Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
นักร้อง – Marshomme https://marshomme.com Mon, 29 Mar 2021 08:00:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png นักร้อง – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ใครคือ ‘Love of My Life’ ของเลดี้ กาก้า? https://marshomme.com/scoop/531619/ Tue, 12 Jan 2021 06:57:00 +0000
ชีวิตรักของคนดังที่ผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 กันมามีอยู่หลายคู่ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ เลดี้ กาก้า กับแฟนหนุ่มคนล่าสุด…ไมเคิล โปลันสกี้ นักลงทุนด้านเทคโนโลยีวัย 40 ปี ที่เธอเฉลยในรายการ ‘Morning Joe’ เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วว่าเขาคนนี้แหละที่เป็น ‘Love of My Life’

ไมเคิลโปลันสกี้สำเร็จการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2006 ปัจจุบันทำงานเป็นผู้บริหารให้กับปาร์เกอร์ กรุ๊ป ในส่วนของมูลนิธิ ซึ่งเป็นของฌอน ปาร์เกอร์-หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook


พวกเขามีความสนใจร่วมกันในงานของมูลนิธิ ทั้งของเขา และมูลนิธิ Born This Way ที่ซินเธีย แกร์มานอตตา-แม่ของเธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง พวกเขาพร้อมใจกันที่จะพัฒนาแอพฯ ขึ้นมา

ทั้งสองรู้จักและปิ๊งกันเมื่อปลายปี 2019 ที่ปาร์ตี้ส่งท้ายปีในลาส เวกัส หลังจากนั้นก็มีช่างภาพข่าวเห็นทั้งสองในงานซูเปอร์ โบว์ลที่ไมอามี ก่อนที่สาวเจ้าของรางวัลออสการ์จะออกมายืนยันกับสื่อเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับโปลันสกี้ในเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมโพสต์ภาพถ่ายเธอในอ้อมกอดของเขา-ในท่าที่ภาษาข่าวเรียกว่า ‘ท่ารับปริญญามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ -บนเรือยอชต์ ผ่านทางอินสตาแกรมในเวลาต่อมา


‘Stupid Love’ เป็นชื่อเพลงซิงเกิลที่เลดี้ กาก้าปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่ประกาศสัมพันธ์รักใหม่ “ฉันเจอรักโง่ๆ” เป็นอีกประโยคหนึ่งที่บรรยายภาพเซลฟีของเธอกับโปลันสกี้ แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เพลงดังกล่าวเธอแต่งไว้เมื่อไหร่ หรือมันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนใหม่ของเธอหรือไม่ แต่เนื้อหาของเพลงก็กล่าวถึงการเจอคนที่ใช่ในท้ายที่สุด หลังจากการแสวงหามานาน

เดือนพฤษภาคม 2020 เลดี้ กาก้าเปิดตัวอัลบั้มชุดที่ 6 มีการจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ที่เธอกับโปลันสกี้ร่วมฉลองตามมาตรการเว้นระยะห่าง คลิปวิดีโอในอินสตาแกรมเผยให้เห็นเธอกับเขาเพียงแค่สองคน สวมหน้ากากอนามัยอยู่ภายในห้อง มีเพลง ‘911’ ซึ่งเป็นเพลงใหม่ของเธอกระหึ่มดัง และลูกโป่งหลากสีที่ประดับเป็นฉากหลังเผยให้เห็นชื่ออัลบั้มใหม่ ‘Chromatica’


ในช่วงการเว้นระยะห่างทางสังคม เธอกับโปลันสกี้มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันภายในบ้านพักที่มาลิบู แคลิฟอร์เนีย สื่อบันเทิงรายงานข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทั้งสองขลุกตัวอยู่ในแต่บ้านของเธอ และมักสั่งอาหารเดลิเวอรี โพสต์ภาพลงอินสตาแกรม ให้กำลังใจทั้งตัวเองและแฟนคลับ

“ต้องเข้มแข็ง เราใช้เวลาว่างเล่นเกมวิดีโอกัน และเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน” และที่สำคัญ ต้องทำจิตใจปลอดโปร่ง และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย พร้อมแฮชแท็กต่างๆ นานา เช่นว่า #selfcare #bekind “และขออย่าสิ้นหวังเมื่อคุณติด #corona ซึ่งมันโอเค และจะดีมากถ้าคุณสามารถอยู่แต่ในบ้านได้ เพราะนั่นเป็นเสมือนกฎสำหรับโลก”

เดือนสิงหาคม 2020 เธอโพสต์อินสตาแกรมอวดเมนูพาสต้าที่เธอทำเอง และเผยไต๋ว่าโปลันสกี้เพลิดเพลินกับกิจกรรมเคียงข้างเธอด้วย

“กำลังเตรียมมื้อค่ำด้วยรัก และซอสอิตาเลียนรสเผ็ด” และหยอดด้วยประโยคหวานๆ “ฉันชอบที่จะเชื่อมโยงวัฒนธรรมของฉันกับคนที่ฉันรัก”


“ฉันตื่นเต้นมากกับการจะได้เป็นแม่คน” ประโยคนี้เคยกลายเป็นประเด็นข่าว หลังจากเปิดเผยเรื่องราวความรักของเธอกับไมเคิล โปลันสกี้ ผู้ชายที่เธอเพิ่งคบหาเพียงแค่สามเดือนครึ่ง เธอยังให้สัมภาษณ์กับนิตยสารผู้หญิงด้วยว่า เป็นความมหัศจรรย์ของเพศแม่ที่สามารถให้กำเนิดทายาทได้

“เราสามารถอุ้มคนไว้ในตัวเรา และปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น จากนั้นเขาก็ออกมา และเป็นหน้าที่ของเราที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป”

ความสุขจากความรักในวันนี้ ทำให้เลดี้ กาก้าวาดฝันถึงวันข้างหน้า เธออยากจะมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเพลงและหนังให้มากขึ้น


รวมถึงงานมูลนิธิ Born This Way “ฉันอยากจะช่วยหาทุนสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการปวดเรื้อรังจากโรคไฟโบรไมอัลเจีย (โรคเรื้อรังที่ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ) และโรคระบบประสาท” ที่เธอสามารถทำร่วมกันกับโปลันสกี้

แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก้าวผ่านขวบปีมาแล้ว และไมเคิล โปลันสกี้คนนี้คือผู้ชายที่เธอยืนยันว่าเป็น ‘ความรักของชีวิต’ แต่สื่อบันเทิง โดยเฉพาะของอเมริกัน ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไรนักว่าจะมั่นคงถาวร US Magazine หยอดท้ายข่าวรักใหม่ของเธอครั้งนี้ด้วยรายชื่อผู้ชายที่เธอเคยคบหาเป็นแฟนมาก่อนหน้า เช่น เทย์เลอร์ คินนีย์ นักแสดงจาก ‘Chicaco Fire’ เคยควงกับเธอระหว่างปี 2011-2016 คริสเตียน คาริโน หนุ่มใหญ่จากสำนักจัดหาศิลปินที่มีความสามารถ เป็น ‘คู่รัก’ ของเธอระหว่างปี 2017-2019 และแดน ฮอร์ตัน วิศวกรเสียง ที่เธอคบแค่เพียงสามเดือน ก่อนจะแยกจากกันในเดือนตุลาคม 2019 จากนั้นเลดี้ กาก้าก็มาพบเจอกับ ‘ความรักของชีวิต’ เมื่อตอนปลายปี


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

อ้างอิง:

https://mfitv.com/lady-gaga-ruft-freund-michael-polansky-die-liebe-meines-lebens/
https://web.de/magazine/unterhaltung/stars/bodenstaendige-wuensche-lady-gaga-freut-zeit-mutter-ehefrau-34601386#:~:text=%22Ich%20freue%20mich%20so%20sehr,ihn%20am%20Leben%20zu%20halten.%22
https://www.usmagazine.com/celebrity-news/news/lady-gaga-calls-her-boyfriend-michael-polansky-the-love-of-my-life/

]]>
‘อี ซึงจู’ หนุ่มปริศนาในเอ็มวีใหม่ของไอดอลสาว BLACKPINK https://marshomme.com/scoop/531489/ Wed, 14 Oct 2020 07:01:00 +0000
เรื่องกลายเป็นข่าวแบบไวรัลไปในชั่วข้ามคืน เมื่อเอ็มวีเพลงใหม่ ‘Lovesick Girls’ ของเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK ถูกปล่อยเป็นปฐมฤกษ์เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  จนทำให้ยอดวิวทะลุถึง 61 ล้านภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนจะมีดราม่าปรากฏขึ้น  กระทั่งต้องปล่อยเอ็มวีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาแทน และนับถึงโมงยามนี้ยอดวิวสูงเกิน 150 ล้านไปเรียบร้อยแล้ว

ประเด็นร้อนอยู่ที่เอ็มวีเวอร์ชั่นแรกอันเป็นเหตุให้ต้องลงทุนลงแรงทำกันใหม่  นั่นเพราะเวอร์ชั่นเก่า เจนนี-หนึ่งในสมาชิกของ BLACKPINK สวมชุดพยาบาลขณะขับขานเนื้อเพลง “Didn’t wanna be a princess, I’m priceless/ A prince not even on my list/ Love is a drug that I quit/ No doctor could help when I’m lovesick” ซึ่งกลายเป็นดราม่าขึ้นเมื่อสมาคมผู้ประกอบการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของเกาหลีออกมาติติงถึงความไม่เหมาะสมที่ไอดอลสาวสวมเครื่องแบบพยาบาลขณะแสดงออกด้วยท่าทางเซ็กซี่จนดูคล้าย ‘วัตถุทางเพศ’ ในสายตา


YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดรีบออกมาขอโทษ พร้อมทั้งทำการตัดต่อมิวสิกวิดีโอเสียใหม่ โดยนำฉากที่มีเจนนีในลุคอื่นเสียบเข้าไปแทน

ประเด็นร้อนของเพลงนี้ไม่ได้มีแค่เพียงดราม่าเรื่องเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของหนุ่มปริศนาที่ปรากฏตัวในเอ็มวีด้วย เขาคือหนุ่มผมยาวที่ลิซา-ลลิษา มโนบาล สาวไทยหนึ่งเดียวในวง BLACKPINK ซบศีรษะลงแนบแผ่นอก แสดงอาการซึ้งๆ กับโรเซ หรือมีปากเสียงกับสาวเจนนี แม้ว่าในเอ็มวีจะไม่เปิดเผยหน้าตาให้เห็นแบบจะๆ แต่ชาวเน็ตและแฟนคลับของ BLACKPINK หลายคนสามารถสัมผัสได้ว่า เขาไม่ธรรมดา และใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่า เขาเป็นใคร?


