Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
นักแสดงชาย – Marshomme https://marshomme.com Tue, 28 Dec 2021 16:28:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png นักแสดงชาย – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ‘สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ บทสัมภาษณ์ขนาดยาวว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของ เจษ – เจษฎ์พิพัฒ https://marshomme.com/interview/532170/ Mon, 08 Nov 2021 11:46:00 +0000           ช่วงโดนกักบริเวณเพราะพิษโควิดระบาดหนัก 3 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านบันเทิงเงียบสนิทกว่าเป่าสาก เพราะทั้งกองถ่ายละคร ภาพยนตร์ ซีรีส์ ฯลฯ โดนแคนเซิลไปโดยปริยาย แต่ก็ดีไปอย่าง เพราะเราได้เห็นบรรดานักแสดงชายหญิงมี ‘กิจกรรมแก้เซ็ง’ โชว์ตามโลกออนไลน์ หลายคนปลูกต้นไม้สารพัดด่างตามสมัยนิยม แต่อีกหลายคนก็เลือกกิจกรรมง่ายๆ เลี้ยงแมว เล่นดนตรี และกีฬา ก่อนที่กองละครจะกลับมาลุยถ่ายกันอีกรอบ


           วันนี้เรานัด เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ พระเอกแถวหน้าของช่อง one มาอัปเดตชีวิตและกิจกรรมยามเหงาในวันที่กองถ่ายละคร“วิมานทราย”ใกล้จะกลับมาลุยงานต่ออีกรอบเร็วๆ นี้

ช่วงว่างๆ ระหว่างพักเบรกถ่ายละครทำกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษบ้าง ยังต่อยมวยกับเตะบอลอยู่เหมือนเดิมไหม

           จริง ๆ ผมชอบเล่นกีฬาแทบจะทุกประเภทครับ ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่ต้องดูเพื่อนด้วย ที่ผ่านมาอยู่กับบ้านเป็นหลัก จะเน้นฟิตเนสมากหน่อย ที่บ้านผมพอมีอุปกรณ์หลายชิ้นอยู่ครับ เลยไม่ต้องรอฟิตเนสเปิด แต่ช่วงหลายปีก่อนผมชอบต่อยมวยมาก น่าจะประมาณตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี4ครับ ไปต่อยมวยแทนการออกกำลังกายอื่นๆ เพราะช่วงนั้นเตะบอลมากไม่ได้ ผมมีปัญหาเรื่องเอ็นเข่าขาด ก็เลยรู้สึกว่าอยากออกกำลังกายอย่างอื่นแทน
            จนมาเจอมวยที่ถูกโฉลก ส่วนบอล จริง ๆ หมอห้ามเตะบอลห้ามใช้เท้าเลย แต่ผมก็ฝืนๆ เตะอยู่บ้าง แอบเตะ แต่พอเตะบอลแล้วเจ็บก็ต้องพัก สภาพเข่าเรามันแย่ลงเรื่อย ๆ ครับ จนต้องไปผ่าจนได้ หลังผ่าตัด รู้เลยว่ากล้ามเนื้อส่วนนี้มันอ่อนลงมากครับ อ่อนกว่าตอนแรกที่ยังไม่ได้ผ่าอีก เหมือนผ่าตัดแล้วทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลายออกไป รู้สึกได้เลยว่าแรงขาเราไม่มั่นคง ก็ต้องเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายขาเพิ่ม ถึงจะกลับไปเตะบอลได้ปลอดภัย


แต่มวยนี่ก็เตะเยอะ ใช้ขาเยอะอยู่นะ

             เราเลือกได้ครับ เลือกใช้ข้างที่ไม่เจ็บได้ไงครับ มวยมันอยู่ที่เรา เวลาเราไปซ้อม เราไม่ได้ขึ้นไปชกจริงกับใคร เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะทำอะไร ไม่ทำอะไร แต่เตะบอลนี่มันต้องเตะกับคนอื่นไงครับ พอเตะกับคนอื่นบางจังหวะอุบัติเหตุต่าง ๆ เราควบคุมไม่ได้ครับ ตอนที่เจ็บก็ปะทะแรง บอลมันก็เลยอันตรายกว่ามวยตรงนี้ครับ

ตอนต่อยมวยหนักๆ กับตอนนี้ ช่วงไหนหุ่นฟิตกว่ากัน

            ตอนต่อยมวยน่าจะฟิตกว่านะครับ เคยถ่าย attitude อยู่เล่มหนึ่งด้วย ทุกวันนี้เล่นกีฬาอื่นน้อยลง ไปไหนไม่ได้ ผมจะเน้นเข้าฟิตเนสแทน ยกเวท วิ่ง อะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะที่บ้านผมซื้ออุปกรณ์ไว้ที่ชั้นบนของบ้าน ฟิตเนสปิดก็ไม่เป็นไร ออกไปข้างนอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เล่นฟิตเนสที่บ้านแทน


เจษ ให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องอาหารการกิน หรือว่าการออกกำลังกายรักษารูปร่างในแต่ส่วนว่า แขน ท้อง หลัง ไหล่ ฯลฯ

            ผมจะเน้นการออกกำลังกายให้สุขภาพดีครับ เรื่องอาหารการกินผมรู้สึกว่า ผมเคยไปทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วมันสร้างความกดดันให้ผมมาก เครียดน่ะ การควบคุมอาหาร เคยทำอยู่ช่วงหนึ่งแล้วเครียดโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกไม่โอเค ไม่มีความสุข มันอาจจะไม่เหมาะกับผมนะ แต่คนอื่นเขาทำได้ ก็คงแล้วแต่คนนะครับ

แต่น้องตรี(ภรภัทร ศรีขจรเดชา)ทำได้นะ หุ่นน่ากลัวมาก

           ใช่ ตรีหุ่นโหดมากครับ

นอกจากเข้าฟิตเนสแล้ว ทุกวันนี้ยังเล่นดนตรีอยู่มั้ย เหมือนเคยรู้มาว่าคิดจะฟอร์มวงดนตรีกับเพื่อนๆ ด้วย

           ที่บ้านผมมีห้องซ้อมดนตรีด้วยครับ อยู่ติดกับห้องฟิตเนสเลย ในห้องซ้อมดนตรีจะมีกลองชุด มีกีตาร์ เล่นกีตาร์ด้วย แต่จะตีกลองเป็นส่วนใหญ่ สมัยเด็กๆ บ้านเรามีพี่น้องสามคน พี่ชายคนรองผมเล่นกีตาร์ พี่ชายคนโตเล่นคีย์บอร์ด เล่นเปียโน พอมาถึงช่วงที่เราเริ่มเรียนดนตรีก็ไปลองเล่นอะไรที่ไม่เหมือนกับพี่ๆ ก็เลยเลือกตีกลองครับ


ระหว่างกีตาร์กับกลองชอบอะไรมากกว่ากัน

           คนละแบบครับ แต่จริง ๆ ชอบกลองมากกว่า แต่ว่ากลองมันเล่นคนเดียวไม่ได้ไง มันต้องมีวงถึงจะสนุก แต่กีตาร์นี่เราจะแบกไปไหนก็ได้ ไปกองถ่ายก็ได้ ไปทะเลไปภูเขาก็ได้ เล่นกับเพื่อนได้ ชิล ๆ คนละแบบครับ ส่วนเรื่องฟอร์มวงมีวงนี่ สมัยมัธยมก็มีวงครับ มหาวิทยาลัยก็มีวงของตัวเอง แต่พอจบมา แต่ละคนก็มีภาระเพิ่มขึ้น แต่ละคนก็มีงานต้องทำก็แยกย้ายกันไป จะเล่นบ้างเป็นโอกาสมากกว่า อย่างปิดกล้องละครอะไรอย่างนี้ ก็จะไปเล่นสนุก ๆ แต่ว่าไม่ได้มีวงจริงจังครับ

ช่วงล็อกดาวน์ นอกจากอยู่บ้านออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ แล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำอีกไหม

          เลี้ยงแมว เล่นกับแมวครับ ที่บ้านมีแมว13ตัว ส่วนใหญ่เป็นแมวหลง แมวที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างบางส่วนที่มาคลอดในบ้าน ที่เป็นตัวที่ท้องมาครับ จะมีอยู่ประมาณ 3-4 ตัวครับ


สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในทาสแมวได้ไหม

          ก็ได้มั้งครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยตามใจมันเท่าไร คือเวลาเป็นแมวเก็บ มันจะไม่เหมือนแมวซื้อมาเลี้ยง พวกนี้เขาจะมีชีวิตของเขา เราก็มีชีวิตของเรา ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเหมือนเราเลี้ยงแมวอยู่ในบ้าน อยู่ในห้อง อยู่บนเตียง ตัวโปรดของผมมีอยู่ตัวนึงครับ ตัวนี้สนิท ๆ กันหน่อย ชื่อตาล เป็นแมวพันธุ์ไทย เพศเมียครับ มันชอบอ้อน เวลาเดินขึ้นบ้าน เมื่อก่อนจะอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ ตอนนี้ผมย้ายมาอยู่อีกหลังหนึ่ง พอจะเดินขึ้นไปบนห้องมันจะวิ่งตามขึ้นไปนอนอยู่ใกล้ ๆ

ไม่คิดจะเลี้ยงหมาบ้างหรือ หมาน่าจะดูเหมาะกับบ้านที่มีบริเวณเยอะ ๆ

          หมาก็เคยมีครับ มีก่อนหน้าที่จะเป็นแมว13ตัวอีก ที่บ้านนี่เลี้ยงหมามาตลอดครับ ตั้งแต่เด็กเลยครับ ทั้งหมด5ตัว แต่ไม่ได้ซื้อมาสักตัวนะ หมานี่เหมือนหนังฝรั่งเลยครับ โดนเอามาทิ้งหน้าบ้าน ใส่กล่องมาอย่างดี2ตัว แล้วโยนเข้ามาในบ้านพร้อมโน้ต ฝากดูแลหน่อยนะ เราก็สงสารก็เลี้ยงมาจนโต

ในฐานะคนเลี้ยง พอเปลี่ยนจากหมามาเป็นแมว นี่คนละอารมณ์เลยนะ

         อารมณ์เปลี่ยนมากครับ กับแมวนี่เราคาดหวังอะไรไม่ค่อยได้ หมายถึงคาดหวังให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการน่ะ ไม่ค่อยได้ เพราะแมวมีความสันโดษมากกว่าหมา แล้วแมวมันเลือกคน อย่างบางตัวติดแม่ บางตัวติดพ่อ บางตัววิ่งหนีเรา มันไม่เหมือนสุนัขที่ทุกคนในบ้านคือเจ้าของมันหมด เราก็เปลี่ยนด้วยการที่ไม่ได้คาดหวังกับมันมากแบบพอเราเข้าบ้านปุ๊ป แล้วมันจะวิ่งมารับเหมือนสุนัข


ได้ข่าวว่าบ้านเจษ ทำธุรกิจตลาดใช่ไหม

         ครับผม ชื่อตลาดพรพัฒน์ครับ อยู่ที่รังสิต

มีจำนวนแผงเยอะไหม

         เยอะครับ เป็นพันแผงครับ

โอ้โฮ นี่ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเลือกเรียนบริหารธุรกิจหรือไม่

         จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ครับ ผมไม่ได้เรียนเพราะว่ามันเป็นตลาด แต่เราเรียนเพราะเรามีธุรกิจครอบครัว แล้ววันหนึ่งเราต้องเป็นคนดูแลต่อจากเจนเนอรชั่นที่ผ่านมา ผมก็เลยเลือกเรียนในสิ่งที่วันหนึ่งเราจะกลับมาใช้ได้ครับ


แสดงว่าวางแผนชีวิตตัวเองไว้ว่า คงไม่ได้อยู่วงการบันเทิงตลอดไป

          ไม่หรอกครับ คนเรามีสองสิ่งต้องเจอในชีวิตคือ สิ่งที่ต้องดูแลกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า’ อย่างตลาดเป็นเรื่องที่เราควรจะรู้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งเราต้องดูแลมัน มันต้องมีคนดูแล มันเป็นหน้าที่ของเรา แล้วเป็นสิ่งที่ครอบครัวเรามี ส่วนเรื่องงานในวงการก็เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ก็เป็นหน้าที่การงานที่เลี้ยงดูผมมาตลอด เพราะว่าปัจจุบันผมไม่ได้เงินจากธุรกิจที่บ้านจากตลาดเลยครับ แต่ผมว่ามันเป็นคนละส่วน ถ้าทำควบคู่กันไปด้วยก็จะดีครับ ผมคิดว่า ถ้าเกิดมีอะไรมาทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเดือดร้อน สมมติว่าต้องไปประชุมตลาด และติดถ่ายละครด้วย ผมจะไม่โอเค ผมจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าถึงวันนั้น

กลับมาวงการบันเทิงดีกว่า ตอนนี้เจษ กำลังจะมีผลงานอะไรใหม่ๆ

         ละคร ‘วิมานทราย’ ครับ น่าจะเร็วที่สุดแล้ว ถ่ายไปประมาณครึ่งเรื่องครับ รอถ่ายอยู่ ถ้าลับไปถ่ายได้ก็น่าจะได้เห็นออนกัน ทางช่องoneครับ

