Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
นักแสดงหนุ่ม – Marshomme https://marshomme.com Fri, 02 Jul 2021 03:24:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png นักแสดงหนุ่ม – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ชายหนุ่มที่ไม่เคยย่ำอยู่กับที่และทำความรู้จักชีวิตอย่างเข้าใจ ของ กระทิง ‘ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์’ https://marshomme.com/interview/531860/ Tue, 11 May 2021 04:00:00 +0000

        นักแสดงหนุ่มของช่อง 3 ที่เพิ่งก้าวขึ้นแท่นพระเอกเป็นหนุ่มร่างสูง 191 เซนติเมตรแฟนละครน่าจะคุ้นหน้าเขาจากละคร ‘นางอาย’ ‘ลิขิตรัก’ ‘หน่วยลับสลับเลิฟ’ ก่อนเขาจะสวมบทพระเอกใน ‘เทพธิดาปลาร้า’ ที่เพิ่งผ่านตากันไป

        ‘กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ เป็นหนุ่มจากเชียงราย ที่มักออกตัวบ่อยครั้งเวลาให้สัมภาษณ์สื่อว่าเขาเป็นเด็กจากต่างจังหวัด


        “ผมว่าเด็กบ้านนอกเข้าใจโลกมาก และเห็นใจคนอื่นเยอะ” เขาบรรยายถึงข้อดีของสิ่งที่เป็น “อีกอย่างผมทนความลำบากได้ ผมรู้สึกว่าผมเคยเจออะไรเหล่านี้มาแล้ว และการที่ผมจะไปอยู่ในจุดที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ผมจะทนได้มากกว่าคนอื่น ผมไม่งอแงครับ”

        แต่ที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นคนจากต่างจังหวัด คือนิสัยส่วนตัวของเขา

        “ผมเป็นคนที่ถ้าไม่สนใจอะไรผมจะทิ้งไปเลยครับ คือจะไม่เอาเลย จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น นั่นคือนิสัยแย่ๆ ของผม”

        นอกจากนั้นเขายังยอมรับว่าไม่ใช่คนเซนสิทีฟ ถึงขนาดไม่ละเอียดอ่อน

        “แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนหรือครอบครัว อะไรที่ผมรู้สึกว่าทัชกับคนที่ผมสนิทมากๆ ผมจะอ่อนไหวกับความรู้สึกอะไรง่ายๆ แต่ไม่ได้จุกจิกนะครับ ถ้าเกิดมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมจะเซนสิทีฟกับครอบครัวและเพื่อนผมมาก”

        กระทิงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพด้วยทุนนักกีฬา และเขาคงจะกลายเป็นนักบาสเกตบอลของสโมสรที่ไหนสักแห่ง ที่ขะมักเขม้นกับการฝึกซ้อมเพื่อลงสนามแข่ง หากว่าเขาไม่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเข้าสู่วงการบันเทิงเสียก่อน


นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว กระทิงยังทำอะไรอีกบ้าง
        ก็มีถ่ายแฟชั่น และเดินแบบครับ และทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย ชื่อแบรนด์ UncleMich ติดตามกันได้ใน IG @unclemich_bkk

ชื่อแบรนด์ได้มาจากไหน
        ชื่อมาจากนักบาสฯ ครับ ไมเคิล จอร์แดน ก็เป็นลุงจอร์แดน คือแบรนด์ของผม ผมตั้งใจจะทำเป็นแฟชั่นวินเทจ สไตล์การแต่งตัวของนักบาสฯ ยุค 1990s ผมก็มี reference เป็นไมเคิล จอร์แดนครับ ที่เวลาเขาใส่ชุดออกงานเป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ กางเกงตัวโคร่งๆ หน่อย ก็จะเป็นแนวนั้นหมดเลย

        แต่เราก็จะเอามาทำเป็นแนวเรโทรผสมกับวินเทจด้วย ให้มันเข้ากับยุคสมัยกับคนที่ใส่เสื้อ อย่างเสื้อก็ over size เลย กางเกงก็ทรงกระบอก ทรงลุง

จุดเด่นคืออะไร
        เราจะรวมทุกอย่างที่เป็นแฟชั่นของนักกีฬาสมัยก่อน ทั้งนักบาสฯ และนักฟุตบอล สไตล์ของคนที่แต่งตัวสมัยนั้นแล้วดูเท่ และสมัยนี้ยังแต่งได้อยู่ เราก็เอามาประยุกต์ ก็คือใช้แพตเทิร์นเสื้อผ้าแบบนั้น แต่ว่าลายเราอาจจะปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบของเราเองครับ


ไมเคิล จอร์แดนเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นบาสเกตบอลของกระทิงใช่ไหม
        ครับ เขาเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักครั้งแรก สมัยก่อนผมอยู่บ้านนอก ไม่ได้ดูยูทูบหรืออะไร ผมรู้จักคนแรกก็จอร์แดน ตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นด้วย

จดจำสไตล์การเล่นของเขามาใช้กับตัวเองด้วยไหม
        ผมจำความคิดของเขามากกว่า เขาเป็นคนที่มีความคิดแปลก แต่มันก็ทำให้เขาไปถึงจุดที่เขาไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ยอมแพ้ เป็นคนที่ต้องการจะชนะมากๆ เขาเกลียดการแพ้ เวลาเขาซ้อมเล่นในทีมเขาจะจริงจังมาก และเพื่อนมักจะโดนเขาด่าตลอด เพราะเขาเป็นคนที่เล่นแล้วอยากชนะ เขาไม่อยากแพ้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน และไม่สนวิธีการ