อี ซึงจู (Lee Seungjoo) คือชื่อจริงของหนุ่มคนนี้ นอกจากนั้นเขายังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น Loren, DJ Boid, Løren และ Cawlr แต่หากใครเป็น BLINKs (แฟนคลับของ BLACKPINK) ตัวจริงอาจเคยเห็นเขาคนนี้เล่นกีตาร์อะคูสติกให้กับโรเซในการถ่ายทอดสดทางอินสตาแกรม เพื่อคัฟเวอร์เพลง ‘Wayo’ ของบัง เยดัม-สมาชิกวง Treasure รวมถึงเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของค่าย The BLACK Label ภายใต้สังกัด YG Entertainment

นอกจากนั้นลอเรนยังเคยมีส่วนร่วมในการทำเพลง ‘Bullsh*t ของ G-Dragon ซึ่งเปิดตัวไปในปี 2017 และยังเป็นดีเจร่วมกับคอนเสิร์ตเดี่ยวของ G-Dragon ใน Act III: M.O.T.T.E World Tour


ลอเรนทั้งสมาร์ทและมากความสามารถ เคยเป็นนายแบบให้กับแฟชั่นสตรีทแวร์แบรนด์หนึ่ง มาร่วมงานกับเอ็มวีเพลง ‘Lovesick Girls’ ครั้งนี้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดงนำชายอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ด้วย การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงไอดอลสาวๆ ของเขาเริ่มจากการทำงานให้กับนิตยสาร W Korea เขาได้รู้จักกับจีอึน ซึ่งเป็นสไตลิสต์ของ BLACKPINK

และตอนนี้พอเพลงดัง ดูเหมือนใครๆ ก็ทุ่มความสนใจไปที่เขา โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนคลับของไอดอลสาว ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือข่าวคอนเฟิร์ม ก็มีเพิ่มขึ้นตามลำดับ


อี ซึงจูเกิดเมื่อปี 1995 อยู่ในวัยเดียวกันกับจีซู สมาชิก BLACKPINK ทั้งยังเป็นเพื่อนกับสาวๆ ทุกคนในวง และไม่ใช่เคยเล่นดนตรีแจมกับโรเซเท่านั้น เขายังร่วมงานและไปช่วยเป็นกำลังใจพวกเธอระหว่างถ่ายทำเอ็มวีเพลง ‘Ice Cream’ อีกด้วย

จากโพสต์ต่างๆ ของเขาในโซเชียลมีเดียทำให้ชาวเน็ตรับรู้ด้วยว่า เขาสามารถพูดได้สองภาษาอย่างคล่องแคล่ว ทั้งเกาหลีภาษาแม่ และภาษาอังกฤษ


อีกข่าวเกี่ยวกับเขาที่น่าจะเป็นข่าวลือ นั่นคือ เขาเป็นทายาทของลี แฮจิน-หนึ่งในผู้ก่อตั้ง NAVER บริษัทเนเวอร์ ของเกาหลีใต้ที่ให้บริการด้าน Search Engine, Web Portal และ Online Gaming ที่ขยายธุรกิจไปถึงจีนและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป็นบริษัทแม่ของแอพลิเคชั่น Line ลี แฮจินมีทรัพย์สินอยู่ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และติดอันดับที่ 14 ในรายชื่อ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ตามรายงานของนิตยสาร Forbes


ข่าวลือเกี่ยวกับหนุ่มปริศนาคนนี้เริ่มแพร่สะพัดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าข่าวนี้เป็นความจริง รวมถึงข่าวที่ว่าเมื่อปี 2017 บริษัท Naver ตัดสินใจครั้งใหญ่กับการทุ่มเงินกว่า 1 แสนล้านวอนเพื่อลงทุนใน YG Entertainment

ส่วนข่าวเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับใครนั้น ไม่ได้ถูกหยิบยกมาเป็นข่าวลือ และชาวเน็ตน่าจะเชื่อว่าเขายังโสด สังเกตได้จากชื่อบัญชีอินสตาแกรมของเขาที่ใช้ @lorenisalone

ที่บอกโต้งๆ ตรงๆ ว่า “ลอเรนตัวคนเดียว”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ อัพเดตชีวิตและความหลังในอดีตของ ‘มิสเตอร์ดี’ https://marshomme.com/interview/531479/ Mon, 12 Oct 2020 09:23:00 +0000

หากยังจำกันได้ ศิลปินเด็กรูปร่างผอมบาง ผมสีทอง ที่มีชื่อในวงการเพลงช่วงสิบกว่าปีที่แล้วว่า ‘MR. D’ และเป็นลูกชายคนสุดท้องของฐาปกรณ์ และจิตรลดา ดิษยนันทน์ ชื่อของมิสเตอร์ดีโดดเด่นในกลุ่มศิลปินเด็ก ที่ตอนนั้นค่ายเพลงดังไม่ว่าแกรมมี่หรืออาร์เอสต่างผลิตกันออกมา แต่วันนี้มิสเตอร์ดีเติบใหญ่เป็นหนุ่ม และไม่เหลือเค้าของเด็กน้อยอย่างที่เคยคุ้นตาอีกแล้ว


‘เวลล์’ ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ ทิ้งวงการไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาคณะ Bachelor of Music จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นหน่วยกำลังสำคัญอีกส่วนหนึ่งให้กับธุรกิจของครอบครัว ในตำแหน่ง Executive Producer ผู้ผลิตละครทีวีของค่ายกันตนา

หนุ่มผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่งยังคงคลุกคลีอยู่กับงานเพลงและการแสดง แม้ว่าหน้าที่การงานหลักของเขาจะเป็นคนเบื้องหลังก็ตาม

หน้าที่ความรับผิดชอบของเวลล์ ในฐานะ Executive Producer มีอะไรบ้าง
 
ผมจะควบคุมด้านการผลิตโดยเฉพาะ นั่นคือตั้งแต่ขั้นตอนพรี-โปรดักชั่นจนถึงโพสต์-โปรดักชั่น ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เริ่มวางแผนกันว่าจะถ่ายอะไร จะเอาบทประพันธ์จากที่ไหน ใช้ทีมอะไร จนได้เป็นเทปสำหรับออกอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของเรื่องนั้นๆ

ตอนนี้ปริมาณละครของค่ายกันตนามีจำนวนแค่ไหน

เนื่องจากกันตนาเป็น Content Provider ก็จะมีการแบ่งงานกัน เพราะเราก็มีญาติหลายคนใช่ไหมครับ (หัวเราะ) รุ่นผมนี่ก็ถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่สามของกันตนาแล้ว หรือตระกูลกัลย์จาฤก ในส่วนของผมก็ได้รับมอบหมายให้ผลิตงานให้กับช่อง 7 เป็นส่วนใหญ่ ส่วนพี่สาว (ดิษย์ลดา ดิษยนันทน์) ก็จะผลิตให้กับอีกสื่อหนึ่ง อีกแพลตฟอร์มหนึ่ง แล้วญาติอีกคนก็จะทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ให้กับอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง

ตัวผมซึ่งทำให้กับช่อง 7 เพราะกันตนากับช่อง 7 ก็จับมือกันมานานหลายปีแล้ว ก็นับว่าเป็นเกียรติ และโชคดีที่มีงานจากช่อง 7 คอยป้อนให้เราตลอด และเราก็คอยผลิตงานที่มีคุณภาพให้เขาตลอดเวลา


ล่าสุดมีการ recrut นักแสดงในโปรเจ็กต์ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของเวลล์ด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ เป็นละครที่ผมเอาเรื่องจริงจากคนที่ภายใต้ความกดดันของสถานการณ์โควิด-19 มาทำเป็นละคร มีการดัดแปลงบ้าง หรือเป็นเรื่องจริงโดยตรงก็มี ตอนนี้เราถ่ายทำไปหนึ่งชุดแล้ว วางแผนจะออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางช่อง 7

เป็นการเอานักแสดงที่เราแคสต์มาจากงานกันตนา มาร์เก็ตเพลส ซึ่งตอนนั้นจากสามวันมีคนมาแคสติ้งประมาณเจ็ดร้อยกว่าคน เราคัดมาได้เหลือ 16 คนมาร่วมงานกับกันตนาไปเรื่อยๆ และหนึ่งในโปรเจ็กต์นั้นก็เป็น ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ที่ผมทำอยู่

นอกจากนั้น งานที่ผมทำให้กับช่อง 7 ที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้คือ ‘เงาบุญ’ ซึ่งเป็นละครจากบทประพันธ์ของคุณสมสุข กัลย์จาฤก หรือคุณยายของผมที่เคยเขียนเรื่องเปรตไว้ ก็เอามาดัดแปลงให้มันทันสมัย ตอนนี้กำลังออกอากาศอยู่ทางช่อง 7 ครับ


นอกเหนือจากงานที่กันตนาแล้ว ยังมีงานแสดงของตัวเองบ้างไหม

ช่วงเวลานี้ผมยังมีการผลิตเพลง การโปรดิวซ์เพลง เหมือนเป็น out source เป็นงานที่ผมทำเป็น hobby คือถ้ามีเวลาทำได้ผมก็ทำครับ ผมเน้นงานประจำที่บริษัทอยู่แล้ว แต่ว่าผมก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ผมรักจริงๆ นั่นคือเพลง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเรียนจบมาด้วย ผมก็รับจ้างโปรดิวซ์เพลง เพลงก็หลายแนวด้วย ล่าสุดเป็นฮิป-ฮอป ซึ่งผมก็มีงานอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

นอกจากนั้นก็จะเป็นงานละครเวทีที่ผมเพิ่งมาได้เล่นเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ที่มาร่วมในวงการละครเวที วงการมิวสิคัล ซึ่งผมก็หวังว่าจะได้โอกาสแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ

มีข่าวว่าร่วมแสดงในเรื่อง ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ ของดรีมบอกซ์ด้วย ใช่ไหม

ใช่ครับ ตอนนี้หยุดไว้ก่อนเพราะติดช่วงโควิดพอดี อันนี้ก็หวังว่าจะได้โอกาสที่เขาจะหาเวลามาลงเรื่องนี้ใหม่เพราะว่าก็ถ่ายโปสเตอร์อะไรไปเรียบร้อยแล้ว จริงๆ บล็อกกิ้งจนจบเรื่องไปแล้วด้วย ตอนนี้ก็รอเวลาที่เราจะได้นำเรื่องนี้มาโชว์ให้ชมกันได้

ปกติผมเคยได้เล่นมิวสิคัล แต่ ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ เรื่องนี้เป็นละครพูด ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก นับเป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยที่เป็นละครพูดอย่างเดียว ต้องมา coaching เยอะ แต่ก็สนุกสนานกันครับ ดีใจนะครับที่เขาให้โอกาส เพราะทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกเนาะ


เวลล์เรียนมาทางด้านการแสดงมาด้วยหรือเปล่า

จริงๆ ตอนเรียนเพลง มันจะเน้นโอเปร่า แล้วโอเปร่ามันคือเป็นการร้องอีกชนิดหนึ่งแต่มันคือละครเวทีนี่ละ โอเปร่าเป็นการแสดงเป็นเรื่องบนเวที ผมก็เลยเรียนแอ็คติ้งในทางนั้นด้วย แต่นอกจากนั้นมันก็เป็นการแอ็คติ้งให้กล้องบ้าง แต่ผมไม่ได้เลือกไปทางนั้นโดยเฉพาะ เพราะว่าผมก็คิดอยู่บ้างว่า ก่อนที่ผมจะกลับมาผมก็ควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการทำโปรดักชั่น เทคนิคการผลิตละครด้วย ผมเลยไปเน้นพวกซาวนฺด์ เอ็นจิเนียร์ พอผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาทำงานให้กันตนาแรกๆ ผมก็ไปทำโพสต์-โปรดักชั่น ไปเน้นพวกเพลง พวกซาวนฺด์ก่อน ตอนนั้นผมทำอยู่ฝ่ายโพสต์-โปรดักชั่นอยู่ราวสามปี ก่อนที่จะเริ่มมาดูด้านโปรดักชั่นล้วนๆ ครับ

นั่นคือตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยเดนเวอร์

ใช่ครับ แต่ถ้าเรื่องการร้องเพลงนั่น ผมเรียนตั้งแต่อายุสิบสอง เพราะตอนนั้นผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่นิวยอร์ก เพราะพี่สาวเขาคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน แล้วคุณแม่บอกว่า ถ้าส่งน้องไปอยู่ด้วยจะอยู่ต่อไหม พี่สาวก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะเลี้ยงน้องเอง ผมเลยไปอยู่กับพี่สาว แต่หลังจากพี่สาวไปมหาวิทยาลัย ผมก็ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ เลือกโรงเรียนที่เขาสอนดนตรีอยู่แล้วด้วย เป็นโรงเรียนชื่อ Interlochen Center for the Arts อยู่ในมิชิแกน

โรงเรียนนี้จะเน้นสอนพวกเด็กอาร์ต พวกเล่นละคร เล่นดนตรี มีเต้น บัลเล่ต์ รวมกันอยู่ในโรงเรียนเดียว ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนสี่ร้อยกว่าคน เป็นไฮสคูลที่เตรียมเด็กให้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนรวม มีครบทุกวิชาแต่เน้นอาร์ต แต่เขาไม่มีสอนร้องเพลง หลังจากเรียนจบผมก็ไปเดนเวอร์ ไปหาเรียนร้องเพลงที่เดนเวอร์ แต่ตอนนั้นผมก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าผมจะร้องเพลงอยู่เฉยๆ มันจะไปรอดไหม มันก็ต้องมีอะไรมาเสริมด้วย ผมก็เลยไปดูเรื่องซาวนด์ด้วย


