Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
ผู้กำกับ – Marshomme https://marshomme.com Mon, 29 Mar 2021 07:57:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png ผู้กำกับ – Marshomme https://marshomme.com 32 32 โอ๋ – ฐิติพันธ์ รักษาสัตย์ จากผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง ที่ผันตัวเองมาเป็น “มาดามฟันนี่” https://marshomme.com/lifestyle/531577/ Mon, 28 Dec 2020 09:36:00 +0000 ปีนี้เป็นปีที่แปลกค่ะ แม้โควิด-19จะทำให้ชีวิตผู้คนเกือบค่อนโลกเดือดร้อน ตกงาน ล้มหายตายจากแต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้เห็นคนที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอยู่หลายคนหนึ่งในจำนวนนั้น อิชั้นชื่นชม โอ๋ฐิติพันธ์ รักษาสัตย์ ผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง ที่ตัวเองมาเป็น มาดามฟันนี่แบบบังเอิ๊ญบังเอิญ เพราะดันทำคลิปเลียนแบบท่าน ส.ชื่อดังจากเมืองโอ่งจนโด่งดังไปทั่ว ชะตาชีวิตคนก็แบบนี้ล่ะค่ะ บทจะดวงตกก็ฉุดไม่อยู่บทจะดังก็ดังไกลสุดกู่เช่นกัน


ใครที่ติดตามหนังอินดี้มาอยู่บ้าง จะคุ้นเคยกับชื่อ โอ๋-ฐิติพันธ์ อยู่บ้าง เธอสร้างชื่อจากการเป็นโปดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์
“It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก” ที่มี กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เป็นผู้กำกับก่อนจะเริ่มทำหนังของตัวอย่าง “Love Next Door 1 และ 2”, และ “คนขับรถ The Driver” ที่ได้ ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มมโนทัย และ ภูริ หิรัญพฤกษ์มาแสดงเป็นคู่รักเกย์ พร้อมฉากเลิฟซีนบนโซฟาที่สั่นสะเทือนวงการระดับ 8 ริกเตอร์ ใครยังไม่ได้ชมเรื่องนี้ไปหามาชมนะคะ เผ็ด แซ่บค่ะ

แต่ใครจะได้คิดล่ะ ว่าโควิด-19 จะทำให้ โอ๋-ฐิติพันธ์ ตกงาน!ได้เช่นกันฟังเรื่องราวการต่อสู้ชีวิต และโรคซึมเศร้าที่หลายคนคาดไม่ถึง

Q : อยากให้พี่โอ๋เล่าที่มาของมาดามฟันนี่หน่อยค่ะจับพลัดจับผลูอย่างไร

A : ต้องใช้คำว่ามาเป็นมาดามฟันนี่ได้ด้วยความฟลุกค่ะเพราะว่าเล่น TikTok ช่วงโควิด เล่นมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง โคฟเป็นคนนั้นคนนี้แต่ว่ามันไม่มีคนดูก็เลยเลิกเล่น แล้วอยู่ดี ๆ รายการแฉของมดดำก็เอาคุณปารีณาไปออกดิฉันก็นั่งดูอยู่และคิดว่า Content นี้เดี๋ยวต้องมีคนขึ้นมาโคฟเยอะแน่ๆ เลย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาอ้าวทำไมไม่มีใครโคฟเลยล่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าจะลองดูอีกสักตั้งหนึ่งดีไหมกับ TikTok ก็เลยไปค้นชุดเอาวิกผมอันนี้มาใส่นะคะไม่เคยได้ใช้เลย แต่พอลองใส่ดู แล้วก็ อุ๊ย!ทำไมหน้าตาฉันเริ่มดูคล้ายล่ะพอลองยิ้มหน้ากระจกเท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปที่กล้องโทรศัพท์ อัดเลย 3 เทค ตายแล้ว ฉันจะโดนฟ้องไหมนะ เหมือนมาก โพสต์เลยละกันปกติ Facebook เราไม่ค่อยมีใครกดไลก์นะคะแต่หลังจากที่โพสต์คลิปนั้นไป notification ขึ้นตลอดเวลา ผ่านไปคืนหนึ่งยอดวิวเป็นล้านทั้งแชร์ทั้งอะไรต่างๆ ชีวิตเปลี่ยนไปเลยค่ะ วันรุ่งขึ้นก็เลย ลองต่ออีกสักคลิปเผื่อว่า ดูซิว่าเราฟลุกหรือเปล่าหลังจากขึ้นไม่ได้หยุดเลยค่ะ คือทุกคลิปเล่นแล้ว ฟีดแบ็กดีมากๆ กลายเป็นว่าคลิปที่มีคนดูมากที่สุดคือคลิปที่เต้นเพราะว่าคนดูอาจจะ ไม่เคยเห็นว่าคุณปรณเขาเต้นอย่างไร พอเราลองไปเล่นปรากฏว่าคลิปนั้น ตอนนี้ก็ 7 ล้านวิวแล้ว


