Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
นักแสดง – Marshomme https://marshomme.com Tue, 19 Apr 2022 14:05:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png นักแสดง – Marshomme https://marshomme.com 32 32 เหลือไว้เพียงผลงาน อาลัย ‘บีม ปภังกร’ นักแสดงนำจากซีรีส์ไทยเรื่องแรกของ Netflix https://marshomme.com/interview/529822/ Wed, 23 Mar 2022 14:35:00 +0000

           ตกใจไม่น้อย เมื่อทราบข่าวการจากไปกะทันหันของ ‘บีม ปภังกร’ หนึ่งในนักแสดงมากฝีมือ   ที่เคยร่วมงานถ่ายแฟชั่น E photobook กับ mars homme เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของบีม กับบทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่บีมเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับเรา….


          แม้ซีรีส์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ทั้งหลายจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยอดวิวของทุกแพลตฟอร์มกลับมาทะลุเป้าแบบไม่เหนือความคาดหมาย เพราะโรคระบาดนั่นไง ที่ทำให้เราไปไหนมาไหนไม่ได้ จำต้องหาความบันเทิงเสพชิลล์ๆ แก้เครียดไปวันๆ

           หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ฮิตมากๆ ก็คงต้องยกให้เน็ตฟลิกซ์แหละ ที่มีทั้งหนังและซีรีส์เด็ดๆ จากทั่วโลกให้ชมชนิดที่เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่หนึ่งออจินัลซีรีส์ของค่ายนี้ที่น่าจับตามองมากที่สุด คงต้องยกให้ #เคว้ง เพราะนอกจากเป็นซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix แล้ว เรายังได้พิสูจน์ฝีมือการผลิตและการแสดงของคนไทยล้วนๆ ทั้งนักแสดงและผู้กำกับอีกด้วย

            หนึ่งในนักแสดงนำที่โดดเด่นมากจากซีรีส์เคว้ง ก็คือ ‘บีม-ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์’ ที่ได้รับคำชมอย่างมากมาย เรามีคำถามหลายข้อที่อยากจะฟังคำตอบจากปากหนุ่มคนนี้ชัดๆ


feedback จากเคว้งที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

         ส่วนตัวผมมองว่าค่อนข้างโอเคนะครับ มีทั้งติทั้งชม ชมเราก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้ตัวเองนะครับ แต่ว่าส่วนคำติ ผมเก็บมาพัฒนาตัวเอง แล้วอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่อันไหนที่อ่านแล้วเรามองว่าเอออันนี้มันจริง เรานำมาปรับปรุงพัฒนาในอนาคตได้

ที่ติเขาติเรื่องอะไร

         ส่วนใหญ่คือด้วยตัวบทครับ ผมว่ารู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้เฉลยให้เคลียร์ แล้วยังไม่ได้เฉลยให้จบซะทีเดียว คนเลยสงสัยกัน

เตรียมไว้ซีซั่น 2 ไหมเพราะกระแสซีซั่นแรกค่อนข้างดี

          ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหรือเปล่าครับ เขาบอกว่าต้องรอทาง Netflix แจ้งอย่างเป็นทางการมาก่อน ส่วนเรื่องกระแสค่อนข้างโอเคอยู่ครับ ทาง Netflix เขาค่อนข้างพอใจ

ทำไมถึงได้มาแคสต์เล่นซีรีส์เรื่องนี้

         มาแบบงู ๆ ปลา ๆ มากเลยครับ คืออยู่ๆ พี่เขาเรียกเข้ามาแคสต์ เราไปแคสต์แบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรเลย เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยว่าเป็น Netflix ครับผม


คือไม่ได้ให้รายละเอียดเลยว่า แสดงเรื่องอะไร แนวไหน รับบทเป็นใคร ใช่มั้ย

         คือตัวที่แคสต์ก็เป็นตัวที่ชื่อคราม แค่นั้น รู้แค่ว่าชื่อคราม เป็นลูกชาวประมง เด็กใต้ ชาวเกาะ อะไรประมาณนี้ครับ แค่นี้ นอกนั้น ไม่รู้อะไรเลย สงสัยที่เขาเลือกผมเพราะหน้าตาเข้มๆ คมๆ เหมือนเด็กใต้มั้งครับ

จริงๆ บีมเป็นคนกรุงเทพฯ หรือคนใต้

         คนกรุงเทพฯ ครับ แต่มีคนถามผมเยอะมากว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ยิ่งเล่นเรื่องนี้เสร็จ มีคนมาถาม เต็มเลยว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ไม่ใช่ครับนะครับ คนกรุงเทพฯ เกิดที่นี่

บีมเข้าวงการมานานหรือยัง

        ตั้งแต่ 16 ครับ ตอนนี้ 24 ก็ปีที่ 8 แล้วครับ


ตอนนั้นที่เข้ามาวงการเริ่มจากน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ใช่มั้ย

       ใช่ครับ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ครับ มีเปิดเป็นออดิชั่นครับ รับน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์แก๊งใหม่ เราก็เข้าไปประกวด มันเป็นประกวดครับ พอเราประกวดเสร็จเราก็ต้องเก็บตัวแป๊บหนึ่ง แล้วมีแข่งรอบสุดท้าย กว่าจะเลือกประมาณเดือนหนึ่งได้ครับผม

ใครชวนไปแคสต์

         ตอนนั้นคุณแม่เป็นคนผลักดันครับ พอแม่เห็นประกาศว่ามีรับน้องแก๊งใหม่ เขาบอกผมให้ลองไปดู อยากให้ลูกกล้าแสดงออกประมาณนี้ครับ คือแม่ผมจะชอบให้ผมอยากจะไปทำอะไรพวกนี้ ไปประกวด ลองไปดูนู่นดูนี่ตั้งนานแล้ว คือเขาอยากให้ผมกล้าแสดงออก แล้วเราก็ไม่เคยไปสักที่ แต่อันนี้เราก็ว่าเราลองไปดู

แล้วที่ไปเล่นหนัง Water Boyy ล่ะ

        Water Boyy เนี่ยเล่นอยู่ในระหว่างที่เล่นช่วงน้องใหม่ไปประมาณ 2 ปี แล้ว แล้วก็มี Water Boyy เข้ามาครับผม ตอนนั้นผมเห็นว่าบทมันน่าสนใจดี ก็เลยลองไปเล่นแค่นั้นเลยครับ ไม่ได้คิดอะไรมากหลังจาก Water Boyy ก็มีน้องใหม่ถ่ายมาเรื่อยๆ ครับ แล้วผมก็มีละครช่อง 3 มิสเตอร์เมอร์แมนบ้าง มี Project S The Series ของนาดาวครับ ตอน Spike ครับ ที่เป็นตอนของนักวอลเลย์บอล แล้วก็มีซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องรักหลับครับ ออนแอร์ทางช่อง 3 SD ครับ

ตอนนี้กำลังถ่ายอะไรอยู่

         ตอนนี้ก็มีถ่ายซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่งครับ แต่ว่าช่องทางออนแอร์ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นทางไหนเป็นซีรีส์เกี่ยวกับการแข่งเปียโนประมาณนี้ครับ เรื่องราวมันก็จะมีปัญหากันในระหว่างการแข่งประมาณนี้ครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมขออุบไว้ก่อนดีกว่า


อยู่วงการนี้มาหลายปี รู้สึกพอใจในจุดที่เราอยู่ตอนนี้ไหม

        พอใจไหม ผมว่าตอนนี้มันก็โอเคอยู่นะครับ เพราะถือว่าเราได้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ครับ อาจจะยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไร แต่ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้น ผมอยากพัฒนาตัวเองให้มันดีพร้อมที่จะไปอยู่ตรงนั้นในวันที่โอกาสเข้ามาจริงๆ มากกว่าครับ แล้วตอนนี้ผมมองว่ามันเป็นช่วงที่เรากำลังพัฒนาตัวเองให้ฝีมือเก่งๆ กว่านี้ก่อนครับ

ผลงานที่เคยมีมาชอบบทไหนมากที่สุด

ตัวน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ผมก็ชอบนะครับ ตัวที่ผมเล่นชื่อปราบภัย เคว้งนี่ผมก็ชอบ

บทครามกับบีมนี่ต่างกันมากน้อยแค่ไหน

ช่วงแรกๆ ต่างกันเยอะมากในการแบบจูนอิน เขาเรียกว่าอะไร outer ของเรา เราเป็นคนแบบไม่ค่อยใจเย็นครับ เป็นคนทำอะไรรีบๆ ลุกลี้ลุกลน เป็นไฮเปอร์ แต่ว่าตัวครามเขาจะนิ่งๆ ใจเย็นๆ ชิลล์ๆ เป็นชาวเกาะด้วย ดูสุขุมกว่าใช้เวลาจูนอยู่สักพักหนึ่งนะครับ มีพี่จินผู้กำกับช่วย แล้วเวลาเราอยู่กอง ไม่ใช่อยู่กองเดียว ตอนที่ถ่ายทำเราต้องย้ายตัวเองไปอยู่เกาะนานๆ ครับ มันช่วยเราตรงนี้ด้วย ระหว่างนั้นเราก็พยายามทำให้ใจเย็นและนิ่งให้มันมากขึ้นตลอดครับ


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนไฮเปอร์

         ผมอยู่ไม่ค่อยสุขครับ แล้วเวลาผมทำอะไรผมทำเร็วๆ ผมไม่ได้แบบทำช้าๆ เวลาทำช้าๆ แล้วผมอึดอัด แต่พอหลังจากผมเล่นเคว้งมา ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะอยู่ เปลี่ยนไปในเรื่องของความใจเย็น นิ่งลง วิธีคิดก็ค่อนข้างเปลี่ยนเยอะ

ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงบีมจะเป็นอะไร

         นั่นสินะ ผมคิดอยู่ตลอด อาจจะยังเพิ่งเรียนจบ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพราะตอนก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง มันก็ยังไม่ใช่เป็นช่วงที่เราคิดได้ว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะไปเรียนสายไหน จบมาทำอะไร นึกไม่ออกเลยเหมือนกันครับ

ถ้าสมมุติว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว เราอยากทำอะไรต่อ

         ผมอยากทำธุรกิจ แต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าผมต้องการจะทำอะไร ณ ตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ คือผมอยากทำธุรกิจ อยากขายของ อยากลองดูสิ่งที่เราไม่เคยทำเหมือนกันครับ

ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบ้างมั้ย

           เล่นกีฬาครับ ผมเตะบอล ต่อยมวย ฟิตเนสบ้าง เอาหมดเลยครับ ผมชอบเล่นกีฬามาก แต่ว่าพิลาทิสเหมือนที่แม่ผมสอนอยู่เนี่ย ผมว่ามันไม่ใช่ทางของผมเท่าไร เรื่องดูแลตัวเอง ผมไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนั้นครับ ผมตามใจตัวเองเรื่องกิน แต่ว่าผมจะออกกำลังกายอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นมันก็จะแล้วแต่ช่วงเวลาครับ ช่วงไหนออกกำลังเยอะ หุ่นจะดี มันก็จะมีอารมณ์อยากไปออกกำลังกายเยอะ ช่วงไหนที่ขี้เกียจๆ มันก็จะเผละหน่อย


อยู่วงการมาหลายปี มีงานหรือบทบาทอะไรที่เรายังไม่เคยรับ และมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาส เราอยากจะไป challenge ตัวเองกับสิ่งนั้นบ้าง

          นึกไม่ออกเลยครับตอนนี้ สมมุติถ้าเข้ามาอย่างนี้ แล้วเราเห็นแล้วว่า เฮ้ยน่าลอง ผมก็คงโอเคครับ แต่หนังผมอยากเล่นอีกนะ เพราะเล่นมาเรื่องเดียว อยากลองอีกเหมือนกัน อ๋อ ผมนึกออกแล้ว ผมอยากเล่นหนังแบบชีวประวัติแบบต่อยมวย อันนี้ผมอยากเล่นมาก อยากเล่นหนังต่อยมวย แบบว่าเป็นชีวประวัติที่แบบนายขนมต้มอะไรอย่างนี้ครับ อันนี้อยากเล่นมาก

ประเมินผลงานตัวเองที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

            มันควรจะดีกว่านี้ครับ แต่ ณ ตอนที่เราได้ทำ เราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่สมรรถภาพเราสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้มันก็เป็นเรื่องของการที่เราไปพัฒนาตัวเอง ระหว่างที่เราไม่ได้รับงาน ไม่ได้ทำงาน ที่ทำให้เราได้ไปทำงานครั้งหน้า มันอยู่ในสภาพที่พร้อมและฟิตกว่านี้ เวลาเรามองย้อนกลับมาดูงานอีก เราจะได้ไม่แบบเสียดายว่า เฮ้ย ตรงนี้เราน่าจะดีกว่านี้ ทุกครั้งเราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่เราทำได้ที่สุด และพยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ หรือว่าจริงๆ แล้วจนถึงวันหนึ่งที่ผมแก่มากๆ ผมก็อาจจะยังไม่พอใจในผลงานตัวเองก็เป็นไปได้ครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมมองว่าจริงๆ แล้วมันก็มีอะไรให้พัฒนาขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ

ดาวน์โหลด E Photobook และบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม รวมไปถึงเบื้องหลังคลิปวิดีโอของ ‘บีม ปภังกร’ ได้เร็วๆ นี้

https://www.mebmarket.com/ebook-124286-Mars-Homme-Magazine-Online-BEAM


https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/2f044a59-0536-49d5-b979-b67c0028fc99/mars-homme-magazine-online-beam

Text :  Takeshi West

]]>
‘เรเก-ฌอง เพจ’ หนุ่มฮอตฮิตของโมงยามนี้ จากซีรีส์ ‘Bridgerton’ https://marshomme.com/scoop/531644/ Mon, 25 Jan 2021 10:08:00 +0000

Netflix ทำยอดผู้ชมทะลุเป้ากับซีรีส์คลิเช่ เว่อร์วัง อลังการโรแมนติก และเซ็กซี่ๆ เรื่อง ‘Bridgerton’ ที่เริ่มสตรีมกันตั้งแต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมาใน 76 ประเทศ จำนวนการชม 63 ล้านครั้ง จนไต่อันดับหนึ่งในโผท็อป 10

‘บริดเจอร์ตัน’ แม้จะไม่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ว่าเป็นซีรีส์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแต่มันก็ชนะใจผู้ชมได้ ด้วยแคสติ้ง คอสตูม และความอลังการของฉากย้อนยุคถอยหลังไปสองร้อยปีที่เติมแต่งให้ดูทันสมัย โดยเฉพาะเรื่องคอสตูม แค่ตัวนางเอก ‘ดาฟนี บริดเจอร์ตัน’ (แสดงโดยฟีบี ไดเนอเวอร์) ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลบริดเจอร์ตันนั้นมีการออกแบบชุดเตรียมไว้ถึง104 ชุด

แต่ประเด็นฮอตสุดของซีรีส์เรื่องนี้ในมุมมองของผู้ชมสาวน้อยสาวใหญ่ หนีไม่พ้นนักแสดงชายผิวสีและหน้าตาคมเข้มที่ชื่อเรเก-ฌอง เพจ (Regé-Jean Page) รับบทเป็น ‘ไซมอน แบสเซ็ต ดยุค แห่งเฮสติงส์’ ที่ตกปากรับคำว่าจะทำตัวเป็นคู่ควงของนางเอก


จะไม่ฮอตได้อย่างไรเล่า เพราะตั้งแต่ Netflix เริ่มปล่อยซีรีส์เรื่องนี้ออกมา พระเอกผิวเข้มคนนี้มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นแบบทะลุเป้า ยามนี้ยอดอยู่ที่ 2.7M แล้ว เรียกว่าก้าวกระโดดจากตัวเลขหลักหมื่นถึงหลักล้านครึ่งได้ภายในสามวัน

จากซิมบับเวสู่แวดวงมายา

เรเก-ฌอง เพจ เป็นลูกครึ่งซิมบับเว-อังกฤษ เกิดเมื่อปี 1990 ที่เมืองหลวงฮาราเรของซิมบับเว (ก่อนปี 2009 ยังใช้ชื่อเมือง ซอลส์บรี) เขาเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวพี่น้องสี่คน แม่เป็นพยาบาลในซิมบับเว ส่วนพ่อเป็นนักสอนศาสนาชาวอังกฤษ


ซิมบับเวในความทรงจำของเขาคือ “มันร้อน สวยงาม แห้งแล้ง และจะเปียกแฉะมากเวลาฝนตก แต่มันเป็นที่ที่สวยงามที่สุดในโลก”

ตอนเขาอายุ 14 ปีครอบครัวโยกย้ายไปกรุงลอนดอน และเข้าเรียนด้านการแสดงเมื่อตอนอายุ 19 ที่ National Youth Theatre of Great Britain เขามีโอกาสได้แสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ ‘Harry Potter and the Deathly Hallows’ ภาคแรกด้วย


ปี 2013 เรเก-ฌองเรียนจบจาก Drama Centre London จากนั้นเริ่มเข้าสู่เส้นทางการแสดงในสายละครเวที กระทั่งในปี 2016 ถึงมีโอกาสได้ร่วมงานกับทีมงานของอเมริกา ในมินิซีรีส์เรื่อง ‘Roots’ ปีเดียวกันเขายังได้รับบทนำชายใน ‘Spark’ อีกด้วย

ผลงานภาพยนตร์ของเรเก-ฌอง ได้แก่ ‘Survivor’ (2015) ‘Second Summer of Love’ (2016) ‘The Merchant of Venice’ (2016) ‘Mortal Engines’ (2018) และ ‘Sylvie’s Love’ (2020) ส่วนซีรีส์ หลังจาก ‘Spark’ แล้ว เขามีโอกาสได้ร่วมงานในซีซั่นที่สองของ ‘For the People’ (2018-2019) ก่อนจะกลายเป็นหนุ่มฮอตในชั่วข้ามคืนกับ ‘Bridgerton’


ความสามารถด้านดนตรี

นอกจากการแสดงแล้ว เรเก-ฌองยังมีความสนใจด้านดนตรี เขากับพี่ชาย-โทส เพจก่อตั้งวงดูโอขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ‘Tunya’ ในเว็บไซต์ของวงอธิบายเกี่ยวกับพี่น้องคู่นี้ว่า “เขียนเพลงร่วมกัน และเคยร่วมแจมกับวงต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ทุกวันนี้ทั้งคู่ทำเพลงอิสระ”


Tunya เพิ่งมีผลงานเพลง ‘Don’t Wait’ ปล่อยออกมาทางยูทูป (https://www.youtube.com/watch?v=GP6ETNUyiSY) และเรเก-ฌองเป็นคนร้องเพลงนี้ มีการถ่ายทำเป็นหนังสั้นซึ่งกำกับฯ และออกแบบท่าเต้นโดยลันเร มาลาโอลู

Good Kisser

เลิฟซีนในซีรีส์ โดยเฉพาะใน ‘Bridgerton’ มีค่อนข้างเยอะ บางซีนก็จะเห็นคู่พระ-นางเปลื้องผ้า บทจูบปากนี่ก็เหมือนกัน ดูเป็นเรื่องธรรมดาของซีรีส์ตะวันตก

ลอนดอน ฮิวจ์ส-คอมเมเดียนสาวชาวอังกฤษ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Glamour ว่าเธอเคยทำงานร่วมกับเรเก-ฌองในรายการโชว์ ‘Sitcom in the U.K. that never got made’ แล้วมีฉาก ‘จูบครั้งแรก’ กับเขา


“เขาทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจกับฉากจูบมากเลย เพราะฉันไม่เคยทำมาก่อน และมักจะรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่เขาเป็นมืออาชีพมาก สุดยอดจริงๆ” จนทำให้เธออยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่า ฉากเซ็กซ์ของเขาใน ‘Bridgerton’ จะเป็นอย่างไร

นอกเหนือจากนั้น ฮิวจ์สยังยืนยันด้วยว่าระหว่างเธอกับเขาเป็นความสัมพันธ์แค่เพื่อน และข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเรเก-ฌองกับนางเอกใน ‘Bridgerton’ เจ้าตัวยืนยันเช่นกันว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ที่สนิทสนมและเข้าใจกันได้ดีเท่านั้น

เจมส์ บอนด์คนใหม่?