พอไม่ได้เป็นนักบาสฯ แล้ว กระทิงเลิกเล่นบาสฯ ไปเลยหรือเปล่า
        ก็ไม่ถึงกับเลิกครับ ผมก็ยังเล่นอยู่ เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า ไม่ได้จริงจังเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องไปซ้อมทุกวัน ต้องดูแลรักษาร่างกาย หรือต้องไปแข่งทัวร์นาเมนต์ เดี๋ยวนี้ผมจะเล่นแบบ…เช่าสนามเล่นกันกับเพื่อน อาทิตย์ละสามวัน ไปออกกำลังกาย ไปรีแลกซ์เสียมากกว่า ไม่ได้ทิ้ง คือว่างก็จะไปเล่นบาสฯ เพราะผมรู้สึกว่าเวลาเล่นบาสมันเป็นอะไรที่ผมรีแลกซ์ตัวเอง เวลาทำงานบางทีเราอาจจะคิดเยอะ พอไปเล่นกีฬาหรือทำสิ่งที่เราชอบ มันรู้สึกว่าหัวผมโล่งขึ้น พร้อมที่จะกลับไปทำงานใหม่


ตอนผละออกมา กระทิงก้าวไปถึงจุดไหนของการเล่นบาสฯ แล้ว
        ผมเคยเล่นสโมสรของไทยแลนด์ ลีกครับ แต่ทีมโรงเรียนของผมเป็นสังกัดไฮเทค (Hitech Basketball Club) ก็เล่นได้สักพักหนึ่ง ประมาณสองปี แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยผมก็มาทำงานในวงการ

        ละครเรื่องแรกที่ผมเล่นเป็นนักแสดงรับเชิญจะคาบเกี่ยวช่วง ม.หกกับมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ตอนนั้นใกล้จะจบและทัวร์นาเมนต์บาสฯ แข่งเสร็จแล้ว งานก็เข้ามาพอดี ผมก็เข้าเวิร์กช็อป ไปเรียนจนเข้ากองถ่าย และพอถ่ายไปได้สักพักหนึ่งผมก็เข้าปีหนึ่ง ก่อนเปิดเทอมปีหนึ่งผมก็ถ่ายละครเสร็จพอดี

        แต่ช่วงแรกๆ ผมยังสับสนอยู่ว่าจะมุ่งไปทางไหนดี จะไปทางบาสฯ ไปทางการแสดง หรือจะตั้งใจเรียนดี ผมเอาสามอย่างไงครับ ช่วงนั้นเลยวุ่นๆ แต่ผมต้องหนักไปทางทุนนักกีฬา เพราะว่าผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยทุนนักกีฬา ก็คือเล่นกีฬามหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ก็คือต้องซ้อมทุกวัน

กระทิงเลือกเรียนด้านการตลาด แล้วมันไปกันได้กับกีฬาหรือเปล่า
        ผมว่ามันใช้ได้นะครับ คือตอนแรกผมก็คิด หรือว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ดี แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเรียนนิเทศฯ ผมก็จะไม่ได้อย่างอื่นเลย เพราะงานที่เราทำ เราก็สามารถเรียนนิเทศฯ ได้โดยประสบการณ์ ผมเลยอยากเรียนการตลาดเพิ่มดีกว่า เผื่อผมจะเอาไปใช้ทำโน่นนี่ ต่อยอดกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ เป็น second job ของตัวเอง

เข้ามาอยู่ในวงการห้าปีแล้ว ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
        ก็เยอะครับ ตอนแรกที่ผมเข้ามา ผมยังขี้อายอยู่เลย ผมไม่กล้ามองหน้าคนอื่น ยิ่งเป็นผู้หญิงผมยิ่งไม่กล้ามองหน้า เพราะผมอยู่กับผู้ชายเยอะ พอเริ่มข้ามกำแพงตัวเอง ความขี้อายของเรา…มันไม่ได้หายไปเลย แต่จะอายในเรื่องที่ควรอายมากกว่า คือปกติกับคนที่ไม่สนิทผมจะไม่ยุ่งเลย ผมจะอยู่แต่กับเพื่อน และเวลาอยู่กับเพื่อนก็เฮฮา แต่พออยู่กับคนอื่นผมก็จะเขินขึ้นมาทันที


ตอนนี้กระทิงได้บทพระเอกแล้วใช่ไหม
        ก็ได้มาสักพักหนึ่งแล้วครับ

มีเรื่องไหนบ้าง
        ที่ออนแอร์ไปแล้วที่ผ่านมาก็มี ‘เทพธิดาปลาร้า’ และที่ถ่ายทำอยู่มี ‘แค้นรักสลับชะตา’

กระทิงมีวิธีจำบทอย่างไร
        ความเข้าใจครับ ผมว่าผมต้องอ่านให้เข้าใจ ถ้าจำเป็นไดอะล็อกเลยผมว่าผมจะสับสน ผมจะจำเอาว่า ผมจะพูดกับคนนี้ผมจะพูดอะไรกับเขา ใช้ความเข้าใจว่าเรากำลังคุยกันอยู่ ผมต้องการอะไร เขาเป็นใครสำหรับผม และถ้าผมได้ยินคำที่เขาถามขึ้นมา มันเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า เราต้องการสิ่งนี้จากเขาเราก็จะพูดออกมาได้ ยิ่งบทยาวๆ เรายิ่งต้องทำความเข้าใจ สำหรับผมนะครับ