Q : มาช่วงถูกจังหวะหรือเปล่าคะ เพราะช่วงโควิดที่คนกำลังเครียดก็เลยต้องการเสพ Content ที่มันรีแลกซ์ ๆ หน่อย

A : ทุกเหตุผลรวมกัน คืออะไรที่จะเป็นไวรัลได้เนี่ยบางทีเราบอกไม่ได้จริง ๆ ว่า ทำไมคลิปนี้ถึงกลายเป็นไวรัลส่วนคลิปนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่างนะ พูดกันตรงๆ คือ คุณปรณเขาก็ไม่ได้มีคอมเมนต์ที่ดีนัก มีทั้งคนชอบ มีทั้งคนไม่ชอบ ฉะนั้นคนที่จะมาโคฟเนี่ย ต้องคิดแล้วว่า ถ้าเขาไปโคฟจะมีคนมาคอมเมนต์ที่ไม่ดีหรือเปล่าแต่เผอิญว่าเราก็ลองดู ปรากฏว่าคอมเมนต์ที่ได้รับมามันคือเป็นโพสิทีฟหมดเลย (ขอแป๊บหนึ่งนะคะ ไม่มีเสียงเพราะว่าตั้งแต่เป็นซึมเศร้าเสียงมันหาย) เพราะว่าไม่พูดกับใครเป็นปีๆ กล้ามเนื้อมันก็อ่อนแรงบวกกับเป็นภูมิแพ้ คนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้แต่ก็จะบอกคนที่ไปออกรายการว่า พี่เสียงเป็นแบบนี้นะ บางช่วงเสียงหาย


Q : มาดามฟันนี่เป็นโรคซึมเศร้า!!!เป็นมานานยังคะ

A : เป็นซึมเศร้าจริง ๆ น่าจะเป็นมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ว่ามันฝังอยู่ข้างในจนกระทั่งมันกลายเป็นวิกฤติวัยกลางคน บวกกับเป็นไบโพลาร์ด้วยมันทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกว่าเราไม่อยากไปทำงาน หนักเข้าก็ไม่อยากมีชีวิตต่อหนักที่สุดก็คือทุกคืนจะนึกถึงแต่เรื่องจะฆ่าตัวตายอย่างไร จะด้วยกรรมพันธุ์จะด้วยฮอร์โมนในร่างกาย จะด้วยความเครียดรวม ๆ กันหรือเปล่าเราไม่รู้แต่เราไปหาหมอ หมอก็เลยให้กินยา แต่พอกินยาแล้วมันก็มีภาวะของการhideความสุข ก็เลยเป็นที่มาที่เราอยู่ดี ๆ ไปซื้อชุดผู้หญิงค่ะซื้อวิกมาทั้งหมด 10 กว่าวิก ชุดผู้หญิงน่าจะเป็น 100 ชุด รองเท้าส้นสูงก็มีเป็น 10 คู่ เลย โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอามาใส่ทำอะไร

Q : แสดงว่าไม่ได้ชอบแต่งหญิงมาตั้งแต่เด็ก?