จากก่อนหน้าที่เคยมีข่าวการเฟ้นหาตัวนักแสดงคนใหม่มารับบท ‘เจมส์ บอนด์’ แทนแดเนียล เครก ในโผเคยมีรายชื่ออย่าง พอล เมสคาล จาก ‘Normal People’ เฮนรี คาวิลล์ จาก ‘Superman’ ซิลเลียน เมอร์ฟีย์ จาก ‘Peaky Blinder’ และไอดริส เอลบา-หนุ่มผิวสีที่ดูเหมือนจะไล่แซงใครต่อใครมาทุกโค้ง


จนกระทั่งเมื่อสอง-สามสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากกระแสของซีรีส์ ‘Bridgerton’ เริ่มเข้าสู่วงจรข่าว ชื่อของเรเก-ฌอง เพจดูเหมือนจะทำให้โผพลิก

แม้เรื่องนี้จะยังไม่เป็นกระแสในข่าวหลัก แต่อย่างน้อยบรรดาแฟนคลับก็มีการไถ่ถามในทวิตเตอร์และอินสตาแกรม ว่าเขากำลังจะกลายเป็น 007 คนถัดไปหรือเปล่า

เสียงของเขาเกี่ยวกับคนผิวสีบนจอหนัง

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เรเก-ฌองให้สัมภาษณ์นิตยสาร InStyle เกี่ยวกับการได้เห็นภาพความสุข รื่นเริงของคนผิวดำบนจอหนัง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในอดีต


“ในวัฒนธรรมหนังหรือซีรีส์ที่เราพบเห็นบ่อยครั้งก็คือ ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีต เราจะเห็นแต่คนผิวขาวเท่านั้นที่แสดงออกถึงรอยยิ้มแห่งความสุข แต่คุณรู้ไหม เราทุกคนรู้จักที่จะยิ้มมาตั้งแต่โลกยุคแรกๆ เราทุกคนแต่งงานมีครอบครัวกันมาตั้งแต่โลกยุคแรกๆ เราทุกคนมีความโรแมนติก ความเย้ายวนใจ และความงดงาม นั่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ ฉะนั้นละครพีเรียดสำหรับผู้คนที่ไม่ใช่ผิวขาว ไม่ควรที่จะหมายถึงแค่ความทุกข์เศร้าเท่านั้น”

และเขายังพูดถึงบทบาทของตนเองใน ‘Bridgerton’ ด้วยว่า “ถ้าเราอดทนกับพระเยซูผิวขาวมาได้นานขนาดนี้แล้ว ทำไมผู้คนจะทนกับดยุคที่ผิวดำไม่ได้เล่า”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
‘ไอซ์’ ภาณุวัฒน์ เปรมมณีนันท์ ชายที่มาพร้อมกับความสุขุม และเงียบงัน https://marshomme.com/interview/531240/ Fri, 24 Jul 2020 06:51:00 +0000

นอกจากความสูงเกินมาตรฐานชายไทยแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลา อ่อนใส แถมเส้นผมนุ่มสลวยปล่อยยาวยังดูเซอร์และสะดุดตาอีกด้วย

‘ไอซ์’ ภาณุวัฒน์ เปรมมณีนันท์ เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด แต่มีเหตุให้ต้องโยกย้ายมาเป็นพลเมืองพัทยาตอนอยู่ ป.หนึ่ง ตอนนี้อายุ 24 ปี กลายเป็นนายแบบและนักแสดงที่เคยผ่านตาใครๆ มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจากโฆษณา Coke งานเดินแบบแฟชั่นโชว์แฟชั่น วีค งานบอลของช่อง 3 เมื่อปีกลาย หรือตัวละครโรคจิตในซีรีส์ ‘Social Death Vote’ ทางช่อง 28 ทุกวันนี้เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่งดวงใหม่ในสังกัดของช่อง 3 และอยู่ในความดูแลของ JSL

ไอซ์ยังเป็นนักศึกษาปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณาประชาสัมพันธ์ยุคดิจิตอล มหาวิทยาลัยศรีปทุม แต่ยังแบ่งเวลามารับงานแสดง ซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดกล้องถ่ายละครถึงสองเรื่อง ‘วาสนารัก’ (จากบทประพันธ์ของจุฬามณี) ทางช่อง 33 และ ‘เก็บแผ่นดิน’ ละครรีเมคของค่ายเป่า จิน จง


ไอซ์เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างไร

เริ่มจากความคิดที่อยากจะแบ่งเบาภาระของที่บ้านครับ ตอนอยู่ ม.5 ผมส่งอีเมลถึงพี่ปิ๊ก (ฌานฉลาด ทวีทรัพย์) ตอนนั้นเขียนบอกพี่เขาว่าผมอยากเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และบอกด้วยว่า ถ้าพี่ไม่เลือกผม กรุณาตอบกลับด้วยนะครับ ผมจะได้ไปหาที่อื่น (ยิ้ม) พี่ปิ๊กตอบรับ และให้คนติดต่อเรียกตัวผมไปคุย

ผมก็นั่งรถจากพัทยาเข้ามากรุงเทพฯ คนเดียวเลย มาคุยกับพี่เขา หลังจากนั้นเขาก็พาไปเข้าคลาสแอ็กติ้ง ฝึกบุคลิกภาพ เพื่อให้พร้อมกับการทำงานในวงการ

ตอนนั้นรู้ตัวหรือยังว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลยครับ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออกด้วย แม้กระทั่งมองหน้าผู้หญิงผมยังไม่กล้าเลย (ยิ้ม) หลังจากที่ทำลายกำแพงเรื่องแอ็กติ้งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ขี้อายมากๆ


งานแรกที่ได้รับเป็นงานอะไร

เป็นงานโฆษณาครับ โฆษณา Coke หลังจากนั้นก็เป็นถ่ายแบบ เดินแบบเสียส่วนใหญ่ ก่อนที่จะมาเล่นซีรีส์ ‘Social Death Vote’ เรื่องแรก ก็ไปแคสต์ก่อน แล้วผู้ใหญ่เห็นว่าดูภาพรวมแล้วบทน่าจะเหมาะกับตัวผม คือบทคนโรคจิต หรือคนที่มีความกดดันในตัวเองสูง ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยพูด

เรื่องแรกที่ว่ายากและกดดันแล้ว ตอนนี้เพิ่งเปิดกล้องอีกสองเรื่องไล่เลี่ยกัน คิดว่าจะยากกว่าไหม

ยากครับ มันกดดัน เวลาที่ได้รับโอกาสหรือบทดีๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่า ทำอย่างไรก็ได้อย่าให้ต้องเสียโอกาสที่ดีๆ นั้นไป ผมต้องศึกษาบท ทำการบ้าน ซื้อหนังสือมาอ่าน นิยายเล่มหนาอยู่ครับ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยอ่านหนังสือเกินสิบหน้ามั้งครับ แต่นี่ห้าร้อยกว่าหน้า สองเล่ม แต่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองเหมือนกันนะครับ ที่พร้อมและกล้าที่จะพัฒนาตัวเอง

สำหรับเรื่อง ‘เก็บแผ่นดิน’ ผมทำการบ้านด้วยการไปดูงานเก่าที่พี่กัปตัน (ภูธเนศ หงส์มานพ) เคยเล่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่กัปตันสอนผมหลายอย่างมาก และค่อนข้างจริงจังกับงานกำกับ และมีความคาดหวังมาก

ก็กดดันเป็นธรรมดาครับ พี่กัปตันกำกับเองด้วย ยิ่งเขาเคยเล่นบท ‘มินทะดา’ มาก่อน แล้วผมมารับบทนี้ต่อจากเขา กดดันมากๆ ครับ แต่ผมก็บอกพี่เขานะครับว่า มีอะไรสอนผมได้ตลอด


ตอนนี้รับรู้ด้วยตัวเองหรือยังว่าการแสดงเป็นเรื่องยากหรือง่าย

ความจริงตอนแรกผมคิดว่ายาก คงทำไม่ได้ แต่พอได้เริ่มสัมผัส ได้ลองทำงานจริงๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด แค่เราสนุกกับมัน เราแข่งกับตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งกับใคร แล้วพยายามศึกษาข้อมูล ค้นคว้าทุกอย่าง อย่างเช่น บทคนโรคจิตที่ผมเคยเล่น ผมก็ต้องไปศึกษาอาการของโรคนี้ จนเข้าใจว่า ถึงแม้เขาจะโรคจิต แต่ข้างในเขาก็มีหัวใจ


นอกจากงานแสดงแล้ว ไอซ์ยังเล่นดนตรีด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ผมเป็นมือเบสวง The Fins (ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน นอกจากไอซ์แล้วยังมีแฟรงค์กี้ วีรภัฎ-กีตาร์ นินิว ศุภฤกษ์-กีตาร์ และสมิธ ภาสวิชญ์-ร้องนำและคีย์บอร์ด) แต่ตอนนี้ต้องเบรกงานดนตรีไว้ก่อนครับ เพราะสมาชิกวงแต่ละคนเล่นละครกันหมด ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง

คือเราไม่อยากจะโฟกัสงานสองอย่างพร้อมๆ กัน เพราะเรายังใหม่กันอยู่ ผมเองยังอยากโฟกัสที่งานละครเป็นหลัก เพราะถ้าทำคู่กันไป งานอาจจะเสียได้ ก็เลยคิดว่า เราแยกกันสักพักดีกว่า แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยกลับมารวมตัวกันอีกก็ได้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา

เพราะยังมีแฟนคลับอยู่

ใช่ครับ ก็มีแฟนคลับที่คอยติดตามวงเราอยู่ เคยมีผลงานเพลงเดียวคือ ‘แหม’


ไอซ์แบ่งเวลาเรื่องงานกับเรื่องเรียนอย่างไร

ผมพยายามจัดเวลาช่วงเช้าให้กับการเรียนครับ แต่ถ้าขาดเรียนหรือเรียนไม่ทันเพราะติดงาน ผมจะเข้าไปคุยกับอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ก็ช่วยเหลือครับ

เป็นนักแสดงมีสิทธิพิเศษไหม

ไม่มีครับ ผมก็ต้องทำงานส่งตามเวลา เหมือนนักศึกษาทั่วไป มีเพื่อนน่ารักคอยช่วยเหลือ

จะเรียนจบตามเวลาที่กำหนดไว้หรือเปล่า

ปีหน้าผมก็จบแล้วละครับ (หัวเราะ) ความจริงผมเรียนช้ากว่ากำหนดมาปีหนึ่งครับ เพราะว่าผมไปอยู่ญี่ปุ่นมาครึ่งปีด้วย

ทำไมถึงเลือกเรียนด้านโฆษณา

ความจริงผมคิดจะเลือกเรียนภาพยนตร์ดิจิตอล พอดีผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เห็นการคิดโฆษณาให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของที่นั่น ผมชอบความคิดสร้างสรรค์ของเขาครับ ก็เลยทำให้ผมอยากศึกษาด้านโฆษณา

อันนี้คิดเผื่ออนาคตด้วยไหม

ครับ ผมชอบดูอะไรที่มันสร้างสรรค์ครับ อย่างเช่น บิลบอร์ดโฆษณาต่างๆ หรือโฆษณาทางทีวี


มีงานโฆษณาของญี่ปุ่นอะไรบ้างที่ไอซ์รู้สึกว่ามันโดน

ส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณาเช่น ดื่มนมเพื่อเพิ่มกำลังและสุขภาพ ครีเอทีฟเขาจะคิดมุขอะไรที่ตลกๆ หรือดราม่าไปเลย แล้วปิดท้ายด้วยโฆษณาสินค้า

เป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 3 แต่อยู่ในความดูแลของ JSL มีกฎเหล็กอะไรให้ต้องปฏิบัติไหม

ไม่มีครับ เพียงแต่เขาจะคอยสอนให้ดูแลตัวเอง ให้ดูแลภาพลักษณ์ตัวเอง

เข้ามาทำงานในวงการแล้ว ไอซ์มีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับวงการบันเทิง

ผมว่าเหมือนเราต้องพร้อมอยู่เสมอครับ เช่น สมัยนี้เราไปออกงานโชว์ตัว จะไปยืนเฉยๆ ก็ไม่ได้ เราต้องมีความสามารถ อย่างผมนี่เมื่อก่อนไม่กล้าที่จะร้องเพลง ผมไม่ชอบเลย อายที่จะร้องเพลง แต่เดี๋ยวนี้ผมต้องพยายามร้องเพลงให้ได้ ต้องเต้นให้ได้ ผมต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง จะอายไม่ได้อีกแล้ว มาขนาดนี้แล้ว ถ้าอะไรที่มันไม่นอกเหนือจากขอบเขตที่เราทำได้ ผมก็จะทำ


มีความน่าอึดอัดอะไรบ้างไหมในวงการ

คงเป็นเรื่องของการดูแลภาพลักษณ์มั้งครับ ผมไม่แน่ใจนะ แต่ต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน เรื่องการแต่งตัวก็ถือว่ามีส่วน เราจะใส่กางเกงบ็อกเซอร์ไปเดินซื้อของก็ดูไม่ดี ใช่มั้ยครับ

เรื่องการแต่งตัว ตอนแรกก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล พอผมได้ไปออกงานบ่อยขึ้น ได้ไปเดินแบบถ่ายแบบมากขึ้น ผมก็เริ่มมีเทสต์ของตัวเอง พอจะรู้ว่าแฟชั่นคืออะไร เดี๋ยวนี้สามารถศึกษาได้ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองก็พอครับ

กลับบ้านที่พัทยาบ่อยไหม

ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าวันไหนว่างจริงๆ ไม่มีงานก็จะกลับบ้าน

พัทยามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง

ทะเลมั้งครับ เซ็นทรัล พัทยาบีช ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่าเขาฮิตเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ถามว่าผมคุ้นเคยกับพัทยาไหม ผมก็คุ้นเคยนะครับ ตอนเด็กๆ ผมก็เที่ยวตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ขับรถแว้นกัน (หัวเราะ) สมัยเรียนน่ะครับ ผมชอบตามเพื่อนมากกว่า


เรื่องความรักล่ะ ตอนนี้มีหรือยัง

ตอนนี้มีคนคุยแล้วครับ ไม่มีอะไรปิดบัง คุยอย่างเดียวครับ

คาดหวังอะไรกับความรักบ้างไหม

ฮืมม์ คาดหวังเยอะไปมันก็จะเสียใจหนักเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนผมคาดหวัง ก็เจ็บทุกครั้งครับ

ถ้าสมมุติว่ามาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างงานกับความรัก ไอซ์จะเลือกอะไร

ผมเลือกเอางานก่อนครับ คือผมยังเด็ก กำลังเริ่มที่จะมีงาน ผมคงต้องเลือกทางนี้ก่อน ส่วนความรักจะมีเมื่อไหร่ก็ได้ ผมว่างานสำคัญกว่า ตอนนี้นะครับ

ทุกวันนี้ไอซ์มีความสุขกับอะไรบ้าง

ผมแฮปปี้ที่สามารถแบ่งเบาภาระของที่บ้านได้ และแฮปปี้ที่คนเริ่มรู้จักผมมากขึ้น แฮปปี้ที่ผมเริ่มพัฒนามากขึ้น จากที่แต่ก่อนไม่ค่อยมีความกล้า เป็นเด็กขี้อาย

ความคาดหวังในอนาคตล่ะ อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไร

ผมไม่อยากคาดหวังอะไรมาก นอกจากจะทำงานที่ทำอยู่ให้ออกมาดีที่สุด อยากให้คนจดจำงานแสดงของผมได้ อย่างเช่น ผมรับบทมินทะดา เวลาออกไปไหนมาไหน ผมก็อยากจะให้คนจำและเรียกผมเป็น ‘มินทะดา’ แทนชื่อของผม อะไรแบบนี้ครับ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์
 
กดดาวน์โหลดได้ที่ :

https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/f558895e-c749-42a9-99ae-ccb83f7a4264/mars-homme-magazine-online-ice

https://www.mebmarket.com/ebook-129891-Mars-Homme-Magazine-Online-Ice-Panuwat

]]>
Just Another Love Story ชีวิตนอกจอของหนุ่มวิศวะ ‘พร้อมราชภัทร’ แห่งซีรีส์ ‘En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ’ https://marshomme.com/aboy/529984/ Fri, 03 Jul 2020 17:20:00 +0000

จบรวดเร็วทันใจใน 3 EP มาไว เคลมเร็วสไตล์วัยทีนที่ไม่ต้องการดีเทลมากมายนัก แต่ #เหนือพระราม ก็สานต่อจักรวาลของ ‘En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ’ ได้อย่างน่าเอ็นดู เรื่องราวของรุ่นพี่วิศวะปีสอง ที่ดันไปปิ๊งเด็ก ม.6 น้องชายของแฟนเพื่อนน่ะสิ กินเด็ก ใครๆ ก็ชอบเนอะ แต่เหนืออื่นใดที่บทบาทนี้มันโดนใจสาววาย ก็คงต้องยกนิ้ว ‘พร้อม-ราชภัทร วรสาร’ ที่มารับบทบาทเป็นเหนือ รุ่นพี่วิศวะจอมเจ้าชู้ มาดกวน หน้านิ่ง ไม่หล่อมาก แต่ยั่วใจให้เด็ก ม.ปลาย อยากกิน เออ มันใช่


ชีวิตจริงของ ‘พร้อมราชภัทร’ ก็เรียนวิศวะ เหมือนบทบาทที่เขาแสดง อดีตเดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คนนี้ก็มาตามสูตรนักแสดงอีกหลายคน ที่โตมาจากการเป็นเดือนคณะ ก่อนจะเป็นที่เลื่องลือในโลกโซเชียล และสุดท้ายก็โดนจิกเข้าวงการบันเทิง


ตั้งแต่เปิดกล้องมาทั้งหมดนี่เป็นอย่างไรบ้างกับคู่ของเรา

คู่ของผมใช่ไหม รู้สึกสนุกดีครับ รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้นครับ แต่แปลกตรงช่วงแรกๆ ตรงที่ว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วทีนี้พอมาอยู่ด้วยกันปั๊บ เฮ้ย! เรารู้สึกว่าเขาจะเป็นคนอย่างไรนะ จะนิสัยอย่างไร เล่นกับเขาเป็นอย่างไร แต่พอได้แสดงด้วยกันไปเรื่อยๆ แล้วเรารู้สึกว่าเออ เริ่มรู้จักกันมากขึ้น สัมผัสกันมากขึ้น และการที่เราได้เวิร์กช็อปกันมากขึ้น ทำให้รู้จักกันมากขึ้นครับ