ที่ผ่านมาบทยาวที่สุดกี่หน้า
        โห…ผมเคยโดนเรื่อง ‘พราวมุก’ ประมาณสอง-สามหน้า แต่ไม่ได้พูดทีเดียวสอง-สามหน้านะครับ ก็พูดหลายบรรทัดอยู่ เป็นซีนที่ผมด่าเขา สอนเขาด้วยเหตุผลด้วยว่า เออ…ทำแบบนี้มันไม่ถูก ทำแล้วรู้หรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุผลคืออย่างนี้ๆๆ ที่เราไม่อยากให้ทำ แล้วเขาก็เถียงมา เราก็มีเหตุผลต่อ ประมาณสอง-สามหน้า อันนั้นรู้สึกว่ายากที่สุด

ผ่านมาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเชี่ยวขึ้นไหม
        ก็เชี่ยวขึ้นนะครับ แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองยังไม่เก่ง ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ


ขอถามเรื่องกระปุก (พัชรา ทับทอง) ยังคบหากันอยู่ใช่ไหม
        ครับ

พอเปิดตัวแฟนแล้ว กระทิงก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นคู่จิ้นกับดาราคนไหนได้ ถูกไหม
        (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ สำหรับผมมองว่างานก็เป็นงาน ชีวิตส่วนตัวก็เป็นชีวิตส่วนตัว ผมมองว่าอยากให้เขาเสพงานเรามากกว่า เพราะผมก็ชอบมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน แต่ผมไม่ซีเรียสเรื่องที่ว่าจะมีคู่จิ้นหรือไม่มีนะ ผมเข้าใจในงาน และเข้าใจตัวเองด้วย

แต่ถ้ามีคู่จิ้น มันจะกลายเป็นกระแสมากกว่าไหม
        ครับ ผมก็เคยคิดนะครับ คือถ้ามันจะจิ้น อาจจะจิ้นด้วยงาน เคมีเข้ากัน อย่างไรมันก็จิ้นละครับ ถ้างานของเรากับเขาเคมีมันดีต่อกัน มันก็โอเค

ตอนนี้กระทิงเข้าขากับนักแสดงหญิงคนไหนบ้าง แบบที่เคมีตรงกัน
        เข้าขากับใครบ้างงี้เหรอ (หัวเราะ) ผมก็เล่นมาไม่เยอะ ที่ซ้ำก็มีบัว-นลินทิพย์ (สกุลอ่องอำไพ) เคยเล่นด้วยกันมาสองเรื่อง ผมรู้สึกว่าเคมีบัวตรงกับผม แบบว่า…รู้สึกว่าเป็นคนที่เวลาเราอยู่ด้วยแล้วโอเค สบายใจ ทำงานด้วยได้ลื่น ปกติผมจะติดเกรงใจนิดหนึ่ง แต่นี่เราสนิทกัน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาทำงานกับบัวแล้วลื่นไหล


ชอบโมเมนต์ไหนเวลาอยู่ด้วยกัน
        ผมชอบโมเมนต์ที่เทคแคร์ เพราะว่าเขาจะเทคแคร์เรา ตรงนี้ผมแฮปปี้ คือผมเป็นคนที่เลือกซื้อของไม่เป็น อย่างเสื้อผ้าเราเลือกเองได้ แต่เรื่องครีม เรื่องสิว ผมแพ้ยาสระผมงี้ มันต้องใช้อะไรวะ แต่แฟนผมจะรู้ว่าผมแพ้ง่าย ผิวจะเป็นอย่างนี้ ผมใช้ครีมนี้ถูกกับหน้าผม เขาจะจัดการให้ทุกอย่าง หรือครีมอาบน้ำก็จะซื้อให้ทั้งเซ็ตเลย เหมือนแม่ผม แม่ก็ทำอย่างนี้ เพราะผมแพ้ง่าย แล้วพอผมคบกับเขา เขาก็จะดูแลผมอย่างนี้ มันเป็นการเทคแคร์ แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้ว

เคยคุยกันถึงเรื่องอนาคตของความสัมพันธ์ไหม
        ไม่ครับ ไม่เคยคุยกันเลยเรื่องอนาคต ผมรู้สึกว่าอะไรที่มันดีอยู่แล้ว หรือเป็นไปได้ดี ไปต่อไปลื่นไหล ผมว่าไม่อยากคาดหวังดีกว่า ถ้าคนเราไปกันได้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มันไปของมันได้เรื่อยๆ เราก็จะไม่เบื่อด้วย ไม่ต้องมานั่งคิดว่า เฮ้ย…ตั้งใจเป้าอยากให้คุณเป็นอย่างนี้ หรือคาดหวังว่าอีกห้าเดือนอยากให้เป็นอย่างนี้ ผมว่ามันจะแย่ลง สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอะไรที่เข้ากันได้มันจะไหลต่อไปได้เรื่อยๆ ปล่อยมัน flow ไป

ดูไม่เลื่อนลอยไปเหรอ
        ไม่เลื่อนลอยครับ ไม่ได้คบกันแบบเรื่อยๆ แต่คือ ผมรู้สึกว่ามันไปได้อยู่แล้ว ผมเลยไม่อยากคิดมาก ผมว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ถ้ามันใช่ มันก็คือใช่ของมันเลย ผมไม่ใช่ประเภทนักวางแผน ผมชอบอารมณ์ที่แบบ…อะไรที่ไม่คาดหวัง มันจะมีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น มันเป็นโมเมนต์แฮปปี้มากกว่า

มีเรื่องขัดแย้งกันบ้างหรือเปล่า
        ก็มีครับ เป็นปกติ ทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องผมไม่ค่อยละเอียดอ่อนในเรื่องความรู้สึก ก็จะแบบลืมตอบไลน์บ้าง คือผมเป็นคนขี้เกียจอ่านไลน์ แต่จะชอบลื่นดู IG ดู Pinterest ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยตอบใคร แต่เห็นว่าเขาไลน์มาแล้ว เราก็ว่าเดี๋ยวจะตอบแล้ว แต่บางทีผมลืมไง (หัวเราะ) ผมจะเป็นอย่างนี้บ่อยมาก แล้วเขาก็จะมางอนบ้าง น้อยใจว่าเราไม่สนใจ