A : ไม่ชอบ เราเคยไปต่างประเทศ ไปแต่งประกวดสนุกๆแล้วเราก็รู้สึกว่าการเป็นกะเทยนี่มันยากนะแต่งตัวเหนื่อยจังเลย ใส่วิกก็เจ็บหัวต้องมาแต่งใส่เสื้อใน เสื้อผ้าก็ไม่มีไซส์เราไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นกะเทยแต่งหญิงเลย แต่ซื้อเสื้อผ้าผู้หญิง ทำไมไม่รู้จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ชุดที่ซื้อมาทั้งหมด วิกทุกอันได้ใช้หมดเลยแปลกมากค่ะ

Q : แล้ววันนี้บาลานซ์งานกับความเป็นตัวตนของเราอย่างไรคะ

A : ต้องเล่าว่าตอนที่เราไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นไบโพลาร์ให้ยามากินไปประมาณ 3 เดือนนะคะ แล้วมันมีผลกับร่างกายเราคือบางคนอาจจะเวิร์กหมอเขาก็รักษาตามอาการ แต่พอเราเปลี่ยนยาไปมาผลของมันถึงขนาดที่ทำให้เราเจ็บกระดูก ตอนกลางคืนเวลานอนจะรู้สึกเจ็บเหมือนปวดกระดูกข้างใน อย่างบอกไม่ถูกจนเราต้องเอาขาไปฟาดกับเตียง บางคืนตื่นขึ้นมานะมันปวดมาก เราเลยตัดสินใจว่าจะเลิกกินยาแล้วลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ปรากฏว่าช่วงโควิดยิ่งเครียด แต่พอมาเล่น tiktok มันหาย มันทำให้เราลืม สมมติคลิปแต่งตัวกินเวลาไปแล้ว 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น 3 ชั่วโมงนั้นมันหายเครียดไปเลย จึงต้องทำทุกวันติดต่อกันเป็นเดือน กลายเป็นว่าอาการดีขึ้นเราก็รู้สึกว่าเราเบาลงในเรื่องของการไม่คิดที่จะอยากฆ่าตัวตาย และที่สำคัญมันมีเหตุผลที่ทำให้เราอยากจะตื่นมาทำอะไรในวันต่อไป


Q : แสดงว่ามาดามฟันนี่นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยบำบัดความเครียดของเรา

A : ใช่ค่ะ เหมือนกับมาดามฟันนี่เกิดขึ้นมาเพื่อเยียวยาเราในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นด้วย ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าเราจะมีความสามารถขนาดนั้น แต่ใน Feedback ก็เห็นอยู่ว่า ทุกคนเข้ามาดูเพื่อคลายเครียดอาจจะเรื่องการเมืองด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปารีณาเอง ซึ่งพอเราโคฟทุกคนก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่งค่ะ

Q : หลังจากที่คอนเทนต์แรกออกไปแล้วปังมากจากนั้นเราครีเอทีฟคอนเทนต์อื่น ๆ เรื่อยมาอย่างไรบ้างคะ

A : ตอนแรกคิดอย่างนี้นะคะว่า คุณปารีณามีคลิปเสียงอะไรบ้างฉันจะลองโคฟให้หมด ให้เรารู้สึกว่า มันเข้ากับเรา แต่พอทำไปเรารู้สึกว่ามันตลกบางอันไม่เข้ากับเราเลย รู้สึกมันไม่เหมาะกับเราเสร็จแล้วคราวนี้เราก็มานั่งนึกว่าเอ๊ะ เราจะยึดติดอยู่กับคาแรกเตอร์นี้ตลอดไปเหรอลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างดีกว่า ปรากฏว่าคนไม่ดูค่ะ ลองทำเพลงก็แล้ว คนก็ไม่ดูแต่พอทำแบบเดิม คนเขาให้การตอบรับ เขายังอยากเห็นเราเป็นแบบนี้อยู่ซึ่งถามว่าคอนเทนต์ได้คิดใหม่ว่าจะทำอะไรต่อไปหรือไม่ ตอนนี้คือวันต่อวันเลยคนดูก็เพิ่มขึ้นบ้างลดลงบ้าง แต่ที่สำคัญคนจำเราได้ กลายเป็นแบรนด์ดิ้งของเราแล้วก็กลายเป็นว่าไปที่ไหนแล้วแต่งตัวแบบนี้ คนจะขอถ่ายรูปเยอะมาก สปอนเซอร์เข้าก็แปลกใจตัวเองว่าจากที่ตกงานช่วงโควิด สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ กลายเป็นว่าตอนนี้มาดามฟันนี่เป็นงานใหม่ของเราไปแล้ว