คาแรกเตอร์เป็นอย่างไรบ้างครับในวิมานทราย

         วิมานทรายเป็นละคร remake ครับ เมื่อก่อนแสดงโดยพี่ชาคริตและพี่บี น้ำทิพย์ ผมแสดงเป็นภาณิน แต่จริง ๆ บทบาทจะถูกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสถานการณ์ในเรื่อง ภาณินเป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่กับพ่อ และน้องชาย บ้านทำธุรกิจโรงแรม เป็นเศรษฐีย้อนไปในปีประมาณ 2515 ครับ เขามีน้องชายคนหนึ่งที่รักมาก แม่ฝากให้ดูแล เพราะแม่เสียชีวิตไป ภาณินเป็นคนตั้งใจทำงาน เป็นคนค่อนข้างจะรักคุณธรรม รักครอบครัว ถ้าใครมาทำร้ายครอบครัวเขาจะเป็นคนปกป้องแล้วตอนหลัง ๆ จะมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ทำให้เข้าใจผิดกับนางเอก ก็เลยจะมีช่วงหนึ่งที่เทิร์นไปเป็นแบบตบจูบนิดหน่อยครับ


ละครเรื่องนี้ท้าทายกว่าทุกเรื่องที่เราเคยแสดงมาหรือไม่

         ท้าทายกว่าทุกเรื่องไหม ผมว่าจริง ๆ ทุกเรื่องท้าทายหมดครับ ผมรู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่ผมเล่นแล้วมันง่ายเลย แต่จริง ๆ เรื่องนี้แอบยากอยู่ เพราะด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทำให้บางทีเราจะมองเข้าไปว่า ตัวละครเรากำลังทำสิ่งไม่ดีอยู่ ทำสิ่งที่แย่อยู่ เราก็ต้องพยายามกรูมมันให้เรารับกับการกระทำของตัวละครได้ เพื่อให้คนดูไม่รู้สึกว่าการกระทำนี้มันไม่มีเหตุและผล การกระทำแบบทำร้ายผู้หญิง คือไม่ได้ทำร้ายร่างกายนะครับ แต่เหมือนทำไม่ดีกับเขา เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าควรจะแค่ไหน พยายามคุยกับพี่แมนผู้กำกับว่า มันได้แค่ไหน คนดูถึงจะไม่รู้สึกว่า ผู้ชายร้ายจังเลย ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง

ผลงานไหนที่เราชอบคาแรกเตอร์มากที่สุด

          ตั้งแต่เล่นมา ผมชอบ‘ชีวิตเพื่อฆ่าหัวใจเพื่อเธอ’ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ชายทุกคนชอบ การได้เป็นมือปืนนี่อะไรที่ไกลตัวเรามาก เราคงไม่มีโอกาสจะได้สัมผัสอาชีพนี้ ถ้าเกิดเราไม่ได้เป็นนักแสดงครับ บทบาทมันค่อนข้างจะไกลตัวมาก ต้องทำการบ้านกับมันเยอะ ๆ นักแสดง


วิมานทรายนี่มีคิวออนเมื่อไร ทันสิ้นปีนี้ไหม

             คิวออนน่าจะตามคิว lock down น่ะครับ ต้องรอให้คลายล็อกดาวน์ก่อนถึงจะออนได้ ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อนครับ ตอนนี้ถ่ายไปประมาณ 50-60% เองครับ

ที่บอก ต้องรอให้ถ่ายได้ก่อน’ ถึงจะทราบคิวออนแอร์ แสดงว่าที่นี่ยังใช้ระบบถ่ายไปออนไปอยู่ใช่มั้ย

            แล้วแต่เรื่องครับ แล้วแต่ความเหมาะสมครับ บางเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันสามารถทำให้ complete ได้เราก็ออนน่ะ เราก็ทำแบบนั้น แต่บางเรื่องที่ค่อนข้างที่จะต้องตอบสนองกับความต้องการหรือกระแสคนดู เราก็ตั้งใจให้มันถ่ายไปออนไป ไม่ใช่เราถ่ายไม่ทันนะครับ มันก็แล้วแต่เรื่องแหละ ซึ่งมันก็มีข้อดีคนละแบบนะครับ คือถ่ายไปออนไปบางทีเราเห็นว่าคนดูรู้สึกอย่างไรกับส่วนไหนของละครน่ะ รู้สึกดี เราก็พยายามเพิ่มเติมตรงนั้น หรือว่าอะไรที่รู้สึกค้านกับสายตาคนดูหรือว่าไม่ชอบ เราก็สามารถแก้ได้ในตอนหลัง ๆ ที่เราจะถ่ายต่อไป

เคยมีประสบการณ์ถ่ายไปออนไปบ่อยมั้ย

            ไม่เคยถ่ายไปไม่ออนเลยครับ เคยแต่ถ่ายไปออนไปทั้งนั้นเลยครับ(หัวเราะ)ไม่เคยถ่ายเสร็จแล้วออนเลย


อันไหนยากกว่ากัน

            อันไหนยากกว่ากันหรือครับ ถ้าพูดถึงเรื่องยากนี่ ถ่ายไปออนไปนี่ถ้ามันกระชั้นมาก ๆ จะยากครับ ถ้าเราต้องตัดอะไรบางอย่าง เพื่อให้เรา on air ทัน หรือว่าต้องเร่งให้ on air ทัน มันจะทำให้งานเราถูกจำกัดด้วยเรื่องของเวลาครับ ก็เลยจะยาก เพราะว่าเราก็อยากจะทำงานให้เต็มที่ อยากจะใช้เวลากับมันให้เต็มที่ ไม่อยากจะต้องรีบ ๆ ส่งเทปเพื่อจะได้ออนวีคถัดไป มันก็ไม่ดี แต่ว่าถ้าเกิดถ่ายไปออนไปแล้วไม่ได้เร่งมาก ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไรนะ รู้สึกว่าง่ายกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเห็น feedback คนดู เรารู้ว่าคนดูต้องการอะไรจากละครเรา ต้องการอะไรจากตัวละคร ชอบอันไหนไม่ชอบอันไหน เราก็สามารถแก้ได้ครับ

ตั้งแต่แสดงละครมาหลาย ๆ เรื่อง เคยมีบทไหนที่อยากเล่นแต่ยังไม่เคยได้เล่นสักครั้งหนึ่งในชีวิต และคิดว่าถ้าวันหนึ่งมีโอกาสเราอยากจะเล่นบทประมาณนี้

           ถ้าให้เจาะจงเป็นบทเลย ผมว่าคงนึกไม่ออก แต่ถ้าคาแรกเตอร์น่ะเราอยากลองเล่นอะไรที่ถ้ามีโอกาสนะครับ อะไรที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าคนดูจะรู้สึกอย่างไร หมายถึงว่าคาแรกเตอร์ที่เหมือนตัวประหลาด ๆ เหมือน joker อะไรอย่างนั้นครับ ที่ละครไทยทำไม่ได้น่ะ มันเป็นความฝันของนักแสดงทุกคนแหละ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดของความเป็นละครแบบไทย ๆ อยู่ครับ


ติดตามละครวิมานทราย
ทางช่องONE31เดือนพฤศจิกายนนี้

Text by Takeshi West

Credit Photo
Photography : Attapon Kawinkrua
Styling : Pornpat Pohchatarn

]]>
เส้นทางนักแสดงอาชีพของ “แบงค์ ธิติ” จากวันที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มจากขอนแก่น https://marshomme.com/aboy/532082/ Thu, 16 Sep 2021 12:46:00 +0000           ถ้าให้นับนักแสดงชายที่ขายของเก่ง เราขอเสนอชื่อ แบงค์ – ธิติ มหาโยธารักษ์ ที่รู้จักใช้โซเชียลเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะ ล่าสุด หลังจากจบงานละคร “จิตสังหาร” ทางช่อง ONE31 ซึ่งหนุ่มแบงค์พลิกบทบาทการแสดงที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ด้วยฉากแอ็กชั่นบู๊ล้างผลาญ ที่ทำเอาสาว ๆ ติดอกติดใจกับความแข็งและความแกร่งของร่างกายหนุ่มคนนี้ จน ‘ฟินคาจอ’ ไปตาม ๆ กัน โดยช็อตที่ทำให้สาว ๆ เกิดอาการเปรี้ยวปาก คงต้องยกให้คลิปโกนหนวด ที่หนุ่มแบงค์เพิ่งปล่อยมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ลุคโหด ๆ แบบนี้ ใครอยากได้เป็นสามีแห่งชาติบ้าง ?


          เปลี่ยนลุคแบบนี้บ้างก็ดี เพราะนับตั้งแต่ ฮอร์โมน เดอะ ซีรีส์ จนมาถึงละครเรื่องล่าสุด แบงค์ได้โชว์ให้โลกว่า เขาโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วจริง ๆ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าได้อ่านความคิดและมุมมองเรื่องงานที่แบงค์ อยากทดสอบความสามารถของตัวเขาในอนาคต

ทำไมถึงยอมเล่นบทActionเรื่องแรกในละครเรื่องจิตสังหาร ทางช่อง ONE31
           ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ท้าทายตัวเรานะ ละครแอ็กชั่นมันเป็นรูปแบบการแสดงที่เราไม่เคยเล่นมาก่อนครับ เราไม่เคยรู้เลยว่ากว่าจะได้ซีนแอ็กชั่นซีนๆ หนึ่งมา บางทีต้องใช้เวลาถ่ายทำมากกว่าวันสองวัน บางที 3 วัน ก็ยังไม่เสร็จเลย เพราะมันมีทั้งเรื่องเอฟเฟกต์ เรื่องแอ็กชั่น การต่อยตี หรือว่าเรื่องของคิวต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ยากขึ้นอีกระดับหนึ่งเลยครับ


หลังจากที่ละครจบไปแล้ว เรารู้สึกกับละครแอ็กชั่นอย่างไรบ้าง
          รู้สึกโล่งครับ แต่จริง ๆ รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันนะครับ เพราะว่าละครแอ็กชั่นค่อนข้างที่จะใช้ร่างกายเยอะ ขนาดเรามีโอกาสได้ไปเวิร์กช้อปมาก่อนทั้งเรื่องของการเซฟตัวเอง ในการตีลังกา การหมุน การต่อย การเตะ แต่ก็ยังมีสิ่งที่พลาดได้ในการถ่ายทำจริง อย่างเช่น มีซีนหนึ่งที่ผมต้องหมุนม้วนหน้าไปตีลังกาเอาปืนมายิง แต่ก็ลงผิดท่า เอาหลังลงพื้นก่อนจนหลังเดาะ ก็เลยรู้สึกว่าแอ็กชั่นเรื่องแรกของทุกคนเขาก็เป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า หรือว่าเป็นเฉพาะเรา

ตั้งแต่ถ่ายมาซีนไหนที่ยากที่สุด แบบเยอะจนไม่อยากนับเทค
          ซีนยากที่สุดน่าจะเป็นซีนใหญ่ ที่มีทั้งตัวละครหลาย ๆ ตัวมารวมตัวกัน ต้องใช้ทั้งเอฟเฟกต์ระเบิด เผาไฟ ใช้ปืนลูกแบลงค์ แล้วก็ต้องต่อสู้โดยมือเปล่า มันทุกอย่างรวมกันในซีนเดียว มันเป็นซีนที่ยากมาก ถ้าเกิดว่าใครที่ติดตามดูในละครเรื่องนี้ก็จะเห็นซีนนั้นครับ


เมื่อกี้แบงค์บอกว่านี่เป็นงานที่ทำให้เราโตขึ้น อยากให้อธิบายตัวละครนิดหนึ่งว่า โตขึ้นอย่างไร
           สิ่งที่ผมบอกว่ามันโตขึ้นคือคาแรกเตอร์ของตัวละครตัวนี้ครับ ทัศน์ไท มีสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นทั้งทายาทของเจ้าของธุรกิจ และมีมูลนิธิที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาดในอดีตที่เคยติดคุกให้มีโอกาสได้กลับมาอยู่ในสังคมได้ปกติ มันจึงต้องแบกรับภาระหลาย ๆ อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการคอนโทรลหรือว่าคอยเป็นลีดนำให้กับทีมงานของเราด้วย เราต้องดูแลคนจำนวนมาก ที่เป็นเหมือนคนในเหมือนในครอบครัว และนอกจากการที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยแล้ว เรายังต้องเป็นคนสั่งการ เป็นผู้นำ มันเลยทำให้เราต้องอัปเพาเวอร์ของเราขึ้นมาในการควบคุมคน และการจัดการคนมากขึ้นด้วย

มาร่วมโปรเจกต์จิตสังหารได้อย่างไร
           มาแคสต์ครับ มีการออดิชั่นก่อนตอนแรก ทางทีมช่องวันส่งบทจิตสังหารส่งไปทางนาดาว แล้วทางนาดาวก็เลยส่งเรามาให้เรามาออดิชั่น