แต่หายเร็ว
        หายเร็วครับ คือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ในส่วนของเขาที่เราไม่ชอบล่ะ
        ไม่มีนะครับ คือผมรู้สึกว่าผมแฟร์ ถ้าคบกันผมก็โอเค ผมให้สเปซเขา ให้เขาได้เจอเพื่อน เจอใครผมก็ไม่ได้ว่า ผมให้ความเชื่อใจเขา เขาให้ความเชื่อใจผม เราแลกกันแฟร์ๆ คือทุกคนมีชีวิตของตัวเองอยู่แล้วครับ แต่ว่าเราให้ความเชื่อใจเขา อยู่ที่ว่าเขาจะทำอย่างไรกับมัน ผมคิดอย่างนี้มากกว่า แฟร์ๆ ไปเลย


ครอบครัวของกระทิงยังอยู่ที่เชียงรายใช่ไหม
        ใช่ครับ ยกเว้นพี่ชาย ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย มาเรียนเป็นเทรนเนอร์

มีโอกาสกลับไปบ้านบ้างหรือเปล่า
        ผมกลับไปบ้างครับ แต่ว่าช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้กลับไป ประมาณปีหนึ่งกลับไปสอง-สามครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่แม่ก็จะมาหา เหมือนเราสลับกัน อย่างบางช่วงผมไม่ว่าง แม่ก็จะมาดูบ้าน มาเช็ดทำความสะอาดให้ สาม-สี่เดือนมาครั้ง

มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเชียงรายไหม
        เยอะมากครับ เวลากลับไปบ้านบางทีผมจะมีฟีลแบบ…ไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลย ที่นั่นรถก็ไม่ติด มันเป็นอะไรที่คุ้นเคย สบาย ชิลล์ เพื่อนก็อยู่ที่นั่น แล้วไปไหนมาไหนก็สะดวก ตื่นมาก็มีข้าวกิน ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ ผมอยู่คนเดียว ตื่นมา เฮ้ย…กินอะไรดี บางทีต้องไปหากิน แต่บางทีก็เบื่อไปกินร้านเดิม แต่ข้าวแม่ผมกินได้เรื่อยๆ แม่ทำอะไรมาผมก็กิน เป็นอะไรที่สบายมาก เวลาอยู่กับพ่อแม่ทุกอย่างในตู้เย็นมีให้กินหมด ไม่ต้องออกไปหา ถึงเวลาแม่ก็เรียกกินข้าว หรือผมออกไปหาเพื่อนข้างนอก เที่ยงก็กลับมากิน แทบไม่ต้องใช้เงินดีกว่า แล้วอยู่ที่นั่นบางทีผมไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ขออีกสักแป๊บแล้วกัน

เมนูของแม่ ชอบอะไรมากที่สุด
        ผัดกะเพรา แม่ทำผัดกะเพราอร่อยมาก

ไม่เหนือเลยนี่
        (หัวเราะ) อาหารเหนือก็มี ที่แม่ทำอร่อยเขาเรียกแกงอบไก่ น้ำจะคล้ายแกงเผ็ด แต่มันจะเป็นน้ำที่มีพริกเหลืองๆ อร่อยมาก ตอนแรกเอาไก่ไปอบเบาๆ ก่อน แล้วเอามาต้มต่อ มันจะเปื่อยมาก อร่อยมาก แล้วก็น้ำพริกหนุ่ม


มีสถานที่แนะนำในเชียงรายบ้างไหม
        ผมชอบร้าน ‘ชีวิตธรรมดา’ มันจะเป็นคาเฟ่ อยู่ติดแม่น้ำกก ฟีลคล้ายสวนหน่อย ข้างๆ จะมีโต๊ะให้นั่งริมแม่น้ำ มีโซฟาคล้ายๆ บอลลูนที่เวลานั่งแล้วมันจะยวบลงไป ผมชอบไปนั่งที่นั่น วิวดีมาก ยิ่งเราไปนั่งกินตอนเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก โอเคเลย

        นอกนั้นก็จะมีดอยช้าง ภูชี้ฟ้า นั่นก็จะเป็นแนวธรรมชาติ หน้าหนาวเวลาผมกลับบ้านผมก็จะไปกับเพื่อน อาบน้ำกันตั้งแต่ข้างล่างหกโมง-ทุ่มหนึ่ง เพราะเราจะไม่อาบข้างบน หนาวมาก อาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปทำอาหารกินกัน ตั้งแคมป์ แล้วนอน ตื่นเช้าก็ลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าหน้าหนาวผมแนะนำให้ขึ้นดอยครับ


กระทิงมองอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองอย่างไร
        ที่ผมมอง ที่คาดหวังไว้ ผมคิดว่าผมก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะไม่ได้ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ก็ตั้งใจว่าผมจะทำเต็มที่ ผมจะเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้ จะเล่นให้สมบทบาท แบบว่าเวลาไปที่ไหนมีคนเรียกเราเป็นชื่อตัวละครตัวนั้น นั่นจะเป็นอะไรที่ผมแฮปปี้

        ผมอยากให้ผมโตขึ้นแล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เล่นได้หลายบทบาท และเข้าถึงบทบาทให้ได้ ก่อนที่ผมจะจบอาชีพนักแสดง แต่จนกว่าผมจะจบผมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะจบเมื่อไหร่