Q : นอกจากงานในการcreativeคาแรกเตอร์มาดามฟันนี่เนี่ยตอนนี้พี่โอ๋ยังอยากทำอะไรอยู่บ้าง จะทำหนังต่อไหมคะ

A : จริง ๆ แล้วคาแรกเตอร์ของมาดามฟันนี่เริ่มสร้างรายได้ให้เรานะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเอง ตอนแรกเราก็คิดว่าเดี๋ยวคงหยุดมั้งปรากฏว่าไม่หยุด ยังมีคนที่ให้การสนับสนุนเราเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ คอนเทนต์เราก็ยังไม่ได้มีแปลกใหม่อะไร เราพยายามที่จะทำเรื่องยาก ๆ ครีเอทยาก ๆ คนก็ยังชอบดูอะไรที่ง่าย ๆ อยู่เราก็ทำอย่างที่คนชอบด้วย ในขณะเดียวกันตอนนี้งานอื่น ๆ ไม่ค่อยมีเข้ามาเลย แต่เราก็พยายามที่จะสานต่อในสิ่งที่เราอยากทำ ก็คือทำหนังเพราะฉะนั้นในขณะที่เป็นมาดามฟันนี่มีชื่อเสียงมากขึ้นกลายเป็นว่ามีค่ายหนังก็ติดต่อมาจะให้ทุนเรากำกับหนังด้วย งงมาก

Q : อยากให้เล่าถึงโปรเจ็กต์หนังในอนาคตหน่อยค่ะ

A : ค่ายนี้นะคะชื่อ Hollywood Thailand ค่ะ เป็นค่ายที่เคยทำเรื่อง “The Maid สาวรับใช้” ที่ออก Netflix นะค่ะเขาจะทำหนังค่อนข้างที่จะไม่ได้ตามกระแส เสร็จแล้วพี่บอยซึ่งเป็นผู้บริหารเขาก็ถามเราว่า อยากทำหนังเรื่องอะไรไหม มีเรื่องอะไรมานำเสนอบ้างประเหมาะเหลือเกินที่เรามีโปรเจ็กต์เรื่อง “เจ้าสาว UFO” ซึ่งเขียนไว้นานมาก แต่ว่าไม่คิดว่าจะได้ทำหรอกนะ เพราะว่า CG มันเยอะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูก UFO ลักพาตัวไป พอกลับลงมา ดันท้อง แล้วก็คลอดลูกเป็นเอเลี่ยนพล็อตหลัก ๆ มีแค่นี้ แต่เราเอามาพัฒนาให้เป็นtreatmentจนเป็นบท เขียนบทจนเสร็จแล้ว แก้ 2-3 รอบ เอาให้เขาอ่าน ปรากฏว่าเขาโอเค เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นช่วง pre-production นะคะ กำลังจะปรับบทเพิ่มเติม และหานางเอกอยู่คิดว่าจะได้ถ่ายทำช่วงปีหน้า ซึ่งตอนนี้บอกตามตรงเลยว่าบทมันค่อนข้างจะแรงนิดหนึ่ง ผู้หญิงที่จะมาเล่น อยู่ในวัย 20-25 แต่มันจะมีฉากเซ็กซี่ด้วยและต้องกล้าเล่นพอสมควรตอนนี้ก็ติดต่อไปบ้างนะคะ แต่ว่ายังไม่ได้คำตอบกลับมา