แต่พอเรารู้ว่าเราจะต้องมาเล่นละครแอ็กชั่นเรื่องแรก เราเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          เตรียมใจมากกว่าครับ อย่างแรกคือเราต้องเตรียมใจก่อนว่า มันจะต้องหนักมากแน่ ๆ เพราะว่าเราไม่เคยเล่นละครบู๊มาก่อน ไม่เคยใช้ปืนที่ใช้ลูกแบลงค์มาก่อน ไม่เคยเข้าฉากแอ็กชั่นที่ต้องต่อสู้กับคนเยอะ ๆ มาก่อน แต่ทางทีมงานเขาก็ส่งไปเวิร์กช้อปคิวบู๊ก่อนที่จะมาเริ่มถ่ายทำจริงนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ที่ได้ร่วมแสดงกับโอบ นิธิ อยากให้เล่าความแตกต่างจากซีรีส์เรื่องแรกกับเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
          เรื่องแรกที่เราร่วมงานกันคือ Spike! เป็นเรื่องของนักกีฬาวอลเลย์บอลที่อยู่ในช่วงมัธยม ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างที่จะใกล้ตัวมาก ๆ เพราะอายุมันก็ยังไม่ค่อยห่างกัน เพิ่งจบจากมัธยมไปแค่ไม่กี่ปี แต่เรื่องนั้นมันก็จะยากตรงที่ว่า เราจะต้องเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลจริง ๆ ซึ่งเราก็มีการได้ไปฝึกซ้อมในการเล่นวอลเลย์บอล เพื่อที่จะเวลาเรามาแสดงจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเราจะเล่นได้หรือไม่ ได้ในพาร์ตของนักกีฬาหรือไม่ เพราะว่าในเรื่อง Spike! จะมีทั้งเรื่องของดราม่า เรื่องกีฬาและเรื่องมิตรภาพของเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พอมาเป็นเรื่องจิตสังหารเนี่ย จะเป็นการเล่าเรื่องมิตรภาพที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้ว มีสิ่งที่จะต้องเดิมพันที่ใหญ่ขึ้น มีสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบมากขึ้น แล้วตอนที่เราเล่นSpike!เนี่ย เรารับบทเป็นรุ่นน้องของพี่โอบ แต่มาเรื่องนี้เราเป็นเพื่อนที่เติบโตมาพร้อมกัน ผ่านประสบการณ์สารทุกข์สุขดิบมาด้วยกัน พี่โอบรับบทเป็นนภัสเขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา เขาก็เป็นเหมือนแบบคนที่คอยช่วยเหลือ คอยซัพพอร์ตเรา


แบงค์นี่อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ตั้งแต่ Hormones Season 2 ใช่ไหม
          ใช่ครับ

จากนักเรียนมัธยมพอต้องมาเริ่มการแสดง ปรับตัวอย่างไร
           ก็ใช้วิธีการปรึกษารุ่นพี่ที่เขามีประสบการณ์ แล้วก็มีการเรียนแอ็กติ้ง ทั้งเรียนเป็นกลุ่ม แล้วก็เวิร์กช้อปและก็มีแบบไปลงเรียนเองด้วยครับ

เท่ากับว่าอยู่วงการมาก็ 7-8 ปี แล้ว
          ประมาณนั้นครับ นานเนอะ 

ถ้ามองย้อนกลับไปดูตัวเอง จากวันนั้นถึงวันนี้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง
            จริง ๆ รู้สึกว่าเราได้เรียนรู้ในสายอาชีพนี้มากขึ้นนะครับ หมายถึงว่าเราได้เรียนรู้เทคนิคในการแสดงมากขึ้น เราได้เข้าใจการแสดงมากขึ้น เรามีโอกาสได้รับบทบาทที่มันหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราปรารถนาหรือว่าเราตั้งใจอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มเข้ามาในวงการนี้ครับ เราอยากจะลองบทบาทหลาย ๆ บทบาท ที่มันทั้งใกล้ตัวเราไกลตัวเรา หรือว่าที่มันชาเลนจ์หรือท้าทายเรา เพราะว่าเราตัดสินใจที่จะเข้ามาอยู่ในอาชีพนี้แล้ว เราก็อยากจะเรียนรู้มันให้ถึงที่สุด


แม้จิตสังหารจะเป็นแอ็กชั่นเรื่องแรก แต่รู้สึกว่าบทบาทที่แบงก์ได้ฉีกบทของตัวเองและทำได้ดีมาก ก็คือตอนที่เล่นเป็นไท ในรักฉุดใจ นายฉุกเฉิน
            เรื่องนั้นสำหรับผมเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของผมแล้ว เท่าที่เคยทำการแสดงมาครับ เพราะมันค่อนข้างที่จะเล่นกับความรู้สึกของเรา แล้วก็ physical ทางร่างกายของเราด้วย ตัวไทเนี่ยเป็นคนที่ประสบอุบัติเหตุและต้องสูญเสียน้องสาวที่รักไป มันเป็นตัวละครที่ค่อนข้างที่จะ lost แล้วก็ไม่มีคนให้พึ่งพาอาศัย ต้องอยู่กับตัวเองคนเดียว ก็เลยทำให้เกิดจิตหลอนขึ้นมา คอยหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่า เรื่องราวทั้งหมดมันยังไม่เกิดขึ้น น้องสาวเรายังอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ ซึ่งตอนนั้นผมค่อนข้างที่จะอินกับตัวละครตัวนี้มาก ๆ จนถึงขั้นว่าสลัดมันไม่ออก 
           ผมแยกไม่ออกว่า อันไหนคือตัวไท อันไหนคือตัวแบงค์ ธิติ เพราะว่าเราลงไป work กับตัวละครค่อนข้างลึกมาก ๆ ทั้งการสร้าง background story ให้กับตัวละคร การเชื่อในสิ่งที่ตัวละครรู้สึกว่าเขาสูญเสียน้องสาวไป แล้วก็การหลอกตัวเองอีกทีหนึ่งว่าเรายังไม่สูญเสียน้องสาว มันก็ทำให้เราอินกับตัวละครตัวนั้นมาก ๆ จนถึงขั้นว่าช่วงนั้นอารมณ์แปรปรวนมากครับ ผมพยายามที่จะอยู่กับตัวเองคนเดียว ไม่ค่อยออกไปสุงสิงหรือว่าเจอกับใครเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วตัวผมเองเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะชอบไปสังสรรค์ไปเจอเพื่อน ๆ

แล้วกว่าจะสลัดออกมาได้นานไหม ปรับตัวนานไหม
            ก็ค่อย ๆ ครับ ใช้เวลาก็เป็นเดือนเหมือนกัน หมายถึงว่าค่อย ๆ เอาตัวละคร เอาความคิดของตัวละครออกไปจากตัวเรา เอาท่าทางอะไรอย่างนี้ออกไปจากตัวเรา มันก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง แต่ว่าโดยปกติแล้วเวลาผมเล่นละครเรื่องไหนผมจะเป็นคนที่คัตตัวละครออกง่ายมาก ๆ แต่กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เราเอาคาแรกเตอร์ตัวละครไปฝึก เราไปฝึกไปทำงานกับตัวละครด้วยตัวเองครับ


ถ้าในอนาคต ถ้ามีผู้กำกับหรือผู้กำกับละครมาเสนอบทแนวนี้อีก แบงก์จะ
            ก็สนใจนะครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นบทที่ท้าทายและสนุกมาก พอเราเชื่อในตัวละครมาก ๆ จนทำให้เราไม่ต้องแคร์ว่าเราจะเล่นถูกหรือว่าเล่นผิด แค่เราเป็นตัวละครนั้นในละครเรื่องนั้น ๆ มันก็ทำให้เราสามารถอิมโพรไวส์หรือว่าทำอะไรก็ได้ในฐานะตัวละครตัวนั้น รู้สึกว่าผมสนุกมากตอนที่ผมเป็นไท

แบงก์เริ่มเล่น Hormones นั่นยังอยู่ ม.ปลาย ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง ขอนแก่นกรุงเทพฯ คิดว่าการที่เราต้องทำงานตั้งแต่เด็ก มันทำให้เราชีวิตวัยรุ่นของเราหายไปไหม
             ไม่หายนะครับ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ค่อนข้างคุ้มเหมือนกัน เพราะว่าเราแบ่งส่วนได้มั้งครับ ในพาร์ตของการทำงาน แล้วก็พาร์ตของการใช้ชีวิต เพราะผมตั้งเป้าหมายของตัวเองว่า เราอยากจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตในทุกช่วงอายุของเราให้เต็มที่ที่สุด พอเรามากรุงเทพฯ เราทำงานด้วย เราก็มีเพื่อนที่อยู่ที่นี่ด้วย เราได้มาเจอวัยรุ่นกรุงเทพฯ ได้มาเจอวิถีชีวิตของวัยรุ่นกรุงเทพฯ ซึ่งก็แตกต่างกับที่ขอนแก่นเหมือนกัน ที่ขอนแก่นเราไม่ได้มีสถานที่เที่ยว อย่างห้างสรรพสินค้า พารากอน สยาม เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว แต่ที่ขอนแก่นก็มีแค่แฟรี่ เซ็นทรัลขอนแก่น หรือว่าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องไปที่เขื่อนอุบลรัตน์เลย เพื่อไปแฮงค์เอาต์กับเพื่อน ๆ ครับ


แบงก์เล่นหนังมา เรื่องแล้ว ซีรีส์ก็อีกมากมาย ระหว่างหนังกับซีรีส์ชอบอะไรมากกว่ากัน
            ชอบหนังครับ ผมชอบทั้งวิธีการถ่ายทำและวิธีการเล่าเรื่องของหนังมากกว่า แต่ผมไม่ได้บอกว่าไหนดีกว่านะครับ แต่ผมแค่ชอบวิธีการแสดงและการเล่าเรื่องแบบหนังมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเรามีเวลาที่จะทำให้คนดูได้เห็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง ใช่ไหมครับ แล้วคนดูก็จะต้อง concentrate กับเราตลอดเวลา สำหรับหนังโรง คนที่จะเข้าไปนั่งเพื่อดูทั้งการสื่อสารของเรา แอ็กติ้งของเรา แล้วก็ตัวเนื้อเรื่องด้วย แต่ว่าละครและซีรีส์เนี่ยมันยังมีเวลา มันก็ดีอีกอย่างหนึ่ง คือมันมีเวลาในการพัฒนาตัวละคร พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป แต่ผมเลือกที่จะชอบหนังมากกว่า เพราะว่ามันค่อนข้างที่จะท้าทายเหมือนกันนะครับ กับการที่เราจะแสดงหนังเรื่องหนึ่ง แล้วมีคนยอมเสียเงินเพื่อเข้าไปดูการแสดงของเรา

เมื่อไรจะได้ดูเรื่องที่ 3
            นั่นสิครับ ผมก็หวังว่าเร็ว ๆ นี้นะครับ เพราะว่าผมก็อยากจะแสดงหนังอีก


อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ตั้งเป้าในอนาคตของเราว่าอย่างไรบ้าง
           คือเรายังอยากหาสิ่งที่เราอยากทำอยู่นะครับ หมายถึงถามว่าอาชีพนักแสดงมันเป็นสิ่งที่เราชอบไหม มันก็เป็นสิ่งที่เราชอบและเป็นสิ่งที่เรารักนะครับ เราเต็มที่กับมันทุกครั้งที่เราได้มีโอกาสทำมัน แต่เราก็รู้สึกว่าอนาคตเราอาจจะมีเวย์อื่นในการที่เราจะชอบด้วย อย่างเช่น ตอนนี้ผมก็เริ่มสนใจในเรื่องของการทำธุรกิจ เรื่องของการดูแลคน อาจเป็นเพราะว่าเราอาจจะเติบโตมากับครอบครัวที่ทำธุรกิจมาก่อน แล้วก็อยู่ในตัวเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะลองไปทำโรงแรม (แมมมอธ รีสอร์ต) ที่บ้านดูให้มันดีขึ้นกว่าที่พ่อแม่เราทำ

สมมุตินะ ถ้าวันนั้นเราไม่ได้ตัดสินใจมาร่วมงานกับ Hormones วันนี้แบงค์จะทำอะไร?
          นั่นน่ะสิครับ ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันนะครับ อาจจะอยู่ front ของโรงแรมคอยต้อนรับแขก แล้วก็ศึกษางาน แล้วก็ลองต่อยอดในอนาคตที่เราจะสามารถช่วยให้ครอบครัวได้ครับ


มีอะไรในวงการบันเทิงที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกบ้าง ทั้งบทบาทการแสดง หรือตำแหน่งอื่นๆ
          จริง ๆ ก็ได้ทำค่อนข้างเยอะแล้วนะครับ แต่ในเรื่องของพาร์ตการแสดง ผมยังมีบทบาทที่ยังอยากเล่นอีกหลายบทบาทเลย ที่อยากเอาตัวละครตัวนั้นมาศึกษา แล้วก็ดีเวลลอปให้เข้ากับตัวเราและถ่ายทอดออกไป เช่น น้ำพุ เล่นเป็นตัวละครชื่อ น้ำพุ หรือเคยคิดเล่น ๆ ว่า เป็นเด็กผู้ชายที่อายุเท่าผมก็ได้ แล้วก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้สมองกลับไปคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กทารกอยู่ แต่ร่างกายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็น่าสนใจดี