ที่มาที่ไปที่ทำให้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้

โดนทาบทามมาครับว่าน้องคาแร็กเตอร์ตรงกับบทนี้ คือจริงๆ แล้วผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรผมจะชอบแสดงออก เช่น การแต่งตัว จริงๆ ผมเป็นคนที่ชอบแต่งตัว เป็นคนที่ชอบลงรูปอะไรเท่ๆ แล้วพี่ๆ เขาก็มาเห็นและบอกว่า เออ สนใจคนนี้ น้องดูนิ่งๆ เท่ดี เขาบอกว่าสนใจมาเล่นซีรีส์ไหม ตอนนั้นผมยังไม่เคยแสดงซีรีส์เลย ผมอยากลองทำอะไรสิ่งใหม่ๆ บ้าง อยากลองปลดล็อกตัวเองดูครับ ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรได้ดีบ้าง ทำอะไรได้ไม่ดีบ้างครับ เลยลองมาแสดงซีรีส์นี้


ทำไมถึงชอบแต่งตัว

รู้สึกว่าการแต่งตัวหรือว่าการหาเสื้อผ้ามาใส่ มันจะเป็นการบ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเอง บ่งบอกความคิดของตัวเอง และบ่งบอกแนวของตัวเองครับว่า เรามีความคิดอย่างไร ชอบทำอะไร อย่างเช่นว่าแต่งตัวสไตล์มินิมัล ก็จะดูเป็นคนที่เรียบง่าย คนนี้จะเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ แต่ถ้าอีกคนหนึ่งเป็นแนว street ก็ต้องดูเท่ ดู option เยอะไว้ก่อน มันจะบ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองได้ผ่านทางเสื้อผ้าที่ใส่ครับ

สไตล์ของพร้อมเป็นอย่างไร

ถ้าเด่นๆ เลยผมชอบแนว Korea Street ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันนะ มันจะเป็นแนวของเสื้อผ้าแนวดาร์กๆ ดำๆ แต่ว่ามีออพชั่น มีดีเทลอยู่เหมือนกัน

เป็นคนสนใจแฟชั่นมานานหรือยัง

สนใจตั้งแต่เด็กเลยครับ คือด้วยความที่สมัยเด็กๆ เคยดูทีวี พวก Fashion Week มันทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย! ทำไมเสื้อผ้าดูสวยจัง มันไม่เหมือนเสื้อผ้าธรรมดาหรือว่าเสื้อผ้าประจำวันของเรา ผมเลยรู้สึกอยากลองใส่เสื้อผ้าอย่างนั้นดูบ้าง เผื่อจะเท่แบบเขาบ้าง


เคยฝันอยากจะเป็นนายแบบหรือเปล่า

เคยครับ นี่ความฝันหลักผมเลยนะ อยากเป็นนายแบบ จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่ชอบการเดินแบบ ชอบแฟชั่น ผมเคยนั่งดูพวกแบรนด์เสื้อผ้า เขาจะมีโฆษณาใช่ไหม มีโชว์ใน Fashion Week แล้วให้พวกดารา นายแบบ นางแบบมาเดิน แล้วผมรู้สึกว่าอยากไปยืนในจุดจุดนั้นสักวันหนึ่งครับ

เคยเดินแบบไหม

เคยเดินบ้างครับ แต่ไม่ใช่งานใหญ่ขนาดนั้นครับ

ตอนนี้เรียนอยู่ที่ไหน

ตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล


เป็นคนขอนแก่น?

ไม่ได้เป็นคนขอนแก่นครับ จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่มีบ้านอยู่ 2 จังหวัด คือฝั่งพ่อผมเป็นคนอุบลราชธานี ฝั่งแม่ผมเป็นคนอำนาจเจริญ ทีนี้แม่ผมทำงานอยู่ที่อำนาจเจริญ ผมเลยต้องไปเรียนอยู่ที่อำนาจเจริญ ไปอยู่กับแม่ครับ จันทร์-ศุกร์ ผมจะอยู่ที่อำนาจเจริญ เสาร์-อาทิตย์ ผมจะกลับอุบลราชธานี ไปมาๆ 2 จังหวัด ผมก็ไม่รู้นะว่าจะตอบว่าเป็นคนจังหวัดไหนดี ผมอยู่ 2 จังหวัดตั้งแต่เด็ก ทั้งอุบลราชธานีและอำนาจเจริญครับวัยเด็กของผม ผมเริ่มไปๆ มาๆ 2 จังหวัด ช่วง ม.ต้น แต่สมัยประถม ผมเรียนอยู่ที่เดียวเลยที่อำนาจเจริญครับ แล้วสมัยเด็กๆ เหนื่อยนะ ผมรู้สึกว่าการไปเรียนเฉยๆ เหนื่อยแล้ว และสมัยเด็กผมเคยเป็นเกเรมาก่อนครับ เคยไปมีเรื่องมาด้วย

ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะ

ด้วยความที่ว่าพ่อผมเป็นวิศวกรอยู่แล้วครับ เพราะว่าทำงานที่ปั๊มขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ผมเห็นพ่อ เวลาพ่อกลับมาจากที่ทำงาน พ่อจะเอาเอกสารมาด้วย จะมีรูปภาพแปลกๆ ที่ผมรู้สึกว่าเท่จัง ทำไมได้ทำงานกับพวกเครื่องจักร ผมก็รู้สึกว่าอยากเดินตามพ่อด้วย และด้วยความที่ว่าบ้านผมเป็นธุรกิจเกี่ยวกับรถตู้ครับ รถตู้วิ่งระหว่างจังหวัด ทีนี้ผมรู้สึกว่าการเลือกเรียนวิศวะ เรียนเกี่ยวกับเครื่องจักร สาขาเครื่องกล เราจะได้รู้เรื่องว่าระบบการทำงานของเครื่องยนต์รถว่าเป็นอย่างไร ถ้าสมมุติรถพังมาหรือว่ารถเกิดมีปัญหามา เราควรจะซ่อมที่ไหนหรือทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา

ตอนเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเข้า ม.ขอนแก่นที่เดียวหรือเปล่า หรือที่อื่นด้วย

ไม่ครับ จริงๆ แล้วถ้าถามผมว่าชอบกรุงเทพฯ ไหม ผมก็อยากเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ นะ ผมชอบนะ แต่ว่าผมเป็นคนที่เห็นรถติดแล้วมันอึดอัด สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอากาศที่กรุงเทพฯ ไม่ได้สดชื่นเท่าการที่เราอยู่ตามธรรมชาติ ผมเลยเลือกที่จะลงขอนแก่นกับเชียงใหม่ แต่ด้วยความที่ว่าบ้านผมอยู่ฝั่งภาคอีสาน และตอนนั้นแม่เป็นห่วง แม่ก็เลยบอกว่าเรียนขอนแก่นดีกว่า แม่ไปหาได้ง่าย แม่หวงครับ (หัวเราะ) ผมเลยเลือกลงขอนแก่นครับ

เข้าปี 1 ได้เป็นเดือนของคณะด้วยหรือเปล่ารู้สึกว่าจะดังอยู่พักหนึ่งใน social media

ใช่ครับ ตอนปี 1 เป็นเดือนของคณะครับตอนนั้นก็ไม่ถือว่าดังนะครับ ด้วยความที่ว่าธรรมดาทุกมหาวิทยาลัยเฟรชชี่จะเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว แบบมีน้องใหม่เข้ามา ผมก็ไม่รู้นะว่าเขาชอบผมเพราะอะไร แต่พี่เขาบอกว่าน้องน่ารัก เลยมีคนตามจีบในช่วงนั้นโดนรุ่นพี่ดึงไปครับ ดึงไปเลยวันแรกที่ผมเข้าไปรับน้องคณะ รุ่นพี่เดินมาเลยกับ A4 แผ่นหนึ่ง แล้วบอกว่าพี่ขอชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไว้หน่อย ผมก็ถามไปว่าพี่จะไปทำอะไร ตอนแรกพี่เขาโกหกว่าพี่จะเอาไปทำกิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วทีนี้ตอนเย็นพี่เขาก็โทรมาบอกว่า พี่เลือกน้องเป็นเดือนนะ พรุ่งนี้มาคัดด้วยเขาจะเลือกมา 5 คน ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 5 คน แล้วก็เลือกไปประกวดภายในคณะ เพื่อเลือกเอาแค่คู่เดียว ผู้หญิง 1 คน ผู้ชาย 1 คน เป็นเดือนคณะและเป็นตัวแทนคณะครับ


อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนที่ไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย ความรู้สึกผมมันดีนะ มันดีตรงที่ว่าพอเราไม่ได้ไปยึดติดกับตำแหน่ง แล้วแบบพอเราไม่ได้ตำแหน่งปั๊บ เออ เราก็รู้สึกว่ามันยังมีอะไรอีกมากมายที่เราสามารถทำได้ สามารถไปทำได้อย่างที่เดือนมหา’ลัยเขาทำไม่ได้ ผมก็ไม่เสียดายนะ มันเป็นแค่ตำแหน่งเฉยๆ คือไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือจิตสำนึกเราจะเป็นอย่างไร มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราได้เป็นเดือนมหา’ลัยหรือไม่ คือคุณจะทำ คุณจะบริจาคของ คุณเป็นเดือนมหา’ลัยคุณต้องบริจาคของ แต่ว่าผมก็คนธรรมดา ผมบริจาคได้เหมือนกัน มันเป็นตำแหน่งที่เขาเรียกกันเฉยๆ

เคยดูซีรีส์วายเรื่องอื่นก่อนมาแสดงหรือเปล่า

ผมไม่เคยดูนะครับ แต่เคยเห็นเพื่อนเล่าให้ฟัง เพื่อนผมที่เขาเคยดู เขาชอบมาเล่าว่าทำไมชายชายชอบกันแล้วเขาเขิน ผมก็แบบดูอะไรอยู่เนี่ย ผู้ชายผู้ชายชอบกัน ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร รักกันอย่างไร ผมเลยถามเพื่อนมันเป็นอย่างไร เพื่อนตอบไม่ได้ ตอบแค่มันน่ารักดีอะไรประมาณนี้

ตอนนี้รู้สึกหรือยัง หลังจากที่เราต้องแสดงนำเองแล้ว

ผมเริ่มรู้สึกนะ ผมเริ่มเข้าใจฟีลลิ่งว่าทำไมเขาต้องเป็นแบบไหน คือความรู้สึกมันจะคล้ายๆ กัน แค่เราเปลี่ยนเป้าหมายให้เป็น เช่นว่าเราเสียใจที่แฟนเราทิ้งไป มันก็เหมือนแฟนทิ้งทั่วๆ ไป แต่แค่เวลารัก เขาเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มองที่เพศ เขามองที่คน มองที่ลักษณะ ไม่ได้มองที่ว่าคนคนนั้นเขาเป็นผู้หญิงผู้ชาย เขาแค่ทำให้เรามีความสุข เราก็รู้สึกโอเคแล้ว

คู่ที่เล่นกับเราจูนเคมีกันนานไหม

นานเหมือนกันนะ ด้วยความที่ผมเป็นคนซน เกรียน เป็นคนชอบแกล้งคนอื่น แต่คู่ของผม พี่เบนซ์เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ สุขุม ผมรู้สึกไม่กล้าไปทำอะไรเขา ผมจะกวนอะไรเขามั้ย ตอนแรกๆ ไม่กล้าครับ แต่ปรับกันไปเรื่อยๆ มันใช้เวลาอยู่ครับ มีคุยกันบ้าง เวลาวันว่างโทรคุยกัน วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น


ในกองสนิทกับใครที่สุด

ผมรู้สึกว่าสนิทกับทุกคนเลย ผมเป็นคนที่กวนเขาไปหมด กวนไปทุกคน แล้วผมไม่ได้ให้ความสำคัญว่าใครสำคัญกว่า ใคร ทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กำกับหรือเป็นช่างไฟ ผมจะให้ความสำคัญเท่าๆ กัน เพราะรู้สึกว่าค่าของคนมันวัดกันไม่ได้ บางคนให้ค่าเขาไม่เท่ากัน ถ้ามันจะน้อยจะมาก เขาจะทำให้มันลดเอง แต่ผมจะให้เต็มร้อยหมดเลย

มีพี่น้องกี่คนไลฟ์สไตล์ของเด็กขอนแก่นเป็นอย่างไรบ้าง

มีน้องสาวอีกคนหนึ่งครับ ตอนนี้จบม.6 แล้ว กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยไลฟ์สไตล์ของเด็ก มข. เหรอครับ คือขอนแก่นเป็นเมืองร้อน ร้อนมาก แล้วส่วนมากพวกเราจะแต่งเสื้อผ้าสบายๆ ไม่มีอะไรมาก แบบถ้าเสื้อกล้ามได้ก็เสื้อกล้ามครับ


ประทับใจอะไรในมหาวิทยาลัยขอนแก่นบ้าง

ประทับใจทุกอย่างเลย อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ แต่ว่าผมชอบมาก ขอนแก่นเป็นที่ที่ดีที่สุดที่หนึ่งของภาคอีสาน เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ผมรู้สึกว่าพอเราได้มาเรียน เราได้เจอแต่คนที่เรารู้สึกโอเค เข้าหากันได้ง่าย ผมชอบภาคอีสานตรงที่คนจะทำความรู้จักกันได้ง่าย แค่เดินไปยืนอยู่ข้างกัน ซื้อน้ำส้ม เขาก็จะคุยกันแล้ว มันไม่ได้คุยกันยากขนาดนั้น คนอีสานจะ friendly ครับ

ตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง

มีครับผมเป็นคนที่อยากทำงานเป็นอิสระ แบบไปได้หลายๆ ที่ ไปได้เรื่อยๆ สมัยเด็กๆ ผมอยากเป็นนักบินอวกาศ ผมอยากรู้ว่านอกโลกมันมีอะไรบ้าง ถ้าสมมุติว่าเราออกไปนอกโลกปั๊บ มันเป็นจักรวาลแล้วใช่หรือเปล่า แต่พอออกไปจากจักรวาลปั๊บ มันจะเป็นหลายกาแล็กซี พอออกไปจากกาแล็กซีเขาจะเรียกอะไร ทีนี้ผมก็เลยชอบตรงที่ว่าเวลาเราออกไปข้างนอกอวกาศมันเป็นดำๆ ไปหมดใช่ไหม ผมเลยไม่รู้ไงว่าขอบเขตของมันจะอยู่ตรงไหน มันจะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมไหม สมมุติว่าโลกเราอยู่ตรงกลาง พอเราขี่ยานไปเรื่อยๆ สักครั้งหนึ่ง เราจะไปชนกับอะไรหรือเปล่า หรือว่ามันจะไปได้เรื่อยๆ มันเป็นความชอบส่วนตัว พอเราโตขึ้นมาเรารู้สึกว่านักบินอวกาศมันเป็นได้ยากมากเลย ก็เลยลดลงเป็นพวกวิศวะ จริงๆ ผมอยากทำงาน NASA นะ แต่มันดูจะฝันสูงเกินไป เลยลดลงมาเรื่อยๆ พอลดลงมาถึงวิศวะ ผมรู้สึกว่าวิศวกรก็เท่นะ ผมก็เลยมีความฝันว่าไหนๆ ไปนอกโลกไม่ได้แล้ว เราไปทั่วโลกเลยแล้วกัน อยากเป็นหนุ่มวิศวะที่ไปทำงานทั่วประเทศ ทั่วโลก อยากรู้ว่าความคิดแต่ละประเทศเป็นอย่างไร มีวิวัฒนาการหรือว่าเป็นเทคโนโลยีของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ไหนๆ เราก็ออกไปนอกโลกไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าทั้งหมดในโลกนี้เป็นอย่างไร


คาดหวังอะไรกับซีรีส์ตอนที่เราเป็นพระเอกบ้างมั้ย

ผมคาดหวังอย่างเดียวครับ อยากให้ทุกคนได้มีความสุขกับสิ่งที่ผมตั้งใจทำมากที่สุดครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่าถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะทำออกมาได้ดีไหม หรือทำออกมาได้แค่ไหน แต่ผมทำให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ผมทำได้แล้ว ผมก็อยากให้ทุกคนโอเคกับสิ่งที่ผมพยายามทำให้มันดีที่สุด แค่นั้นก็พอ

ซีรีส์ En Of Love มี 3 ตอนวิศวะมีเกียร์น่ะเมียหมอ, กลรักรุ่นพี่ และเหนือพระราม สามารถชมย้อนหลังได้ทาง LINE TV

]]>
‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ Sexual Icon คนใหม่ของวงการ https://marshomme.com/interview/526444/ Wed, 08 Apr 2020 10:44:00 +0000

ละครจบ แต่บรรดาสาวๆ พร่ำบ่นและเพ้อถึง ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ เด็กดื้อ (น่าตีก้นให้ลาย) หรือที่รู้จักกันในนามป้องกุลจากละครเกมรักเอาคืน ทางช่อง GMM25 ที่นับวันหนุ่มคนนี้จะฉายแววความเป็นซูเปอร์สตาร์มากขึ้นเรื่อยๆ คราวที่แล้ว เรานัดสัมภาษณ์เฉยๆ ไหนๆสาวทุกประเภทเรียกร้องกันขนาดนี้ก็จัดเซตแฟชั่นเต็มสักหนึ่งเซตแบบที่ถอดเสื้อโชว์บอดี้ ให้บรรดาแฟนคลับ ฟินไปตามๆ กัน แน่นอนว่ามาพร้อมกับบทสัมภาษณ์ที่แซ่บกว่าเดิม


กระแสเด็กดื้อเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ดีมากๆ เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นในทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และเรตติ้งละครก็ดีมากๆ ครับ ผมดีใจมากครับ ที่คนอินกับละคร แล้วทุกคนก็เข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นครับ เขาก็เชียร์ตัวผมเองกับตัวพี่นุ่นเยอะมากๆ ครับ น่ารักดีครับ

ใน ‘สามเราต้องรอด’ จอสแสดงเป็นเด็กไซด์ไลน์ พอมาเล่นเกมรักเอาคืน ก็รับบทเด็กไซด์ไลน์อีก กลัวคนจะติดภาพนี้หรือไม่

ไม่ได้กลัวนะครับ มีคิดบ้าง แต่ไม่ได้กลัวหรือกังวลครับ ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของเราในฐานะนักแสดงมากกว่า ที่ในอนาคตถ้ามีบทอื่นๆ ที่ดี เราก็ทำให้เต็มที่ เราจะสามารถลบภาพตรงนั้นได้ คือผมไม่ได้คิดว่าพอเป็นจอสต้องถอดเสื้อ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นจุดขายจุดแข็งของเรา เพราะว่าเราเป็นคนที่สูงและหุ่นดี แต่ว่าในฐานะนักแสดง การแสดงเราต้องดีตามด้วย ไม่ได้ดีแค่ถอดเสื้อครับ