ทำไมตอนนั้นเลือกที่จะร้องโอเปร่าล่ะ

ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องโอเปราเลย คือเริ่มแรกผมเคยเรียนร้องเพลงที่มหิดล ตอนนั้นสิบเอ็ดขวบ มันเหมือนเราเทรนไปด้วยและออกเทปไปด้วย ตอนนั้นผมยังเป็นนักร้องเด็ก ‘มิสเตอร์ดี’ ก็เทรนไปมา เหมือนครูของผมจะหยิบเพลงคลาสสิกมาให้ร้องดู เพราะมันเป็นช่วงที่เสียงของผมยังไม่แตก ก็เลยลองร้องแบบคลาสสิกเหมือนเป็นบอย โซปราโนไป แล้วครูยังส่งผมไปแข่งขันที่โอซาก้า ดันได้รางวัลมา

ลองคิดไปคิดมาก็ว่าอาจจะร้องเพลงคลาสสิกไปเรื่อยๆ เพราะผมก็เห็นว่า จริงๆ การร้องเพลงคลาสสิกมันมาใช้ได้กับหลายสไตล์ของการร้องเพลง มันไม่ใช่แค่การร้องโอเปร่าอย่างเดียว เรียนร้องคลาสสิกแล้วมันมาร้องแจ๊ซได้ มาปรับกับป๊อปได้ ผมเห็นว่าถ้าเรียนด้านนี้มามันสามารถร้องได้ทุกอย่างเลย ผมก็เลยลองเรียนต่อไปเรื่อยๆ แล้วบังเอิญมีโอกาสได้เรียนด้านนี้ที่อเมริกาพอดี ผมก็ไม่ทิ้ง จะลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าสิบเอ็ดผ่านมา ก็สามารถจบมาได้ (หัวเราะ) จบคลาสสิกมาเลย และก็มีด้านซาวนฺด์อย่างที่บอกด้วย

ยังคิดถึงอดีตที่เคยเป็นมิสเตอร์ดีอยู่หรือเปล่า

ผมคิดถึงประสบการณ์หลายอย่างมาก ผมคิดถึงที่ว่าได้มาอยู่กับเพลงตลอดเวลา แต่ว่าบางอย่างผมก็ไม่คิดถึง อย่างเช่น บางทีผมรู้สึกว่าเด็กๆ รอบตัวอยู่บ้านเล่นเกมกับเพื่อน แต่ผมต้องนั่งรถไปทัวร์ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) มานึกดูอีกทีผมรู้สึกว่าวัยเด็กผมขาดหายอะไรไปในช่วงเวลานั้นหรือเปล่า เหมือนเด็กคนอื่นเขาได้ทำโน่นทำนี่ แต่ผมไม่ได้ทำ ไม่เชิงว่าจะเสียดาย แค่บางทีมานั่งคิดดูว่า ถ้าตอนนั้นผมได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นทำ ชีวิตผมจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ทุกอย่างที่ผ่านมาก็ทำให้ผมรู้สึกดี และดีใจมากที่ได้ประสบการณ์แบบนี้ เพราะมัน shape ผมให้ผมมาเป็นวันนี้ได้ครับ


สิบกว่าปีที่แล้วเวลล์เริ่มต้นเป็นมิสเตอร์ดีได้อย่างไร

ผมเริ่มตอนอายุแปดขวบ เพลงแรกของผมคือเพลงประกอบละคร ‘วัยซนคนมหัศจรรย์’ ของไอทีวี ตอนนั้นก็ร้องไปแบบขำๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เพราะผมไม่ได้อยากจะออกเทป ไม่ได้อยากจะอะไร เขาหานักร้องที่มีเสียงเด็กมาร้องเพลงประกอบละครเด็ก ความคิดผมคือแค่นั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เผอิญละครมันดังขึ้นมา แล้วเพลงมันก็ดังตามละคร ทางคนดูก็เหมือนจะเรียกร้องว่าน่าจะให้คนร้องเพลงประกอบละครเรื่องนี้ลองมาแสดงเป็นดารารับเชิญดีไหม

ไปๆ มาๆ เป็นดารารับเชิญไม่พอ ผมต้องเล่นต่อไปเลย (หัวเราะ) มันไม่หยุดแค่นั้น เหมือนโอกาสจะเข้ามาเรื่อยๆ และผมก็สนุกกับมัน พ่อกับแม่ผมไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ามันจะอะไรขนาดนี้ อีกอย่างเขาไม่ได้ดันผมด้วย เห็นว่าผมมีความสุขกับมัน เขาก็ให้โอกาสผมได้ลองว่าจะไปถึงจุดไหนได้

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่ 3-4 ปีเอง

ครับ จากอายุแปดถึงสิบสองปี ความจริงแพลนไว้คือจะทำไปอีกเรื่อยๆ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็ทิ้งหมด (หัวเราะ) ทิ้งไปจนกลับมาอีกทีไม่มีใครจำได้ แต่ก็ดีไปอีกแบบ มันเหมือนผมได้กลับมาสร้างตัวตนใหม่ จะได้ไม่ต้องมีภาพมิสเตอร์ดีติดตัว อีกอย่างตอนนี้ผมตัวสูงขึ้น เสียงผมแตก สีผมก็ไม่ทองเหมือนตอนนั้น มันเลยสร้างตัวตนใหม่ได้ง่ายหน่อย แล้วยิ่งผมได้มาทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรตรงนั้น ผมก็เลยสร้าง identity ได้อีกแบบหนึ่ง

แต่ถ้าถามว่าคิดถึงช่วงนั้นไหม ผมคิดถึงหลายอย่าง เพราะมันก็สนุก มันคือเพลง มันคือสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมรักด้วย


ช่วงที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่เป็นมิสเตอร์ดีเพื่อไปเรียนต่อ จริงๆ แล้วตอนนั้นเวลล์รู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นผมนึกถึงสถานการณ์ของครอบครัวมากกว่าครับ ถึงแม้ว่าผมจะทิ้งโอกาสหลายอย่างไป แต่ผมนึกถึงครอบครัวว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรที่พี่สาวไปเป็นนางแบบที่นิวยอร์กอยู่นาน จู่ๆ อยากจะกลับบ้าน หรือถ้าผมจะออกไปหาประสบการณ์ที่ข้างนอกให้กับครอบครัว อาจจะดีกว่าอยู่แต่ในเมืองไทย ในจุดนั้นของชีวิตผมคิดว่ามันอาจจะดีสำหรับชีวิตผมและครอบครัวผมมากกว่า

เวลล์มองวงการเพลงของเมืองไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร

สำหรับผม ผมคิดว่าเทรนด์ของเพลงในประเทศไทยเป็นอะไรที่…บางทีก็มองไม่ออกจริงๆ นะว่าคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร ความจริงเรื่องเทรนด์ไม่ใช่แค่เพลงหรอกครับ มันรวมถึงหลายๆ อย่างในประเทศเรา บางอย่างเราดูว่ามันไม่น่าจะดังหรอก แต่จู่ๆ มันก็ดังขึ้นมา ประเทศเราพิเศษตรงนี้ (หัวเราะ) ที่ว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้

วงการเพลงที่อเมริกา โดยเฉพาะ main club ของเพลงที่นิวยอร์กมันเชื่อมตรงกับกรุงเทพฯ กับประเทศเรา และถ้าวงการเพลงของโลก อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเกาหลีนะครับ ถ้าวงการเพลงของโลกที่ประสบความสำเร็จที่นิวยอร์ก ผมสังเกตว่ามันเหมือน connection ที่จะมาบุกที่เมืองไทยเหมือนกัน แต่ถ้าของเกาหลีจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย แต่จะเป็นเทรนด์ที่ส่งอิทธิพลมาถึงเมืองไทยเหมือนกัน

ส่วนเทรนด์ในไทยมันจะมีอะไรหลายอย่างที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน อย่างเช่นเพลงท้องถิ่นของบ้านเราที่คนจะฟังตลอดอยู่แล้ว แต่ถ้าดูอยู่เรื่อยๆ มันก็จะมีพวก…ผมเรียกว่าเป็น hybrid คือมันจะเป็นสไตล์ของต่างประเทศและของบ้านเราที่รวมกันเหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ขึ้นมา ที่คนจะชอบคนจะติด


อย่างที่ผมสังเกตเห็นว่า คนเริ่มจะหยิบลูกเล่นของเพลงสากลและของไทยมารวมกัน แล้วมันก็เป็นสไตล์ของมันไปเลย อย่างเช่นพวกฮิป-ฮอปบ้านเรา มันก็คือเคล็ดลับ ซิกเนเจอร์หลายอย่างก็เป็นของอเมริกา สไตล์การแต่งเพลงของอเมริกา แต่ว่ามันเป็นการร้องแบบบ้านเรา สไตล์การร้อง ทำนองของบ้านเรามารวมกันในสไตล์ดนตรีของต่างประเทศ มันก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่งได้ จริงๆ เทรนด์มันไปได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเพลงมันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ในฐานะผู้จัดละครหรือคนที่อยู่ในวงการบันเทิง เวลล์ต้องตามเทรนด์อะไรเหล่านี้ด้วยหรือเปล่า

ใช่ครับ แต่ที่ผมสังเกตมากที่สุดคือ การที่คนเรามีเทคโนโลยีที่จะสามารถไปออนไลน์ได้ในวินาทีนี้ คือสามารถเข้าไปดูละครในโทรศัพท์มือถือได้ หรือไม่ใช่แค่ละคร จะดูอะไรก็ได้ ทำให้เห็นว่าในโลกนี้มาตรฐานมันอยู่ที่ไหนล่ะ ใช่ไหมครับ ผมเลยคิดว่าอย่างนี้ถ้าเราทำละครออกทีวีที่บ้านหรือในเน็ต มันก็ต้องสมจริงในความรู้สึกของคนดูละคร ถ้ามันมีอะไรเฟคขึ้นมา คนดูจะรู้ทันที เพราะเคยเห็นมาแล้ว มันเป็นยุคใหม่ที่ถ้ามีอะไรที่ไม่จริง คนจะติเลย คนจะรู้สึกว่ามันเข้าถึงไม่ได้ และจะว่าเลย มาตรฐานของการดูซีรีส์หรือละครมันสูงแล้ว

ที่สำคัญคือมันต้องเข้าถึง มันต้องสมจริง มันต้องสะท้อนสังคม แล้วมันใส่ได้กับละครหลายสไตล์เลย ละครผีก็ทำได้ ผมเองก็ทำละครผีเยอะ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นบทประพันธ์ของคุณยายผม ละครผีเกือบทุกเรื่องเลย แต่ถึงแม้จะมีเรื่องผีที่คนดูบ้านเราชอบอยู่แล้ว สุดท้ายในตัวละครมันต้องสมจริง มันจะไม่มีการเฟคได้อีกแล้ว เพราะถ้าคนดูเห็นเฟคปุ๊บเขาเปลี่ยนช่องเลย เขาไม่ดูหรอก

ไลฟ์สไตล์ของเวลล์เป็นอย่างไร พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม

(ยิ้ม) ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใจผมอยู่ที่งานอย่างเดียวครับ แล้วพอทำงานเสร็จใจก็อยู่ที่ครอบครัว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตยังวนอยู่ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน (หัวเราะ) ไลฟ์สไตล์ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แต่ช่วงก่อนโควิดก็…ทำงานในบริษัทเสร็จแล้วก็ไปซ้อมละครเวที