อย่างน้ำพุที่สนใจนี่เคยอ่านนิยายต้นฉบับหรือเปล่า
          ผมเคยอ่านหนังสือนอกเวลาเล่มสีชมพู ที่บ้านก็ยังมีอยู่เลย อ่านแล้วรู้สึกชื่นชอบมาก อยากจะศึกษาตัวละครตัวนี้ดูว่า เขารู้สึกอย่างไร ทำไมเขาถึงต้องไปใช้สารเสพติด หรือว่าอยากเข้าไปเรียนรู้ ไปค้นหาว่าเขามีปมอะไรในครอบครัว คนรอบข้างเขา หรือว่าอะไรทำให้เขาเป็นคนแบบนั้น หรือเพราะสังคมหรือเปล่า ที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนแบบนั้น


เคยเอาโปรเจกต์นี้ไปคุยกับผู้ใหญ่บ้างมั้ย
          จริง ๆ เคยคุยกับพี่ย้งนะครับ แต่เขาก็บอกว่ามีคนที่เคยเล่นมาแล้ว

แต่การตีความใหม่ให้มันเข้ากับยุคสมัยมันก็น่าสนใจนะ
           เขาก็บอกเหมือนกันนะครับว่า ถ้าเกิดเป็นเนื้อเรื่องเดิมมันอาจจะไม่ได้ทัชกับคนยุคสมัยนี้แล้ว อาจจะต้องมาดีเวลลอปใหม่ เพื่อที่จะให้เข้ากับยุคสมัยนี้ด้วย

Text by Takeshi West
Source : Photo
          https://www.one31.net/news/detail/46658
          https://www.facebook.com/HormonesTheSeries

]]>
ชายหนุ่มที่ไม่เคยย่ำอยู่กับที่และทำความรู้จักชีวิตอย่างเข้าใจ ของ กระทิง ‘ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์’ https://marshomme.com/interview/531860/ Tue, 11 May 2021 04:00:00 +0000

        นักแสดงหนุ่มของช่อง 3 ที่เพิ่งก้าวขึ้นแท่นพระเอกเป็นหนุ่มร่างสูง 191 เซนติเมตรแฟนละครน่าจะคุ้นหน้าเขาจากละคร ‘นางอาย’ ‘ลิขิตรัก’ ‘หน่วยลับสลับเลิฟ’ ก่อนเขาจะสวมบทพระเอกใน ‘เทพธิดาปลาร้า’ ที่เพิ่งผ่านตากันไป

        ‘กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ เป็นหนุ่มจากเชียงราย ที่มักออกตัวบ่อยครั้งเวลาให้สัมภาษณ์สื่อว่าเขาเป็นเด็กจากต่างจังหวัด


        “ผมว่าเด็กบ้านนอกเข้าใจโลกมาก และเห็นใจคนอื่นเยอะ” เขาบรรยายถึงข้อดีของสิ่งที่เป็น “อีกอย่างผมทนความลำบากได้ ผมรู้สึกว่าผมเคยเจออะไรเหล่านี้มาแล้ว และการที่ผมจะไปอยู่ในจุดที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ผมจะทนได้มากกว่าคนอื่น ผมไม่งอแงครับ”

        แต่ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นคนจากต่างจังหวัด คือนิสัยส่วนตัวของเขา

        “ผมเป็นคนที่ถ้าไม่สนใจอะไรผมจะทิ้งไปเลยครับ คือจะไม่เอาเลย จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น นั่นคือนิสัยแย่ๆ ของผม”

        นอกจากนั้นเขายังยอมรับว่าไม่ใช่คนเซนสิทีฟ ถึงขนาดไม่ละเอียดอ่อน

        “แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนหรือครอบครัว อะไรที่ผมรู้สึกว่าทัชกับคนที่ผมสนิทมากๆ ผมจะอ่อนไหวกับความรู้สึกอะไรง่ายๆ แต่ไม่ได้จุกจิกนะครับ ถ้าเกิดมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมจะเซนสิทีฟกับครอบครัวและเพื่อนผมมาก”

        กระทิงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพด้วยทุนนักกีฬา และเขาคงจะกลายเป็นนักบาสเกตบอลของสโมสรที่ไหนสักแห่ง ที่ขะมักเขม้นกับการฝึกซ้อมเพื่อลงสนามแข่ง หากว่าเขาไม่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเข้าสู่วงการบันเทิงเสียก่อน


นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว กระทิงยังทำอะไรอีกบ้าง
        ก็มีถ่ายแฟชั่น และเดินแบบครับ และทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย ชื่อแบรนด์ UncleMich ติดตามกันได้ใน IG @unclemich_bkk

ชื่อแบรนด์ได้มาจากไหน
        ชื่อมาจากนักบาสฯ ครับ ไมเคิล จอร์แดน ก็เป็นลุงจอร์แดน คือแบรนด์ของผม ผมตั้งใจจะทำเป็นแฟชั่นวินเทจ สไตล์การแต่งตัวของนักบาสฯ ยุค 1990s ผมก็มี reference เป็นไมเคิล จอร์แดนครับ ที่เวลาเขาใส่ชุดออกงานเป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวโคร่งๆ หน่อย ก็จะเป็นแนวนั้นหมดเลย

        แต่เราก็จะเอามาทำเป็นแนวเรโทรผสมกับวินเทจด้วย ให้มันเข้ากับยุคสมัยกับคนที่ใส่เสื้อ อย่างเสื้อก็ over size เลย กางเกงก็ทรงกระบอก ทรงลุง

จุดเด่นคืออะไร
        เราจะรวมทุกอย่างที่เป็นแฟชั่นของนักกีฬาสมัยก่อน ทั้งนักบาสฯ และนักฟุตบอล สไตล์ของคนที่แต่งตัวสมัยนั้นแล้วดูเท่ และสมัยนี้ยังแต่งได้อยู่ เราก็เอามาประยุกต์ ก็คือใช้แพตเทิร์นเสื้อผ้าแบบนั้น แต่ว่าลายเราอาจจะปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบของเราเองครับ


ไมเคิล จอร์แดนเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นบาสเกตบอลของกระทิงใช่ไหม
        ครับ เขาเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักครั้งแรก สมัยก่อนผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้ดูยูทูบหรืออะไร ผมรู้จักคนแรกก็จอร์แดน ตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นด้วย

จดจำสไตล์การเล่นของเขามาใช้กับตัวเองด้วยไหม
        ผมจำความคิดของเขามากกว่า เขาเป็นคนที่มีความคิดแปลก แต่มันก็ทำให้เขาไปถึงจุดที่เขาไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ยอมแพ้ เป็นคนที่ต้องการจะชนะมากๆ เขาเกลียดการแพ้ เวลาเขาซ้อมเล่นในทีมเขาจะจริงจังมาก และเพื่อนมักจะโดนเขาด่าตลอด เพราะเขาเป็นคนที่เล่นแล้วอยากชนะ เขาไม่อยากแพ้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน และไม่สนวิธีการ

พอไม่ได้เป็นนักบาสฯ แล้ว กระทิงเลิกเล่นบาสฯ ไปเลยหรือเปล่า
        ก็ไม่ถึงกับเลิกครับ ผมก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า ไม่ได้จริงจังเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องไปซ้อมทุกวัน ต้องดูแลรักษาร่างกาย หรือต้องไปแข่งทัวร์นาเมนต์ เดี๋ยวนี้ผมจะเล่นแบบ…เช่าสนามเล่นกันกับเพื่อน อาทิตย์ละสามวัน ไปออกกำลังกาย ไปรีแลกซ์เสียมากกว่า ไม่ได้ทิ้ง คือว่างก็จะไปเล่นบาสฯ เพราะผมรู้สึกว่าเวลาเล่นบาสมันเป็นอะไรที่ผมรีแลกซ์ตัวเอง เวลาทำงานบางทีเราอาจจะคิดเยอะ พอไปเล่นกีฬาหรือทำสิ่งที่เราชอบ มันรู้สึกว่าหัวผมโล่งขึ้น พร้อมที่จะกลับไปทำงานใหม่


ตอนผละออกมา กระทิงก้าวไปถึงจุดไหนของการเล่นบาสฯ แล้ว
        ผมเคยเล่นสโมสรของไทยแลนด์ ลีกครับ แต่ทีมโรงเรียนของผมเป็นสังกัดไฮเทค (Hitech Basketball Club) ก็เล่นได้สักพักหนึ่ง ประมาณสองปี แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยผมก็มาทำงานในวงการ

        ละครเรื่องแรกที่ผมเล่นเป็นนักแสดงรับเชิญจะคาบเกี่ยวช่วง ม.หกกับมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนนั้นใกล้จะจบและทัวร์นาเมนต์บาสฯ แข่งเสร็จแล้ว งานก็เข้ามาพอดี ผมก็เข้าเวิร์กช็อป ไปเรียนจนเข้ากองถ่าย และพอถ่ายไปได้สักพักหนึ่งผมก็เข้าปีหนึ่ง ก่อนเปิดเทอมปีหนึ่งผมก็ถ่ายละครเสร็จพอดี

        แต่ช่วงแรกๆ ผมยังสับสนอยู่ว่าจะมุ่งไปทางไหนดี จะไปทางบาสฯ ไปทางการแสดง หรือจะตั้งใจเรียนดี ผมเอาสามอย่างไงครับ ช่วงนั้นเลยวุ่นๆ แต่ผมต้องหนักไปทางทุนนักกีฬา เพราะว่าผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยทุนนักกีฬา ก็คือเล่นกีฬามหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ก็คือต้องซ้อมทุกวัน

กระทิงเลือกเรียนด้านการตลาด แล้วมันไปกันได้กับกีฬาหรือเปล่า
        ผมว่ามันใช้ได้นะครับ คือตอนแรกผมก็คิด หรือว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ดี แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเรียนนิเทศฯ ผมก็จะไม่ได้อย่างอื่นเลย เพราะงานที่เราทำ เราก็สามารถเรียนนิเทศฯ ได้โดยประสบการณ์ ผมเลยอยากเรียนการตลาดเพิ่มดีกว่า เผื่อผมจะเอาไปใช้ทำโน่นนี่ ต่อยอดกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เป็น second job ของตัวเอง

เข้ามาอยู่ในวงการห้าปีแล้ว ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
        ก็เยอะครับ ตอนแรกที่ผมเข้ามา ผมยังขี้อายอยู่เลย ผมไม่กล้ามองหน้าคนอื่น ยิ่งเป็นผู้หญิงผมยิ่งไม่กล้ามองหน้า เพราะผมอยู่กับผู้ชายเยอะ พอเริ่มข้ามกำแพงตัวเอง ความขี้อายของเรา…มันไม่ได้หายไปเลย แต่จะอายในเรื่องที่ควรอายมากกว่า คือปกติกับคนที่ไม่สนิทผมจะไม่ยุ่งเลย ผมจะอยู่แต่กับเพื่อน และเวลาอยู่กับเพื่อนก็เฮฮา แต่พออยู่กับคนอื่นผมก็จะเขินขึ้นมาทันที


ตอนนี้กระทิงได้บทพระเอกแล้วใช่ไหม
        ก็ได้มาสักพักหนึ่งแล้วครับ

มีเรื่องไหนบ้าง
        ที่ออนแอร์ไปแล้วที่ผ่านมาก็มี ‘เทพธิดาปลาร้า’ และที่ถ่ายทำอยู่มี ‘แค้นรักสลับชะตา’

กระทิงมีวิธีจำบทอย่างไร
        ความเข้าใจครับ ผมว่าผมต้องอ่านให้เข้าใจ ถ้าจำเป็นไดอะล็อกเลยผมว่าผมจะสับสน ผมจะจำเอาว่า ผมจะพูดกับคนนี้ผมจะพูดอะไรกับเขา ใช้ความเข้าใจว่าเรากำลังคุยกันอยู่ ผมต้องการอะไร เขาเป็นใครสำหรับผม และถ้าผมได้ยินคำที่เขาถามขึ้นมา มันเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า เราต้องการสิ่งนี้จากเขาเราก็จะพูดออกมาได้ ยิ่งบทยาวๆ เรายิ่งต้องทำความเข้าใจ สำหรับผมนะครับ

ที่ผ่านมาบทยาวที่สุดกี่หน้า
        โห…ผมเคยโดนเรื่อง ‘พราวมุก’ ประมาณสอง-สามหน้า แต่ไม่ได้พูดทีเดียวสอง-สามหน้านะครับ ก็พูดหลายบรรทัดอยู่ เป็นซีนที่ผมด่าเขา สอนเขาด้วยเหตุผลด้วยว่า เออ…ทำแบบนี้มันไม่ถูก ทำแล้วรู้หรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุผลคืออย่างนี้ๆๆ ที่เราไม่อยากให้ทำ แล้วเขาก็เถียงมา เราก็มีเหตุผลต่อ ประมาณสอง-สามหน้า อันนั้นรู้สึกว่ายากที่สุด