ภาพจำเรื่องความเซ็กซี่ของเราก็เรื่องหนึ่ง แต่พอมันจำไปมากๆ เข้า ตัวเราจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็น ‘วัตถุทางเพศ’ เป็นสิ่งที่คนอยากจับจอง จ้องมอง หรือแม้กระทั่งคิดลวนลานเรา อันนี้ไม่ได้ระบุนะว่าเพศไหนจะคิดกับจอสบ้าง กลัวเรื่องนี้หรือไม่

ผมเฉยๆ นะครับ ผมดีใจเสียด้วยซ้ำที่มีคนชอบ อย่างไรมีคนชอบก็ดีกว่ามีคนเกลียด แต่ว่าเราอยากจะพิสูจน์ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งเหมือนกัน ที่ในอนาคตเราต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก แต่ว่าถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของเราครับ เราควรภูมิใจกับมันที่มีคนชอบหุ่นของเรา หน้าตาของเรา แต่ในทางกลับกัน ฝีมือเราต้องมีด้วย เราต้องพัฒนาตัวเอง อันนั้นเป็นหน้าที่ของผมมากกว่า แต่ผมไม่ได้ซีเรียสครับ แต่ถ้าถึงเวลาจริงๆ ผมอาจจะนอยด์ก็ได้นะ ถ้าสมมุติว่าเราพยายามเต็มที่แล้วแต่ยังติดภาพนั้นอยู่ แต่คิดว่าในอนาคตจะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีมากกว่าถอดเสื้อครับผม

ตอนนี้มีคนมาเตาะๆ จีบๆเยอะมั้ย

เวลาที่จอสเข้าไปอ่านใน Instagram direct message ครับ บางทีมีบ้างครับ แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เคยมีเมื่อก่อน แต่ว่าตอนช่วงละครออนเราไม่ค่อยได้ไปเช็ก เพราะมันเยอะมาก อ่านไม่ทัน (หัวเราะ) แต่ไม่ได้มีที่น่ากลัวขนาดที่เรารับไม่ได้นะครับ หมายถึงยอมรับว่ามีบ้างครับผม

ความแตกต่างระหว่างเลิฟซีนกับมายด์ และเลิฟซีนกับนุ่น

ต่างนะครับ เพราะว่าอย่างแรกเลยคือกับมายด์เนี่ยเรารุ่นเดียวกัน เราจะไม่ค่อยเกร็งขนาดนั้น แล้วคือในแง่ของตัวบทนีโอเองมันจะมีความแซ่บมากกว่า ผมกล้าพูดเลยเพราะว่าเรื่องมันค่อนข้างที่จะมีเนื้อหาแบบดาร์กนิดหนึ่งครับ แต่ว่ากับพี่นุ่นเนี่ย เลิฟซีนคือมันเกิดจากความรัก ความรักที่เราบริสุทธิ์ใจ คนรักกันเหมือนเมคเลิฟครับ มันจะมีความอบอุ่นกว่า แต่ของฝั่งมายด์นี่จะมี sexual tension กว่าครับผม


ความเหมือน ความต่างของบทนีโอกับป้องกุล

มีครับ มีมากเลยครับ คือแค่ตัวอาชีพเฉยๆ นะครับ ที่มันเหมือนจะคล้ายกัน คือตัวนีโอเนี่ยเป็น Bar Host แต่ตัวป้องกุลเนี่ยเป็นผู้ชายไซด์ไลน์ จริงๆ มันต่างกันนิดหน่อยนะครับ Bar Host คือคนที่คนเต้นเพื่อเอ็นเตอร์เทนลูกค้า แล้วถ้ามันดีก็ไปคุยกันต่อว่าจะดีลกันอย่างไร แต่ส่วนผู้ชายไซด์ไลน์ เอาจริงๆ ผมคิดไปคิดมามันก็คล้ายๆ กันนะครับ แต่ว่าตัวไซด์ไลน์เนี่ยอาจจะไม่มีการเต้นโชว์ แค่นั้นเองครับ ส่วนคาแรคเตอร์นี่คือต่างกันมากเลยครับ เพราะว่านีโอนี้คือคาแรคเตอร์เป็น bisexual ชอบใครจะค่อนข้างที่จะมีอิสระกับความรู้สึกของตัวเอง กล้าที่จะลอง กล้าที่จะท้าทาย ส่วนป้องกุลนี่เป็นผู้ชายที่ขาดความอบอุ่น คือสาเหตุที่เขามาทำงานตรงนี้ ทั้งคู่ต่างกันมาก นีโอทำเพื่อเงินเพื่ออนาคต ส่วนป้องกุลคือแค่เหงา อยากมีผู้หญิงกอดตอนกลางคืน แค่นั้นเองครับ

เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ป้องกุลต้องหาลูกค้าที่แก่กว่าใช่มั้ย

อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ แต่ผมว่าน่าจะเป็นด้วย Nature ของลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาผู้ชายไซด์ไลน์เป็นผู้หญิงที่มีอายุแล้ว เพราะว่าในความเป็นจริง หนึ่งคือเขาอาจจะมีฐานะและมีเงินที่มากกว่าครับ และพวกเขาอาจจะผิดหวังจากสามีหรือมองหาเรื่องความรัก ทำให้ผู้ใหญ่คนที่มีอายุแล้วกล้าที่จะเปิด Open กับเรื่องนี้มากกว่าครับผม อันนี้ในความคิดส่วนตัวของจอสนะครับ


ถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็น sexual icon คนใหม่ของเมืองไทยหรือยัง?

ผมว่ามันไม่ใช่ผมนะครับที่จะเป็นคนที่ต้องพูด เราไม่ทราบเหมือนกันว่าเราเป็น เราไปอยู่จุดจุดนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าสมมุติว่ามีคนบอกเรา เราก็ดีใจอยู่แล้วครับ เพราะถือว่าเป็นคำชมอย่างหนึ่งครับ แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเป็นนะครับ เราดูแลตัวเอง ออกกำลังกายไปเรื่อยๆ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาบริหารเสน่ห์ แค่ทำตัวให้ดูดี แล้วเกิดความมั่นใจตัวเองมากกว่า จอสโฟกัสตรงนั้นมากกว่าครับ

คำว่า sexy ในความคิดของจอสเป็นยังไง

จริงๆ คือคำว่าเซ็กซี่นี่มันมีได้ทั้ง appearance ก็คือภายนอก และภายในนะครับ ผมรู้สึกว่ามันสามารถสร้างได้ทั้งคู่เลยครับ ส่วนตัวจอสเอง จอสรู้สึกว่าเริ่มมาจากภายนอก เพราะว่าเราโตมาเป็นคนที่ผอมแล้วสูง แต่ไม่มีกล้ามเลย เราพยายามดูแลตัวเองเข้าฟิตเนสเพื่อเสริมความมั่นใจของตัวเองขึ้นมา พอเรามีหุ่นดีปุ๊บ เรามั่นใจในตัวเอง ส่วนความเซ็กซี่เนี่ยผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนอื่นเขามองอย่างไร แต่สำหรับเรา เรารู้สึกว่ามันเป็น Attitude หมายถึงเรารู้ว่าเรามีดีอะไร แล้วเราใช้มันให้เป็นครับ หมายถึงการแต่งตัว การพูดจา ก็ทำให้คนหลงใหลครับ หมายถึงว่าอาจจะมีคารมหรือว่ามีคำพูดอะไรหลายๆ อย่าง ที่มันเป็นองค์ประกอบโดยรวมครับ บางคนหุ่นไม่ได้ดีมาก แต่สามารถเซ็กซี่ได้ด้วยการแต่งตัว ด้วยการพูด personality charisma ของเขาครับผม


อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม : E Photo Book ปกจอส เวอาห์ ได้แล้วที่นี่


https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/fcd95c15-c00a-43f9-bf52-63e32712fd7d/mars-homme-magazine-online-joss

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNTkwNjk0IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NjoiMTE4NDcyIjt9

]]>
อย่าเพิ่งเกลียด ‘ชางกึนวอน’ ใน ‘Itaewon Class’ https://marshomme.com/scoop/463306/ Tue, 17 Mar 2020 17:55:00 +0000
ใครที่ติดหนึบกับซีรีส์ Itaewon Class จะต้องรู้สึกเกลียด ‘ชางกึนวอน’ รับบทโดย ‘อันโบฮยอน’ นักแสดงหนุ่มที่ฝากฝีมือไว้ในหลายเรื่อง Mars Homme พาไปทำความรู้จักกับเส้นทางกว่าจะมาเป็นนักแสดงมากความสามารถของอันโบฮยอนที่รับรองว่าจากที่เกลียดบทบาทในการเป็นชางกึนวอน จะต้องหลงรักอันโบฮยอนคนนี้แน่ๆ


안보현


อันโบฮยอนหนุ่มน้อยจากเมืองปูซาน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแดคยอง สาขา Modeling สมัยมัธยมเคยเป็นนักมวยของโรงเรียนตั้งแต่อยู่ม.1 จนถึง ม.6 ฝีมือในการเป็นนักมวยโรงเรียนก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา อันโบฮยอนกวาดรางวัลมาเพียบในการแข่งขันระดับชาติในฐานะนักมวยมือสมัครเล่น


หุ่นพิฆาต

ร่ำลือกันมาตั้งแต่ช่วงที่อันโบฮยอนเป็นนายแบบ ว่ากันว่าหุ่นลีนๆของเขาใครเห็นเป็นต้องสะดุด และมาพร้อมกับความสูง 187 เซนติเมตร ที่ทำให้เขาดูโดดเด่นอย่างมากหากเทียบกับนายแบบในรุ่นราวคราวเดียวกัน


การแสดงในนาม ‘อันโบฮยอน’

อันโบฮยอนเป็นนักแสดงเต็มตัวตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบันเป็นนักแสดงของค่าย FN Entertainment ต้นสังกัดเดียวกับอีดาแฮ และอิมซูฮยัง และสนิทสนมกับคิมอูบิน ตั้งแต่สมัยที่ทำงานเป็นนายแบบจนถึงปัจจุบัน เขาเคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Radio Star เมื่อปี 2018 ว่าคิมอูบินเป็นคนสำคัญที่ช่วยเหลือเขาบนเส้นทางสายนักแสดง

“ผมจบจากโรงเรียนนายแบบเหมือนกันกับเขา เรามีอายุห่างกัน 1 ปี และก่อนที่เราได้พบกันในฐานะนักแสดง ผมเคยขอยืมชุดเขาใช้ในงานเลี้ยงของโรงเรียนและเราก็สนิทกันด้วยครับ” ไม่เพียงแค่นั้น อันโบฮยอนยังบอกอีกว่า คิมอูบินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มาเยี่ยมเขาในระหว่างที่เขาเข้ากรมรับใช้ชาติ

ปี 2014
เริ่มเดบิวต์ผลงานการแสดงชิ้นแรกในปี 2014 ในซีรีส์ Golden Cross (KBS,2014) ซีรีส์ Two Mothers (KBS,2014) My Secret Hotel (tvN,2014)

ปี 2015
ซีรีส์ The Dearest Lady (MBC,2015)

ปี 2016
เป็นที่รู้จักมากขึ้นในบทอิมควังนัม หรือฉายาพิคโกโร่ นายทหารในทีมอัลฟ่าของกัปตันยูชีจิน (รับบทโดยซงจุงกิ) ในซีรีส์ Descendants of the Sun (KBS,2016) อันโบฮยอนยังแจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ ผ่านผลงาน Hiya (2016) ที่แสดงร่วมกับอีโฮวอน (โฮย่า)


ปี 2017
ในซีรีส์ย้อนยุค Rebel: Thief Who Stole the People (MBC,2017)
บทมูคยอง ในซีรีส์ My Only Love Song (Netflix,2017)

ปี 2018
บทพโยแทจิน ในหนังสั้น Dokgo Rewind (2018) แสดงร่วมกับเซฮุน EXO คังมินา และบทแบคโดฮุน ในซีรีส์ Hide and Seek (MBC,2018)


ปี 2019
ในปีนี้เส้นทางการแสดงของอันโบฮยอนเฉิดฉายถึงขีดสุด และแน่นอนว่าใครๆ ก็พูดถึงฝีมือการแสดงของเขา แถมยังพ่วงด้วยแฟนคลับที่ติดตามเขาเป็นจำนวนมาก

บทบาทนัมอึนกี เพื่อนของซองด็อกมี (รับบทโดยพัคมินยอง) ในซีรีส์ Her Private Life (tvN,2019)
ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในภาพยนตร์ร่วมทุนเกาหลี-ญี่ปุ่น Memories of a Dead End (2019) ที่ซูยอง SNSD – ชุนสุกะ ทานากะ รับบทนำ


ปี 2020
ชื่อของเขาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ในบทของ ‘ชางกึนวอน’ ในซีรีส์ Itaewon Class (JTBC,2020)

ข้อมูลเรียบเรียงจาก : https://www.korseries.com/
ภาพ : igbohyunahn / https://twitter.com/BohyunThaifans

]]>
ความรัก โรคซึมเศร้า และงานศิลปะของ ‘พงศกร มหาเปารยะ’ https://marshomme.com/interview/431508/ Fri, 06 Mar 2020 16:44:00 +0000

“ตอนนี้ จะพูดว่ากำลังค้นหาตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ลองทำมาทุกอย่างแล้ว แต่ว่าตอนนี้กำลังเริ่มต้นที่จะทำงานในแนวใหม่ ซึ่งเป็นงานที่อยากทำมานานแล้ว คือการเป็นจิตรกร วาดรูปสีน้ำมัน”

‘แต๊งค์’ พงศกร มหาเปารยะ อัพเดทชีวิตให้เราฟังในวันนี้ หลังจากที่เขาเคยตกเป็นข่าวดังกรณีดรามาในโซเชียลมีเดีย กับ ‘อีฟ อัญวีณ์’ อดีตแฟนสาว เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ข่าวของเขาเงียบหายไปภายในเวลาไม่นาน วันนี้แต๊งค์มีเรื่องราวใหม่ในชีวิต เขานัดหมายเราที่บ้านพ่อแม่-กรณ์ และวรกร จาติกวณิช ในซอยเย็นอากาศ ที่ร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่ ดูสงบ และอบอุ่น

ตัวเขาเองก็ดูสงบ และดูมีความสุขกับงานใหม่ที่เขากำลังทำอย่างจริงจัง เขาโชว์ผลงานภาพเขียนสีน้ำที่จัดวางไว้ใกล้โถงนั่งเล่น และในพื้นที่ใกล้ลานจอดรถ บางส่วนของภาพเหล่านั้นจะถูกนำไปจัดแสดงใน ‘Out of the Darkness’ นิทรรศการครั้งแรกของเขา ที่แกลเลอรี Woof Pack Bangkok ซอยศาลาแดง 1 ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึง 5 เมษายน 2563


มีแรงจูงใจอะไรให้คุณหันมาจับงานวาดภาพ

คือจริงๆ ผมชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ตอนเด็กๆ ชอบวาดรูปการ์ตูน ภาพลายเส้น พอโตขึ้นมาก็ได้ลองมาสัมผัสกับงานของอาจารย์หรือศิลปินที่เขาทำงานสีน้ำมัน มีความรู้สึกว่า งานเขาดูมีคุณค่า และดูแพง เราเลยอยากจะเรียนรู้ ก็เริ่มจากการสอนตัวเอง ดูในยูทูบ และได้รับการชี้แนะจากอาจารย์บางท่าน อย่างอาจารย์ศักดิ์วุฒิ (วิเศษมณี) ซึ่งเป็นไอดอลของผมเลย และคุณแม่ก็ชอบ มีผลงานของอาจารย์ศักดิ์วุฒิเก็บเรื่อยมา

คุณเริ่มต้นกับการทำงานศิลปะอย่างไร

ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ เริ่มเพราะว่าผมว่าง (หัวเราะ) ว่างจากการที่งานในวงการบันเทิง อย่างงานพิธีกร งานแสดง เดี๋ยวนี้มันยากขึ้น เพราะเด็กสมัยใหม่เยอะขึ้น ช่องต่างๆ รายได้ลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน พออยู่ว่างๆ เลยคิดว่า ควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการต่อยอดหรือพัฒนา อีกอย่างทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จะได้เป็นการกระตุ้นตัวเองไปด้วย

จะมีการจัดแสดงผลงานที่ Woof Pack เร็วๆ นี้ด้วย

เป็นความโชคดีของผมด้วยครับ เพราะจริงๆ แล้วศิลปินที่ทำงานเหล่านี้ ถ้าไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจริงๆ แล้วเป็นเรื่องยากมากที่จะได้มีงานจัดแสดงโชว์ในแกลเลอรีที่มีคนรู้จักเยอะ ที่ผมโชคดีเพราะว่าน้องสาว (กานต์ จาติกวณิช) ทำงานอยู่กับเจ้าของแกลเลอรี ซึ่งคือคุณเจย์ สเปนเซอร์


งานที่จัดแสดงเป็นอย่างไร

งานภาพสีน้ำมันครับ เป็นงานของผมคนเดียว ถ้าพูดถึงคอนเซ็ปต์งานจะค่อนข้างกว้าง เพราะเป็นงานแรกของผม และผมไม่อยากผูกมัดตัวเองว่าตัวเองเป็นศิลปินแนวนี้ ก็เลยเปิดกว้างไว้ก่อน อยากจะให้คนได้เห็นว่าผมเข้ามาในวงการนี้แล้ว และมีฝีมือระดับหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะโชว์สแตนดาร์ดของตัวเองก่อน ในอนาคตค่อยไปเจาะจงว่ามีแนวทางของตัวเอง

คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการทำงานครั้งนี้

ค่อนข้างจะรีบอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่าผมเพิ่งตกลงกับน้องสาวและพี่เจย์ เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว และตกลงกันว่าเราจะไม่ใช้งานที่ผมเคยทำมาแล้ว นั่นคือต้องเป็นงานใหม่ทั้งหมด ผมต้องทำงานใหม่ทั้งหมด

ระหว่างทำงานศิลปะ คุณรู้สึกอย่างไร

ความจริงผมชอบนะ ผมชอบศึกษา ชอบเรียนรู้อยู่แล้ว และงานสีน้ำมันนี่ผมคิดว่า ภาพวาดสีน้ำมันของอาจารย์และศิลปินทั้งหลายยังน้อยไป ไม่ครบทุกรูปแบบ ถ้าเราไปดูงานสีน้ำของฝรั่งหรือชาติยุโรป เขาจะมีงานสีน้ำมันที่เป็นโมเดิร์น เป็นงานร่วมสมัยที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครทำ งานสีน้ำมันในไทยส่วนใหญ่เป็นงานคลาสสิก ลายไทย หรือวิจิตรศิลป์ไปเลย งานร่วมสมัยมีค่อนข้างน้อยมาก

ผมพยายามทำเป็นงานร่วมสมัยนั่นละครับ เพราะผมอยากจะดึงรูปแบบการทำงานของฝรั่ง สไตล์ของเขามา เพื่อที่ว่า อย่างน้อยเราก็เป็นคนไทยที่มีงานแบบเขาในเมืองไทยบ้าง คือผมไม่ได้อยากเป็นเหมือนเขานะ แต่เราอยากจะทำให้คนไทยมีงานแบบหลากหลายบ้าง งานศิลปะควรที่จะมีความหลากหลาย