Q : พี่โอ๋อยู่วงการมานานแล้วนะกี่ปีได้แล้วคะ เป็นทั้งนักแสดงสมทบ คนทำงานเบื้องหลัง โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ

A : จริง ๆ เป็นพวกจับฉ่ายค่ะ ทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใช้คำว่านิ่งก่อน คือทำงานดี ทำงานหนัก แต่ว่าเราอยู่เบื้องหลังมาตลอดเราไม่ได้เป็นคนที่จะออกนอกหน้า ที่มีชื่อแล้วคนจดจำ ตอนทำหนังเรื่องแรก It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารักก่อนหน้านั้นก็เป็นพนักงานการตลาดให้กับบริษัทอยู่ รัชดาลัย ซีเนริโอ แกรมมี่บีอีซีเทโร เคยเป็นตัวประกอบในละครเรื่อง ชายไม่จริงหญิงแท้ ยุคแหม่ม แคทรียาแสดงนำก็ทำมาแล้ว แต่ว่าเรื่องทำหนังจริง ๆ ก็มีแค่นั้นล่ะค่ะ

Q : จากการที่เราเริ่มเป็นพนักงานการตลาด ทำเบื้องหลังเป็น Extra อะไรพวกนี้เราเรียนมาทางนี้โดยตรงหรือเปล่าคะ

A : ไม่ได้เรียนเลยค่ะ จบการตลาดมา คือพยายามจะเรียนนิเทศนะสมัครมหาวิทยาลัยเอกชนไปหลายที่ ไม่ติดสักที่ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมฉันถูกผลักไสจากโชคชะตา ไม่ได้เรียนสักที ต้องมาเรียนการตลาดแล้วก็ทำงานการตลาดมาตลอด แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่าจริง ๆ ได้เอาความรู้เรื่องการตลาดมาช่วยในเรื่องของการทำหนังทำงานได้มากเลยนะคะ

Q : แสดงว่าเราไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียน acting เลย

A : ไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียนกำกับ ไม่เคยเรียนโปรดิวเซอร์เลย ต้องใช้คำว่า “นั่งนึกเอาเอง” ว่าถ้าจะทำหนัง 1 เรื่อง ออกกอง 7 วัน ต้องสื่อสารกับใครบ้าง จ่ายเงินใครบ้าง Timeline ในการทำงานมีอะไรบ้าง เหมือนกับเราเขียนตำราเองใหม่หมด ไม่เคยเปิดหนังสือหรือ Google หา เพราะว่าในที่สุดประสบการณ์มันสอนให้เรารู้ด้วยตัวเองว่าจะทำกับคนนี้ก็ต้องเริ่มจ่ายเงินเขา ถ่ายเสร็จก็ต้องจ่ายวันนั้นมันคือเป็นเรื่องของไฟแนนซ์ ของบัญชี เรื่องต้นทุนคนทำหนังไม่ใช่จะครีเอทีฟอย่างเดียวนะ เรื่องเงินสำคัญนะคะ


Q : แล้วจากวันนั้นถึงวันนี้เรามองตัวเองอย่างไรบ้างครับจากพนักงานการตลาด และเทิร์นมาเป็นผู้กำกับได้

A : จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ พูดยากจัง เราพยายามจะหาคำจำกัดความนิยามให้ชีวิตตัวเอง มันเหมือนต้มจับฉ่าย ที่พยายามลองผิดลองถูกมาตลอดชีวิตจนกระทั่งมาเจอปารีณา จนกระทั่งมาเจอมาดามฟันนี่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าแต่ถ้าถามพี่ว่ามันเป็นการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ของกะเทยคนหนึ่งซึ่งปฏิเสธตัวเองมาตลอด แต่ว่าตัวตนข้างในมันทุบ มันทุบว่าเธอต้องทำสิ่งนี้อย่าปล่อยให้ตายก่อน เธอต้องลุกขึ้นมาแต่งหญิง เธอต้องลุกขึ้นมาสร้างความบันเทิงเธอต้องเป็นคาแรกเตอร์แล้วพอมันปลดปล่อยออกมามันเหมือนกับตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

Q : เมื่อกี้ที่บอกว่าปฏิเสธตัวตนของเรามาตลอดคืออะไร เรารู้ว่าเราเป็นตุ๊ด แต่เราก็ก็ยังรู้สึกปฏิเสธมันอยู่?