ผ่านมาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเชี่ยวขึ้นไหม
        ก็เชี่ยวขึ้นนะครับ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองยังไม่เก่ง ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ


ขอถามเรื่องกระปุก (พัชรา ทับทอง) ยังคบหากันอยู่ใช่ไหม
        ครับ

พอเปิดตัวแฟนแล้ว กระทิงก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นคู่จิ้นกับดาราคนไหนได้ ถูกไหม
        (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ สำหรับผมมองว่างานก็เป็นงาน ชีวิตส่วนตัวก็เป็นชีวิตส่วนตัว ผมมองว่าอยากให้เขาเสพงานเรามากกว่า เพราะผมก็ชอบมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน แต่ผมไม่ซีเรียสเรื่องที่ว่าจะมีคู่จิ้นหรือไม่มีนะ ผมเข้าใจในงาน และเข้าใจตัวเองด้วย

แต่ถ้ามีคู่จิ้น มันจะกลายเป็นกระแสมากกว่าไหม
        ครับ ผมก็เคยคิดนะครับ คือถ้ามันจะจิ้น อาจจะจิ้นด้วยงาน เคมีเข้ากัน อย่างไรมันก็จิ้นละครับ ถ้างานของเรากับเขาเคมีมันดีต่อกัน มันก็โอเค

ตอนนี้กระทิงเข้าขากับนักแสดงหญิงคนไหนบ้าง แบบที่เคมีตรงกัน
        เข้าขากับใครบ้างงี้เหรอ (หัวเราะ) ผมก็เล่นมาไม่เยอะ ที่ซ้ำก็มีบัว-นลินทิพย์ (สกุลอ่องอำไพ) เคยเล่นด้วยกันมาสองเรื่อง ผมรู้สึกว่าเคมีบัวตรงกับผม แบบว่า…รู้สึกว่าเป็นคนที่เวลาเราอยู่ด้วยแล้วโอเค สบายใจ ทำงานด้วยได้ลื่น ปกติผมจะติดเกรงใจนิดหนึ่ง แต่นี่เราสนิทกัน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาทำงานกับบัวแล้วลื่นไหล


ชอบโมเมนต์ไหนเวลาอยู่ด้วยกัน
        ผมชอบโมเมนต์ที่เทคแคร์ เพราะว่าเขาจะเทคแคร์เรา ตรงนี้ผมแฮปปี้ คือผมเป็นคนที่เลือกซื้อของไม่เป็น อย่างเสื้อผ้าเราเลือกเองได้ แต่เรื่องครีม เรื่องสิว ผมแพ้ยาสระผมงี้ มันต้องใช้อะไรวะ แต่แฟนผมจะรู้ว่าผมแพ้ง่าย ผิวจะเป็นอย่างนี้ ผมใช้ครีมนี้ถูกกับหน้าผม เขาจะจัดการให้ทุกอย่าง หรือครีมอาบน้ำก็จะซื้อให้ทั้งเซ็ตเลย เหมือนแม่ผม แม่ก็ทำอย่างนี้ เพราะผมแพ้ง่าย แล้วพอผมคบกับเขา เขาก็จะดูแลผมอย่างนี้ มันเป็นการเทคแคร์ แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้ว

เคยคุยกันถึงเรื่องอนาคตของความสัมพันธ์ไหม
        ไม่ครับ ไม่เคยคุยกันเลยเรื่องอนาคต ผมรู้สึกว่าอะไรที่มันดีอยู่แล้ว หรือเป็นไปได้ดี ไปต่อไปลื่นไหล ผมว่าไม่อยากคาดหวังดีกว่า ถ้าคนเราไปกันได้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มันไปของมันได้เรื่อยๆ เราก็จะไม่เบื่อด้วย ไม่ต้องมานั่งคิดว่า เฮ้ย…ตั้งใจเป้าอยากให้คุณเป็นอย่างนี้ หรือคาดหวังว่าอีกห้าเดือนอยากให้เป็นอย่างนี้ ผมว่ามันจะแย่ลง สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอะไรที่เข้ากันได้มันจะไหลต่อไปได้เรื่อยๆ ปล่อยมัน flow ไป

ดูไม่เลื่อนลอยไปเหรอ
        ไม่เลื่อนลอยครับ ไม่ได้คบกันแบบเรื่อยๆ แต่คือ ผมรู้สึกว่ามันไปได้อยู่แล้ว ผมเลยไม่อยากคิดมาก ผมว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ถ้ามันใช่ มันก็คือใช่ของมันเลย ผมไม่ใช่ประเภทนักวางแผน ผมชอบอารมณ์ที่แบบ…อะไรที่ไม่คาดหวัง มันจะมีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น มันเป็นโมเมนต์แฮปปี้มากกว่า

มีเรื่องขัดแย้งกันบ้างหรือเปล่า
        ก็มีครับ เป็นปกติ ทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องผมไม่ค่อยละเอียดอ่อนในเรื่องความรู้สึก ก็จะแบบลืมตอบไลน์บ้าง คือผมเป็นคนขี้เกียจอ่านไลน์ แต่จะชอบลื่นดู IG ดู Pinterest ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยตอบใคร แต่เห็นว่าเขาไลน์มาแล้ว เราก็ว่าเดี๋ยวจะตอบแล้ว แต่บางทีผมลืมไง (หัวเราะ) ผมจะเป็นอย่างนี้บ่อยมาก แล้วเขาก็จะมางอนบ้าง น้อยใจว่าเราไม่สนใจ

แต่หายเร็ว
        หายเร็วครับ คือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ในส่วนของเขาที่เราไม่ชอบล่ะ
        ไม่มีนะครับ คือผมรู้สึกว่าผมแฟร์ ถ้าคบกันผมก็โอเค ผมให้สเปซเขา ให้เขาได้เจอเพื่อน เจอใครผมก็ไม่ได้ว่า ผมให้ความเชื่อใจเขา เขาให้ความเชื่อใจผม เราแลกกันแฟร์ๆ คือทุกคนมีชีวิตของตัวเองอยู่แล้วครับ แต่ว่าเราให้ความเชื่อใจเขา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอย่างไรกับมัน ผมคิดอย่างนี้มากกว่า แฟร์ๆ ไปเลย


ครอบครัวของกระทิงยังอยู่ที่เชียงรายใช่ไหม
        ใช่ครับ ยกเว้นพี่ชาย ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย มาเรียนเป็นเทรนเนอร์

มีโอกาสกลับไปบ้านบ้างหรือเปล่า
        ผมกลับไปบ้างครับ แต่ว่าช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้กลับไป ประมาณปีหนึ่งกลับไปสอง-สามครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่แม่ก็จะมาหา เหมือนเราสลับกัน อย่างบางช่วงผมไม่ว่าง แม่ก็จะมาดูบ้าน มาเช็ดทำความสะอาดให้ สาม-สี่เดือนมาครั้ง

มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเชียงรายไหม
        เยอะมากครับ เวลากลับไปบ้านบางทีผมจะมีฟีลแบบ…ไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลย ที่นั่นรถก็ไม่ติด มันเป็นอะไรที่คุ้นเคย สบาย ชิลล์ เพื่อนก็อยู่ที่นั่น แล้วไปไหนมาไหนก็สะดวก ตื่นมาก็มีข้าวกิน ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ ผมอยู่คนเดียว ตื่นมา เฮ้ย…กินอะไรดี บางทีต้องไปหากิน แต่บางทีก็เบื่อไปกินร้านเดิม แต่ข้าวแม่ผมกินได้เรื่อยๆ แม่ทำอะไรมาผมก็กิน เป็นอะไรที่สบายมาก เวลาอยู่กับพ่อแม่ทุกอย่างในตู้เย็นมีให้กินหมด ไม่ต้องออกไปหา ถึงเวลาแม่ก็เรียกกินข้าว หรือผมออกไปหาเพื่อนข้างนอก เที่ยงก็กลับมากิน แทบไม่ต้องใช้เงินดีกว่า แล้วอยู่ที่นั่นบางทีผมไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ขออีกสักแป๊บแล้วกัน

เมนูของแม่ ชอบอะไรมากที่สุด
        ผัดกะเพรา แม่ทำผัดกะเพราอร่อยมาก

ไม่เหนือเลยนี่
        (หัวเราะ) อาหารเหนือก็มี ที่แม่ทำอร่อยเขาเรียกแกงอบไก่ น้ำจะคล้ายแกงเผ็ด แต่มันจะเป็นน้ำที่มีพริกเหลืองๆ อร่อยมาก ตอนแรกเอาไก่ไปอบเบาๆ ก่อน แล้วเอามาต้มต่อ มันจะเปื่อยมาก อร่อยมาก แล้วก็น้ำพริกหนุ่ม


มีสถานที่แนะนำในเชียงรายบ้างไหม
        ผมชอบร้าน ‘ชีวิตธรรมดา’ มันจะเป็นคาเฟ่ อยู่ติดแม่น้ำกก ฟีลคล้ายสวนหน่อย ข้างๆ จะมีโต๊ะให้นั่งริมแม่น้ำ มีโซฟาคล้ายๆ บอลลูนที่เวลานั่งแล้วมันจะยวบลงไป ผมชอบไปนั่งที่นั่น วิวดีมาก ยิ่งเราไปนั่งกินตอนเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก โอเคเลย

        นอกนั้นก็จะมีดอยช้าง ภูชี้ฟ้า นั่นก็จะเป็นแนวธรรมชาติ หน้าหนาวเวลาผมกลับบ้านผมก็จะไปกับเพื่อน อาบน้ำกันตั้งแต่ข้างล่างหกโมง-ทุ่มหนึ่ง เพราะเราจะไม่อาบข้างบน หนาวมาก อาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปทำอาหารกินกัน ตั้งแคมป์ แล้วนอน ตื่นเช้าก็ลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าหน้าหนาวผมแนะนำให้ขึ้นดอยครับ


กระทิงมองอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองอย่างไร
        ที่ผมมอง ที่คาดหวังไว้ ผมคิดว่าผมก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะไม่ได้ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ก็ตั้งใจว่าผมจะทำเต็มที่ ผมจะเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้ จะเล่นให้สมบทบาท แบบว่าเวลาไปที่ไหนมีคนเรียกเราเป็นชื่อตัวละครตัวนั้น นั่นจะเป็นอะไรที่ผมแฮปปี้

        ผมอยากให้ผมโตขึ้นแล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เล่นได้หลายบทบาท และเข้าถึงบทบาทให้ได้ ก่อนที่ผมจะจบอาชีพนักแสดง แต่จนกว่าผมจะจบผมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะจบเมื่อไหร่

        ผมคิดว่าผมโชคดีนะครับที่ได้มาทำงานตรงนี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็รู้สึกว่า อีกวันมาเราก็มีแรงตื่นไปทำงาน เพราะใจเราอยู่กับมัน ผมรักงานนี้


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
BOYS NEXT DOOR ทำความรู้จัก 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 https://marshomme.com/aboy/531460/ Tue, 29 Sep 2020 09:53:00 +0000

เซอร์ไพรส์พอสมควรที่ตำนานซิตคอมในยุค 90s อย่าง 3 หนุ่ม 3 มุม ถูกนำมาตีความใหม่ใน พ.ศ.นี้ ทิ้งเวลาไปกว่า 20 ปี ที่เลือกใช้คำว่า ‘ตีความใหม่’ เพราะไม่ใช่การรีเมกสร้างใหม่นักแสดงชุดเดิม กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และมอส-ปฏิภาณ ปฐวิกานต์ ยังคงพร้อมหน้าเพิ่มเติมคือความแก่ของทั้งสามหนุ่มที่กลายเป็นรุ่นพ่อ และส่วนที่เพิ่มเติมมาคือลูกชายหน้าตาหล่อเหลาทั้งสามคน บี-เสถียรพงษ์ ชมภูพลอย, ปีโป้-ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์ และซี-ปรัตถกร คัยนันทน์

3 หนุ่ม 3 มุม x 2 จึงกลายเป็นส่วนผสมของ 2 เจเนอเรชั่นที่น่าสนใจระหว่าง Gen X และ Gen Z ซึ่งตรงกับบริบทปัจจุบัน ที่ช่องว่างระหว่างเจนบวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย เข้ามามีบทบาททำให้วิถีชีวิตวิธีคิดของคนต่างวัยมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว มาทำความรู้จักกับรุ่นลูก บี, ปีโป้ และซี แล้วไล่ชม 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ย้อนหลังให้จุใจ


Q : แนะนำตัวกันหน่อย

บี : สวัสดีครับ ผม ‘บี-เสถียรพงษ์ ชมภูพลอย’ ครับ ลูกพ่อเอกพลครับ แสดงเป็นหนึ่งครับผม