ผมเป็นคนที่…ถ้ามีงานผมก็จะร้อยเปอร์เซ็นต์กับการทำงาน จะห้าสิบ/ห้าสิบไม่ได้ ไม่งั้นพังพินาศ (หัวเราะ) นั่นคือนิสัยของผม ผมต้องร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างหนึ่ง แล้วค่อยไปร้อยเปอร์เซ็นต์อีกอย่างหนึ่ง การเป็นผู้จัด (ละคร) เต็มตัว บางทีมันต้องแบ่งงานเยอะ แต่ไม่ใช่สามสิบ-สามสิบ-สามสิบ-สิบ ผมต้องร้อยๆๆๆ (หัวเราะ) ไม่งั้นมันจะออกมาไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้อยู่ เรียนรู้ต่อไปว่า การมาเป็นผู้จัดละครมันต้องใช้ power line มาทุ่มเทหลายอย่างให้เต็มที่ได้

ประสบการณ์เรื่องความรักล่ะ มีบ้างหรือยัง

ความรัก…ประเด็นคือว่าตอนที่ผมอยู่เมืองนอก ผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องกลับบ้าน มาทำธุรกิจของครอบครัว ตอนนั้นผมก็เลยซีเรียสกับอะไรไม่ได้เต็มที่ เพราะผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ และผมกลัวจะไปทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ผมเลยคิดว่า ถ้าจะมาหาความรักก็คงต้องมาหาที่เมืองไทยนี่แหละ เพราะอย่างไรผมก็อยู่นี่

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มีไหม ไม่มี (หัวเราะ) เพราะอย่างที่บอกคือ ใจอยู่แต่กับเรื่องการงาน แต่ไม่ใช่ว่าผมปิดโอกาสนะครับ ชีวิตมันก็ต้องมีบ้างอยู่แล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้ออกไปค้นหาในช่วงเวลานี้ แต่ถ้ามีอะไรมาผมก็รับฟัง (หัวเราะ)

ปีนี้เวลล์อายุครบ 25 ปีพอดีใช่ไหม

ใช่ครับ

เชื่อเรื่องอาถรรพ์วัยเบญจเพสหรือเปล่า

ผู้ใหญ่เตือนมาเยอะเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมก็เคารพ เคารพว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่สอนอะไรผมก็รับฟัง เพราะผมก็อยากให้ทุกคนสบายใจครับ


มีใครคนหนึ่งพูดว่าคนเราเหมือนมีเทวดาคุ้มครอง แล้วพออายุยี่สิบห้าเราจะอยู่โดดเดี่ยว หรือว่าเรื่องที่เกี่ยวกันคือ มีคนบอกว่าขับรถช่วงนี้ต้องระวังประสบอุบัติเหตุ อะไรแบบนี้ อันนี้ผมก็ไม่รู้เพราะผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หรือจะต้องระวังตัว เหมือนช่วงนี้ดวงจะตกหน่อย โชคจะไม่ค่อยดี ผมก็รู้อะไรประมาณนี้ละครับ ไม่ได้รู้อะไรมาก

แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อแก้เคล็ด

ไม่ครับ แต่ถ้าจะมีผมก็ไปได้ คือถ้าจะให้ผู้ใหญ่สบายใจผมก็จะไป (ยิ้ม) แต่เวลานี้ผมก็ไม่รู้ และไม่คิดว่าจะอะไรมาก แต่ผมยอมไปอยู่แล้ว ผมก็เป็นพุทธด้วย

เวลล์มองอนาคตของตัวเองอย่างไร

ตอนนี้ผู้ใหญ่ทางกันตนาก็เริ่มสืบทอดหน้าที่ให้กับญาติๆ หลายคน รวมทั้งผมด้วย ตอนนี้เป้าหมายของผมคือการนำพาธุรกิจให้รุ่งเรือง และโกอินเตอร์ฯ จับมือกับต่างประเทศ พาวัฒนธรรมของไทยไปให้ทั้งโลกเห็น และให้สู้กับประเทศอื่นได้เต็มตัวอันนี้อนาคตเรื่องงานนะครับ

แต่ถ้าพูดถึงอนาคตของตัวเอง ผมก็จะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ครอบครัวแฮปปี้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาดูเรื่องตัวเองด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข เพราะว่าผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบแพลนอะไรแบบห้าปีข้างหน้าฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ผมคิดว่าปล่อยมันไปตามจังหวะของชีวิตดีกว่า


ตอนนี้เวลล์มีความสุขกับอะไรบ้าง

ตอนนี้ผมมีความสุขกับงานมาก ผมรู้สึกว่าผมรักงานนี้มากขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องทิ้งเพลงที่ผมรัก ผมเหมือนได้ทำสิ่งที่รักจริงๆ และได้มาเริ่มรักงานงานที่ทำอยู่แล้วด้วย มันเลยมีความสุข

ชีวิตแม้ว่าจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่มันก็บาลานซ์ได้ดีในช่วงเวลานี้ สุดท้ายแล้วถ้าจะมีเรื่องดีหรือไม่ดี เราก็ต้องมองไปข้างหน้า มีความสุขที่เรามีชีวิตอย่างนี้อยู่แล้ว ใช้ชีวิตทุกวันให้มีประโยชน์ มีความสุขก็พอ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
มองธุรกิจเพลง และกระแสสังคม ผ่านความคิดของ ‘อุ๋ย บุดดาเบลส’ https://marshomme.com/interview/411393/ Fri, 28 Feb 2020 09:32:00 +0000

หากเสิร์จชื่อของ ‘อุ๋ย บุดดาเบลส’ หรือชื่อจริง ‘นที เอกวิจิตร’ ในกูเกิล เราจะพบเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ในฐานะสมาชิกวง ‘Buddha Bless’ อันหมายความถึง ‘พระพุทธเจ้าอวยพร’ ซึ่งถือกำเนิดจากกลุ่มก้านคอคลับ ประกอบด้วยตัวเขา, เอ็ม-กิตติพงษ์ คำสาตร์ และโต้ง-สุรนันต์ ชุ่มธาราธร ด้วยแนวเพลงเรกเก้ แดนซ์ ฮอลล์ ที่แจ้งเกิดในวงการเพลงช่วงปี 2549 และมีเพลงฮิตมาถึงปัจจุบันอย่าง ‘ปักตะไคร้’ ‘ลืมไปก่อน’ ‘ชิงหมาเกิด’ และ ‘เรื่องธรรมดา’

จนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ ที่กลายเป็นประเด็นเห็นด้วยและขัดแย้งขึ้นในสังคมสื่อออนไลน์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุ๋ย บุดดาเบลสเป็นคนรักการอ่าน โดยเฉพาะหนังสือแนวจิตวิทยาและธรรมะ ที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่ครั้งที่ไปบวช และเรื่องราวจากภาพลักษณ์เด็กดื้อในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น


ทุกวันนี้ อุ๋ยมีบทบาทเพิ่มเติมจากการเป็นศิลปิน เมื่อเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้จัดการค่ายเพลงพร้อม+ ในสังกัดของ LoveIs Entertainment ซึ่งมีศิลปินในค่าย อาทิ ทศกัณฐ์ (กิตติกานต์ แซ่หลี) นายนะ (ปิยวัฒน์ เชิดเพชรรัตน์) นินิว (ศุภฤกษ์ บุณยานันต์) และไข่มุก เดอะ วอยซ์ (รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช)

เรานัดหมายอุ๋ย บุดดาเบลสที่มุมสงบของย่านทองหล่อ สถานที่ซึ่งไม่ไกลจากที่พักของเขา บ่ายวันนั้นมีแสงแดดจ้า อาจมีฝุ่นพิษเจือปนอยู่ในอากาศพอประมาณ แต่บรรยากาศระหว่างการสนทนาเป็นไปแบบสบายๆ เสื้อผ้าที่เขาเลือกสวมใส่มาก็เข้ากับบรรยากาศของสถานที่ เป็นซัมเมอร์สวยๆ กันตั้งแต่ต้นปี

ธุรกิจของค่ายพร้อม+ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับของผมตอนนี้ยังอยู่ในช่วงประคองตัว รายได้ของเรามาจากโชว์เป็นหลัก และจากช่องทางโซเชียลมีเดีย อย่างยูทูบ หรือดอสสตรีมมิงมาช่วยบ้าง แต่จริงๆ รายได้หลักของเรามาจากงานโชว์ ซึ่งก็ไม่ต่างจากแต่ก่อนมากนะครับ เพราะตอนที่ผมเริ่มทำอาชีพนี้เมื่อสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้น MP3 ก็มา กลายเป็นว่ารายได้ของเรามาจากโชว์ พอมาถึงยุคนี้มันมีช่องทางเพิ่มขึ้นด้วย นับว่าดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก

ยุคนี้มีสตรีมมิงเข้ามา มียูทูบ Spotify ซึ่งเขาจ่ายเงินโอเค เท่าที่ทราบนะครับ ก็มีรายได้จากช่องทางนั้นด้วย เพราะมีศิลปินหลายคนที่ไม่รับงานคอนเสิร์ตเลย แต่ว่ามีรายได้จากยูทูบเยอะพอที่เขาจะอยู่เฉยๆ ได้สบาย


สำหรับค่ายเพลงล่ะครับ

มันก็คล้ายๆ กันครับ เพียงแต่ต้นทุนจะสูงกว่า เพราะว่าถ้าทำเองมันก็เหมือนกับ…เดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์ตัวเดียวก็จบงานได้แล้ว คนทำเอง ซึ่งก็แล้วแต่แนวเพลงนะครับ ถ้าแนวเพลงอย่างของผมนี่ มีน้องๆ หลายคนก็ทำเองในโฮมสตูดิโอที่บ้าน แล้วปล่อยลงยูทูบ ส่วนเอ็มวีก็ถ่ายแบบง่ายๆ ง่ายมากๆ (หัวเราะ) ก็มียอดหลักร้อยล้านวิวมาตั้งหลายเพลงแล้ว เพราะฉะนั้นผมว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ใครๆ ก็เปิดค่ายเพลงเองได้ ทำเองได้ แต่ค่ายเพลงรูปแบบเก่าๆ จะต้องลงทุน ทีมงานทำงานเยอะกว่า มันก็แตกต่างกัน ผมว่ามันอยู่ที่ว่าใครชอบแบบไหน สะดวกแบบไหนมากกว่า

คุณยังมีผลงานเพลงของตัวเองอยู่ไหม

มีครับ ผมยังทำอยู่ ของบุดดาเบลสไม่ได้ออกมานานแล้ว แต่ก็มีทำเก็บๆ ไว้ ยังไม่ได้ออกสักที ตอนนี้เหลือกันสองคน กับโต้ง สุรนันต์ ส่วนผลงานเดี่ยวก็มีออกอยู่เรื่อยๆ

มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นวงเหมือนเก่าอีกครั้งหรือเปล่า

ถ้าวงสองคนน่ะมีแน่ๆ ครับ เพราะทำกันอยู่ แต่ถ้าสามคน ไม่รู้อนาคต คงยากครับ


ชีวิตปัจจุบันโอเคไหม

โอเคครับ ผมว่าคนทุกคนนะ มีช่วงคิดมาก คิดไม่มาก ถ้าถามผมนะ ผมว่าผมบาลานซ์ได้โอเคมาก มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาส่วนตัว มีเวลาทำงาน ผมโอเคมากทุกวันนี้

พอจะเล่าเกี่ยวกับผลกระทบเรื่องความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมาได้ไหมครับ

ส่วนตัวผมก็จะมีแต่คอมเมนต์ในอินเตอร์เน็ตนะครับ เท่าที่รับรู้ได้ แต่ส่วนอื่นผมไม่เคยเจอ อย่างเดินมาพูดต่อหน้านี่ผมไม่เคยเจอเลย เคยมีบางสื่อเขียนว่ามีคนมาหาเรื่อง ซึ่งไม่เคยมีนะครับ ส่วนใหญ่มีคนเข้ามาพูดด้วย ก็พูดกันอย่างสุภาพ ถ้าหยาบคาย ก้าวร้าว หรือรุนแรง ก็มีแต่ในอินเตอร์เน็ตอย่างเดียว ในชีวิตจริงไม่เคยเจอ

เรื่องผลกระทบกับการทำงานผมก็ไม่ทราบ ผมไม่ทราบว่าเขาไม่ใช้งานเราเพราะเรามีความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเชื่อทางศาสนาแตกต่างกว่าใคร อันนี้ผมไม่ทราบ เขาไม่ได้มาบอกว่าเราไม่เลือกคุณเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ (ยิ้ม) ไม่ทราบ อาจจะมีแต่ผมไม่รู้

