มี วิตกกังวลก็มี เรามีทุกอารมณ์ ภูมิแค่อยากเลือกที่จะมีความสุขมากกว่า เพราะชีวิตมันมีความเศร้าพอแล้ว พอกลับมานั่งคิดอีกที เกี่ยวกับเรื่องเพลง ว่าเราแต่งอะไรไปบ้าง เราแต่งเอาเรื่องที่ลบมาทำให้เป็นบวกหลายอย่าง เพราะว่าเราอยากจะตีความทุกออย่างให้เป็นอย่างนั้น

ถือเป็นเอกลักษณ์ของภูมิเลยไหม
ถ้าเป็นจริงๆ ก็ดีนะ หากวันหนึ่งเราเลิกทำเพลงไปแล้ว แล้วนี่เป็นสิ่งที่คนจำได้เกี่ยวกับเรา ว่าเป็นคนที่เอาสิ่งที่มันเจ็บปวดมาทำให้คนยิ้มได้ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดี ภูมิไม่แน่ใจว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิไหม

เรียนมาทางด้านภาพยนตร์ มีผลกับตัวเองอย่างไร
ภูมิชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบหนังโรแมนติกคอเมดี้มากๆ ชอบหนังครอบครัว ภาพยนตร์มีผลต่อการทำงานมากนะ เพราะภูมิไม่ได้เรียนดนตรีมา เวลาเราคิดจะแต่งเพลง มันเหมือนเราวาดภาพในหัว เราดีไซน์เป็นสตอรี่ เรามองเราเห็นภาพก่อนที่เราจะแต่ง อาจจะเพราะเราอินกับการใช้ภาพอย่างหนัง แต่ก็ไม่ได้อธิบายได้ขนาดนั้น เพราะเราใช้ความรู้สึก มันไม่ได้มีรูปแบบในการทำเพลงขนาดนั้น

ถ้าภูมิไม่ได้เป็นนักร้อง ภูมิอยากเป็นอะไร
ตอนเด็กๆ ภูมิอยากจะเป็นยามมากๆ เลย เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามคอนโด จะเจอพี่ยามทุกเช้า เลยชอบ แต่เอาจริงถามว่าอยากเป็นอะไร ภูมิไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นในตอนเด็กๆ รู้แค่ว่าอยากทำในด้านครีเอทีฟ ชอบการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ถูกตีกรอบ ชอบที่จะมีอิสระ ไม่ต้องมีเดดไลน์ ซึ่งมันดูเป็นความฝันมากๆ อาจไม่ได้ตรงกับความจริงมากนัก และมันก็โชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานแบบนี้ในปัจจุบัน

ยังมีความท้าทายอะไรเหลืออยู่อีกไหม

ถ้าเป็นตอนนี้ คืออยากคงความเป็นตัวเองไว้ให้ได้ เพราะเวลาเราทำผลงานที่มันบูมออกมา มันจะมีความคาดหวัง กดดันตัวเองว่างานชิ้นต่อไปเราต้องทำให้มันดี ให้เหมือนชิ้นที่แล้วนะ ซึ่งบางครั้งเวลาเราคิดแบบนั้น มันเหมือนเราตกเป็นทาสกับอดีตของตัวเอง กับความสำเร็จของเรา ว่านี่คือเรานะ เราต้องเป็นแบบนั้นให้ได้อีก ตอนนี้เลยแค่อยากทำอะไรให้เป็นตัวเองได้ต่อไป ไม่ว่าสถานการณ์ในการเป็นศิลปินของเราจะเป็นยังไง

]]>