ปีโป้ : สวัสดีครับผม ‘ปีโป้-ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์’ รับบทเป็นเฟิร์ส หรือว่าลูกของพ่อทศพลครับ

ซี : สวัสดีครับผม ‘ซี-ปรัตถกร คัยนันทน์’ ครับ รับบทเป็นอูโน่ลูกพ่อพีรพลครับผม

Q : ปีนี้อายุเท่าไรกันแล้ว

ซี : โป้กับบีเท่ากันครับ 21 ส่วน ผม 19 ปีครับ

Q : เคยคุยกับพ่อหรือแม่ หรือพี่ป้าน้าอาหรือไม่ว่าป้าๆ แม่ๆ เคยดูซิตคอมเรื่องนี้ไหม 

ปีโป้ : เคยดูอยู่แล้วครับ อย่างบ้านโป้ครับ พี่สาวคนโตสุดหรือว่าคนที่ 2 ก็เคยดูอยู่แล้ว เขาจะพูดบ่อย แล้วเราก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จนติดหู ประมาณว่าแค่เดินกับเพื่อน 3 คน หรือว่าอยู่ด้วยกัน 3 คน คุณครูหรือผู้ใหญ่ก็จะว่าเอ๊ย 3 หนุ่ม 3 มุม หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ครับ นั่นคือสิ่งที่ได้ยินมา 

บี : 3 หนุ่ม 3 มุม คือติดหูมาตั้งแต่เด็กแล้ว โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือซิตคอม เพิ่งมารู้ตอนที่จะได้มาแคสต์น่ะครับว่าคือซิตคอม 

ซี : ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ได้มาแคสต์ครับ แล้วก็กลับไปถามแม่ว่ารู้จักหรือเปล่า เขาก็ร้อง อ๋อ ทันทีเลย


Q : กดดันไหมว่า ตอนที่เรารู้ว่าเราจะต้องมาเล่นเป็นลูกของพี่ทั้ง 3 คน พี่กบ พี่แท่ง พี่มอส

ซี : แรกๆ โอ้โฮ เจอครั้งแรกนี่ทรุดเลย

ปีโป้ : วันแรกก็เครียดเหมือนกัน เพราะว่าอย่างตัวพี่แท่งครับ จะเป็นคนค่อนข้าง open mindset ไม่ค่อยมีกำแพง แต่ว่าเราก็เกรงใจเขาแหละ เพราะเขาผู้ใหญ่มากๆ อาจจะรู้สึกว่าเราจะได้เล่นกับตำนานทั้ง 3 ท่านได้เหรอ อะไรอย่างนี้ แล้วก็กดดันตัวเอง

บี : กดดันมากครับ เพราะว่าเป็นผลงานชิ้นแรกของผมในวงการบันเทิงครับ แล้วก็ได้เล่นเป็นลูกพี่กบ แล้วยิ่งพี่กบเป็นคนขรึม เวลาเขาทำอะไร เขาจะชอบอยู่คนเดียวกับตัวเอง ผมก็เลยกลัว เวลาเข้าบทกับเขานี่กลัวมาก แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มโอเคแล้ว

ซี : ผมก็กดดันมากๆ เพราะว่าเป็นเรื่องแรกเหมือนกันครับผม แล้วก็ตอนที่เจอพี่มอสครั้งแรก พี่มอสก็เดินเข้ามาเลย เราก็ตกใจแล้ว ตอนแรกเรากดดันอยู่ แล้วพี่มอสก็ดึงไปกอด เราก็ผ่อนคลายขึ้น รู้สึกเป็นกันเอง จากที่เครียดๆ ก็ค่อยๆ หายไป

Q : ย้อนกลับไปคำถามแรกที่บอกว่ากดดัน ที่เคยคุยกับพี่น้องหรือญาติว่า 3 หนุ่ม 3 มุม ในอดีตเป็นอย่างไร ตอนนั้นรู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นซิตคอมที่ดังมากในยุค 90

ปีโป้ : เป็นซีรีส์ที่ดังมาก เพราะว่าใครๆ ก็พูดถึงเนาะ แต่คือเราอาจจะเกิดไม่ทัน แบบไม่ทันแล้วนิดหนึ่ง อีกนิดเดียว อาจจะเหลื่อมๆ กับของเรา ของซีก็ไม่น่าจะทันหมดเลย ไกลเลย

ซี : ใช่ ผมก็ไม่รู้ว่ามันดังมากขนาดไหนครับ แต่พอได้มาคุยกับใครหลายๆ คน เขาบอกเฮ้ยมีคอนเสิร์ตด้วยนะเว้ย มันไม่ใช่เล่นๆ นะมีคอนเสิร์ตในยุคนั้น


ปีโป้ : แล้วความกดดันเราก็เพิ่มขึ้นนะ เพราะว่าเรารู้สึกว่าแต่ก่อนซิตคอมนี้เรื่องนี้ดีมากๆ คนรักคนปลื้มมากๆ พอเราต้องแสดง เรากลัวว่าเราจะทำภาพลักษณ์เก่าๆ เสีย เรายิ่งกดดันตัวเองว่าเราต้องทำออกมาให้ดีนะ ห้ามทำให้ภาพลักษณ์มันดูแย่นะ

ซี : ใช่ครับ

Q : ตัวจริงกับคาแรกเตอร์ในเรื่องเป็นอย่างไร

ปีโป้ : ไม่ได้แตกต่างกันมากเลย เหมือนกับเบลนด์ๆ กัน เหมือนกับมีเส้นบางๆ กั้นอยู่นิดเดียวเอง

Q : สามคนนี้จะมีปีโป้ที่อยู่วงการมาก่อนใช่ไหม เข้ามาตั้งแต่ฮอร์โมน อีก 2 คน เข้ามาจากโครงการอะไร

บี : The Next One ครับ

Q : เล่าให้ฟังหน่อย ตอนนั้นไปประกวด The Next One ได้อย่างไร

ซี : ไปประกวดได้อย่างไรใช่ไหมครับ ตอนนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญครับ คือตอนไปเดินเล่นในห้างพอดีแล้วพี่ๆ เขาเรียกเข้าไป เขาแบบยื่นบัตรให้ ลองมาแคสต์ดู แต่ถามแม่ก่อนนะ แม่บอกไปเลยลูก แม่อยากให้เราไป เลยเข้าไปที่ Central World ครับ


บี : ของผมมีรุ่นพี่ครับ เป็นเจ้าของคลินิกศัลยกรรมที่เชียงใหม่ เขาบอกว่าเฮ้ยบีลองไปดูไหม ได้พี่เดี๋ยวลองไปดู เลยลองไปที่ Central Festival ที่เชียงใหม่

Q : ตอนที่รู้ว่ามาถึง 8 คนสุดท้ายความรู้สึกจากวันแรกมาจนถึงวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

บี : ภูมิใจในตัวเองนะครับ เหนื่อยมาก โดนกดดันมาก แล้วผมอยู่เชียงใหม่นะครับ ต้องไปมากรุงเทพฯ ตลอด ผมคิดว่ามันคุ้มนะสำหรับผม มันคุ้มกับความเหนื่อย ต้องแลกกับการไปๆ มาๆ

Q : กับพี่กบ พี่แท่ง พี่มอส เราสร้างความคุ้นเคยกันนานไหม

ปีโป้ : ไม่นะ เพราะว่าเขา อย่างที่บอกว่าเขาแบบไม่ค่อยมีกำแพงกับพวกเราเลยอะไร เพราะว่าด้วยความเป็นพ่อด้วย เขาเอ็นดูเรามากๆเลยค่อนข้างไม่ค่อยใช้เวลานานมาก

บี : ใช่ เพราะว่าอยู่กอง เราพยายามเข้าหาพวกเขา ถามพวกเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อความสนุกเวลาเข้าฉากครับ


Q : เคยถามพี่กบ พี่แท่ง พี่มอส ไหมว่า บรรยากาศการถ่ายทำ 3 หนุ่ม 3 มุม ยุคนั้นกับปีนี้ต่างกันอย่างไร 

ปีโป้ : พี่แท่งเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนะยังไม่มีมือถือ จะต้องมาที่กองตามเวลา แต่ก่อนทุกคนจะมารวมตัวกันตอนตีห้าครึ่งหกโมง แล้วจะถ่ายอยู่ตรงนั้นยาวๆ นอนตรงนั้น อยู่ด้วยกันตรงนั้น

บี : พี่กบบอกว่ายุคนี้สบาย อยู่ที่เดียว ห้องเย็นติดแอร์ เมื่อก่อนคือต้องถ่ายแบบไปนู่นไปนี่บ้างอะไรอย่างนี้ ไม่มีอะไรติดต่อ ถนนหนทางก็ไปลำบาก

ซี : ตอนนั้นพี่มอสเล่าให้ฟัง ตอนที่พี่มอสติดเรียน พี่มอสเขาจะถ่าย แล้วทุกคนต้องรอพี่มอสคนเดียว ทุกคนต้องรอพี่มอสเรียนเสร็จ

Q : ความสัมพันธ์ของลูกกับพ่อในซิตคอม 

ปีโป้ : คืออย่างโป้กับพี่แท่งนะ เหมือนมีแบบมีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างตรงกันเยอะมากๆ อย่างโป้ไปกินข้าว โป้ก็นั่งกินข้าวปกติของโป้ แต่พอกำลังจะกลับแล้ว เพิ่งมาเจอ อ้าว พ่ออยู่ร้านเดียวกัน คือไลฟ์สไตล์จะค่อนข้างใกล้เคียงกัน อย่างเตะบอล กินข้าวที่ไหนอะไรอย่างนี้ ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างตรงกันเยอะครับ 

บี : ของผมอาจจะมีระยะกันนิดหน่อยสำหรับพี่กบ เพราะว่าพี่กบเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก เลยจะต้องสร้างความคุ้นเคยกัน เวลาผมไหว้เขาผมจะเข้าขอไปกอด มากอดเลย ไม่เป็นไร ค่อยๆ สร้าง


ปีโป้ : อย่างที่บอกว่าพี่กบเป็นคนที่ชอบนั่งคนเดียวอยู่ในกอง บีก็เป็นครับ ค่อนข้างมีระยะห่าง

ซี : กับพี่มอสเหมือนกันไหม เหมือนนะ คือแบบพี่มอสเขาจะมีความเป็นพ่อไปแล้วใช่ไหมครับ แล้วจะมีความตลกเฮฮา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าต้องให้คนอื่นบอกว่าเหมือนหรือเปล่า คือเขาจะมีความเป็นเหมือน เป็นทั้งพี่ เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งครู คอยพูดให้เฮฮาตลอดเวลาคอย สร้างสีสันตลอดเวลา

Q : ได้ถามพ่อแม่ที่บ้านไหมว่าหลังจากที่เขาดูผลงานของเราไปแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ปีโป้ : จริงๆ ป่าป๊าชอบนะ หม่าม้าชอบมากครับ หม่าม้าดีใจที่ได้เข้าไปจอยใน Project ใหญ่ครับ 

บี : พ่อแม่ดีใจครับ เพราะว่าไปไหนก็มีคนทักพ่อทักแม่ว่าเห็นลูกไปเล่น 3 หนุ่ม 3 มุม x 2

ซี : แม่ไม่ได้บอกเลยว่าชอบ แต่ว่าทุกคืนเวลาผมเดินไปอาบน้ำ ห้องแม่กับห้องผมติดกันครับ ติดห้องน้ำ ก็จะมีเสียง 3 หนุ่ม 3 มุมตลอด คืนนี้เปิดอีกแล้วเหรอ ถ้าเป็นพ่อจะไม่ได้เปิดขนาดนั้น แต่แชร์บ้าง แต่ส่วนย่าบอกทั้งอำเภอที่ฉะเชิงเทรา เขาคงรู้จักผม คือย่าโปรโมตเก่งมาก

Q : ตอนนี้เรียนอะไรกันอยู่

ปีโป้ : ของโป้เรียน Communication Arts ครับ อยู่ที่ ม.กรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล คอลเลจ ครับ 

บี : ผมเรียนครูพละ ราชภัฏเชียงใหม่ครับ 

ซี : ผมเรียน Broadcasting ม.กรุงเทพครับ เพิ่งเข้าปี 1 เลยครับ สดๆ ร้อนๆ


Q : มองอนาคตในวงการบันเทิงไว้อย่างไรบ้าง

ปีโป้ : โป้มองว่าทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าตอนนี้มันมีคนเข้ามาใหม่ๆ เยอะมาก แล้วคนเก่าๆ ต้องพัฒนาให้ตัวเองแข็งแรง แล้วเตรียมพร้อมกับการพัฒนามากขึ้น เช่นว่าตอนนี้อยากเรียนร้องเพลง อยากลองเล่นหนังสัก 1 เรื่อง หรือว่าอยากเล่นละครเวทีสักรอบหนึ่งครับ 

บี : ผมคิดว่าอยากทำงานชิ้นนี้ให้ดีก่อน แล้วให้มันดีเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมไม่รู้ว่าข้างหน้ามันจะมีโอกาสแบบนี้ให้ผมไหม คงต้องทำตรงนี้ให้ดีก่อน 