อย่างศิลปิน ดาราหลายๆ คน แม้กระทั่งคนทำหนังก็มีทั้งสองฝ่าย ที่มีความคิดแตกต่างกัน กระแสสังคมในอินเตอร์เน็ตอย่างหนึ่ง รายได้ในความเป็นจริงก็อีกอย่างหนึ่ง ผมว่ามันวัดยากมาก

ผมเชื่อว่ายังมีกลุ่มคนที่เป็นพลังเงียบ เงียบจริงๆ (หัวเราะ) เงียบแบบ…แม้ว่ามีโซเชียลมีเดีย แต่เขาก็ไม่เข้าไปแสดงความคิดเห็น แล้วในโลกโซเชียลก็มีทั้งตัวจริงตัวปลอม มีอวตาร ผมว่ามันซับซ้อนไปหมด ยิ่งดูสารคดี ‘The Great Hack’ ที่อเมริกาก็ยังมีปัญหาการใช้โซเชียลมีเดียในการเปลี่ยนคิดคนด้านการเมือง ก็เห็นว่าเขายังเป็น ผมว่าเป็นทุกประเทศทั่วโลกนะ เพราะฉะนั้นมันวัดยากแล้วละว่า ความคิดของสังคมจริงๆ มันเป็นอย่างไร


ในฐานะเป็นศิลปินที่สังคมรู้จัก เคยรู้สึกเกรงหรือกลัวบ้างไหมว่าจะเกิดผลกระทบกับตัวเอง

เท่าที่ผ่านมาผมก็แสดงออกมาโดยตลอด ไม่เคยกังวลครับ แต่ช่วงหลังๆ ผมต้องรอบคอบมากขึ้น ถามว่ากลัวไหม ผมว่าคำว่ากลัวคงไม่ถูกเสียทีเดียว ผมมีคนที่อยู่ในความรับผิดชอบในชีวิตผมหลายคน น้องในค่าย ค่ายเพลง พอเรามาเป็นคนบริหารค่าย ในการที่เราจะทำอะไรหรือแสดงความคิดเห็นอะไร มันมีผลกระทบกับคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นต้นทุนในการแสดงความคิดเห็นมันไม่ใช่เราคนเดียวแล้ว มันเป็นต้นทุนของชีวิตคนอื่นด้วย ผมเลยต้องคิดละเอียด รอบคอบมากกว่าเดิมมากในการแสดงความคิดในสื่อ

เมื่อก่อนผมคิดแค่ว่า ผมวงอิสระ ผมไม่ได้อยู่ค่ายแล้ว เพื่อนในวงก็ไม่มีการห้ามกัน ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ใครคิดอย่างไรแสดงเลย ตามสบาย ผมเองก็เต็มที่มาโดยตลอด แต่ทุกวันนี้ อย่างที่บอกต้นทุนในการแสดงออก เราไม่ใช่คนเดียวแล้ว ผมก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น

แต่ผมเชื่อว่า สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการตีตรา ว่าคุณเป็นฝั่งนั้นฝั่งนี้ คุณเป็นสลิ่ม คุณเป็นเสื้อแดง คุณเป็นส้ม เป็นนั่นเป็นนี่ ผมเชื่อว่ามีบางอย่างที่คนเสื้อแดงคิดเหมือนเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองคิดเหมือนคนฝ่ายอนาคตใหม่ เท่าที่เห็นมันจะมีบางอย่างที่ทับซ้อนกัน บางเรื่องเห็นต่างกันสุดโต่ง บางเรื่องก็เห็นเหมือนกัน แต่เพราะการแบ่งแยกมันผลักไปว่า คุณเห็นด้วยกับคนนี้ คุณต้องคิดเหมือนเขาหมดทุกอย่าง หรือถ้าคุณชมใครสักคนแปลว่าคุณต้องไปอยู่ฝั่งนั้นละ คุณไม่มีความเห็นอะไรเหมือนกับอีกข้างหนึ่ง

สำหรับผมนะ คนที่จะให้ความยุติธรรม ชมคนที่ทำสิ่งที่ควร ตำหนิติเตือนคนทำในสิ่งที่ไม่ควร มันเกิดกับทุกฝ่าย คนอย่างนั้นก็จะโดนหินรุมปาจากทุกฝ่าย (หัวเราะ) มึงมันพวกไม่เลือกข้าง ผมเลยเชื่อว่าหลายคนเอือมระอากับเรื่องนี้แล้ว จนไม่อยากแสดงออก ผมเชื่อว่ามีคนอย่างนั้นเยอะนะ ก็คิดว่าฝั่งนี้เขาก็ทำ เราไม่เห็นด้วยกับจุดใหญ่ๆ ของเขา แต่จุดเล็กๆ บางเรื่องเราเห็นด้วยกับเขานะ แต่ถ้าเกิดเราไปแสดงความเห็นด้วยกับเขา เดี๋ยวเราก็จะโดนสังคมอีกฝั่งรุมด่าแน่เลย สังคมมันเป็นอย่างนี้ จนบางคนไม่ค่อยอยากแสดงความคิดเห็นแล้ว


ทุกวันนี้คุณยังมีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับความเป็นไปของสังคมอยู่ไหมครับ

ตลอดเวลาครับ ผมพยายามถอยออกมานะ พยายามไม่คิด พยายามไม่มอง เพราะรู้ว่าคิดมากแล้วจะเครียดเอง ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเราเห็นว่ามันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ของเราเอง แต่มันอดไม่ได้ มันเป็นเหมือนนิสัย สันดาน (หัวเราะ) ที่แบบ…(ยกโทรศัพท์มือถือขึ้น) เหมือนโดนดูดเข้าไปให้ต้องอ่าน ไถหน้าฟีด พยายามจะไถผ่านไปแล้ว เอือมระอากับเรื่องพวกนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องอ่าน แล้วเวลาเราเห็นในโซเชียลมีเดียบ่อยๆ ว่ามีคนแชร์ข่าวปลอม จนเราอยากเข้าไปเตือน เราเห็นเลยว่ามันเตือนไม่ได้แล้ว แต่ก่อนจะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยที่เราจะปล่อยให้ข่าวปลอมแบบนี้ถูกเผยแผ่ออกไป โดยที่คนเข้าใจผิดกันทั้งบ้านทั้งเมือง เราควรจะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องนะ ถ้าเราเป็นคนที่เหมือนมีไมโครโฟนอยู่ในมือ มีกระบอกเสียง ก็อยากสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่หลายๆ ครั้งเห็นแล้ว พิสูจน์กับชีวิตตัวเองแล้วว่าไม่มีประโยชน์ คนในสังคมไทยไม่ได้ต้องการเหตุผล พอ ทำตามอารมณ์ดีกว่า

คนนี้เป็นคนที่เราเกลียด เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่อยากชม เพราะเราเกลียดเขาไปแล้ว คนนี้เป็นคนที่เราชื่นชม แต่พอเขาทำสิ่งที่ชั่วร้าย เราก็ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์เขา เพราะว่าเรารักเราชอบเขาไปแล้ว

มันกลายเป็นสังคมแบบนั้นไปแล้ว ผมเห็นชัดเจนมากว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วทุกคนดันเป็นสังคมของการชอบแสดงความคิดเห็นโดยที่ไม่หาข้อมูล มันเลยยิ่งทวีคูณ หนักขึ้นไปอีก เฟซบุ๊กเองก็พูดเองว่าเขารับผิดชอบเฟคนิวส์ไม่ไหว ขอให้รัฐบาลทุกประเทศให้ความร่วมมือจัดการกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง เพราะเฟซบุ๊กถึงจะมีหน่วยงานที่คอยรับคำร้องเรียนเวลามีคนแจ้งเตือนไปว่าข่าวปลอม ใช้ถ้อยคำหยาบคาย เขาบอกว่าเขาดูแลไม่ไหว มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กก็ออกมายอมรับเอง

แต่มันก็เป็นปัญหาเดิม ให้รัฐบาลแต่ละประเทศเป็นคนดูแลเรื่องเหล่านี้ รัฐบาลเข้ามาดูแลจริงก็กลายเป็นว่าไม่มีใครไว้ใจ ทุกประเทศในโลกไม่มีใครไว้ใจรัฐบาลตัวเองว่าคุณจะไม่เอียงข้าง ถ้ารัฐบาลดูแล คุณก็ต้องปิดกั้นสื่อฝั่งตรงข้าม ตามสูตร แล้วคุณก็ต้องอวยพวกเดียวกันเอง มันมีแค่นั้น ฉะนั้นรัฐบาลควบคุมไม่ได้ เพราะถ้าควบคุมก็จะกลายเป็นจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น

ผมว่าทุกวันนี้โลกโซเชียล อย่างในทวิตเตอร์ มันเซ็นเซอร์อะไรไม่ได้ เช่นเรื่องสมัยก่อนที่คนไทยพูดกันไม่ได้ เรื่องบางเรื่อง กลัวมาตรานั้นมาตรานี้ ก็กลายเป็นว่ายิ่งกว่าพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ มันกลายเป็นสร้างเรื่องบิดเบือน แล้วรีทวีตกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง ปนกันเละเทะไปหมด มันไม่มีเบรกอยู่แล้วละ (ยิ้ม) ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเกินที่เราจะยื่นมือลงไป บอกว่าอย่าเข้าใจผิดเรื่องนี้นะ ความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน ข้อกฎหมายเป็นแบบนี้ ทุกคนอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ ทำความเข้าใจ ก็เห็นมีคนพยายามทำนะ แต่ก็สู้คลื่นของอารมณ์ไม่ไหว คลื่นของอารมณ์มวลชนมันมามากกว่าเหตุผลอยู่เสมอ ในทุกๆ สมัยนะ ผมเห็นเป็นแบบนั้น แต่โซเชียลมีเดียยิ่งทำให้มันเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเราได้แต่…ยืนมองไปแล้วกัน (ยิ้ม)


คุณมีวิธีจัดการอย่างไรกับตัวเองเวลาเกิดอารมณ์กับเรื่องที่มันมากับสื่อโซเชียล

ผมก็ดีท็อกซ์ด้วยการห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไป ออกไปใช้ชีวิตประจำวัน อยู่กับคนที่เห็นหน้าเห็นตา พูดคุยกันได้จริงๆ ซึ่งมันยากนะ เพราะมันติด คนติดโซเชียลมีเดียนี่ผมเข้าใจนะ ผมติดจนเลิก แล้วกลับมาติดใหม่จนเลิก ติดอย่างนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เพราะผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นว่าทุกวันนี้ไม่ต้องมีหนังสือ มีโทรศัพท์เครื่องเดียว อยากอ่านอะไรก็กดเข้าไป มันพาเราไหล จมอยู่ในนั้น อยู่ได้เป็นวันๆ มันมีนู่นมีนี่ให้อ่านอยู่เรื่อยๆ ซึ่งอย่างที่บอก จริตเดิมมันชอบลากเข้าไปเรื่องพวกนี้ อยากให้แบบ…เห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคม ทนเห็นความไม่ยุติธรรมไม่ไหว แต่ก็ได้เรียนรู้หลายๆ ครั้งแล้วว่า… (หัวเราะ ถอนหายใจ)

มองเห็นทางออกของสังคมไทยไหมครับ

ผมเห็นทางออกนะ แต่เป็นทางออกที่มันต้องใช้เวลา และเรียกว่าต้องเกิดความฉิบหาย จนกว่าจะเรียนรู้กัน ต้องเรียนรู้จากความเดือดร้อน ความทุกข์ใจ อย่างนั้นผมว่าคนในสังคมถึงจะเข้าใจ พูดกันดีๆ ไม่ค่อยเข้าใจ หลายๆ ประเทศในโลกผมไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้นะ อย่างคนเยอรมันเกลียดกลัวสงครามมากๆ เพราะประสบกับตัวเอง แบบถึงใจแล้ว แต่พอผ่านมาถึงยุคหนึ่ง คนยุคใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัสสงครามแบบคนยุคเก่าก็มีความคิดเปลี่ยนไป ไม่ได้เข็ดหลาบ แต่การศึกษาในเยอรมนี เท่าที่ทราบคือ เขาเอาความจริงมาเผยแผ่ว่าคนในชาติเดียวกันเองเคยทำอะไรโหดร้ายไปแค่ไหนบ้าง ให้เด็กรู้สึกขยาดกลัว จะได้ไม่วนกลับมาซ้ำอีก