ลักษณะงานของคุณเป็นแบบไหน สดชื่น แจ่มใส หรือว่าทุกข์ เศร้า

มันก็มาจากมืดๆ นิดหนึ่งละครับ (หัวเราะ) แต่ว่ามันเป็นสไตล์ของผมอยู่แล้ว ตรงที่ผมชอบเล่นคอนทราสต์ เน้นแสงไปที่ตัวซับเจ็กต์ ตัวแบ็กกราวนฺด์จะมืด ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวผมนิดหนึ่ง แต่ว่าผมพยายามไม่ผูกมัดตัวเองอยู่กับความมืด


ศิลปะที่ทำ มันช่วยบำบัดอาการซึมเศร้าได้ด้วยไหม

อืมม์… ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด มันมีอยู่ แต่ถ้าคุณเป็นมือกีตาร์วงบอดี้ สแลม คุณไม่สามารถทำให้มันเป็นดนตรีบำบัดได้ (หัวเราะ) เพราะว่าคุณทำเป็นงาน คุณเล่นทุกวัน ทั้งๆ ที่เครียด งานศิลปะก็เหมือนกัน ถ้าเกิดคนทำมันเป็นงานอดิเรกหรือไปเรียนกับนักจิตบำบัด มันก็มีครับ แต่สิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นงาน ที่ผมต้องเต็มที่กับมัน จริงจังกับมัน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ใช้มันมาบำบัด

แต่ถามว่า การทำงานมันช่วยบำบัดไหม มันช่วยครับ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร มันช่วยดึงเราจากความมืดอยู่แล้ว นี่เป็นงานที่เผอิญว่าเป็นศิลปะ

ที่มาของชื่อนิทรรศการ ‘Out of the Darkness’ เป็นอย่างไร

เป็นชื่อที่คุณแม่กับน้องสาวช่วยกันคิดครับ และผมก็คิดว่ามันตรงกับชีวิตของผมในบางแง่ (หัวเราะ) ในช่วงที่ผ่านมา พูดตรงๆ ผมมีมรสุมชีวิตเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น

เรื่องความรักใช่ไหม

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ จริงๆ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะ…อ่อนไหว ในเรื่องของการคบหากับใครสักคน ซึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างจะผิดหวังในเรื่องของความรัก อาจจะเป็นเพราะว่าหลายๆ อย่าง มองย้อนกลับไปแล้วเราเห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างเราพยายามแก้ไขแล้ว แต่ว่ามันยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ (ยิ้ม)

ซึ่งล่าสุดที่ผ่านมาน่าจะเป็นประเด็นสาธารณะนิดหนึ่ง เพราะมีการใช้ในเรื่องของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในสื่อสังคมออนไลน์ที่ผม…เรียกว่าอะไร…ขาดสติ (หัวเราะ) และโพสต์อะไรตามอำเภอใจ ด้วยความรู้สึก ด้วยอารมณ์ที่มันอัดอั้นตันใจ และเราอยากจะเคลียร์ปัญหากับคนรักของเรา พอมันกดดันมากๆ เข้า ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็เลยปล่อยไปหมดในนั้น ข้อหนึ่งเลยปัญหาส่วนตัวก่อนก็คือว่า ผมพยายามติดต่อเขาไม่ได้ เพราะเขาปิดกั้นการติดต่อ ผมเลยใช้สื่อตรงนั้นในการติดต่อกับเขา ในการสื่อถึงเขา ทำให้เราลืมนึกถึงคนอื่นๆ ไป ลืมนึกถึงสังคมที่มองเข้ามา ลืมนึกถึงคนที่รักเรา เช่น คุณพ่อคุณแม่ น้องๆ และอาจจะมีคนที่รักเรา ปลาบปลื้มเรา เขาอาจจะผิดหวังกับสิ่งที่ผมได้สื่อออกไปตอนนั้น

พอผมได้สติ ผมก็ขอโทษ และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ได้พยายามแก้ไขเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากครอบครัวของผมแล้ว ยังมีครอบครัวของอดีตแฟนผมด้วย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่โอเคเลย ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้นที่เป็นปัญหาสำหรับผม มันก็ยังมีอีก (ยิ้ม) แต่ผมได้พยายามทำเต็มที่แล้ว

ในส่วนที่หลายๆ คนอาจจะไม่ได้เห็นหลังจากโพสต์นั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมตัดสินใจไปทำการรักษา เพราะผมคิดว่าผมมีปัญหาในเรื่องของโรคผลกระทบทางจิตใจ หรือซึมเศร้า ผมเคยรักษามานานแล้ว คุณหมอเคยวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่เราต้องรักษา ผมเดินทางไปพบหมอ และได้ยามารับประทานเป็นประจำ

ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาชีวิตที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนขนาดนั้น แต่พอมาถึงจุดที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว มันเลยเป็นเรื่องที่ผมต้องมานั่งทบทวน และสุดท้ายผมก็เข้าไปแอดมิทครับ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ


อาการของโรคเป็นอย่างไรบ้าง

ในเมืองไทยจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนหรือปัจจุบันก็ตาม หลายคนยังมองว่าโรคที่เกี่ยวกับจิตเวช หรือซึมเศร้าเป็นโรคของคนที่มีจิตใจอ่อนแอ หลายคนมองอย่างนั้นว่า ถ้าเราผ่านมันไปได้ หรือทำจิตใจให้เข้มแข็ง รักตัวเองให้มากๆ เราก็จะหายจากโรคนี้ได้

แต่จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับอาการป่วยทางกายนั่นแหละ อาการป่วยทางใจนี่มันค่อนข้างจะซีเรียส ถ้าเราศึกษามันจริงๆ ว่า เวลาเราเป็นแผลที่ใจ เราต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มันเหมือนกับแบบว่า เราได้รับบาดแผลทางใจแล้วเราไปหาคนที่เราไว้ใจได้เช่นคุณพ่อคุณแม่ แต่เขากลับบอกเราว่า เดี๋ยวมันก็หาย เวลาจะช่วยให้เราลืมเอง เดี๋ยวมันก็โอเค อดทนไว้ บางทีมัน…แรกๆ มันก็โอเคละครับ แต่บ่อยๆ ไปเราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เหมือนเราขาหักแล้วเดินไปหาเขา แล้วเขาบอกว่า โอ๊ย…มันอยู่ในขา เดี๋ยวมันก็หายเอง

คุณเริ่มรู้ตัวเมื่อไหร่ว่ามีอาการแบบนั้น

ถ้านึกย้อนไปก็…น่าจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ผมว่าผมมีปัญหาในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ และการแสดงออกแปลกๆ อย่างเช่น ผมเคยมีประวัติทำร้ายตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเหมือนทะเลาะกับแฟนมา บางคนเขามีความรุนแรงในแบบต่างๆ แต่ผมไม่เคยกระทำอะไรรุนแรงกับคนอื่น บางทีผมเศร้าหรือกดดันมากๆ ผมก็มาลงกับตัวเอง

แล้ววิธีทำร้ายตัวเองมันมีหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าเราจะฆ่าตัวตายหรือกินยานอนหลับ แต่บางทีแค่เราจมอยู่กับความทุกข์ นั่งฟังเพลงเศร้าๆ อยู่คนเดียว ไม่ยอมออกไปเจอใคร นั่นก็เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเป็นอย่างนั้นมาตลอด ก็แหม…พูดยาก (หัวเราะ)

สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากเรื่องความรักหรือเปล่า

ใช่ครับ คือ…มันเป็นที่กระบวนการความคิดของตัวเองด้วย ถ้าจะให้ผมพูดเชิงลึกจริงๆ แล้วมันเป็นทั้งทางกายภาพและทางจิตใจด้วย ทางร่างกาย บางทีสมองของเราทำงานผิดปกติ โรคนี้เป็นเรื่องของการทำงานของสมอง ของการหลั่งสารเคมีบางอย่างที่มันทำงานผิดปกติไป ตรงนี้มันช่วยได้ด้วยการรับประทานยาที่ได้จากคุณหมอ ในเรื่องของจิตใจเราก็ต้องไปบำบัด เพื่อเรียนรู้วิธีที่จะต่อสู้กับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดอาการซึมเศร้า

บางคนจะมีความทุกข์ทรมานมากกับการหาทางออกไม่ได้ในความคิด เพราะเขาจะคิดวนๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าเขาตัดใจไม่ได้ และเขาพยายามคิด ยิ่งเป็นคนฉลาดหรือหัวไวมันจะยิ่งทรมาน เพราะว่าเราแก้ปัญหาทุกอย่างให้คนอื่นได้ แต่ทำไมแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ เราพยายามจะหาทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรา สำหรับเขา สำหรับทุกคน แฮปปี้ แต่บางทีเราบังคับคนอื่นไม่ได้ แล้วมันทำให้เราตัน เราบังคับบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ อย่างเช่นความรัก หรือว่าความตาย บางทีก็ทำให้เราช็อก


นอกจากยาแล้ว คุณยังมีวิธีรับมือกับอาการของโรคซึมเศร้าอื่นอีกไหม

ผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้า คน-บางทีเวลาเครียดเขาดื่มเหล้า เขาออกไปสังสรรค์ ไปเจอเพื่อน ไปเที่ยว แต่ด้วยความที่ผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ ผมก็เลยติดอยู่กับบ้าน แต่ก่อนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็รอให้ใครสักคนเข้ามาช่วย ผมไขว่คว้าหาสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นละ คือใครก็ได้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนที ช่วยพาผมออกไปจากตรงนี้ที ซึ่งทุกๆ ครั้งกลายเป็นว่าเราเอาชีวิตไปฝากไว้กับเขา เอาความสุขไปฝากไว้กับเขา เราพึ่งพาเขาเกินไป พอถึงเวลาที่เขาตัดเรา บางทีคนเราก็มีเบื่อ หรือว่าเขาอาจจะตัดสินใจเลือกทางใหม่ๆ มันก็โทษใครไม่ได้ แต่คนที่เสียหายหนักหรือเจ็บหนักก็คือเรา เพราะว่าเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ทุกครั้งผมไปหาคุณหมอ หลายที่มาก เขาก็บอกว่าเราต้องรักตัวเอง ต้องรู้จักอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ที่ผ่านมาผมก็พยายาม ครอบครัวก็พูดเหมือนคุณหมอ แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มที่จะเห็นแล้วว่า บางทีปล่อยผมให้ช่วยตัวเองอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ (ยิ้ม) ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญ บางทีถ้าเกิดผมต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม ถ้าไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าเป็นคนนอกไง ไว้ใจไม่ได้ แต่คนที่ไว้ใจได้แน่นอนคือครอบครัวของเรา

ตอนนี้ครอบครัวผมเริ่มมีส่วนเข้ามาเติมเต็มในชีวิตของผมมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ค่อนข้างจะห่าง และทุกคนใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวปกติ ที่ลูกโตแล้ว ทำงาน มีแฟน แยกกันอยู่ แต่ทีนี้พอเขารู้ว่าผมมีอาการไม่สบาย ที่จำเป็นจะต้องได้รับการช่วยเหลือ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจ และพยายามช่วยผม ซึ่งผมพบว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ได้รับความเข้าใจจากคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น และผมมีกำลังใจมากขึ้นจากครอบครัว จากแต่ก่อนที่ผมไม่กล้าที่จะแสดงความอ่อนแอ คือต้องพยายามเก็บเอาไว้คนเดียว เพราะไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจเรา ทุกวันนี้ผมออกกำลังกาย คุณแม่ก็พูดคุย ชวนผมทานข้าวมากขึ้น

แล้วเรื่องความรักนี่เข็ดไปเลยหรือเปล่า

ไม่หรอกครับ เพราะว่ามันเป็นของที่เข็ดไม่ได้ (หัวเราะ) เราแค่ต้องเข็ดกับตัวเอง ที่ว่ามันมีคบ มันก็มีเลิกกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าเราอย่าไปทำอย่างที่เคยเกิดขึ้นมา ที่เคยพลาดเท่านั้นเอง นอกจากเราจะต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องของการคบหากับแฟน เวลาที่เลิก เราต้องพัฒนาวิธีการที่เราจะรับมือกับมันด้วย ซึ่งบางที ประสบการณ์ก็สอนว่าถ้าเรารอให้ถึงตอนนั้นแล้วรับมือ แก้ไข มันไม่ทัน เราต้องแก้ไขก่อน เราต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากการที่เริ่มคบกับคนที่เราต้องมั่นใจว่า เขาสามารถรับมือกับส่วนที่เราต้องการให้เขารับมือให้ได้


แต่เชื่อว่าความรักก็ยังคงมีอยู่ใช่ไหม

ผมเชื่อในความรักเสมอ ความรักกับความดีมันมาคู่กัน ผมก็ไม่ใช่คนดีมากนะ แต่ผมคิดว่าถ้าเกิดเราเป็นคนที่ดีได้ มันจะมีความสุขตามมา อะไรที่มันไม่ดีเราพยายามละเสีย พยายามไปในทางที่ดีให้ได้มากที่สุด ผมเชื่อว่าความดีนี่แหละที่ทำให้เรามีความสุข มันไม่ใช่ความเก่ง หรือเงินทอง หรือการเอาชนะใครได้ แม้กระทั่งการมีแฟน บางทีมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขได้ในตอนสุดท้าย

บางทีผมต้องการที่จะมีคนรัก เพื่อที่ว่าผมต้องการจะแสดงความดี ผมต้องการที่จะได้เป็นคนดี ซึ่งถ้าเกิดเรามีคนรัก มันช่วยให้เราสามารถเป็นคนดีได้อย่างมีเป้าหมายมากขึ้น

คุณเคยบวชมาก่อน และเคยเปลี่ยนความตั้งใจจากเดิมที่จะบวชช่วงสั้นๆ กลายเป็นครองผ้าเหลืองนานถึงสองปี ตอนนั้นคุณมีความคิดอะไรอยู่

ตอนนั้นผมอยากจะบวชให้คุณพ่อคุณแม่นั่นละครับ แต่ว่าตอนนั้นคบกับคุณแตงโม (ภัทรธิดา ‘นิดา’ พัชรวีระพงษ์) คบกันได้สองปีแล้ว ผมมีความสุขกับเขามาก และคิดว่า…คือผมก็มองไปถึงการแต่งงานทุกครั้งที่คบกับทุกคนน่ะครับ ถ้าเกิดบวชซะ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราเรียบร้อย แล้วเมื่อไหร่ที่อยากจะแต่งก็แต่งได้เลย ผมตั้งใจจะไปบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ อาจจะสักเดือนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว (ถอนหายใจ ยิ้ม) ความรักไปไม่รอด คือเลิกกับคุณแตงโมตอนนั้น ก่อนที่จะเข้าบวชไม่กี่วัน

พอเข้าไปบวชปุ๊บ เราไม่มีอะไรรออยู่แล้ว เลยคิดว่ายังไม่อยากรีบสึก อยู่ตรงนั้นผมก็สบายดีนะครับ เพราะผมไม่เคยได้ศึกษาทางธรรมจริงๆ จังๆ แต่ว่าผมคลุกคลีกับวัดมาตลอด เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนธรรมะธัมโม เข้าวัดตลอด แต่ตัวผมเองไม่เคยอ่านธรรมะ ไม่เคยรู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้ามีอะไรบ้าง พออยู่ในวัด ด้วยความที่ผมชอบเรียนชอบศึกษาอะไรใหม่อยู่แล้ว มันมีทั้งพระ ทั้งญาติโยมที่เข้ามาสนทนาธรรมด้วย มันเป็น challenge ซึ่งมันดีนะ เราเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคำสอนดีหมด และใช้ได้จริงหมด ขอเพียงแค่เราเปิดใจ และจัดสรรดูว่าคำสอนไหนเหมาะกับเราเท่านั้นเอง

มันทำให้ผมอยากที่จะเรียนรู้ทั้งหมด เพราะเวลามีคนเข้ามาถาม คนที่เขามีความทุกข์ คือมีคนส่งข้อความมาในอินบ็อกซ์ เฟซบุ๊กเยอะมาก ผมนั่งตอบทุกคน เป็นพระสายคีย์บอร์ด (หัวเราะ) คุณแม่ไม่เห็นด้วยหรอกครับ ทำไมพระเล่นโซเชียล (หัวเราะ) แต่ว่าถ้าเกิดเข้าไปย้อนดูในข้อความที่ผมตอบคนอื่นๆ ผมค่อนข้างที่จะภูมิใจนะครับ เพราะผมได้ช่วยคนเยอะมาก และมันเป็นอะไรที่ดียิ่งกว่านั้นตรงที่ว่า เมื่อวันหนึ่งผมล้มลง เมื่อปลายปีที่แล้ว มีหลายคนมากเลยที่เข้ามาบอกว่า ตอนที่ผมบวช ผมเคยช่วยเหลือเขา ผมเคยให้คำแนะนำ เคยชี้ทางสว่างให้เขา ผมไม่ได้เป็นคนชี้ ผมใช้แนวทางของพระพุทธองค์ไปบอกเขาอีกที แล้วเขาสามารถพ้นความทุกข์จากตรงนั้นมาได้ เขากลับมาช่วยผม เป็นกำลังใจให้ผม เขาเตือนให้ผมนึกได้ว่าผมมีค่าในตัวเอง ด้วยตัวผมเองโดยไม่ต้องมีใคร ผมสามารถทำดีให้กับใครก็ได้ มันเลยทำให้ผมลุกขึ้นได้ครับ


เวลานี้ คุณมองเห็นภาพตัวเองชัดเจนขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า

จริงๆ ชัดเจนขึ้นครับ แต่ว่าตัวผมเองน่ะผมไม่ต้องการมองตัวเองให้ชัดเจน คือหลายๆ คนต้องการเคลียร์ ต้องการเห็นภาพตัวเองในอนาคต ต้องการมีแผนการเพื่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยในการรับมือกับปัญหาได้ แต่ตัวผมเองชอบเรียนรู้ ชอบผจญภัย ชอบเดินทาง

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ผมมองก็คือ ข้อผิดพลาดของตัวเองในอดีต และจะไม่ทำอีก จะพยายามไม่ทำให้ครอบครัวต้องเสียใจซ้ำๆ และจะไม่ทำให้คนที่รักเราต้องหลุดลอยหายไปอีก อนาคตผมมองไม่เห็นตัวเองที่แน่นอนหรอกครับ ผมรู้แต่ว่า ไม่ว่าอะไรจะเข้ามาผมต้องทำให้ดีขึ้น

และจะใช้อดีตเป็นบทเรียนสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปใช่ไหม

ถูกครับ (ยิ้ม) บทเรียนเยอะเหลือเกิน เจอมาเยอะมาก มันก็เหนื่อยแล้ว จริงๆ ตอนนี้ถ้าเกิดคว้าอะไรได้ ถูกใจ คุยกันรู้เรื่อง แต่งงานแล้ว (หัวเราะ)




เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ คนเดิมในโลกใบเดิม กับเวลาที่เปลี่ยนผ่าน https://marshomme.com/interview/210682/ Fri, 20 Dec 2019 08:09:00 +0000

พระเอกหนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์-ฝรั่งเศส เริ่มเข้าสู่แวดวงการแสดงในสังกัด GTH (ปัจจุบันคือ GDH) ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ เมื่อปี 2548 และสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘คม ชัด ลึก อวอร์ด’ จากผลงานแสดงเรื่องแรกในปีนั้น จากนั้นค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนสามารถขึ้นทำเนียบนักแสดงระดับแถวหน้า มีผลงานการแสดงทั้งภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์เรื่อยมาตราบถึงปัจจุบัน