ซี : ผมอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ อยากเก่งหลายๆ ด้าน อยากพร้อมที่จะเผชิญกับหลายๆ อย่าง แล้วให้ตัวเองรู้สึกว่าตรงนี้เราเริ่มแข็งแรงแล้ว เราเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วอยากจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ

Q : ประเมินผลงานชิ้นแรกของตัวเองอย่างไรบ้างเต็ม 10 ให้กี่คะแนนดี

ซี : ผมให้ตัวเองประมาณ 7 ครับแต่บางจุดที่เรายังไม่พอใจก็อยู่ในระดับ 3 คะแนน

บี : ผมให้ 3 เพราะว่าผมคิดว่าผมอยากพัฒนาตัวเองให้มันเก่งกว่านี้ ให้มันทำได้ดีกว่านี้ อันนี้ยังมือใหม่ ครั้งแรกผมพยายาม เหมือนแบบไม่ต้องให้ผู้กำกับบอก ไม่ต้องให้ผู้กำกับไกด์ ผมอยากเป็นแบบนั้น


ปีโป้ : ประมาณ 6.5 ครับ เพราะรู้สึกว่ามันมีทั้งวันที่เราเอนเนอร์จีมาเต็ม แล้วก็วันที่เราเอนเนอร์จีมาไม่เต็ม รู้สึกว่าบางซีนที่มันถ่ายไปแล้วรู้สึกว่าเราเสียดาย เราคิดว่าเราจะทำให้ดีที่สุด แต่เอนเนอร์จีเราไม่ไหวแล้วจริงๆ เราถ่ายกันแบบยันเที่ยงคืน แล้วโป้ลากยาวหมดเลย คือเอนเนอร์จีจะดรอปหน่อยครับ ถามว่าชอบไหม ชื่นชอบนะ ซีนที่เอนเนอร์จีเยอะ เอนเนอร์จีแบบแรกๆ มาเต็ม รู้สึกว่าเราทำเต็มที่แล้ว แล้วดีด้วย แต่พอเอนเนอร์จีมันดรอปไปก็รู้สึกว่าแบบมันไม่ดีเท่าแรกๆ ที่เอนเนอร์จีเหลือ

Q : ปีโป้อยู่วงการมาก่อนน่าจะรับมือกับแฟนคลับได้ดี สองคนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องแฟนคลับเริ่มมีมาบ้างหรือยัง

บี : มีครับ แต่จะมีผู้จัดการคอยกั้นให้อะไร อันไหนที่มันควรไม่ควร เขาก็บอก

ซี : มีรู้จักบ้างนะครับ เวลาไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้แม่ที่ตลาด เขาก็จะทักใช่หรือเปล่าครับ ใช่ไหมครับ ใช่ก็ได้ครับ เป็นแม่ค้าด้วย เก่งมากเลยนะเรา

Q : ปรับตัวทันไหม

บี : สำหรับผมไม่ค่อยนานนะ เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมก็มีฐานแฟนคลับนิดหน่อยแล้วครับ มีผู้จัดการข้างนอกมีงานอีเว้นต์ข้างนอก  
ซี : ไม่นานเท่าไหร่เพราะว่ามีพี่โป้พี่บีคอยแนะนำ พี่บีคอยแนะนำเลยว่าเวลาถ่ายรูปแฟนคลับต้องแบบโค้งอะไรอย่างนี้ครับ

Q : ไลฟ์สไตล์วันหยุดเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีเรียนไม่มีงานถ่ายทำ

ปีโป้ : ชอบหากิจกรรมทำครับ อย่างเช่นปีนผา ตีแบตล่าสุดไปเรียนดำน้ำแบบ freediving แบบไม่มีแทงก์ ผมเป็นคนที่ชอบแข่งขันกับตัวเองครับ


บี : ผมเล่นฟิตเนส แล้วก็ไปเล่นฟุตบอล ฟุตซอลครับ 

ซี : ผมชอบไปว่ายน้ำ ไปว่ายน้ำเสร็จแล้วก็มาเล่นเกม เล่นเกมเสร็จไปหาอะไรกิน แล้วกลับมาดูซีรีส์ต่อ ผมชอบดูซีรีส์เกาหลี ฝรั่งไม่ค่อยดู ฝรั่งนี่คือดูแบบนานๆ ที

Q : นอกจากงานแสดงแล้วอยากทำอะไรอีกไหมในวงการบันเทิง 

ปีโป้ : อย่างที่บอกแหละครับ พวกเราอยากเป็นนักร้อง อยากทำเพลงกันเอง ส่วนตัวอยากเล่นหนัง อยากเล่นละครเวทีสักเรื่อง


บี : ผมอยากร้องเพลง ผมอยากเล่นดนตรีสักอย่างหนึ่ง แล้วก็คิดว่าอยากเล่นภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง เพราะว่า เมื่อก่อนเคยดูสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก เออลองคิดถ้าเราไปแสดงเราจะทำได้มั้ย

ซี : ผมอยากเป็นนักร้องครับ คืออย่างเวลาแบบเขา Performance บนเวที เวลาผมเห็น โอ้โฮดึงคนได้ขนาดนี้เลย เขาดึงเราเข้าไปอยู่ในโลกที่เขาร้องเพลง

Q : สุดท้ายฝากผลงานซิตคอมเรื่องแรกหน่อย

ปีโป้ : บอกเลยว่าซิตคอมเรื่อง 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 นะครับ ก็จะมีความอบอุ่น ความแฮปปี้เฮฮาปาจิงโกะ หรือว่าจะมีความอึมครึมบ้างอะไรนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นแบบfeel good ของความเป็นครอบครัว หรือว่าการมีครอบครัวมันดีอย่างไร แล้วก็การแก้ปัญหาของครอบครัว เขาช่วยกันคอยซัพพอร์ตกัน คอยดูแลเทคแคร์อะไรอย่างนี้

บี : คือแบบพอเวลามีปัญหาอะไรกันอย่างนี้ครับ ครอบครัวมันตีกันแรงๆ ผมว่าสุดท้ายแล้วครอบครัวก็คือครอบครัวครับ


ซี : อยากฝากให้ทุกคนช่วยติดตามดู 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ครับ เพราะว่าเราจะมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว ผมคิดว่าครอบครัวต้องเจอครับ แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมอยากให้ทุกคนติดตามชม 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ครับ ทุกวันเสาร์ 20.15 น. ผ่านทางช่อง One 31 และดูย้อนหลังที่ Application iQIYI หรือ iq.com ครับผม ฝากด้วยนะครับ

]]>
“รู้ตัวว่าไม่ได้เซ็กซี่อะไรเลย รู้แค่ว่าผมเป็นคนบ้านๆ ซื่อๆ” MR. CHARMING ‘เด่นคุณ งามเนตร’ https://marshomme.com/interview/531283/ Fri, 14 Aug 2020 07:47:00 +0000

บรรดาลิสต์นักแสดงที่หุ่นเซี้ยะที่เห็นแล้วน่าเจี๊ยะ ก็มีชื่อ ‘คุณ-เด่นคุณ งามเนตร’ นักแสดงจากช่อง 3 นี่แหละ ที่ติดโผอยู่ด้วย (เพราะเวลาฮีถอดเสื้อทีไร จะได้เสียงกรี๊ดทุกที) คุณเด่นคุณเข้าวงการบันเทิงมาก็นานหลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ‘ฮักนะสารคาม’ ของผู้กำกับ ‘กอล์ฟ-ธัญญ์วารินสุขะพิสิษฐ์’ จากนั้นก็อยู่ยาวมาเกือบ10 ปีเห็นจะได้ แม้จะยังไม่ได้เป็นพระเอกเต็มตัวสักที แต่ละครหลายๆ เรื่องที่เขาแสดงก็ทำให้คุณเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่ม LGBT ที่คุณเคยสร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยเช่นกัน

 
‘ทุ่งเสน่หา’ ละครเรื่องล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง

ละครเรื่องล่าสุด ‘ทุ่งเสน่หา’ เป็นละครที่เรียกได้ว่ามีพล็อตเรื่องแนวใหม่ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คาแร็กเตอร์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ด้วยกาลเวลา ด้วยระยะเวลา
ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีมิติมากขึ้น และกระแสตอบรับค่อนข้างน่าพึงพอใจครับเป็นละครที่หลายๆ ท่านชื่นชอบในตัวละคร ทั้งมิ่งขวัญ และผมได้แสดงความสามารถพิเศษเยอะแยะมากมายอย่างเช่นร้องเพลง ได้เกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรกด้วย ได้ทำอะไรใหม่ๆ แบบคนในยุคสมัย 2515 ครับ

 
เป็นละครพีเรียดย้อนยุคนิดหนึ่ง?

ใช่ครับ แต่ก็ไม่ถึงกับพีเรียดมากแค่ย้อนยุคไปไม่นานมากราวๆ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราครับเล่นละครแนวนี้มาน่าจะประมาณ 3-4 เรื่องมั้งครับไม่แน่ใจ อาจจะเพราะหน้าตาผมเหมาะกับละครพีเรียดหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะครับถามว่าชอบไหมชอบแทบทุกเรื่องนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราจะเข้าใจมันมากแค่ไหนมากกว่า ถ้าสมมุติว่าช่วงเวลาที่เรากำลังไปเรียนมาแล้วได้ความรู้ใหม่ๆ มาเราก็อยากเอามาใช้  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นละครพีเรียดหรือว่าละครมันก็สนุกถ้าเราเข้าใจตัวละคร


เข้าวงการมากี่ปีแล้ว ยังเรียนการแสดงอยู่ด้วยตลอดเวลา?

ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ เข้าวงการหลายปีมาแล้วครับ ตอนแรกยอมรับเลยว่าผมทำงานไม่ดีเลย คือผมถามตัวเองว่าทำไม แต่เข้าใจว่ามันเหมือนกับเราเข้ามาวงการง่ายเกินไป ซึ่งการเข้ามาครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะว่ารูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตา ที่ทำให้เราได้เข้ามาสู่วงการ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลยครับ ผมควรมีความรู้มากกว่านี้ ซึ่งทำอย่างไรให้มีความรู้ หนึ่งเราต้องชอบก่อน


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเข้ามาได้เพราะว่ารูปร่างหน้าตา

ผมว่ามันเป็นทางนั้นมากกว่า เพราะว่าเราไม่ได้มีความสามารถ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องละคร มันเป็นสิ่งที่พลาดแต่เราก็ดีใจที่เราแก้ไขมันได้ คือก่อนที่จะเข้าวงการ เราชอบอย่างอื่นมากกว่าที่จะเล่นละคร ถ้าเราทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบมันก็ทำได้ไม่ดีใช่ไหม อย่างเราไม่รู้จักละครเลยว่ามันคืออะไร เราไม่รู้จักว่าแอ็กติ้งคืออะไร และจริงๆ หลายๆ คนก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแอ็กติ้งคืออะไรใช่มั้ยครับ แล้วทีนี้พอถึงจุดหนึ่งเรามาเรียน เราโดนคนว่าเราก็มีแรงกดดัน ตอนที่เราเรียนเราก็ยังไม่ได้ชอบนะ แต่พอเรียนเข้าใจ มันสนุก พอสนุกก็เริ่มชอบ เหมือนเราเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรีนี่แหละ เราต้องเรียนก่อนให้เรารู้ พอเราสนุก เราสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ ใช้เป็น เราจะเริ่มชอบ

 
ทำไมตอนนั้นถึงคิดว่าคนที่เขาคอมเมนต์เรา จนทำให้เรารู้สึกว่าเราพลาดหรือว่าแอ็กติ้งเราไม่ดี หรือเรารู้สึก guilty จนต้องไปเรียนการแสดงต่อ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะด้านการแสดงของเรา

ผมเป็นคนค่อนข้างที่จะไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนะ อย่างน้อยเรามีสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว สิ่งที่เราหวังไว้ก็ไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดง เราไม่ได้คิดไว้ตอนนั้น เราคิดว่าเราอาจจะไปทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ ณ จุดหนึ่งผมกลับคิดว่าเราเกิดมาแล้ว เราได้ทำตรงนี้แล้วซึ่งมันท้าทาย สุดท้ายก็ลุย เรียนไป 2 ปี ครั้งแรกก่อนหน้านี้เคยเรียนครับแต่ไม่เก๊ต ไม่สนุก โดนครูไล่ออกจากห้องบ้าง และทีนี้เราเรียนเราก็ตั้งใจ ค่อยๆ เรียนรู้ไป พอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ ทำงานง่ายขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเราเริ่มชอบแล้ว เวลาทำงานง่ายขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าดีเลย เพราะว่าล่าสุดดูละครตัวเองก็เจอจุดบอดค่อนข้างเยอะมาก ในใจคิดว่าถ้าเรื่องไหนเปิดก่อนตอนนี้ได้เปรียบเลย เพราะว่าผมศึกษามาเพิ่มแล้ว