แต่อย่างประเทศเรา ไม่ได้เอาความจริงมาตีแผ่และย้ำเตือนกันบ่อยๆ ว่าคนในชาติกันเองทำอะไรกันบ้าง แม้กระทั่งความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมายังถูกบิดเบือนไปอีกเรื่องหนึ่ง จากขาวเป็นดำได้เลย นับประสาอะไรกับสิบสี่ตุลา หกตุลา ที่ทุกวันนี้ยังเถียงกันไม่เลิกว่าฝั่งนั้นทำอย่างนั้น ฝั่งนี้ทำอย่างนี้ ความจริงมีอยู่แต่ถูกบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละคน จนมันหาความจริงไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นว่า ใครอัดสื่อได้มากกว่า ใครดึงคนที่เด็กฟังได้เยอะกว่ามาเป็นคนพูด อันนั้นจะกลายเป็นความจริง โกหกบ่อยๆ จะกลายเป็นความจริง

ซึ่งไม่ต้องไปพูดถึงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เอาแค่ยุคปัจจุบัน เรื่องม็อบแค่ไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา ยังถูกบิดเบือนจากขาวเป็นดำได้สารพัดเรื่อง จนหาความจริงกันไม่เจอแล้ว เด็กที่เกิดใหม่ในยุคนี้ ถ้ามานั่งอ่านข้อมูลในโซเชียลมีเดีย เสิร์จย้อนกลับไปอ่าน ทั้งม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง กลายเป็นว่าเขาหาความจริงไม่เจอแล้วว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น ใครกันแน่ที่เป็นคนทำ ความจริงหาไม่ได้แล้ว หรือต่อให้เป็นความจริงคนก็เลือกจะเชื่อในสิ่งที่เขาพอใจ

คุณเข้าวัย 40 แล้ว มีวิธีคิดแตกต่างไปจากเดิมอย่างไรบ้าง

ถ้านับจากอายุสิบห้า-สิบหก ผมผิดขั้วตรงข้ามเลยครับ อย่างความคิดเรื่องสังคม-การเมืองอะไรพวกนี้ แต่ยี่สิบแปดถึงสี่สิบ หรือสิบกว่าปีที่ผ่านมาที่เกิดความชุลมุนวุ่นวายในบ้านเมือง มีผู้ใหญ่หลายคนพูดกับเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนที่เราอินกับเรื่องนี้มากๆ เขาบอกว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างเปลี่ยนได้เสมอ คนที่คิดแบบนี้ คนที่เราไปเชียร์เขา ไปเห็นด้วยกับเขา วันหนึ่งเขาก็เปลี่ยนร้อยแปดสิบไปอีกข้างหนึ่งได้นะ อย่าไปอะไรมาก

ผมยังคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ เขาเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะ ซึ่งก็เห็นหลายๆ คนกลับด้านร้อยแปดสิบองศาแบบ…เรายังตะลึง หือ…(ยิ้ม) พี่ไปอยู่กับพวกคนอย่างนี้ได้อย่างไร กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นคำที่ผู้ใหญ่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่เราได้ยินเข้าหู แล้วไม่รู้สึกจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ มีคนได้ผลประโยชน์กัน มีเบี้ยตายระหว่างทางเยอะแยะ ไอ้ที่มึงออกไปเป็นเบี้ยให้เขา วนเวียนไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ บางครั้ง สมัยก่อนเราจะรู้สึกว่าเราอยู่เฉยไม่ได้ เราทนความอยุติธรรมแบบนี้ไม่ได้ พอเวลาผ่านมาเราก็จะเห็นว่าหลายๆ คนก็กลายเป็นเบี้ยฟรีเปล่าๆ ไป แต่ถามว่าผมจะต่อต้านคนที่จะออกไปเป็นเบี้ยให้คนอื่นไหม ผมไม่ต่อต้านนะ เพราะผมก็ต้องเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตัวเอง ผมก็เชื่อว่าคนเหล่านั้นหรือคนรุ่นใหม่ เขาต้องไปเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเองเหมือนกัน


มีความผิดพลาดในอดีตที่เป็นบทเรียนบ้างไหมครับ

สำหรับผม ถ้ามันเป็นบทเรียนก็คือ (คิด) จะอธิบายว่าผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่เคยทำแม้แต่เรื่องเดียวเลย ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อะไรที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมมันดีเสมอ ถึงมันจะทำให้เป็นทุกข์ แต่มันก็สอนเรา ได้ทุกเรื่องจริงๆ

ถามว่าอะไรบ้างที่เป็นบทเรียน มันเยอะนะ อย่างการควบคุมอารมณ์ในการแสดงออก ถามว่ารู้สึกผิดไหมในการแสดงออกไป ผมไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว และรู้สึกว่าย้อนกลับไปในเวลานั้น ผมก็คงจะทำแบบนั้น ถามว่าทำแบบนั้นแล้วอะไรที่เป็นบทเรียน คือลักษณะท่าทีในการแสดงออก มันไม่ควรจะประกอบด้วยอารมณ์

นับจากนี้ไป เป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้นไหม

ผมก็คิดเหมือนเดิมมานานสิบกว่าปีแล้วนะครับ ก็ยังเหมือนเดิมคือ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ และเป้าหมายก็เหมือนทางพุทธนั่นละว่า เราอยากไปถึงทางไหน ก็คือละวางให้ได้ในระดับหนึ่งที่เราพอใจ ก็พยายามตรงนั้น และระหว่างละวางสิ่งเหล่านั้น ก็พยายามหากินหาอยู่ ทำหน้าที่ตัวเองให้เดือดร้อนตัวเองและสังคมน้อยที่สุด

ตอนเด็กๆ เคยมีความฝันอะไรบ้าง

ตอนเด็กผมอยากเป็นนายกฯ ครับ พอโตมาก็รู้ว่าเราเป็นคนที่ทนต่อการสาดโคลนไม่ไหว แค่เราโดนเฟคนิวส์ เอาเราไปบิดเบือน บางทีเรายังเดือดร้อนเลย ถ้าไปอยู่ในจุดนั้นเราไม่มีวันทนไหวแน่นอน จิตยังไม่แกร่งขนาดนั้น (ยิ้ม) เปลี่ยนมานานแล้วครับความคิดที่อยากเป็นนายกฯ

ตั้งแต่ยี่สิบกว่าเป็นต้นมาก็คิดอยู่แค่นี้ละครับว่า ผมอยากจะอยู่เป็นโสดาบันขั้นต่ำ พูดไปแล้ว คนศาสนาอื่นหรือคนที่ไม่สนใจศาสนาอาจจะถามว่าคืออะไรวะ เพ้อเจ้อ แต่นั่น ถ้าถาม ผมตอบสั้นๆ ว่าผมอยากเป็นแบบนั้น

แล้วเป้าหมายของค่ายพร้อม+ ล่ะครับ

ผมอยากให้ทุกคนในค่ายสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ใช้ตรงนี้เป็นอาชีพได้ อยู่ไปได้นานๆ มีเงินคืนนายทุน ไม่ทำให้เขาขาดทุน และแถมอีกนิดว่าถ้าผลงานของเขามันสร้างอะไรดีๆ ให้กับสังคมได้ก็จะเพอร์เฟ็กต์เลย แต่ถ้ามันทำไม่ได้ขนาดนั้น เอาแค่เลี้ยงตัวเองรอด ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ก็พอแล้ว


ตอนนี้ธุรกิจของค่ายสามารถ break event ได้หรือยังครับ

ยังครับ ยากครับ (ยิ้ม)

ความจริงแล้วมันเป็นโจทย์ที่ต้องคิดตั้งแต่ก่อนเริ่มทำใช่ไหม

ใช่ครับ คือผมว่ามันคล้ายๆ ธุรกิจภาพยนตร์เหมือนกันนะครับ ค่ายเพลงก็จะมีศิลปินหลายๆ คน ทำคนนี้ขาดทุน คนนี้เท่าทุน คนนี้กำไรนิดหน่อย ถ้ามีเบอร์หนึ่งที่ดังเปรี้ยงขึ้นมาก็อาจจะเป็นรายได้ของคนคนเดียวที่สามารถเลี้ยงคนทั้งค่าย ก็ต้องพยายามทำให้ถึงจุดนั้น แต่ว่าอย่างที่บอก ธุรกิจนี้มันเหมือนธุรกิจภาพยนตร์ เราควบคุมได้แค่ปัจจัยของเรา มันไม่มีสูตรน่ะ ว่าเพลงนี้ฮิตล้านเปอร์เซ็นต์ หนังเรื่องนี้ฮิตล้านเปอร์เซ็นต์ เราก็ทำได้แต่ในสิ่งที่เราคิดว่ามันดีที่สุด ส่วนที่เป็นปัจจัยแวดล้อมภายนอก คนจะชอบไม่ชอบ มันจะมาหรือไม่มา เหมือนกับออกมาวัดดวง แค่ควบคุมความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด

จริงๆ มีคนทำรอดเยอะครับ อย่างเด็กรุ่นใหม่ๆ ค่ายเล็กๆ ที่เขาไม่ใช่แค่รอด แต่รวยเลยก็มี มันวัดยากจริงๆ พูดภาษาชาวบ้านก็เหมือนพึ่งดวงครึ่ง/ครึ่ง แต่ว่าผมก็ไม่ได้เชื่อเรื่องดวงนะ ผมเชื่อเรื่องความพยายามกับผลบุญผลกรรมละกัน (ยิ้ม) มันไม่มีสูตรหรอกครับ เพราะถ้ามีสูตรก็คงสำเร็จกันหมดแล้ว แม้แต่ค่ายใหญ่ๆ ก็ต้องปรับตัว ค่ายใหญ่นี่ปิดไปแล้วก็มี ค่ายใหญ่ที่ย่อส่วนลงก็มี ค่ายเล็กๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ก็มี ค่ายเล็กที่เกิดจนโตแล้วดับไปก็มี ฉะนั้นถ้ามันมีสูตร มันก็ไม่มีดับสิใช่ไหม มันต้องโตๆๆ ไปเรื่อยๆ หาคนใหม่มาทำแล้วดัง นี่มันธรรมชาติครับ คือการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างคือความเปลี่ยนแปลง

เคยนึกเปรียบเทียบกับความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาบ้างไหมครับ

ฮืมม์…มีบ้างครับ แต่ผมไม่เอามาเป็นสาระ เพราะผมรู้สึกว่า แม้กระทั่งคนที่เป็นระดับอาจารย์ในการเขียนเพลงที่เรานับถือหลายๆ คน เคยไปคุยกับเขา เขาบอกว่าพี่เขียนเพลงฮิตเป็นร้อย แต่เขียนเพลงไม่ฮิตเป็นพัน (หัวเราะ) อย่างที่บอกละครับ ไม่มีสูตร แล้วก็มันมีขึ้นมีลง มันเป็นรสนิยม เป็นแฟชั่น เพลงบางเพลงเราฟังแล้วเราไม่ชอบเลยก็เป็นเพลงที่ติดชาร์ต บางเพลงก็ได้รางวัลเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมในแง่ธุรกิจ เรื่องพวกนี้พูดยาก มันเป็นเรื่องของศิลปะและธุรกิจ แล้วมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