อาจเป็นเพราะความเท่ทั้งรูปลักษณ์และวาจา บวกกับความชิลล์ ขี้เล่น และติดดิน ที่เขาเปิดเผยในโลกโซเชียล ทั้งช่องทาง IG: @sunny_suwanmethanont ซึ่งมีผู้ติดตามถึง 3.5 ล้านบัญชี หรือทาง facebook.com/SunnSuwanFC ที่มียอดฟอลโลว์กว่า 5 แสนคน ทำให้ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของคนในวงการและแฟนคลับอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ซันนี่ยังมีผลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมจะบอกเล่ากันตรงนี้ รวมถึงอัพเดตเรื่องราวอื่นๆ ในชีวิต แบบเท่ๆ ชิลล์ๆ


ทำงานในแวดวงบันเทิงมาสิบสี่ปี ได้เรียนรู้อะไรจากวงการบ้าง

ได้เจอคนดีๆ ครับ ได้เจอสิ่งที่ผมอยากทำเป็นอาชีพ และยังทำให้ผมมีแรงขับเคลื่อนจากมันด้วย ผมเลยรู้สึกโชคดี

ยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกบ้างไหม

ทุกอย่างละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจอคน การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น การเข้าสังคม การเงินของตัวเอง ทุกอย่างเลยครับ ได้เรียนรู้จากการเจอคน หรือได้เรียนรู้จากการที่ได้ไปอยู่ในที่ที่เราไม่เคยไป ได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ


ทุกวันนี้ซันนี่ยังเป็นศิลปินในสังกัดของ GDH อยู่ใช่ไหม

จริงๆ แล้ว GHD กับนาดาวคือบ้าน เรามีสัญญาใจกันครับ เขาคอยดูแลผมมาตั้งแต่แรก ก็เลยจะไม่ย้ายไปเมืองจีน (ยิ้ม)

ความยาก-ง่ายระหว่างการเป็นดาราในสังกัด กับไม่มีสังกัดเป็นอย่างไร

อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมเป็นกึ่งทั้งสองอย่าง ไม่รู้ว่าดาราในสังกัดเขาทำอย่างไร หรือดาราที่ไม่มีสังกัดจะเป็นอย่างไร เพราะว่าผมไม่รู้สึกว่าผมเป็นดาราอะไร ผมเป็นแค่คนปกติที่ทำอาชีพนี้ ก็เลยไม่ได้คิดว่า เอ๊ย…สังกัดแล้วฉันจะทำอะไรต่อไป มีสิ่งเดียวที่คิดจะทำก็คือ การเป็นนักแสดง อยากทำงานแสดงเท่านั้นเอง ที่เหลือก็แล้วแต่ ชีวิตจะไปทางไหนครับ

แต่ที่ผ่านมา งานทุกอย่างก็ผ่านสังกัดใช่ไหม

ใช่ครับ เขาดูแลเรา

และนั่นคือข้อดี

ใช่ครับ มีคนดูแล มีครอบครัวที่ปกป้องเรา ก็ดีครับ ดีกว่าที่เราจะไปคุย ไปหาโน่นนี่เอง อยากเล่นอยากแสดงอย่างนี้จัง แต่ถ้าไม่มีที่ให้ทำก็ไม่ได้


สิบสี่ปีที่ผ่านมา ซันนี่เคยรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้บ้างไหม

ผมไม่เคยเหนื่อยเลยครับ ผมเป็นคนแข็งแกร่งมาก ดูกล้ามสิ (ยิ้ม) มันอยู่ที่จิตครับ จิตจะสั่งตลอด ถ้าเราไม่หิวจิตจะสั่งให้ไม่หิว

อีกสองปีอายุจะสี่สิบแล้ว

ครับ ผมไม่เคยสี่สิบมาก่อน

เตรียมตัวอย่างไรบ้างไหม

ผมไม่เคยเตรียมตัวอะไรครับ เพราะผมไม่คิดว่าผมเปลี่ยนอะไรไปเลย ตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรกตอนอายุยี่สิบสาม มันก็มาเรื่อยๆ จนอายุสามสิบแปดเนี่ยครับ ไม่ได้เคยเลยว่าผมโตขึ้นหรือเปล่า หรือว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไป ผมแค่อยากใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่อยากทำ แค่นั้น


อายุเพิ่มขึ้น เวลาการทำงานเพิ่มขึ้น ข้อจำกัดในการทำงานมันเพิ่มขึ้นด้วยไหม

อ่า…มันหลายๆ อย่างครับ ไม่เชิงเป็นข้อจำกัด แต่พอเราเข้าใจแล้วว่าอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้ อันไหนไม่ควรจะทำ หรือว่าอันไหนเรารู้สึกพอใจแค่ไหน ก็จะคุยกันได้ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างคุยกันได้ โดยการที่ทำให้รู้สึกวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย มันคือการประนีประนอมกันและกัน

งานการแสดง สิ่งที่รับเล่นตลอดเวลานั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำอยู่แล้ว ผมไม่เคยยึดติดว่า ผมจะต้องเป็นใคร เป็นพระเอก หรือเป็นนักแสดง มันไม่ใช่วิถีอย่างนั้น คือพอเป็นภาพยนตร์ เป็นซีรีส์ที่เล่น เราทำงานเป็นทีม เหมือนทีมฟุตบอลของเราสิบเอ็ดคน นักแสดงทุกคนก็จะอยู่ในทีม ถ้าเราเตะชนะ เราได้แชมป์ด้วยกัน เราไม่ได้บอกว่า เฮ้ย…เพราะฉันนะ ฉันยิงประตูชัย ฉันเลยชนะ ไม่เกี่ยว

คิดวางแผนอะไรสำหรับอนาคตหรือเปล่า

ตั้งแต่อายุสี่-ห้าขวบแล้ว ผมไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิตเลยครับ โชคดีมากที่แม่ผมไม่ค่อยรักผมเท่าไหร่ (หัวเราะ) เขาเคยไปแฉว่า คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ มันคือชีวิตคุณ

ซันนี่ดูแลตัวเองอย่างไร ทั้งด้านสุขภาพ ร่างกาย ผิวพรรณ

อืมม์ จริงๆ แล้วมันคือ คิดในแง่ดีอย่างเดียวครับ ผมเองไม่ค่อยดูแล มีคนคอยดูแลอยู่แล้วคือช่างแต่งหน้า ช่างผม เขาชอบซื้อครีมมาให้ผม แค่นั้นเอง เลยไม่รู้ว่าจะดูแลอะไร ส่วนสุขภาพ เรื่องบอดี้ ถ้ารู้ว่าเราต้องเล่นเป็นอะไร เราก็ทำสภาพร่างกายให้เป็นตามนั้น ก็คือรักษาให้มันตรงกลางไว้


ก็คือใช้ชีวิตตามบท

ใช่ครับ มันก็เหมือนกับ…แล้วแต่ว่าชีวิตเราจะโดนพัดพาไปทางไหน มันสามารถมีช่วงเวลาที่เราจะเป็นแบบนี้ได้ หรือเป็นอีกแบบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา

แล้วถ้าไม่มีงานแสดงล่ะ ซันนี่ดูแลตัวเองอย่างไร

ก็ทั่วๆ ไป มันไม่ใช่การดูแลครับ กินอิ่มนอนหลับเหมือนทั่วๆ ไปแหละครับ

กลัวอ้วนบ้างไหม

ถ้าเกิดว่าจะต้องไปเล่นบทอะไรที่ไม่อ้วน จะกลัวครับ แต่ถ้าไม่มีก็เฉยๆ

เป็นคนอ้วนง่ายไหม

ผมเคยทั้งอ้วนและผอมมาตลอดทั้งชีวิต ผมรู้ตั้งแต่เล่นหนังเรื่อง ‘รัก 7 ปี ดี 7 หน’ ผมรู้จังหวะแล้วว่า ทำแบบไหนจะเอาไขมันออกได้ กินแบบไหนจะ…ผมไม่ต้องกังวลไง เพราะผมมีทรงที่สร้างได้อยู่แล้ว เคยไปฟิตเนสและสร้างทรงไว้แล้ว สมมุติพอเผละไป แป๊บเดียวก็กลับมาเหมือนเดิมได้

ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

ใช่ครับ มันอยู่ที่วินัยของเรา


แล้วกลัวแก่ไหม

ไม่รู้สิ ไม่แก่สักที ไม่รู้จะกลัวไปทำไม

เลขสี่ก็น่ากลัวแล้วนะ

ใช่ จริงเหรอครับ ยังไม่เคยถึงเลยครับ (ยิ้ม) แต่เท่ขึ้นทุกวัน ผมเลยไม่รู้ตัว

คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวบ้างหรือยัง

ครอบครัวผมมีอยู่แล้วครับ

ครอบครัวของตัวเองล่ะ

หมายถึงผมเอาแม่ของคนอื่นมาเหรอครับ (ยิ้ม) ยังไม่เคยคิดเลยครับ มันต้องเจอก่อนว่าเราเจอใคร แล้วเราอยากจะสร้างครอบครัวกับเขาหรือเปล่า และเขาต้องอยากสร้างครอบครัวกับเราด้วยนะ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นความต้องการของผมอย่างเดียว ไม่ได้สวยงามเป็นความรัก มันต้องไปด้วยกัน


ตอนนี้ซันนี่มีผลงานอะไรใหม่บ้าง

มีหนังใหม่เรื่อง ‘Happy Old Year’ ครับ จะเข้าฉาย 26 ธันวาคมนี้ ดาราที่ร่วมแสดงมีน้องออกแบบ-ชุติมณฑน์ (จึงเจริญสุขยิ่ง) พี่อุ๋ม-อาภาศิริ (นิติพน) ฟ้า-ษริกา (สารทศิลป์ศุภา) และดาราอีกคับคั่งมากมายครับ กำกับฯ โดยนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

เรื่องราวเป็นอย่างไร

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สำหรับคนที่อยากจะทิ้งแต่ไม่อยากจะตัดใจ หนังพูดถึงความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งของ คือของที่ก่อนจะให้เรามา มันเคยเป็นของของคนอื่นมาก่อน คือมันไม่ใช่แค่สิ่งของ มันเชื่อมโยงกับคนคนนั้นด้วย

เรื่องเริ่มต้นจากการที่คนคนหนึ่งจะย้ายบ้าน ต้องจัดบ้านใหม่ แล้วต้องไปเก็บของ รื้อของ สุดท้ายก็เลือกว่าอันไหนจะเก็บไว้บ้าง แต่มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่า ของบางอย่างมันเคยเป็นของใคร คนให้เรามา เราจะทิ้งมันดีไหม หรือเราจำความรู้สึกว่า คนที่เคยเป็นเจ้าของของสิ่งนี้เขาเป็นคนแบบไหน และจำได้ว่าสิ่งที่เราเคยคุยกับเขามันมีความสุขหรือเปล่า มันเชื่อมกันครับ ระหว่างสิ่งของกับคน

ในเรื่องผมเล่นเป็นโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เป็นคนจัดพร็อป จัดหาของเวลาจะทำอีเวนต์ และเป็นคนดีไซน์ว่าควรจะมีอะไรบ้าง ตัวละครนี้ก็จะเป็นมนุษย์อีกมุมหนึ่ง

ความจริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องอธิบายคาแรกเตอร์ของตัวละครหรอกครับ คนมักคิดว่าผมเล่นเหมือนกันทุกเรื่องอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า ไม่ว่าผมจะอธิบายอย่างไร คนก็ยังคิดแบบนั้น (ยิ้ม) ใช่ไหมครับ เล่นเป็นหมอเป้ง (My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน) เขาก็หาว่าผมเป็นชาวี (น้ำตากามเทพ) มันเหมือนกันตรงไหนผมยังไม่รู้เลย ก็แล้วแต่ ตามสบาย (หัวเราะ)

ตัวซันนี่เองล่ะ มีของอะไรบ้างที่ทิ้งไม่ลง

ที่บ้านเพียบเลยครับ ผมจำได้ว่าของชิ้นไหนที่ผมซื้อหรือใครให้มา แล้วเวลาหยิบออกมาจะทิ้งผมก็รู้สึกเกรงใจ ทิ้งไม่ลง อย่างของที่แฟนคลับให้มา จะยกให้คนอื่นผมยังเกรงใจเลย คนนี้ใส่ได้ แต่ถ้าแฟนคลับไปเห็นเข้าละ อะไรแบบนี้


ซันนี่มีไอดอลไหม และเป็นใคร

แบบอย่างที่ดีที่สุดในการเป็นมนุษย์ใช่ไหมครับ มีครับ สำหรับผมคือในหลวงรัชกาลที่ 9 อยากเป็นสักเสี้ยวหนึ่งของท่าน

ยึดคำสอนอะไรของพระองค์มาปฏิบัติบ้าง

เต็มไปหมดเลยครับ พระองค์ท่านสอนทั้งในเรื่องวิธีคิด คือการที่เราเปลี่ยนวิธีคิดเราก็สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ความพอเพียงไม่ได้หมายความแค่ว่าการอดออมหรือเก็บอะไรไว้ใช้ แต่มันคือทัศนคติ ว่าเรารู้จักตัวเองแค่ไหน รู้ว่าอะไรควรจะมีหรือไม่ควรจะมี บางอย่างเราไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ สิทธิบางสิทธิเราไม่มีความต้องการที่จะใช้ในชีวิตด้วยซ้ำ แต่เรากลัวคนอื่นเอาเปรียบ
ถ้าเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คนอื่นจะมีอะไรเยอะก็เรื่องของเขา เราจะมีรถสามคันทำไมในเมื่อเราใช้แค่คันเดียว แล้วเราจะมีรถอีกสองคันเพื่ออะไร มันคือวิธีคิดน่ะ วิธีคิดถูกปั๊บทุกอย่างก็ถูก

แล้วไอดอลในการทำงานล่ะ เป็นใคร

ทุกคนละครับ ทุกคนที่รักในอาชีพของเขา และทุ่มเทให้กับมัน ในวิชาชีพที่เขาจะมีได้ นักแสดงที่เคยร่วมงานกับผมทุกคนก็เป็นไอดอลของผมหมด เขาเป็นอาจารย์ผมด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นแบบอย่างที่ดี ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์จากทุกคน เพราะการแสดงมันต้องเชื่อมโยงกัน ต้อง react กัน เหมือนเราเจอมนุษย์คนหนึ่ง เราก็ได้เรียนรู้อะไรจากเขา


ซันนี่เรียนรู้การแสดงเพิ่มเติมจากไหนบ้าง นอกเหนือจากเวิร์กช็อป

จริงๆ แล้วการแสดงเพิ่มเติมที่ดีที่สุดคือการรู้จักมนุษย์ เจอคน คิดและเข้าใจประสบการณ์ชีวิตครับ ผมไม่เชื่อว่าการแสดงคือการฝึกฝน ผมเชื่อว่าเราจริงใจต่อความรู้สึก สำหรับผมมันไม่ใช่เหมือนกีฬา ผมไม่ต้องการ…การที่ทำอย่างไรให้ตัวเองร้องไห้ได้ตลอดเวลา มนุษย์จริงๆ ทุกคนอยากทำอะไรในตอนนั้น แค่บางจังหวะ บางจังหวะต่อให้เศร้าแค่ไหนเขาก็ไม่แสดงออก บางจังหวะเขาทนไม่ไหว เขาถึงแสดงออกมา

ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้มันต้องใหม่ สม่ำเสมอ ผมไม่อยากเคยชินในการที่…ผมฝึกมาเพื่อ…การแสดงคือการใช้ชีวิตตัวละคร ผมไม่สนใจว่าใครจะเก่งหรือไม่เก่ง

ซันนี่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ไหนสำหรับการรับงานแต่ละชิ้น

การเตรียมตัวของผมคือการปลูกฝังความเป็นทัศนคติ (ของตัวละคร) แบบนั้นลงไป ปลูกฝังความเข้าใจ และให้ตัวเองจริงใจต่อความรู้สึกนั้นด้วย ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน มันเป็นวิธีที่ผมคิดขึ้นมา ถ้ามันผิดหลักการละก็ อาจารย์หลายๆ คนอย่าว่าผมละกัน ผมขอโทษจริงๆ ผมทำได้แค่นี้ครับ (ยิ้ม)

มันคือชีวิตคนครับ เอาจริงๆ แล้วคนเรา…อย่างตัวผม ผมไม่ได้จำอะไรมาพูด ผมฟังอะไรมา รู้สึกแบบไหน แล้วผมก็แสดงหรือ react ตอบไปแบบนั้น ผมไม่ได้คิดว่าผมจะต้องหันหน้าด้านนี้แล้วพูดอย่างนี้นะ มันเท่แน่ๆ เลยเมื่ออยู่ในกล้อง ผมไม่ได้คิด มันเป็นไปเอง

แล้ววิธีการก็คือ ตอนนี้เราก็ต้องไม่ใช่ตัวเอง เราเป็นตัวละครนั้น ใส่ทัศนคติของตัวละครนั้นเข้าไป และใช้ชีวิตเหมือนเขา เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่เรื่องผิด นั่นคือสิทธิของเขา

งานอดิเรกของซันนี่มีอะไรบ้าง

ไม่รู้สิครับ มันเลือกไม่ถูก ผมก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ชอบเดินเล่น ชอบช้อปปิ้ง ชอบไปต่างประเทศ ชอบเจอเพื่อน ชอบไปเตะบอล ก็เลยไม่รู้ว่าอันไหนคืองานอดิเรก


มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหมเวลานี้

สิ่งที่สนใจในชีวิตตอนนี้ก็คือความสนุกสนานละครับ ความตั้งใจที่อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นให้ได้เรื่อยๆ ทุกวัน รวมทั้งงานแสดง และครอบครัว ผมก็มีอยู่แค่นี้ ผมอาจจะไม่ใช่คนที่แสดงออกด้านความรักกับครอบครัวสักเท่าไหร่ แต่ว่าผมก็อาศัยความเชื่อใจ

แต่มีความใกล้ชิดกับครอบครัวใช่ไหม

ใกล้ชิดครับ ผมอยู่ห่างกับพ่อแม่ประมาณแปดกิโลครับ ตั้งแต่แม่กลับจากแอฟริกาผมยังไม่ได้ไปหาแม่เลย ผมเจอแค่ครั้งเดียว

พวกพี่ๆ ล่ะ

พี่ชายก็อยู่บ้านครับ ยังไม่มีครอบครัว ส่วนพี่สาวผมมีครอบครัวแล้ว ก็แยกกันอยู่คนละบ้าน

แม่ยังเป็นห่วงซันนี่อยู่ไหม

ห่วงตลอดครับ เพราะเขาคิดว่าผมเหมือนเด็กเล็กๆ ตลอด แต่เขาจะไม่มาบอกผมเลยสักครั้งในชีวิตว่าอยากให้ผมทำอะไร