        ผมคิดว่าผมโชคดีนะครับที่ได้มาทำงานตรงนี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็รู้สึกว่า อีกวันมาเราก็มีแรงตื่นไปทำงาน เพราะใจเราอยู่กับมัน ผมรักงานนี้


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
Mystic Boy ตรี – ภรภัทร ศรีขจรเดชา https://marshomme.com/interview/531566/ Fri, 18 Dec 2020 10:43:00 +0000 โดยTakeshi West

หนุ่มฮอตคนใหม่ของวงการ ณ ขณะนี้คงต้อยกให้กับ ตรี – ภรภัทร ศรีขจรเดชา นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลของช่อง ONE31 ที่กำลังมีผลงานปังๆ อย่างละครเรื่อง “เลดี้บานฉ่ำ” ที่แม้เรื่องราวหลักๆ จะโฟกัสไปที่แก๊งของสาวประเภทสอง แต่สำหรับบทบาทของตรีที่ต้องแสดงเป็นท็อปนั้น หนักหนาสาหัสเอาเรื่องไม่น้อย “ในเรื่องผมรับบทท็อป ที่มีพ่อเป็นสาวประเภทสองครับ ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง แต่จู่ๆ วันหนึ่งเรามารู้ว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง จึงทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด จากชีวิตที่มีครอบครัวที่ดี มีความอบอุ่น ก็กลายเป็นความแตกหักและเป็นปัญหาของท็อปในเวลาต่อมาครับ”


Q : ฟีดแบ็กจาก“เลดี้บานฉ่ำ” เป็นอย่างไรบ้างครับ

A : ดีมากเลยครับถือว่าต้องขอบคุณกำลังใจจากทุก ๆ คนนะครับที่ติดตามชมเรียกว่าให้กำลังใจผมเยอะมากเลยครับ

Q : เรื่องนี้ฟีลในด้านการแสดงต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือไม่ครับ

A : ต่างครับ ทั้งบรรยากาศ ผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีสาวประเภทสองรายล้อมตัวผมตลอดเวลา และด้วยความที่เป็นคอเมดี้เสียส่วนใหญ่ บวกกับดราม่าด้วยครับก็เลยทำให้เลดี้บานฉ่ำ ไม่เหมือนละครเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

Q : ตรีอยู่วงการมากี่ปีแล้วและเข้าวงการมาได้อย่างไร

A : เรื่องปีนี่ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้านับจากละครที่แสดงมาทั้งหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ของผม ถามว่าตอนนั้นเข้าวงการมาได้อย่างไรเหรอครับ เรื่องมันค่อนข้างจะตลกนิดนึง คือจริงๆ ผมไม่ได้สนใจมาทำงานวงการนี้นะครับ แต่ที่มีโอกาสเข้าวงการมาได้ เพราะคุณพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำซึ่งเป็นร้านเดียวกับ พี่ต๋อนที่ดูแลผมอยู่ทุกวันนี้ พ่อผมก็เอารูปไปอวดเจ้าของร้าน ประมาณว่า ‘นี่ไงลูกชายผม’ พี่เจ้าของร้านซึ่งก็รู้จักกับพี่ต๋อนก็เลยเอารูปไปโชว์พอพี่เขาเห็นรูปก็เลยทาบทามให้เข้ามาที่ช่องวันครับ นี่คือสาเหตุครับ

Q : ไม่อยากเข้าวงการมาก่อน แล้วความฝันตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นอะไร

A : ตอนเด็ก ๆ สมัยเรียนมัธยมต้นอยากเป็นหมอครับ แต่พอมา ม.ปลาย ชีวิตเกเรมากครับ เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเกเรและเฮี้ยวครับก็เลยไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายในชีวิตสักเท่าไรครับ เหมือนแค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ครับ


Q : ตอนเข้าวงการนี่เรียนอยู่ ม.ปลาย หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

A : ตอนนั้นผมอยู่ปี 1 กำลังขึ้น ปี 2 ครับ แต่ผมเป็นเด็กซิ่วนะครับตอนแรกเรียนอยู่ที่เอแบคก่อน แล้วก็ซิ่วมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตคณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ครับ แต่ชีวิตผมโลดโผนนิดนึงนะครับเพราะก่อนเข้าเอแบคผมไปอยู่อังกฤษมาปีนึงครับ คือผมเนี่ยเป็นลูกคนเล็ก มีพี่อีก 2 คน แต่อายุเราห่างกันค่อนข้างมาก พี่คนโตอายุ 41 ครับ คนที่ 2 อายุ 38 ส่วนผมอายุจะ 26 ปี เป็นลูกหลงครับ ตอนเด็ก ๆ พี่คนที่สองจะเป็นพี่ชายที่ดุครับ ตีผม ตีสอน ดุ ว่า คอยตักเตือน คอยสอนการบ้าน ก็เหมือนวัยรุ่นสอนน้องแหละครับตีแบบยับเลยครับ เจ็บมากครับ ตอนนั้นผมโกรธมาก กะว่าพอโตขึ้นมาจะเอาคืนแต่พอเราโตมาจนถึงวันนี้ เราถึงเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำ เขาหวังดีกับเรา ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กติดเกมมาก ก็เลยโดนส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่อัสสัมศรีราชาพอไปอยู่โรงเรียนประจำแล้วก็ดีขึ้น จนเริ่มมีความฝันอยากเป็นหมอเพราะดูละครที่พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แสดง มันเป็น passion ให้ผมอยากเป็นหมอมาก