ผมว่าเพลงเดียวกัน ออกคนละเวลา ก็ยังให้ผลลัพธ์ต่างกันเลย ฉะนั้นมันวัดกันยากมาก เพราะช่องทางการนำเสนอมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สมัยก่อนยังไม่มียูทูบ สมัยนี้มียูทูบ มี Spotify ช่องทางการโฆษณามีเยอะแยะ ไปลงแอพฯ Tik Tok หรืออะไรใหม่ๆ ที่คนยุคก่อนไม่รู้จัก มันก็มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเดือนหน้า …มันไม่ได้นับเป็นปีแล้ว ตอนนี้นับหลักเดือนหลักอาทิตย์กันแล้วว่า อาทิตย์หน้าหรือเดือนหน้าจะมีช่องทางอะไรใหม่ แล้วเด็กรุ่นใหม่ไปเสพสื่อกันตรงนั้น มันไวมาก ทุกคนพร้อมจะเจ๊งและพร้อมจะเกิดครับ (หัวเราะ)


ในฐานะคนทำค่ายเพลง พอจะมองออกไหมครับว่าทิศทางของเพลงไทยจะไปถึงไหน

มองไม่ออกเลยครับ ผมเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ จริงนะ ผมเชื่อแบบนั้นเลย คือคนที่ success ในวันนี้ เด็กหลายๆ คนที่ผมเคยเห็นและคุยสัมภาษณ์ เขาบอกว่าเขาก็แค่ทำ ไม่คิดว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ด้วย แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่ามันมาได้อย่างไร มันไม่มีสูตรจริงๆ เพราะฉะนั้นผมมองไม่ออก ไม่กล้าทำนายเลยครับ

ทำธุรกิจค่ายเพลงมาปีกว่า คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วสักแค่ไหน

ผมว่าผมยังไม่ประสบความสำเร็จนะครับ และยังต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เรียนรู้อีกเยอะพอสมควรครับ

]]>
เรื่องลับของ ‘เลดี้ ไดอานา’ จากปากของ ‘เอลตัน จอห์น’ https://marshomme.com/scoop/185484/ Wed, 11 Dec 2019 17:12:00 +0000
เอลตัน จอห์น เจ้าของเพลงฮิตอย่าง ‘I’m Still Standing’ และ ‘Candle In The Wind’ ซึ่งมียอดขายซีดีทั่วโลกกว่า 900 ล้านแผ่น และได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เจ้าตำนานแห่งป๊อปและร็อก’

เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขามีผลงานหนังสือ ‘Me’ อัตชีวประวัติของตนเอง เล่าเรื่องราวที่ผกผันในชีวิต รวมทั้งแสดงทัศนะเกี่ยวกับงานอาชีพ การเปิดเผยตัวตน ความมัวเมายาเสพติดในอดีต ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับจอห์น เลนนอน และเลดี้ ไดอานา

นี่คือเรื่องเล่าบางส่วนของเอลตัน จอห์นในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา…


การพบเจอกันกับเลดี้ ไดอานา

เอลตัน จอห์นพบกับไดอานาครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 1981 ก่อนที่เธอจะเข้าพิธีเสกสมรสกับปรินซ์ชาร์ลส์ ทั้งสองเจอกันในงานฉลองวันคล้ายวันราชสมภพ 21 พรรษาของปรินซ์แอนดรูว์ ที่พระราชวังวินด์เซอร์ เขากับเรย์ คูเปอร์ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านความบันเทิงภายในงาน เขาพยายามออกแบบจัดฉากให้ดูเหนือจริง ติดตั้งไฟเพื่อให้แสงสาดไปที่พระราชวัง จัดพื้นที่บริเวณบอลรูมให้เป็นห้องดิสโก แต่เนื่องจากสมเด็จพระราชินีเสด็จร่วมงานด้วย จึงมีการลดระดับความดังของเสียงเพลงลง

สมเด็จพระราชินีเสด็จเข้าไปที่ห้องบอลรูมพร้อมกับกระเป๋าที่ข้างพระหัตถ์เหมือนเช่นปกติ พระองค์ทรงตรัสถามเอลตัน จอห์นอย่างสุภาพว่า จะขอร่วมวงด้วยได้หรือไม่ ก่อนที่จะเสด็จไปที่ฟลอร์กับเขา เต้นตามทำนองเพลงของบิล ฮาลีย์ ในจังหวะดิสโกที่ดูเหมือนจะเบาที่สุดในโลก


เอลตัน จอห์นรู้ดีว่า สมเด็จพระราชินีไม่ทรงปรารถนาจะเปิดเผยความขี้เล่นของพระองค์ในที่สาธารณะ นั่นเป็นเพราะสถานะของพระองค์ เขาสังเกตได้ตั้งแต่คราวที่พระองค์แต่งตั้งเขาเป็น ‘Commander of the British Empire’ และต่อมาทรงประธานยศ ‘อัศวิน’ ให้ ครั้งนั้นพระองค์ต้องทรงมอบเหรียญให้กับผู้คนกว่า 200 คน นานถึงสองชั่วโมงครึ่ง ทรงมอบเหรียญให้ทีละคน พร้อมทั้งทรง ‘small talk’ ไปด้วย เป็นคำถามสั้นๆ คล้ายๆ กันประมาณว่างานยุ่งไหม เพื่อให้ทุกคนได้ตอบคล้ายๆ กันว่า “yes, Ma’am” ก่อนที่พระองค์จะทรงปิดบทสนทนาด้วยคำว่า “ดีแล้ว” และคนถัดมาก็จะเดินเข้าไปรับเหรียญต่อ

ในความเป็นจริงพระองค์อาจจะเป็นคนตลกก็ได้ บางครั้งเอลตัน จอห์นก็เคยถูกตั้งคำถามจากพระองค์ เช่นว่า เขาเสพโคเคนก่อนที่จะขึ้นเวทีแสดงหรือไม่ จนทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ และพาลไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาเป็นแค่นักร้องจากชนชั้นสามัญ แล้วไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น แต่กับไดอานานั้นเขากลับรู้สึกอีกแบบ เธอไม่เคยถือตัว เข้าถึงและพูดคุยได้กับทุกคน อีกทั้งสามารถปรับตัวให้เหมือนเป็นสามัญชนได้อย่างง่ายดาย จนคนทุกชนชั้นรู้สึกสบายใจเมื่อพบเจอหรือสนทนากับเธอ พระโอรสทั้งสองของเธอดูเหมือนจะซึมซับสิ่งนี้จากเธอ โดยเฉพาะปรินซ์แฮร์รี ที่เหมือนไดอานามาก ตรงที่ไม่สนใจเรื่องชนชั้นหรือยศถาบรรดาศักดิ์

เลดี้ ไดอานา ขุมข่าวกอสสิป

ในตอนค่ำของปี 1981 นั้นเธอปรากฏตัวที่ห้องบอลรูม ทั้งสองพบเจอกันและรู้สึกได้ทันทีถึงความสนิทชิดเชื้อ เธอทักทายและพูดคุยกับผู้คนอย่างเป็นกันเอง เป็นแขกที่วิเศษสำหรับมื้ออาหารค่ำ เธอพูดทุกเรื่องอย่างเปิดเผย และเป็นขุมข่าวกอสสิปตัวจริง ไม่ว่าใครจะถามเธอเรื่องอะไร เธอมักจะตอบหมด ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ วิธีการที่เธอกล่าวถึงปรินซ์ชาร์ลส์ เธอไม่เคยเรียกชื่อของเขา แต่จะเรียกว่า “สามีของฉัน” ตลอด ไม่เคยเอ่ยชื่อชาร์ลส์ ส่วนชื่อเล่นนั้นแทบไม่ต้องนึกเดา มันฟังดูห่างเหิน เยือกเย็น และเป็นทางการมาก

เอลตัน จอห์นเล่าถึงครั้งที่เขาทำมิวสิคัล ‘The Lion King’ ครั้งนั้นเจฟฟรีย์ คัตเซนเบิร์ก-อดีตนายใหญ่ของดีสนีย์ เดินทางไปที่อังกฤษ เอลตันและเดวิด เฟอร์นิช (สามีของเอลตัน) จัดดินเนอร์ปาร์ตี้รับรองคัตเซนเบิร์กและภรรยาที่บ้านในวูดไซด์ เอลตันเอ่ยถามทั้งสองว่า มีใครในอังกฤษที่พวกเขาต้องการพบให้ได้บ้างไหม และคำตอบอย่างไม่ลังเลของทั้งสองก็คือ “เจ้าหญิงไดอานา”


ดังนั้น เอลตัน จอห์นจึงเชิญไดอานามาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วย นอกจากนั้นยังมีจอร์จ ไมเคิล ริชาร์ด เคอร์ติสกับภรรยา-เอมมา ฟรอยด์ ริชาร์ด เกียร์ และซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ซึ่งตอนนั้นทั้งหมดยังพักอยู่ในอังกฤษ และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ริชาร์ด เกียร์และไดอานามีท่าทีใกล้ชิดกันตั้งแต่แรกพบหน้ากัน ตอนนั้นเธอเพิ่งแยกทางกับปรินซ์ชาร์ลส์หมาดๆ ส่วนริชาร์ดก็เพิ่งบอกเลิกกับซินดี ครอว์ฟอร์ด ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันที่ด้านหน้าเตาผิง แลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างออกรส ขณะที่คนอื่นๆ ก็กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเอลตัน จอห์นนั้นแอบสังเกตเห็นว่า ซิลเวสเตอร์ สตอลโลนลอบชำเลืองไปที่ไดอานากับริชาร์ดบ่อยครั้ง และแสดงท่าทีคล้ายไม่สบอารมณ์

เอลตันรับรู้ได้ในตอนนั้นว่า เหตุที่สตอลโลนตอบตกลงมาร่วมปาร์ตี้ด้วย ก็เพราะคิดอยากจะใกล้ชิดไดอานา แต่พอมาเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้า ทำให้ค่ำคืนนั้นของเขาคล้ายผิดแผน

เกียร์และสตอลโลนเกือบถึงขั้นวางมวย

ในที่สุดอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ ทุกคนพากันเคลื่อนย้ายไปที่ห้องรับประทานอาหาร และทรุดนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ เอลตันสังเกตเห็นว่า ริชาร์ด เกียร์ไม่ได้ตามไป และซิลเวสเตอร์ สตอลโลนก็เช่นกัน ทั้งหมดจึงนั่งรอ ครั้นไม่เห็นทีท่าว่าทั้งสองจะโผล่มา เอลตันจึงบอกกับเดวิด-ผู้เป็นสามี ให้ช่วยไปดู กระทั่งเมื่อเขาเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมพระเอกทั้งสอง เดวิดก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูเอลตัน บอกว่า “มีปัญหาละ”

เดวิดเดินออกไปเจอเกียร์และสตอลโลนที่โถงด้านนอก ระหว่างกำลังตั้งท่าจะวางมวยกันอยู่ จนเดวิดต้องยับยั้งสถานการณ์ ด้วยการร้องบอกว่า อาหารพร้อมแล้ว และทำสีหน้าคล้ายไม่รู้เห็นว่าทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน แต่เขาเห็นได้ชัดว่าสตอลโลนโกรธขึ้ง


หลังรับประทานอาหารเสร็จ ไดอานาและริชาร์ด เกียร์ย้ายกลับไปนั่งที่หน้าเตาผิงเหมือนเดิม ส่วนซิลเวสเตอร์ สตอลโลนขอตัวกลับ ใบหน้าขุ่นมัว “ผมไม่น่ามาเลย” เขาบอกเอลตัลกับเดวิดตอนที่ทั้งสองไปส่งที่หน้าประตู “ถ้ารู้ว่าเจ้าชายหน้าหมาอยู่ที่นี่ด้วย”

เมื่อกลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น เอลตัน จอห์นยังเห็นไดอานากับริชาร์ด เกียร์นั่งจ้องตากันแบบคลั่งไคล้ ทั้งสองแสดงอาการคล้ายลืมโลก บางทีไดอานาอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือบางทีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเสียจนทำให้เธอชิน หลังจากเธอเสียชีวิตแล้ว ก็เริ่มมีคนพูดถึงเรื่อง ‘ไดอานา เอฟเฟ็กต์’ ซึ่งหมายถึงวิธีที่เธอประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อราชวงศ์ โรคเอดส์ บูลิเมีย หรือความป่วยไข้ทางจิต