แม่ห่วงเรื่องอะไรบ้าง

ทุกอย่างแหละครับ ต่อให้อะไรเขาก็ห่วง กินข้าวหรือยัง เขาก็ห่วง ลูกเขาน่ะ (ยิ้ม) ถึงผมโตแล้วเขาก็ห่วง เหมือนผม แม่ผมไปแอฟริกาคนเดียวเดือนหนึ่ง ผมก็ห่วง แต่จริงๆ แล้วคิดว่า เขาใช้ชีวิตอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว และเขาไม่ใช่เด็กแล้วไง ผมก็ต้องปล่อยให้เขาทำนั่นทำนี่ แต่เขาก็ไม่บ่น ไปคนเดียว ได้สัญชาติมาลีกลับมาอีก (ยิ้ม) เหนือชั้นมาก ไม่รู้ทำได้อย่างไร โกงอายุได้อีกหกปี
แม่ผมเหนือชั้นมาก พ่อผมยืนปรบมือเลย ทำได้อย่างไร (หัวเราะ)


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์


สามารถดาวน์โหลดได้ที่ :
https://www.mebmarket.com/ebook-112421-Mars-Homme-Magazine-Online-SUNNY
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/79e8f50f-bcdd-4c9e-ae70-9cc71ee3b43c/mars-homme-magazine-online-sunny

]]>
TRULY HEARTTHROB ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ นักแสดงหนุ่มอนาคตไกล https://marshomme.com/aboy/128893/ Thu, 21 Nov 2019 16:55:00 +0000

กวาดสายตามองนักแสดงหนุ่มๆ สายเซ็กซี่ สยบใจสาวๆ ทุกประเภททุกครั้งที่เขา ‘ถอดเสื้อ’ ณ โมเมนต์นี้ คงต้องยกให้ชื่อ ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลจากซีรีส์ ‘3 Will Be Free สามเราต้องรอด’ทางช่อง one 31 แซงโค้งขึ้นมายืนหนึ่งเหนือนักแสดงวัยรุ่นชายทุกคนที่มีอยู่ในตอนนี้


อันที่จริง จอสฉายแววความเซ็กซี่มาตั้งแต่สมัยเข้าวงการด้วยการเป็นพิธีกรรายการ ‘ดูมันดิ’ รายการท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีพิธีกร 5 หนุ่มรสแซ่บๆ ลองย้อนกลับไปดูเทปเก่าๆ สิ เอะอะถอดเสื้อตลอดเวลา และหลายๆ อีพีก็ทำเอาน้ำหมากป้าแก่เลอะเสื้อไปหมด

“ตอนแรกทำเพจดูมันดิกับพี่ๆ ครับ เป็นเพจท่องเที่ยว แกล้งคน ทำคลิปตลกๆ ออนไลน์ ทั้ง YouTube และ Facebook แล้วตัวเราก็มีคนตามมากขึ้นใน Instagram ครับ จนวันหนึ่งพี่โจ้ (ทิชากร เหรียญทอง) ผู้กำกับของ Trasher อยากให้เรามาออดิชั่นบทบทหนึ่งใน Friend Zone ซีรีส์ เป็นนักแสดงรับเชิญ เป็นแฟนเก่าของแพรวา ก็เลยได้มาลองออดิชั่นดูครับ สุดท้าย เขาถามผมว่าอยากเซ็นสัญญากับ GMM ไหม อยากเล่นละครไหม สรุปได้รับเชิญสองเรื่องคือ Friend Zone ซีรีส์ และ Wolf เกมล่าเธอ ส่วนเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้รับบทหลักครับ”


งานพิธีกรสนุกไหม “สนุกครับ” จอสตอบ “แต่ถามว่ามันเชิงพิธีกรเต็มตัวไหมก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ เราไม่ได้พูดตามสคริปต์จ๋า มันเป็นแค่เพจท่องเที่ยวเหมือนเป็นกึ่ง vlog กึ่งรายการเรียลลิตี้ ที่พวกเราไปแข่งทำนู่นทำนี่กัน หาชาเลนจ์ ไปทำในสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทยแล้วก็ต่างประเทศครับ และถ้ามีคอนเทนต์ที่เราเห็นว่าสนุกๆ เราก็ทำครับผม แต่การออนมันจะไม่ได้ฟิกซ์ว่าอาทิตย์ละเทป จะออนตามคอนเทนต์ที่มีครับ ดูมันดินี่เริ่มทำตอนเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ปี 3 ครับ ถ้าจำไม่ผิด”

ก่อนเรียนนิเทศ เรียนอะไรมาก่อน มีคนเมาท์ว่าจอสเป็นลูกครึ่งปักษ์ใต้ “ไม่ครึ่งนะครับ เป็นคนใต้ล้วน ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชครับ ผมก็เกิดที่นั่น โตที่นั่นจนถึง 12 ปี จึงได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สายไหมครับ ตอน 12 เข้า ม.2 เรียนได้ปีหนึ่งก็ได้ทุนนักกีฬาครับ ไปอยู่โรงเรียน Traill International School เป็นโรงเรียนนานาชาติที่รามคำแหงครับ ตอนอายุ 15 ปี แต่พ่อแม่ผมไม่ได้ย้ายมาด้วยนะครับ ท่านยังทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน พ่อผมส่งมาเรียนกรุงเทพฯ เพราะมองว่าการศึกษาและสภาพแวดล้อมน่าจะดีกว่า เขาก็เลยส่งมาอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมากๆ ของคุณพ่อ แล้วเขาก็เอ็นดูเราอยู่แล้ว เพราะเขาไม่มีลูก แต่ตอนย้ายเรียนอินเตอร์ก็มาอยู่หอข้างๆ โรงเรียนคนเดียวครับ” จอสกล่าว


แล้วทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงเลือกเรียนนิเทศศาสตร์

“ให้พูดตามตรงเลยนะ” จอสเกริ่น “ตอนแรกคือทางครอบครัวอยากให้เข้าจุฬาฯ มากๆ ที่ผ่านมาไม่มีญาติๆ เคยเข้าจุฬาฯ มาก่อน เขาเลยรู้สึกว่ามันเป็นบิ๊กดีลสำหรับเขา ตอนแรกผมอยากจะเข้า BBA บริหารธุรกิจครับ บัญชี แต่ว่าผมก็รู้สึกว่าเรายังไม่รู้เลยเราชอบอะไร ส่วนนิเทศตอนนั้น เอาตรงๆ ผมไม่ได้รู้มากว่านิเทศต้องทำอะไรบ้าง พอคิดถึงนิเทศก็คือทำหนังแล้วเราไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น แต่ว่าเรายื่นไป 3 คณะ ยื่นเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ ยื่นนิเทศอินเตอร์ แล้วก็ยื่นบัญชีหรือว่าบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์ไปหมดเลยของจุฬาฯ ของที่อื่นคือไม่ได้ยื่นเลยครับ เพราะว่าอยากเข้าแค่จุฬาฯ แต่ดันติดแค่ตัวเดียว ถือโชคดีมากๆ เพราะว่าพอเราเข้ามาแล้ว เรารู้สึกว่าเราชอบที่สุดแล้ว เหมาะกับเราที่สุด เพราะเห็นเพื่อนที่เรียนบริหารอินเตอร์ เรียนเศรษฐศาสตร์ แล้วดูเครียด ไม่ใช่ตัวเราเลย”

แมสคอมคือเส้นทางสู่ออนไลน์หรือเปล่า “ก็ส่วนหนึ่งครับ” จอสตอบ “เหมือนตอนนั้นเรื่องโซเชียลมีเดียเริ่มมาแล้ว YouTube พวก Instagram เริ่มมาใหม่ๆ ตอนนั้น Facebook จะบูมมากกว่า แต่ว่า Instagram ก็เพิ่งเริ่มมา แล้วเราก็ได้เห็นเพื่อนๆ ที่เขาเป็นดารา เด็กนิเทศก็มีดาราบ้าง มีเน็ตไอดอลบ้าง เราก็เห็นเขา แล้วพอเราได้มาทำเพจเอง เรารู้สึกว่าเพิ่งได้รู้จัก แต่พอได้เรียนพวก Online Marketing ด้วย ผมเก็ตทันทีว่ามันคืออะไร เพราะว่าในช่วงนั้นมันเป็นช่วง transition ระหว่าง Offline Marketing กับ Digital Marketing ด้วย เป็นช่วงที่กำลังหนักจะเทไปทาง Digital Marketing มากขึ้น ถือว่าช่วยให้เราปรับตัวได้เร็ว”


ถือว่าได้เลือกเรียนที่ลงตัวกับตัวเรา “ก็ไม่ทุกวิชาครับ แต่คลาสที่ไม่นึกว่าจะมาชอบแต่กลับชอบมากก็คือคลาสที่ได้เรียนมิวสิคัลคลาสหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้มาสายการแสดงเลย แต่ดันมาชอบคลาสนี้มากๆ เพราะว่ามันได้ทำงาน ทำละครเวที ได้ร้องเพลง ซึ่งเราไม่เคยร้องมาก่อน แล้วได้พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเราชอบมาก ก็เป็นคลาสที่ชอบมากๆ เลย ส่วนเรื่องแบบ Ad กับ Marketing เราก็พอได้ครับ แต่ไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น เราชอบ Public speaking เราชอบการพูด การได้แบบไป presentation เราจะเป็นสายพูดมากกว่าสายเขียน เพราะฉะนั้นงานในคลาสคือเราจะเป็นสาย present เลยรู้สึกว่าเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบพูด”

เด็กนิเทศเขาชอบทำกิจกรรม ตอนเรียนทำกิจกรรมบ้างหรือเปล่า “ผมทำตอนเทอม 1 อย่างเดียวครับ แต่พอเราได้ทำเกือบทุกอย่างแล้ว เรารู้สึกว่าเราเริ่มเฟดๆ ออกมา เพราะตอนนั้นคือคลั่งฟิตเนสมาก เข้าแต่ฟิตเนสอย่างเดียวเลย เพราะว่าถ้าอยู่ในคณะคือมันต้องทำงานจนดึก แล้วมันรบกวนเวลาฟิตเนสเรา”

ไม่ชอบการแสดงแต่พอมาเริ่มเข้าสู่โหมดการแสดงต้องปรับตัวมากไหม “เยอะครับ”(หัวเราะ) จอสตอบ “ถามว่าเยอะไหมก็ไม่ได้มากขนาดนั้นนะ แต่ว่าต้องปรับตัวในระดับหนึ่ง เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบเซ็ตอะไรไว้ก่อน จะมีคนวางแพลนวาง Schedule ตลอดเวลา ทำให้เราเป็นคนที่ทำตามแผน วางแผนในชีวิตเราในหลายๆ เรื่อง แต่ว่าในเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องของศิลปะ มันเป็นการปล่อยตัวเองให้ฟรี แล้วก็อินไปกับโมเมนต์นั้นๆ ซึ่งผมว่าสำหรับตัวผมในตอนนั้นแล้วก็ตอนนี้ เป็นอะไรที่ชาเลนจ์มากๆ ที่การที่จะเป็นคาแรกเตอร์ที่เราไม่รู้จักอะไรเลย มันต้องลืมเกือบทุกอย่างครับ แล้วทำตัวให้ relax ให้ได้มากที่สุด คือผมเป็นคนที่ชอบกดดันตัวเอง หมายถึงว่าถ้าเป็นเรื่องในด้านกีฬาหรือว่าเรื่องการเรียน ถ้าเราออกกำลังกายทุกวัน มันจะเก่งขึ้น มันจะดีขึ้น มันจะมีกราฟที่ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ถ้าเราใส่เวิร์กไปเท่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้มันก็จะประมาณเท่านี้ แต่การแสดงมันไม่เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นงานศิลปะ มันต้องใช้อารมณ์ ซึ่งมันเกี่ยวกับตัวเราเลย ถ้าเราไม่ relax การที่กดดันตัวเอง บางทีมันก็ไม่เวิร์ก”


นี่ถือว่าเราต้องมาเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่หมด “ใช่ครับ ในการแสดงนี่ใช่เลย เพราะว่าจนถึงตอนนี้ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ พยายามจับจุดอะไรที่มันเวิร์กกับเรา เราก็ไปฟัง podcast ไปเรียนเพิ่ม แต่โชคดีครับที่ 2 เรื่องแรก บทน้อยมาก แค่ตัวละครที่มาโผล่เป็นสีสันของตัวละครตัวหลักตัวหนึ่ง ถามว่าตอนนั้นเข้ากล้องครั้งแรกของ Friend Zone ซีรีส์ โอ้โฮพูดติดๆ ขัดๆ ลนมาก ไม่เคยเจอประสบการณ์ในกองถ่ายมาก่อน ไม่เคยมาอยู่ข้างหน้าเลย เคยไปทำงานกับเขาบ้าง แต่ก็ไปดูเบื้องหลัง แล้วเราก็ไม่ได้อินอะไรอยู่แล้ว พอไปทำงานจริงๆ มันตื่นเต้น แต่พอไปดูผลงานปุ๊บ เขาตัดต่อมา เขาก็ช่วยเรา มันออกมาโอเค เรารู้สึกว่า เฮ้ย เจ๋งดี เออเราได้ไปอยู่ที่เราเคยดูคนอื่นเขา อะไรอย่างนี้ครับ ก็ตื่นเต้น แล้วพอเรื่องที่ 2 คือ Wolf ได้ไปพูดบทภาษาอังกฤษด้วย เป็นบาร์เทนเดอร์ เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ยเออมันสนุกแล้ว อะไรอย่างนี้ ถ้าเราทำได้มันสนุกแล้ว” จอสกล่าว

จากรับเชิญ เดินไปเดินมาหล่อๆ พอต้องกระโดดขึ้นมาเป็นแสดงนำ ก็ต้องเผชิญกับความหนักหน่วงที่หนักอึ้งกว่า

“หนักกว่ามากครับ แต่มันเป็นงานที่ท้าทาย แล้วผมรู้สึกว่าในชีวิตผมไม่ได้เจออะไรที่มันชาเลนจ์บ่อยเท่าไรนัก แต่ว่านี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายเรา เป็นตัววัดความสามารถเรา แล้วเป็นทางเลือกใหม่ในด้านการแสดง เพราะฉะนั้นเราเลยเต็มที่กับมัน ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้ซีเรียสกับผลลัพธ์ขนาดนั้น แต่ว่าเราทำเต็มที่ เราสนุกกับมัน ผมโชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ คนในกองที่เขาทั้งให้กำลังใจ เขาสอนเราหลายๆ อย่างในการทำงาน ทำให้แบบประสบการณ์ที่มีอยู่ในช่วง 2-4 เดือนดีมากครับ ผมยังคิดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ”

นีโอกับตัวจอส ห่างไกลกันแค่ไหน หรือว่ามีความใกล้เคียงกันตรงไหนบ้าง

“ในตัวความใกล้เคียงครับ คือนีโอเนี่ยผมว่าต้องมีเสน่ห์ทั้งกายภาพแล้วก็นิสัย หมายความว่าต้องมีเสน่ห์การดึงดูดทางเพศทั้งสองเพศเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าในชีวิตจริงก็เคยมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาชอบผมเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับเขามองเห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องเวิร์กอะไรกับมันมากนัก แต่ในเรื่องนิสัยใจคอ ผมว่าเหมือนด้วยความที่เราเป็นคนที่เล่นออกกำลังกายมา เราสูง เราพอรู้อยู่ว่าเป็นคนหุ่นดีนะ หน้าตาเราก็ไม่ได้แย่ เราเลยรู้ว่าจุดแข็งเรามีอะไร จุดอ่อนเรามีอะไร จริงๆ ก็ไม่อยากพูดเต็มปากว่าบริหารเสน่ห์เป็น แต่พอรู้ว่าเคยจีบคนนู้นคนนั้นคนนี้มาก่อน คุยกับเพื่อนก็รู้ว่าตัวเองมีข้อดีอะไร สามารถเอาไปใช้ได้อย่างไร แต่นีโอจะดาร์กกว่านิดหนึ่ง หมายความว่าสามารถเอาสิ่งนี้ไปหลอกให้เขามาชอบเพื่อน ในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ผมว่ายุคนี้แล้ว เราเป็นคนที่ค่อนข้างเปิด หมายถึงว่ายอมรับในทุกอย่าง ในความฟรีของความรู้สึก แต่พอได้มารับบทนีโอเนี่ยมันสอนเรา แล้วผมว่านีโอให้อะไรผมมากกว่าที่ผมให้นีโอเสียอีก นีโอให้ความรู้สึกว่ามันไม่มีกฎเกณฑ์นะครับ เราเอาคอนเซ็ปต์นี้มาใช้กับชีวิตเราจริงๆ อะไรอย่างนี้ เพราะเรารู้สึกว่าการที่เราไปชอบคนนู้นคนนี้มันไม่จำเป็นว่าเราต้องให้คำจำกัดความมันว่าคืออะไร แค่เรารู้สึกอย่างไร เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกก็พอครับ”


ฉากที่เต้นเป็นสตริปเปอร์นี่ต้องฝึกนานไหม “ไม่นานครับ” จอสตอบทันที “ผมแกะท่า 2 ชั่วโมงเอง กับคุณครูที่มาสอน แล้วก็เราซ้อมประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ ส่วนตัวเราชอบหนังเรื่อง Magic Mike มากอยู่แล้ว เลยรู้สึกตื่นเต้นมากกับฉากนี้ รู้สึกว่าโอเคแอ็กติ้งแรกๆ ไม่ผ่านไม่เป็นไร แต่ผมต้องเต้นให้ได้ก่อน เลยไปฝึกหนักมาก กลับไปดู Magic Mike ทั้ง 2 ภาคเลยอีกรอบหนึ่งเพื่อเก็ตอินเนอร์ แต่จริงๆ อยากจะไปบาร์โฮสจริงๆ ด้วย แต่ว่าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน และไม่มีโอกาสได้ไป เลยเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ รวมๆ อาทิตย์หนึ่งครับ เพราะว่าพอแกะท่าเสร็จเราไปซ้อมต่อทุกวันเลยครับ”

ฉากไหนที่ยากที่สุดเท่าที่แสดงมาใน 3 Will Be Free

“ฉากไหนยากที่สุดเหรอครับ ส่วนใหญ่ของผมน่าจะเป็นซีนทะเลาะครับ ซีนอารมณ์ที่ต้องเถียงกัน แล้วก็ซีนบู๊ครับ ซีนทะเลาะเนี่ยเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะต้องไฟต์กับตัวหมิว หรือดีเจมายด์ แล้วเขาก็แสดงถึงมาก เขาเก่ง สามารถต่อปากต่อคำกับเราได้เลย ส่วนเรายังมีความเกร็งๆ อยู่บ้าง มีความประหม่าอยู่บ้าง มันอาจจะได้ไม่สุดครับ ช่วงฉากแรกๆ เลยครับ ที่ต้องแบบมาต่อล้อต่อเถียงกับมายด์ มันก็จะมีความเกรงใจอยู่บ้าง สู้แบบสู้เขาไม่ได้ แต่พอสนิทกันมากขึ้น คนในกองมันก็ละลายพฤติกรรมครับ เราก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนฉากบู๊ก็ได้ลอง ได้ยิงปืน ได้เต้น แล้วได้ชกต่อย แต่ส่วนใหญ่นีโอจะโดนกระทืบเสียมากกว่าครับ”(หัวเราะ)