แต่จู่ๆ วันหนึ่งคุณพ่อซึ่งเป็นศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนท่านอยากให้กลับมาเรียนที่นี่ครับ แต่มันก็มีช่วงแกปอยู่พักหนึ่งคือ ม.3-6 เราเริ่มใช้ชีวิตเสรี ด้วยคุณแม่ทำงานหนักไม่ได้ค่อยมีเวลาดูเราเท่าไร พี่ชายก็เริ่มทำงานของเขา เราก็เริ่มโตแล้วครับ ตอนนั้นก็เริ่มติดเพื่อน เจออะไรที่ไม่ดีมาบ้าง เป็นเด็กไม่ค่อยดีครับแล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจบอกคุณแม่ว่า คุณแม่ครับ ขอไปเรียนต่างประเทศได้ไหมตอนนั้นอยู่ ม.6 ไม่อยากอยู่กับสังคมตรงนี้เลยขอแม่ไปอยู่ที่อังกฤษปีหนึ่ง

Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับมาจากอังกฤษ

A : คิดถึงคุณแม่ คิดถึงบ้าน แต่ให้มองย้อนกลับไปน่าจะเรียนต่ออยู่ที่นั่นน่าดีกว่านะ (หัวเราะ) แต่ผมว่าที่ตัดสินใจกลับมามันก็คงเป็นโชคชะตาที่อยากให้เรากลับมากลับมาเราก็เรียนปกติ เรียนที่เอแบคครับ แล้วก็เจอพี่ต๋อนก่อนจะตัดสินใจซิ่วไปอยู่รังสิต เพราะคิดว่าจะเรียนเบาลงสุดท้ายก็เรียนหนักเหมือนเดิมเลย แต่ว่ามันบวกกับการที่เราเริ่มทำงานเราโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย มันก็ต้องแบ่งเวลา จัดสรรปันส่วนให้ดีครับ


Q : จากหมอ ทำไมถึงมาจบที่นิเทศได้

A : เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเรียนอะไรครับก็เลยคิดว่านิเทศน่าจะเหมาะกับเรามากกว่าครับและที่ผมเรียนมามันไม่ใช่เป็นแบบสื่อสารเฉพาะเจาะจงครับ จะเน้น Marketing Communication เสียมากกว่าครับ เป็นพวกการสื่อสารธุรกิจไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นฟิล์มหรือวิทยุโทรทัศน์ อะไรพวกนั้น

Q : พอมาเริ่มเข้าสู่วงการเนี่ยได้เล่นแสดงละครเรื่องแรกเลยหรือเปล่า หรือต้องไปเรียนการแสดงก่อน

A : ใช้เวลาอยู่ประมาณ 7 เดือนครับก่อนที่จะได้เล่นละครเรื่องแรก เล่นกับพี่บี้และพี่เอสเธอร์ครับชื่อเรื่อง เธอคือพรหมลิขิตครับ ตอนนั้นต้องเรียกว่ายังแสดงไม่เป็นเลยครับยังไม่เข้าใจ แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงเรารู้สึกว่าแค่ท่องบทมาให้ได้ ไม่ต้องพูดผิดแค่นั้นพอครับ


Q : เรื่องแรกถือว่าทำให้แฟนคลับเรารู้จักเราเลยหรือไม่

A : ยังไม่ได้ทำให้คนรู้จักครับเพราะบทยังไม่ได้โดดเด่นหรือฉายแววมาก มาเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็ตอนเรื่องที่ 2 ครับ แต่เรื่องที่ทำให้คนจำได้น่าจะเป็นเรื่องที่ 3 กับที่ 4 สงครามนักปั้น กับ ภาตุฆาต ครับ

Q : ตั้งแต่แสดงมาชอบคาแรกเตอร์จากละครเรื่องไหนมากที่สุด

A : ผมชอบเรื่องภาตุฆาตครับเพราะว่าเรามีออฟเจคทีฟที่ชัดเจน ตัวละครมีโกลที่ชัดเจนแต่ก็ไม่ต่างกับสงครามนักปั้นที่เรามีโกลที่ชัดเจนเหมือนกันสำหรับบทเราเลยรู้สึกว่าเราอินและเราเชื่อกับสิ่งที่เราทำบวกกับการที่เราเล่นเป็นทหาร มันเลยเห็นภาพที่ชัดครับ ตอนนั้นก็ตัดผมเกรียนด้วยแสดงกับเน๋ง แล้วก็มีพี่แหม่มคัทลียา เป็นคุณแม่ครับ


Q : แล้วพอมาสวมบทบาทเป็นท็อปในเลดี้บานฉ่ำนี่จูนอารมณ์นานไหม

A : มันค่อนข้างเป็นดราม่าครับ จริง ๆ ชีวิตผมก็ค่อนข้างจะดราม่าอยู่แล้ว เราเป็นคนเซนซิทีฟกับอะไรง่าย ๆ เลยจูนเข้าหาบทได้ไม่ได้ยากและก่อนหน้านั้นเราก็โดนเคี่ยวเข็ญจากผู้กำกับมาเยอะครับ ในเรื่องที่ 2 เจอกับพี่ปุ๊ย ผอูน จันทศิริ เป็นผู้กำกับ ผมก็โดนกดดันจนร้องไห้เลยตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจบท ไม่เข้าใจการแสดง ไม่เข้าใจในวิธีที่จะต้องแสดงออกมา
ไม่เข้าใจตัวละครจริง ๆ เลยถูกส่งไปเรียนเพิ่มบวกกับประสบการณ์ที่เราอยู่ในห้องเรียนบวกกับประสบการณ์ที่เราทำสนามจริงในสนามจริงมันทำให้เราสั่งสมประสบการณ์และแสดงออกมาได้ครับ