หลังจากนั้น เอลตัน จอห์นกับไดอานาก็ไม่พบไม่ได้คุยกันอีกนาน จนกระทั่งถึงวันที่เจียนนี เวอร์ซาเชถูกฆาตกรรม เขารับรู้ข่าวร้ายจากจอห์น รีด และไดอานาเป็นคนแรกที่โทรศัพท์หาเขา ทั้งที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอได้เบอร์จากที่ไหน เพราะเอลตันกับเดวิดเพิ่งซื้อบ้านที่นีซได้ไม่นาน ส่วนไดอานา ขณะนั้นอยู่ที่แซงต์-โตรเปซ์ บนเรือยอชต์ของโดดี อัล-ฟาเยด ริมชายฝั่งไม่ไกลกันนัก

ไดอานา เอลตัน และเดวิดเดินทางไปร่วมพิธีศพของเวอร์ซาเชพร้อมกัน ตอนที่ไดอานาไปถึงโบสถ์ (ในมิลาน) นักข่าวปาปาราซซีพากันมุงล้อม ราวกับเธอเป็นดาราใหญ่ระดับโลก บรรดาช่างภาพเกาะติดเธอไม่ห่างแม้ระหว่างบาทหลวงทำพิธีทางศาสนา


เช้าวันอาทิตย์ปลายเดือนสิงหาคม เอลตันและเดวิดถูกปลุกเพราะเสียงดังจากเครื่องแฟกซ์ เดวิดเป็นคนเดินไปดู และเดินกลับมาหาเอลตันพร้อมแผ่นกระดาษแฟกซ์ที่มีลายมือเขียน ส่งจากเพื่อนคนหนึ่งของพวกเขาที่อยู่ลอนดอน

“ช่างเป็นข่าวร้ายเสียจริง ฉันเสียใจที่ได้ยินข่าวนี้” ทั้งสองยังมึนงง ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นหมายถึงอะไร จนต้องลุกลี้ลุกลนเปิดทีวีดู

และรับรู้ในคราวนั้นว่า เจ้าหญิงไดอานาเสียชีวิตแล้ว


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
‘เลียม กัลลาเกอร์’ ปากกล้า ใจถึง ร้องเพลงได้ https://marshomme.com/scoop/1274/ Fri, 18 Oct 2019 15:23:00 +0000
เพลง ‘Wonderwall’ ดูคล้ายจะเป็นเพลงโปรดของใครต่อใครในยุคสมัยหนึ่ง ขับร้องโดยเลียม กัลป์ลาเกอร์-ฟรอนต์แมนของวง Oasis ที่ตัวจริงไม่ใช่หนุ่มอ่อนโยน นิสัยน่ารักแต่อย่างใด

เหตุผลอาจเป็นเพราะชีวิตวัยเด็กที่ซับซ้อนของเขา เลียมเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสามคน เกิดและเติบโตในแมนเชสเตอร์ และมักตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของผู้เป็นพ่อ ตอนเขาอายุ 10 ขวบแม่แยกทางกับพ่อ แล้วย้ายออกจากบ้านไปพร้อมกับลูกทั้งสามคน ปัญหาครอบครัวของเลียมส่งผลมาถึงพฤติกรรมของเขาในช่วงวัยรุ่น ทั้งการขโมยรถจักรยาน การทำลายข้าวของ และบ่อยครั้งก็ชอบหาเรื่องชกตีกับใครๆ โดยเฉพาะกับโนล-พี่ชายของเขาเอง

แต่นิสัยชอบความรุนแรง เลียม กัลลาเกอร์ก็พัฒนาตนเองไปสู่ความชอบในดนตรี ระหว่างที่ยังเรียนอยู่เขาเข้าร่วมวง The Rain ของเพื่อน ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อมาในปี 1991 จึงเปลี่ยนชื่อวงเป็น Oasis และจู่ๆ ก็มีโนล-พี่ชายเข้ามาร่วมบนเวทีการแสดง หลังจากนั้นก็มีการเซ็นสัญญากับค่ายเพลง

‘Definitely Maybe’ อัลบั้มแรกของพวกเขาออกตัวแรงกว่าของศิลปินคนไหนๆ อีกทั้งอัลบั้ม ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ รวมถึงเพลงอย่าง ‘Wonderwall’ และ ‘Don’t Look Back in Anger’ ยังช่วยผลักดันให้ชื่อของ Oasis ไต่อันดับขึ้นจุดสูงสุดของบริตป๊อป

ความขัดแย้งภายในและการเริ่มต้นใหม่

ความฝันของศิลปินวัยหนุ่มคล้ายจะเจิดจรัส หากปราศจากเงามืดในความมีชื่อเสียง – บ่อยครั้งมักมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องคู่นี้ เลียมชอบหาเรื่อง ไม่ก็เมามายจนพลาดงานแสดง ภายหลังคอนเสิร์ตร่วมกับโนลเพียงไม่กี่ครั้ง และมีผลงานร่วมกัน 7 อัลบั้ม ปี 2009 เลียมก็ผละออกจากวง Oasis ไปในที่สุด เหตุเพราะเขาไม่สามารถทนทำงานร่วมกับพี่ชายของตนเองได้อีกต่อไป

เลียมไม่ได้หันหลังให้กับดนตรีอย่างที่ใครคาดคิด แต่กลับไปก่อตั้งวงใหม่ Beady Eye ซึ่งมีอดีตสมาชิกวง Oasis คนหนึ่งร่วมอยู่ด้วย ช่วยกันเข็นซิงเกิลแรกออกมาในปี 2010 ตามด้วยเพลงคัฟเวอร์ผลงานเก่าของ Oasis แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ เลียมกับเพื่อนสมาชิกวง Beady Eye จำต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตนอีกครั้งในปี 2014

‘As It Was’ ตัวตนของเลียม กัลลาเกอร์บนแผ่นฟิล์ม

“แรกเริ่ม ผมประหลาดใจนะที่เขาเป็นคนดี” เกวิน ฟิตซ์เจอรัลด์-ผู้กำกับหนังสารคดี บอกกับสื่อในช่วงเปิดตัว ‘As It Was’ หนังสารคดีตามติดชีวิตของเลียม กัลลาเกอร์ จากเดิมที่เคยได้ยินแต่ข่าวด้านลบเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าเรื่องที่เขาเคยถูกสายการบินแบนเพราะสูบบุหรี่บนเครื่องในปี 1998 เคยสบถและเสียฟันหลายซี่จากเรื่องชกต่อยกับตำรวจเยอรมันในปี 2002 ฯลฯ “เลียมเป็นคนขี้เล่น ตลก ขี้โอ่ และเขาดูผ่อนคลายมากๆ ด้วย”

ภาพในหนังสารคดีเผยตัวตนของเลียม กัลป์ลาเกอร์ที่สนุกสนานกับการวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้าตรู่ ขณะกำลังออกทัวร์คอนเสิร์ต เป็นคุณพ่อที่น่าภาคภูมิใจสำหรับลูกชายวัยรุ่นสองคน เช่นเดียวกับลูกสาวที่เขาได้ติดต่อเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1997 นอกจากนั้นยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของตนเอง และรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจใช้เวลามากกว่านี้กับแม่ของเขา

บางช่วงเวลาเขายังดูเข้าถึงจิตวิญญาณอีกด้วย ระหว่างที่เดินทางไปเยือนห้องนอนที่เขาเคยนอนร่วมกับพี่ชาย อีกทั้งสำนึกถึงบุญคุณต่อสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากวัยรุ่นเหลวแหลกกลายเป็นร็อกสตาร์

แต่สิ่งเดียวที่เลียมยังหาความสงบสุขไม่ได้ นั่นคือ เรื่องของโนล ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้พี่น้องคู่นี้ไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกันมานานหลายปี “หลังจากแยกวงไป เลียมรู้สึกเจ็บปวดนะ เพราะที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และเลียมก็คิดถึงเขา” ฟิตซ์เจอรัลด์บอก

ความขัดแย้งยังสืบต่อในความเป็นจริง

ขณะที่โนล กัลลาเกอร์ พี่ชายวัย 52 ปีกลับรู้สึกต่างไปจากน้องชายวัย 47 เขาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ และไม่ยินยอมให้ใช้เพลงของวง Oasis ซึ่งส่วนใหญ่เขาเป็นคนแต่ง ไปใช้ประกอบในหนังสารคดีเด็ดขาด พร้อมข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องหากมีการละเมิด

ไม่ว่า ‘Wonderwall’ หรือ ‘Supersonic’ เพลงคลาสสิกของ Oasis ที่เลียมมักนำไปร้องนั้น ล้วนเป็นผลงานที่โนลเป็นคนแต่ง เมื่อสองปีก่อนโนลยังเคยพูดเหน็บแนมผ่านสื่อไปถึงน้องชายเจ้าปัญหา “ผมมองแบบปรัชญานะ ผมอยู่ตรงนี้และเล่นเพลงของผม ส่วนเขาอยู่ตรงนั้นและยังเล่นเพลงของผม” ก่อนประกาศเตือนน้องชายอย่างจริงจัง หลังจากรับรู้ข่าวการถ่ายทำสารคดี ‘As It Was’ เมื่อปี 2018

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เลียมเคยโอดครวญผ่านทวิตเตอร์เรื่องที่พี่ชายของตนขู่ฟ้อง “ผมเพิ่งรู้ข่าวว่าตัวเองอาจจะถูกฟ้องโดยผู้ชายเล็กๆ ที่มากอำนาจ ถ้าผมเอาฟุตเทจเพลงของ Oasis ที่ผมร้องไปใช้ใน ‘As It Was’ ใครกันที่ควรจะขมขื่น?”

ชีวิตรักของร็อกสตาร์

ชีวิตจริงนอกจอของเลียม กัลลาเกอร์ เขาไม่ใช่แค่เป็นร็อกสตาร์ที่โด่งดังเท่านั้น หากยังเป็นแขกรับเชิญขายดีบนหน้าหนึ่งของสื่อบันเทิงด้วย กระทั่งมีคนเปรียบเทียบเขาเป็นจอห์น เลนนอนกลับชาติมาเกิด แม้ว่าเลนนอนจะเสียชีวิตหลังจากเลียมเกิดแล้วแปดปีก็ตาม นั่นเพราะเป็นบุคคลที่สามารถป้อนข่าวให้เสพกันได้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเรื่องราวส่วนตัวของเลียมก็เช่นกัน


ปี 1997 เลียมแต่งงานกับแพตซี เคนสิต-ภรรยาคนแรก และได้ลูกสาว-มอลลีในเวลาไม่นานต่อมา แต่ไม่ใช่จากภรรยาที่เพิ่งแต่งกันหมาดๆ หากเป็นลูกที่เขามีกับลิซา มูริช-นักร้องสาวที่เลียมมีสัมพันธ์ด้วยหลังแต่งงาน ต่อมาก็ได้ลูกชายสองคน จากเคนสิตหนึ่งคน และอีกหนึ่งคนจากนิโคล แอปเปิลตัน-ภรรยาคนที่สอง จากนั้นชีวิตคู่ระยะเวลาห้าปีกับภรรยาคนที่สองก็อับปางลงในปี 2014

คู่หมั้นหมายคนล่าสุดของเลียมคือ เด็บบี้ กวิเธอร์ ผู้ช่วยสาวที่เข้ามาช่วยงานเขาตั้งแต่ปี 2013 เคยมีประสบการณ์เป็นผู้จัดการส่วนตัวและพีอาร์ให้กับศิลปินมาก่อน รวมถึงเป็นคนที่ทำให้เลียมมีความมั่นใจในตัวเองและการแต่งเพลง แต่ก็ไม่วายมีข่าวออกมาเมื่อปีที่แล้วว่า ทั้งสองทะเลาะกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน และเลียมบีบคอเธอ จะจริงเท็จอย่างไร ทั้งสองก็ปฏิเสธข่าวไปแล้ว

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่สื่อสามารถนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับเลียม กัลลาเจอร์ได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะเขาคือจอห์น เลนนอนกลับชาติมาเกิด แต่เป็นเพราะเขาเสพติดการ ‘คัมแบ็ก’ นั่นเอง

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>