ลืมพูดไปฉากหนึ่ง ฉากทรีซัมอะ “อ๋อครับผม (ยิ้ม) เอาจริงๆ ผมว่าฉากนี้สำหรับผมมันผ่านไปเร็วมากเลยนะ เพราะว่าผมรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรติดขัดเลย ทุกคนแฮปปี้ แล้วพอคัตเสร็จ ก็บอก โอ้โฮ จะโดนเซ็นเซอร์ไหมเนี่ย ซึ่งต้องให้เครดิตผู้กำกับแล้วก็นักแสดงอีกสองคนด้วย เพราะว่าทั้งมายด์ และพี่เต และพี่โจ้ ผู้กำกับนะครับ ที่แบบไปสุดกับซีนนี้จริงๆ เรานั่งแพลนกันว่ามันจะเป็นอย่างไรดี แต่สุดท้ายคือออกมาทุกคนไปเต็มที่ โดยเฉพาะมายด์ครับ ให้เครดิตมายด์เลยว่ามายด์ดึงตัวละครหมิวมาได้สุดมาก ส่วนพี่โจ้เอง เขาเปิดโอกาสให้นักแสดงอย่างเรา ถ้ามีความคิดเห็นอะไร หรือว่าเราอยากจะพูดอะไรกับเขา เราอยากจะให้ตัวละครทำอย่างนี้ เขาจะเปิดโอกาสให้เสนอออกมาเลย ซึ่งมายด์เป็นคนหนึ่งที่เสนอออกมาแบบสุดมากในเรื่องของตัวหมิวครับ ถามว่าประหม่าไหม ก็ไม่นะครับ ผมว่าเราพออินไปกับคาแรกเตอร์ เราถ่ายมาระดับหนึ่งแล้วมันรู้อยู่ว่าคาแรกเตอร์นี้ต้องการอะไร ตัวละครของเรามันเป็นคนอย่างไร แล้วมันเลยทำให้ฉากนั้นมันไม่ยากครับ ถามว่ามีความเขินนิดๆ หนึ่งไหม ก็นิดหนึ่งครับผม”

ในชีวิตจริงล่ะ เคยมีซีนนี้หรือเปล่า?
“อ๋อไม่เคยครับ ไม่เคยจริงๆ”


ระหว่างฉากจูบกับเต กับจูบกับหมิว ฟิลลิ่งต่างกันไหม

“ต่างกันไหมเหรอครับ” จอสคิดสักพัก “มันก็ต่างครับ แต่ว่าไม่ได้ต่างกันมาก เพราะว่าเหมือนจูบพี่เตคือจูบผู้ชาย แล้วผมก็ไม่เคย make out กับผู้ชายมาก่อน เรามีความคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรวะ แต่ถามว่ามันตื่นเต้นไหม ก็นิดหน่อย แต่ไม่ได้เกร็งนะครับ เพราะเรารู้ว่ามันคือการแสดง เราแค่อยากไปให้สุด ฉากที่จูบกับพี่เตที่โรงยิม ผมว่าเนื่องจากเราเล่นซีนกันต่อเนื่องมา เล่นแบต ทำนู่นทำนี่ มีความผูกพันกันมันก็ธรรมชาติมากครับ เพราะว่าเราสนิทกับพี่เตอยู่แล้ว หมายถึงว่าเขาเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มาก จนผมไม่มีกำแพงกับพี่เตเลย แรกๆ กับมายด์ยังมีบ้าง เพราะว่ามายด์เขาแสดงเก่ง พี่เตก็เก่ง แต่มายด์แสดงเก่งแล้วเราไม่ได้สนิท พอสนิทแล้วเป็นผู้หญิงด้วย เราก็จะเกรงใจเขา แต่พอสนิทกันไปได้เรื่อยๆ แล้วมันไม่มีกำแพง มันละลายพฤติกรรมไปแล้ว ทุกอย่างก็คือสมูทหมดเลยครับผม”

เมื่อกี้มีติดใจอยู่ประเด็นหนึ่งที่บอกว่า “ชอบบริหารเสน่ห์” ในชีวิตจริงเป็นอย่างไรบ้างครับ มีเกย์มาจีบบ่อยหรือไม่

“ผมไม่ค่อยมีคนมาจีบนะครับ หรือผมอาจจะดูไม่ออกก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเขาไม่ได้มาจีบ ส่วนใหญ่มีคนชอบ direct message มา หรือว่ามีเพื่อน หรือว่าพี่ๆ น้อง ๆ บอกว่าชอบคนนี้มากเลย แต่ถามว่าเคยมีคนมาจีบมั้ย ครั้งสุดท้ายที่มีคนมาจีบ ผมจำไม่ได้จริงๆ ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว”

แล้วเราบริหารเสน่ห์อย่างไร? “คำว่าบริหารเสน่ห์ สำหรับผมว่ามันไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเรื่องของชู้สาว หมายถึงว่าเราทำ ในการจำกัดความของผมนะครับ อย่างการที่ทำให้คนอื่นรัก คนอื่นมีความสุข อยู่ด้วยแล้วมีความสุขทำให้เขาหัวเราะ หรือว่าทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมว่าอันนั้นก็คือการบริหารเสน่ห์ในแง่ของผมนะ แต่ส่วนนีโอเนี่ยมันเป็นเรื่องของการทำอย่างไรให้เขามาชอบเรา แต่ผมว่าการบริหารเสน่ห์คือมันไม่ได้รู้ตัวหรอกครับ ตัวละครเองหรือว่าตัวเราเองไม่ได้รู้ว่าเรากำลังบริหารเสน่ห์อยู่นะ ตัวนีโอจะใช้ความรู้สึกไปมากกว่าครับ คือรู้สึกดีกับใคร ก็ลุยเลย หมายถึงคุยดีทำดีด้วย แต่ว่าด้วยเนเจอร์แล้วนีโอน่าจะเป็นขี้อ่อย แล้วก็ไม่ได้คิดเยอะ ถ้าเราทำแบบนี้กับคนแบบนั้น เขาจะรู้สึกแบบว่าหวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ซึ่งถามว่าชีวิตจริงผมก็เคยมีนะ แต่ว่านาน นานมากๆ สมมุติว่าเราเป็นคนเฟรนด์ลี่มากเกินไป แล้วอยู่ดีๆ เพื่อนชอบเราขึ้นมา จนเขามาสารภาพ บางทีถ้าเราไม่ได้ชอบเขา เราก็ต้องบอกเขาว่าเราไม่ได้ต้องการจะสื่ออย่างนั้นนะ แต่เราคิดกับยูแบบเพื่อน”


ขอย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ตอนที่จอสถ่ายดูมันดิ จะมีหลายซีนที่ต้องถอดเสื้อ เช่นเดียวกับในเรื่องเรื่องนี้ “ใช่ ก็ชินไปแล้วมั้งครับ หมายความว่ามันเป็นเรื่องปกติ” จอสพูดแทรก เรารู้สึกอย่างไรที่สมมุติว่ามีคนมาบอกว่ายูเป็นคนที่มี sex appeal สูง “ก็ดีใจนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำชม จะบอกอย่างไรดีล่ะ เราไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าพอมีคนพูดมาเราก็รับไว้ว่าเป็นคำชม เราก็ไม่ทราบ มันอาจจะด้วยหุ่นด้วยแหละว่าเราสูง เราออกกำลังกายมันทำให้ดูมี sex appeal รับไว้เป็นคำชมแล้วกันครับผม”


ระหว่างเล่นกีฬากับเข้าฟิตเนส “คือเล่นกีฬาบาสเนี่ย ตอนนี้ผมไม่ได้อยากให้ตัวใหญ่ไปกว่านี้แล้ว เพราะว่าด้วยบทด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ฉะนั้นปกติจะเป็นคนดูแลตัวเองด้วยเข้าฟิตเนสครับ อย่างแรกคือเป็นคนที่รักการออกกำลังกายยกเวตอยู่แล้ว แล้วเราก็เล่นกีฬาบาสด้วย ถือว่าเป็นการคาร์ดิโอไป เมื่อก่อนเป็นคนมีสิวเยอะมาก พอเข้าวงการมา เราขยันทาแบบสกินแคร์ ไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตมาว่าอันไหนดี ถามพี่ๆ บ้าง แล้วก็ใช้ เมื่อก่อนแทบไม่ได้ดูแลตัวเอง หมายถึงว่าในเรื่องผิวหน้าผิวกายเลยครับ แต่ตอนนี้จะนั่งใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีทาครีม เพราะเรารู้สึกว่ามันสำคัญ เราต้องให้ความสำคัญกับมัน ให้เวลากับมันครับ”

ถ้าวันนี้ไม่ได้เข้าวงการ “ผมว่าจริงๆ ที่อยากทำ ตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกว่าอยากทำอยู่ ถ้ามีเวลาเราก็อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬา แล้วการออกกำลังกาย well being อยากให้คนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ในแบบที่มีไลฟ์สไตล์ที่มัน Healthy ขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปเรียนเกี่ยวกับ Sport and Conditioning สำหรับการกีฬา แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ววงการกีฬาไทย ในฟีลด์นี้เขาให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน แต่ผมว่ามากกว่าเมื่อก่อนแน่ แต่อาจจะไม่พอในสเกลที่จะทำให้เป็นอาชีพขึ้นมาได้ เป็นโค้ช แบบไม่ใช่โค้ชบาสนะครับ เป็น Strength and Conditioning Coach สมมุติว่ามันจะมี all season ครับ แข่งเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวสำหรับ Season หน้า การเทรน การเวต การเล่นอะไรมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปลองตรงนั้นดูเหมือนกันครับผม”

อนาคตในวงการบันเทิงตั้งเป้าไว้อย่างไร

“ตอนนี้ครับ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ก็อยากจะลุยกับมันให้เต็มที่ครับ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังสนุกกับการแสดง แล้วการทำงานเราได้รับโอกาสที่ดีมามากเลย เราเลยอยากจะใช้เวลาตรงนี้เต็มที่กับมันให้ดีที่สุด แล้วดูว่าพอสุดท้ายแล้วมาตกผลึกว่าเราได้อะไรจากมันบ้าง เราชอบเรารักกับการแสดงแค่ไหน เพราะตอนนี้เราชอบเราสนุก ผมพูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับว่าผมรักการแสดง เพราะว่าเราเหมือนได้โอกาสมาลอง ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว สุดแล้วเนี่ย 3-5 ปี แล้วเรามาดูอีกทีว่าเรายังรักการแสดงอยู่หรือเปล่า ถ้ารักการแสดงก็ทำต่อ ถ้าไม่ได้รัก เราอาจจะไปดูว่าเราจะเจอ passion อะไรอื่นๆ บ้างที่เราอยากทำ ในระหว่างเวลานี้ ผมว่าช่วงปีสองปีนี้ก็คือ 70-80-90% คงเทให้การแสดงหมดเลยครับ ในงานละครหรือซีรีส์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะว่ามันต้องใช้เวลาจริงๆ ของแบบนี้ แล้วมันต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองด้วย เพื่อที่จะมีบทดีๆ มาให้ลองอีก แล้วถ้าสมมุติว่าเราจะสนุกกับมัน เรายัง Enjoy กับมันอยู่ เราก็ทำต่อ”

เมื่อกี้บอกว่าตอนเรียนชอบวิชามิวสิคัล เคยคิดจะเป็นนักร้องบ้างไหม

“ไม่เคยครับ ชอบที่ได้ลอง แต่ถามว่าตัวเองเสียงดีไหม ก็ไม่ครับ คือผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าตอนแรกคือเราเป็นคนอารมณ์ศิลปิน หมายถึงว่าชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนก็เคยร้องเพลงในตอนอาบน้ำนะ ทุกคนจะเอาโทรศัพท์ไปด้วย แล้วเปิดเพลงที่ตัวเองชอบ ถ้าเราชอบเราก็จะร้อง แต่ว่าไม่เคยเอาเสียงมาให้คนอื่นฟังว่าเสียงเราเป็นอย่างไร เพราะเรารู้ว่าทุกคนก็คงเคยอัดเสียงร้องเพลงใช่ไหมครับ เรานึกว่าตัวเองเสียงดี แต่พอฟังออกมาปุ๊บแล้วมันไม่เวิร์ก ไปร้องคาราโอเกะก็ไม่เวิร์ก จนได้มาลองร้องเพลงมิวสิคัลดู มีการวอร์มเสียง ก็ไม่ได้แย่ ร้องได้ แต่ว่าไม่ได้จัดว่าดีครับ มันเป็นประสบการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันสนุก”

]]>
กระแส #MeToo กับการจากไปแบบไม่หวนกลับของ ‘เควิน สเปซีย์’ https://marshomme.com/scoop/89318/ Fri, 01 Nov 2019 15:44:00 +0000
ช่วงปลายปี 2017 มีข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นในสังคมฮอลลีวูด เมื่อฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังของค่ายวอลต์ ดิสนีย์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชอบใช้อำนาจในหน้าที่การงานทำการล่วงละเมิดทางเพศและข่มขืนใจผู้หญิง เริ่มจากการเปิดเผยของนักแสดงในสังกัด คือ อาเซีย อาร์เจนโต และลูเซีย อีแวนส์ หลังจากนั้นนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ก็ดาหน้ากันออกมาแฉ รวมรายชื่อเป็นหางว่าว กระทั่งเกิดกระแสฮิตติดแฮชแท็ก #MeToo กระจายไปทั่วโลก

“ผมเพิ่งตระหนักว่าวิธีการแสดงออกของผมในอดีตต่อผู้ร่วมงานหญิงนั้นเป็นสาเหตุให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด ผมต้องขอโทษอย่างรุนแรงต่อเรื่องดังกล่าว ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แม้จะรู้ว่าผมต้องใช้เวลาอีกนานก็ตาม” นั่นคือประโยคคำพูดที่ฮาร์วีย์บอกผ่านสื่อภายหลังตกเป็นข่าว แต่ไม่นานหลังจากนั้น กรรมการบริษัท ไวน์สตีน คัมปานีก็สั่งปลดเขาพ้นจากตำแหน่ง อีกทั้งจอร์จีนา แชปแมน-ภรรยาของเขาก็ประกาศขอแยกทาง

ระหว่างที่ข้อกล่าวหากำลังกลายเป็นกระแสยืดเยื้อ นักแสดงชายเบอร์ต้นๆ ของฮอลลีวูด อย่างเควิน สเปซีย์ ก็ออกมาเปิดตัวผ่านทวิตเตอร์ “ผมตัดสินใจแล้วว่า จะขอใช้ชีวิตที่เหลือเป็นเกย์อย่างเปิดเผย” แต่เหตุผลที่เขาจำต้องออกมาเผยตัวตน เพราะว่าถูกแอนโธนี แรปป์-นักแสดงที่แจ้งเกิดจากซีรีส์ ‘Star Trek: Discovery’ ออกมาแฉว่าเคยถูกสเปซีย์ล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อตอนที่ตนอายุ 14 ปี หลังจากไปงานปาร์ตี้ที่บ้านของสเปซีย์ และถูกสเปซีย์-ขณะอยู่ในสภาพมึนเมา-เกลี้ยกล่อมพาไปที่ห้องนอน แล้วเริ่มลวนลามเขา แต่เขาก็ผลักสเปซีย์ออกพ้นตัว และรีบผละออกจากบ้านไป

‘House of Cards’ และบทอวสาน

นับตั้งแต่ปี 2013 เควิน สเปซีย์ ปัจจุบันวัย 60 ปี เจ้าของรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง ‘The Usual Suspects’ (1995) และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ‘American Beauty’ (1999) ได้ร่วมแสดงในซีรีส์ของ Netflix เรื่อง ‘House of Cards’ เขาได้รับบทนำ เป็นนักการเมืองที่พยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงสุดในทำเนียบขาว จนเมื่อกระแสข่าวการล่วงละเมิดทางเพศในสังคมฮอลลีวูดเริ่มฉุดไม่อยู่ และตัวเขาเองซึ่งตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ Netflix ต้องตัดสินใจปลดสเปซีย์ออกจากซีรีส์เรื่องดังกล่าวทันที

รวมถึงบทบาทการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง ‘All the Money in the World’ ของผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ถ่ายทำเสร็จจนพร้อมออกฉายแล้ว ก็ต้องเลื่อนกำหนดฉาย หั่นทุกฉากที่มีสเปซีย์ปรากฏอยู่ทิ้งไป แล้วถ่ายทำใหม่อีกครั้งโดยมีการเลือกคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์มารับบทแทน

สเปซีย์กับคดีความ

นับตั้งแต่ปลายปี 2017 มีการกล่าวหาสเปซีย์เรื่องการล่อลวงและล่วงละเมิดทางเพศมากกว่า 30 กรณี เริ่มจากแอนโธนี แรปป์ จากนั้นบรรดาทีมงานผู้ชายที่โรงละครโอลด์ วิค ในกรุงลอนดอน อีกอย่างต่ำ 20 คนกล่าวหาเขา จากเหตุการณ์เมื่อครั้งที่สเปซีย์ไปร่วมงานในฐานะผู้จัดการโรงละคร รวมถึงงานแสดงระหว่างปี 2003-2015

คดีฟ้องร้องเควิน สเปซีย์เข้าสู่ศาลเมืองแนนทักเก็ต รัฐแมสซาชูเส็ตส์ เมื่อโจทก์เป็นเด็กหนุ่มไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวหาสเปซีย์ว่าล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเขาอายุ 18 ปี เหตุเกิดเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2016 ที่แนนทักเก็ต สเปซีย์มอมเหล้าเขาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ แต่สเปซีย์ให้การปฏิเสธ

การพิจารณาคดีดำเนินมาจนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และผู้พิพากษาได้ตัดสินยกฟ้องคดีกล่าวหาเควิน สเปซีย์ เนื่องจากหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์อ้างถึงภาพและคลิปในโทรศัพท์มือถือนั้น ถูกลบทิ้งไปแล้ว อีกทั้งพยานฝ่ายโจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างที่ควร

ข้อสงสัยในตัวผู้ต้องหาที่ยังเป็นตราบาปต่อไป

กรณีของเมล กิบสัน นักแสดงรุ่นเก๋าของฮอลลีวูด อาจจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของเควิน สเปซีย์ เมื่อปี 2010 เขาเคยทำผิดคดีใช้กำลัง ข่มขู่อดีตภรรยา และพูดจาดูถูกเหยียดสีผิวเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจ จนเป็นเหตุให้วงการฮอลลีวูดปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเขา

แต่ไม่กี่ปีผ่านไป กิบสันก็หวนกลับสู่วงการอีกครั้ง ได้รับข้อเสนอให้แสดง และกำกับภาพยนตร์ รวมถึงเป็นแขกรับเชิญในรายการทอล์กโชว์

แม้ ‘ข้อสงสัยในตัวผู้ต้องหา’ คดีของเควิน สเปซีย์จะสิ้นสุดลงด้วยการยกฟ้องของศาล แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทุกอย่างยุติ และหวนกลับมาเป็นเช่นเดิม

คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงที่เขาสูญเสียไปกลับมาได้อีก รวมทั้งงานแสดง กระแส #MeToo ในโลกโซเซียล นอกจากจะสามารถทำลายกำแพงประเพณีเก่าแก่ที่ย่ำแย่ของฮอลลีวูดลงได้สำเร็จแล้ว มันยังจะกัดกร่อน หลอกหลอนผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ตราบนานอีกด้วย

และไม่ว่าเควิน สเปซีย์จะกระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่ก็ตาม

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>