Q : ในชีวิตจริงสมมตินะว่าเราเจอกับเหตุการณ์มีพ่อเป็นสาวประเภทสอง เราจะทำอย่างไร

A : กับคุณพ่อแท้ใช่ไหมครับก็คงแสดงออกเหมือนกับที่ท็อปแสดงในเด็กอายุ 17 แต่เราบวกกับชีวิตจริงเราไม่ได้มันยากสำหรับผม เพราะว่าผมโตมาในครอบครัวที่คุณแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวครับ ซึ่งคุณพ่อก็เจอบ้าง คุณพ่อไม่ได้อยู่กับเราตลอดเหมือนในละคร แต่ซึ่งตัวละครท็อปเป็นครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งมันต่างกับตัวเรามากครับ ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจเพราะว่าทุกวันนี้เราผูกพันกับคุณแม่เสียมากกว่าคุณพ่อ ทำให้เราคลิกมากกว่าแต่พอเรามาเจอคุณพ่อที่กำลังแปลงเพศในละคร เราคิดว่าเรากำลังเสียคุณพ่อไปกลายเป็นเรากำลังเสียแม่ไป คุณพ่อที่จะเทิร์นเป็นผู้หญิงเป็นแม่ ซึ่งเราไม่อยากได้แบบนั้น จริง ๆ เขาก็มีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา


Q : อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ณ จุดนี้เรารู้สึกอย่างไรกับจุดที่เรายืนอยู่

A : ผมรู้สึกว่ามันดีกว่าทุก ๆ ปี เพราะมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ อาจจะไม่ได้โด่งดังแบบก้าวกระโดด แต่เราพอใจกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ผมรู้สึกว่ามันเป็น passion ของเราให้เราไดรฟ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าวันนี้มันยังไม่ดีสักวันมันต้องดีครับ

Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนสนใจแฟชั่นด้วยสไตล์ของเราเป็นอย่างไรบ้าง

A : ครับผม ตอนเด็ก ๆ เป็นคนเลือกใส่เสื้อผ้า เป็นคนเลือกเองตั้งแต่ ม.1-2 ม.1-6 ตอน ม.1-2 ใส่ขาสั้นที่เป็นยีนส์ขาด ๆ ใส่ดอกเตอร์มาร์ติน ไม่รู้เอาความมั่นใจอะไรมาจากไหน แล้วก็ใส่เสื้อมัดย้อมครับมันเป็นแนว ๆ อยู่ ไปเดินจตุจักร ก็ไปเลือกซื้อ Converse ซื้อเสื้อผ้ามือสองไปหลอกขายเพื่อนที่อัสสัมศรีก็มีครับส่วนสไตล์ของเรา ก็ไปเรื่อยครับ จริง ๆ ก็สตรีท บางทีก็วินเทจแล้วแต่วันนี้เราจะไปไหนครับ คือเราก็มีเสื้อผ้าหลาย ๆ แนวไว้ วินเทจก็มีสตรีทก็มี เรียบหรูก็มี ลักชัวรี่แบบแบรนด์เนมก็มีบ้างครับ

Q : กิจกรรมยามว่าง ถ้าไม่ได้ทำงานตรีจะ

A : ตอนนี้ฝึกร้องเพลงอยู่ครับเพิ่งเริ่มร้องเพลงได้ประมาณ 2-3 เดือน

Q : มีแผนจะออกซิงเกิ้ลสินะ

A : ไม่มีแผนครับ แต่ว่ามันต้องใช้ขึ้นคอนเสิร์ต Fantopia ครับก็เลยได้ฝึกร้องเพลงครับ ตอนแรกต้องเท้าความก่อนผมไม่ชอบแสดงออกผมไม่ชอบให้คนมาจับจ้อง ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น ไม่ชอบให้คนมาสนใจ อย่างในไอจีตอนแรกไม่เปิดไอจีพับบลิคนะ ล็อคไว้ ไม่ลงรูป ไม่อะไรทั้งนั้นครับ แต่ทุกวันนี้ต้องเปลี่ยนตัวเองหมดเลย แต่เราไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพราะว่าเราโตขึ้น เราต้องทำงาน เราไม่ต้องมีคำถามว่าเราต้องทำทำไม เราทำพอนะเราทำแล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้อึดอัดอะไร เราก็เลยทำ


Q : วันนี้ถ้าให้ประเมินการแสดงของเราให้กี่คะแนนดี

A : ถ้าจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนเรื่องแรกๆ ผมให้คะแนนอยู่ประมาณ 3 ตอนนี้ผมให้ 7 แล้วกัน ก็อาจจะไม่ได้เต็ม 10 แต่ว่าเรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาขึ้นครับกับการเล่นละคร

Q : พี่สนใจประเด็นหนึ่งที่ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยให้ใครมาจับจ้องมองเราจนถึงขนาดปิดไอจี เป็นคนที่มีสเปซส่วนตัวสูงสินะ

A : ผมไม่ใช่คนเปิด ขนาด Facebook หรือ Hi5 ก็ไม่ชอบ เพื่อนแอดมาใน Facebook ผมยังให้แค่เพื่อนเท่านั้นที่จะมาเป็นเพื่อนเราอีกอย่างผมไม่ชอบถ่ายรูปด้วย ชอบถ่ายคนอื่นมากกว่า แต่ไม่ชอบให้คนอื่นถ่ายเรา ถ้าจะถามว่าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไหมผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะบอกว่าผมมีโลกส่วนตัวสูงหรือไม่สูงอย่างไร ผมว่าตัวเองไม่สูง แต่คนอื่นเขาบอกว่าเธอน่ะโคตรมีสเปซสูงมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ บางทีไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ต้องให้คนอื่นมองครับ