เข้าวงการมาด้วยการแสดงภาพยนตร์ ซึ่งสกิลในด้านการโปรดักชั่นหรือแอ็กติ้งมันต่างกับละครพอสมควร รู้สึกอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วไม่ต่างนะ แต่ ณ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าแอ็กติ้งเป็นศูนย์นะ แต่ติดลบเข้าไปอีกยิ่งเล่นไม่ได้เลย เหมือนจับมาวางปั๊บ! เล่นเลย เพราะว่าภาษาพูด รูปร่างหน้าตาแบบบ้านนอกและก็ความซื่อ ความบ้านนอก มันตรงคาแร็กเตอร์ เลยรอดมาได้ แต่ถ้าถามตัวเองผมว่าตอนนั้นติดลบเป็นล้านเลย ในความสามารถติดลบ และค่อยๆ ติดลบน้อยลงมาเรื่อยๆ

 
เราคิดไปเองหรือเปล่าผู้ชมหรือคนอื่นอาจจะไม่ได้มองอย่างนั้นก็ได้

อาจจะเป็นไปได้ครับแต่มุมมองเรา เรารู้สึกว่ามันดีได้กว่านี้ ณ ตอนนั้นนะครับ ตอนนี้ด้วยมันไม่ได้มีที่สิ้นสุดครับ ขอโทษนะครับก็ย้อนไปที่บอกว่าละครกับภาพยนตร์มันแตกต่างกัน ผมว่าไม่แตกต่างนะ
มันต่างกันแค่วิธีการทำ หรือวิธีการถ่ายทำ สุดท้ายแล้วมันก็คือโลกอีกใบของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรืออื่นๆ ทุกๆ อย่างเกี่ยวกับการแอ็กติ้งเหมือนกันครับ


ตอนนั้นไปเล่น ‘ฮักนะสารคาม’ ได้อย่างไร

ตอนนั้นเรียนมัธยมที่จังหวัดอุบลราชธานี พี่เขามาทำการแคสต์นักแสดงแทบทุกโรงเรียนในภาคอีสาน เพื่อที่จะหานักแสดงมาเล่นคาแร็กเตอร์นี้ ครูเขาประกาศหน้าเสาธงว่าให้แต่ละห้องส่งเด็กในห้องที่หน้าตาดีที่สุดมา ซึ่งห้องผมเป็นห้องนักดนตรี ไม่ค่อยมีคนหน้าตาดี ผมเลยถูกส่งไป ซึ่งพวกผมก็เป็นพวกชิลล์ จำได้เลยวันนั้นใส่เสื้อขาดและกางเกงยีนส์สไตล์แบบเซอร์ๆ สมัยก่อนคือเซอร์มาก เสื้อขาด กางเกงขาด แต่พอผมไปถึงที่แคสต์ทุกคนแต่งตัวดูดีหมด เสื้อเชิ้ต ซึ่งปกติผมไม่เคยเห็นเด็กอีสานแต่งกันเลย มันดูแปลกตามาก ณ จุดนั้น ทุกคนแปลกตาไปเลย แต่กลับกลายเป็นผมต่างหากที่แปลกตา แต่มันดันไปตรงกับคาแร็กเตอร์ที่เขากำลังหาอยู่ เขาก็เลยบอกเอาคนนี้เลย

 
ผู้กำกับไม่แคสต์แบบให้ลองแอ็กติ้งบทหรือ

ไม่เลยครับ แต่พอแคสต์ได้แล้วพี่กอล์ฟผู้กำกับให้ไปใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ไม่ได้มีการเรียนแอ็กติ้งจริงจัง เพียงแต่ให้ไปใช้ชีวิตอย่างนั้น ให้ไปอยู่ทุ่งนา อย่างที่ผมบอกนะครับว่า สุดท้ายแล้วเขาปรับคาแร็กเตอร์เราเอง ไม่ใช่ไปเรียนแอ็กติ้ง เพราะว่าตอนนั้นไม่มีเวลาเรียน ก็เลยเอาผมไปสิงสถิตอยู่สถานที่จริง โลเกชั่นจริงเลย ซึ่งผมแฮปปี้เพราะว่ามันไม่ต้องไปโรงเรียน


พอต้องมาเล่นละครที่เขาพยายามปรับบทให้ดูเข้ากับเราในหลายๆ มุม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปไหม

เล่นละครเรื่องแรกฟีลมันเปลี่ยนไปไหม ต้องบอกก่อนว่าตอนอายุ 16 เล่นหนังเรื่องแรก คือคุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ให้มาสุงสิงที่นี่เท่าไร เพราะต้องกลับไปเรียน เรียนไปเรื่อยๆ จนแบบว่าผมรู้สึกว่าชอบชีวิตทำงาน ทำไมเราต้องเรียนอยู่อย่างนั้น และมีวันหนึ่งผมกับทางโรงเรียนส่งนักดนตรีมาเล่นดนตรีที่โรงแรม Kempinski ที่สยามนะครับ คือก่อนหน้านั้นช่วงที่ถ่ายมีผู้จัดการหลายคนติดต่อเราไว้ เราก็เฮ้ย! ในเมื่อมีโอกาส พอถึงตอนจะกลับผมตัดสินใจไม่ขึ้นรถและก็นั่งบ๊ายบายเพื่อน เราก็อยู่นี่ และติดต่อไปหาพี่เซ้งที่เป็นเพื่อนพี่เอ ศุภชัยบอกว่า ผมพร้อมแล้วนะ ผมอยู่กรุงเทพฯ แล้ว คราวนี้ไปบ้านพี่เอ พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงเรียนแอ็กติ้งบ้านพี่เอ บอกแม่เดี๋ยวจะกลับไปตอนเปิดเทอม


เล่นละครมาหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง คาแร็กเตอร์ไหนที่เรารู้สึกว่าเราชอบมันมากที่สุด

ที่เล่นมาเท่าที่ดู ชอบสุดก็คือทุ่งเสน่หานั่นแหละครับ มันเป็นละครที่ถ่ายทำในช่วงที่เรียนแอ็กติ้งพอดี มันเลยได้ใช้สิ่งที่เรียนมาเยอะที่สุดแต่ละครที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดก็คือกรงกรรม น่าแปลกใจมากจริงๆ ว่าทำไม กลับไปนั่งดูอีกครั้งคือมันอาจจะไม่ได้ดีหมายถึงว่าเล่นเก่ง แต่เวลาดูแววตาเขา เวลาดูความรู้สึกเขาอย่างนี้ รู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะตัวละครแรงกว่าก็ได้ ตัวละครเขาอาจจะแรงกว่าตัวทุ่งเสน่หา

 
ไม่คิดที่จะเทิร์นตัวเองไปเป็นนักดนตรี หรือเป็นโปรดิวเซอร์หรือ 

ผมเห็นภาพแล้วว่ามันยังเป็นไปไม่ได้ ผมจะค่อยๆ ทำ คือผมมองว่าด้วยภาพลักษณ์ของผม ถ้าสมมุติไปทำผมว่าคนจะไม่เชื่อ ต้องมีอะไรที่ค่อนข้างข้ามขั้นนั้นไปก่อน อาจจะทำอะไรสักพักหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ ก่อน ให้คนเชื่อก่อน ขนาดผมออกกำลังกาย ผมฟิตเนสหุ่นขนาดนี้ ผมยังไม่เคยลงโซเชียลเลยว่าผมเล่นฟิตเนสผมไม่ค่อยได้ลงโซเชียลว่าผมทำอะไรบ้าง คืออย่างน้อยลงโซเชียลก็จะลงแบบถอดเสื้อไปเลย เอาจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นความขี้เกียจของผมก็ได้นะ ที่ไม่ได้ลงตัวเองออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่เราออกกำลังกายโหด เราแทบไม่ได้ลงดนตรีเลย


ทุกวันนี้ดูแลตัวเองอย่างไร แบ่งเวลาอย่างไร ให้น้ำหนักกับส่วนไหนมากเป็นพิเศษ

ออกกำลังกายทุกวันครับ เพราะผมเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วนสำคัญ แม้กระทั่งนิ้วก้อยก็สำคัญมากครับ สำคัญอย่างไรรู้ไหมครับ เห็นมันแค่นี้มันมีความสามารถทำให้คนอีกคนหนึ่งไม่ผิดคำพูดได้ อย่างที่ผมบอกผมคุยกับแขน เพราะว่าแขนเขาเป็นส่วนหนึ่งนะ เราไม่ใช่เจ้าของเขานะบางครั้ง เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เขามีชีวิต เวลากล้ามเนื้อเขากระตุกเราก็ถามเขาเจ็บไหม เขาสบายดีไหม เขาโอเคไหมเวลาเราจะเล่นฟิตเนสทีหนึ่งมันหนักมาก ผมต้องขอโทษเขาก่อน ขอนะ พรุ่งนี้ต้องถ่ายแบบ
 

คิดว่าตัวเองเป็นคนเซ็กซี่ไหม หรือมีเสน่ห์ตรงไหนบ้างที่ทำให้แฟนคลับหรือแฟนละครชอบเรา

ความตรงๆ ความซื่อมั้งครับอันนี้ไม่รู้จริงๆ แต่บางทีก็ชอบหลงตัวเอง บางทีชอบคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ แต่ตามความเป็นจริงแล้วเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เซ็กซี่หรืออะไรเลย ผมรู้แค่ว่าเราเป็นคนบ้านๆ ซื่อๆ บ้านนอก


รู้สึกอย่างไรเวลาเรามีบทต้องถอดเสื้อบ่อยๆ แล้วทำให้ผู้ชมติดภาพความเซ็กซี่ของเรา 

ผมเพิ่งคิดได้นะ คือมันกลายเป็นว่าที่ผมถอดเสื้อลงไอจี เพราะว่าผมไม่มีอะไรที่จะโชว์เขา ทั้งที่จริงๆ มี คือผมรู้สึกว่ามันง่าย ก็แค่ถอด คุณเล่นกล้ามมา คุณทำมาลำบาก คุณแค่ถอดเสื้อและก็ถ่ายรูปมันง่าย แต่จริงๆ ผมว่าผมมีอะไรที่ดีกว่านั้น เพิ่งคิดได้นะ ต่อจากนี้คงอาจจะได้ถอดเสื้อน้อยลง


วันหนึ่งที่เราโตขึ้น อายุมากขึ้นกว่านี้ เราจะผันตัวเองไปทำอะไรต่อ

มันมีช่วงหนึ่งที่ผมเคยรู้สึกว่าผมวิ่งตามเงิน วิ่งตามชื่อเสียง พูดง่ายๆ ผมรู้สึกว่าการวิ่งตามเงินแรงผลักดันมันสูงจริงๆ นะ เพราะเราต้องการเงิน แต่เราหลับหูหลับตาวิ่งเพราะว่าเรามองเห็นแต่เงิน เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าผมเอาตรงนี้ดีกว่า ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดดีกว่า หยุดเรื่องเงิน ถ้าเราคิดถึงแต่เรื่องเงินนะมันจะทำทุกอย่างพังหมด เราจะไม่มองอย่างอื่นเลย เราจะโฟกัสแค่เงิน ซึ่งมันไม่ใช่อาชีพเราอาชีพเราไม่ใช่อาชีพหาเงิน อาชีพเรามันเป็นอาชีพเกี่ยวกับมนุษย์นะ พวกคนที่รวยๆ เขามีอาชีพหาเงิน ก็คือเขาศึกษาแล้วว่าช่องทางเงินมาจากไหน เขาหาเงินอย่างไร เงินมันหมุนอย่างไร เขาศึกษามา แต่เราไม่ใช่ เราไปวิ่งตามเงินก็เท่ากับทุกอย่างมันพังหมด ผมเลยไม่ได้มองว่าอนาคตจะต้องหาเงินทางไหนอีก รู้สึกว่าเอาปัจจุบันดีที่สุด เอาตรงนี้ เรียนแอ็กติ้งไปเรื่อยๆ ตัวเองจะทำได้ดีขึ้นหรือไม่ได้ดีขึ้น มันแล้วแต่บุญแต่กรรม


พูดถึงงานละครเรื่องใหม่ที่ถ่ายเสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ออนแอร์บ้าง

สัญญารัก สัญญาลวง เป็นละครแฟนตาซีเกี่ยวกับข้ามภพข้ามชาติในยุคทวารวดี ถ่ายนานแล้ว เป็นเรื่องของพระธาตุนาดูนที่อยู่มหาสารคาม เรื่องสัญญาที่เคยให้ไว้ แล้วก็มีการมาทวงคำสัญญาต่างๆ เป็นละครที่มีเวทมนตร์ มี CG ต่างๆ เป็น animation ครับ

 
อยากกลับไปเล่นหนังอีกครั้งหนึ่งไหม

อยากครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมอยากทำอะไรที่มันไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างเดิมๆ ละครเดิมๆ อยากเล่นหนังมากๆ


Text by Takeshi West

กดดาวน์โหลดได้ที่ :

https://www.mebmarket.com/ebook-132658-Mars-Homme-Magazine-Online-Denkhun-Ngamnet
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/75f0efe1-7878-482b-bd93-1490c49f26dc/denkhun

]]>