Q : แล้วพอเราเข้าวงการต้องเล่นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพื่อเซิร์ฟกลุ่มแฟนคลับ ปรับตัวยากไหม

A : ปรับตัวยากมากครับต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างที่ผมบอกครับก็แบบมีปากมีเสียงกันนิดหน่อยว่าต้องเปลี่ยนตัวเองนะอาจจะไม่ถึงมีปากมีเสียงนะ แต่เป็นการสอนว่าเราก็ต้องทำครับ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงหรอกเพราะตอนนี้เราก็เข้าใจโลกมากขึ้นครับ เข้าใจว่าเราควรจะทำอะไร เพราะเราทำอะไรอยู่เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว เราเป็นคนของประชาชนทุกคนสามารถพูดถึงเราสื่อสารกับเราได้ครับ

Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปทำไมถึงไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเราล่ะ ไม่มั่นใจในตัวเอง?

A : ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่หล่อครับผมคิดอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พอตอนนี้เราเป็นพระเอกแล้วบางทียังคิดเวลาส่องกระจกว่านี่เหรอพระเอก นี่เหรอที่จะเป็นนักแสดง บางทีไม่มั่นใจในตัวเองด้วยครับมีความรู้สึกแบบนั้น ผมเคยคิดเสมอว่าพระเอกอาจจะต้อง Perfect เสียทุกอย่าง แต่ว่าบางทีมันไม่ต้อง Perfect ก็ได้ พอโตมาถ้ามันไม่ดีก็ไม่เป็นไร ตอนเด็ก ๆ ถ้าไม่ดีก็จะไม่ทำเลย แต่พอโตแล้ว จะคิดอีกแบบ ทำไปก่อนไหม แล้วสักวันมันอาจจะ Perfect ก็ได้

Q : เป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว ตอนนี้ดูแลตัวเองอย่างไรเข้าฟิตเนสบ้างมั้ย

A : ช่วงนี้ จริง ๆ เข้านะครับ แต่เมื่อก่อนเข้าหนักมาก ผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรก็จะทำแบบบ้าไปเลยครับเคยเข้าฟิตเนสที 7 วัน
กินเวย์กินตัวช่วยที่มันทำให้เราเล่นได้เยอะ แต่พักหลัง ๆ นี้พอเรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เราไม่ได้กิน เราไม่ได้เล่นไปเพื่อประกวดเราเล่นเพื่อ maintain สิ่งที่มันมีอยู่แล้วให้มันอยู่ได้นานที่สุดตอนนี้ก็เล่นมาประมาณ 7-8 ปี แล้วครับ ไม่ได้เล่นให้มันใหญ่เพราะเคยตัวใหญ่แบบ 80 โลมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมหนักแค่ 71 ครับ กำลังดี

Q : รักษารูปร่างได้ดีแบบนี้นี่เองเลยทำให้ในบทเรื่องนี้ฉากมีถอดเสื้อบ่อยๆ

A : ครับ มีทั้งถอดเสื้อ มีทั้งบู๊มีทั้งถอดเสื้อและบู๊ เสียน้ำตา หัวเราะ ลุย บากบั่นมากครับเรื่องนี้ บากบั่นจริงๆ ครับ ก็ตั้งแต่ถ่ายมาเรื่องนี้ก็หนักที่สุดแล้วครับ แต่ถ้าถามว่าอายไหมก็ไม่อายนะครับ มันอายไม่ได้ เพราะมันต้องทำครับ เราก็ต้องภูมิใจ เราต้องมั่นใจนิดหนึ่งครับเพื่อเราจะได้แสดงออกมาดี และบางทีเราอาจจะเป็น passion ให้คนอื่นที่อยากจะมีหุ่นที่ดีเหมือนเราก็ได้นะครับ


Q : วางเป้าหมายของตัวเองไว้ว่าอย่างไรว่าอีก 5 ปี ข้างหน้า หรือ 10 ปี ข้างหน้าเราอยากจะทำอะไรอยากจะไปอยู่ตรงจุดไหน

A : อยากอยู่ที่จุดไหนไม่เคยมองภาพไกลขนาดนั้นครับ อยากให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มากกว่าเราไม่ได้มีเป้าหมายว่าเราถึง เราอาจจะมีเป้าหมายว่าอายุเท่านี้เราอยากเป็นแบบนี้ แต่ว่าสำหรับหน้าที่การแสดงมันก็มีเป้าหมายไม่ได้จริง ๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปมันจะดีหรือไม่ดี มันจะได้หรือไม่ได้ ซึ่งถ้าเราคาดหวังมาก ๆ มันจะเป็นมีดมาทิ่มแทงเรามากกว่าเพราะถ้าวันหนึ่งที่เราผิดหวังแล้วเราเสียใจ มันอาจจะเสียใจมากกว่าคนอื่น ๆ เขาอะไรอย่างนี้ ไม่อยากทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า ก็ถ้ามันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปแล้วมันไม่ทำร้ายเรา มันน่าจะดีกว่าครับ

Q : ฝากผลงานล่าสุดหน่อยครับ

A : ก็ขอฝากละครเรื่องเลดี้บานฉ่ำด้วยนะครับทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางช่องวันนะครับ รับบทเป็นท็อปนะครับ ก็ฝากให้กำลังใจผมเยอะ ๆ นะครับ แล้วก็ฝากให้กำลังใจพี่นักแสดงท่านอื่นด้วยนะครับรับรองว่าทุกคนจะได้ทั้งเสียงหัวเราะน้ำตา รอยยิ้ม แล้วก็ความอบอุ่น ความข้อคิดดีๆ แน่นอนครับ ฝากด้วยนะครับ เลดี้บานฉ่ำครับ

]]>