A : เราเคยคิดว่าเราเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนผู้หญิงตั้งแต่เด็กเป็นผู้ชายขาวหมวย อย่างไรเธอต้องกลายเป็นกะเทยแปลงเพศแน่ ๆ ในอนาคต ตอนเด็ก ๆ คิดนะว่าต้องเป็นแปลงเพศ แต่เราก็เห็นว่าคนอื่นเขาเป็นกะเทยแต่งหญิง อ๋อเขาต้องไปเป็นนางโชว์ ไปประกวดนางงาม ไปเป็นช่างแต่งหน้าเราก็คิดว่าเราจะทำได้เหรอ เรากลัวศัลยกรรมจังเลย มันเจ็บ ไม่เอาดีกว่าเราก็เลยซ่อนตัวตนของเราอยู่ภายใต้อะไรก็ไม่รู้ แล้วทุกครั้งที่ส่องกระจกเราไม่ได้ชอบตัวเองเลย ไม่เคยชอบตัวเอง เรารู้สึกว่ามันคือใครก็ไม่รู้แต่วันนี้ที่ใส่วิก ทุกครั้งที่ส่องกระจกคือมันใช่ มันไม่เกี่ยวกับความสวยนะนึกออกไหม แต่ก่อนเราจะรู้สึกตลอดว่าถ่ายมุมนี้สิฉันสวย ต้องอย่างนี้สิ ตอนนี้คือใช่ พอข้างในมันใช่ปุ๊บมาเลยเราไม่อายที่จะเปิดเผยรูปไหนในชีวิตของเราเลย

Q :ตั้งแต่เด็กจนโตที่เรารู้สึกว่าเราปฏิเสธตัวเราเนี่ย ครอบครัวเรามีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างครับ

A : เขารู้ตั้งแต่เกิดค่ะ ตั้งแต่อนุบาล1ไปยืนเกาะพุ่มไม้อยู่ วันแรกของไปโรงเรียนจำได้เรามองดูเห็นเด็กผู้หญิงเล่นชิงช้า เห็นผู้ชายวิ่งไล่กันเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวโล้ชิงช้าหัวเราะคิกคัก เราก็ยืนดูที่พุ่มไม้ แล้วก็มองว่าฉันไม่ใช่กลุ่มนั้นที่มาวิ่งไล่เตะกันฉันคือผู้หญิงผมยาวที่กำลังเล่นชิงช้าอยู่ แต่ฉันไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้เราก็รู้สึกเลยว่าเราผิดแปลก เราจะเข้าไปอยู่กับพวกเขาได้อย่างไรทันทีที่เข้าไปในสังคมเด็กนั่นแหละคือโดนล้อเลย ตั้งแต่ไปโรงเรียนวันแรก


Q : โดนบูลลี่เลยจากเพื่อนๆ?

A : คือเด็กเขาไม่รู้ เราจำได้นะว่าโดนล้อว่าเด็กอนามัยสมัยก่อนมันยังไม่ค่อยมีคำว่าตุ๊ด กะเทย เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขนาดคุณครูตอน ป.2 คุณครูยังถามหน้าห้องว่าห้องนี้ใครเป็นตุ๊ดบ้างแล้วเด็กทั้งห้องก็ชี้มาที่เรา และหัวเราะฮิฮิ

Q : แต่มันก็ทำให้เราสตรองขึ้นหรือเปล่าคะว่าเรา ต้องสู้

A : เราว่ากะเทยทุกคนเคยผ่านจุดนี้มาในการที่จะต้องถูกตีตราถูกบูลลี่ใช่ไหมคะ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นคนที่ต่อสู้เพื่อตัวเอง สมัยก่อนกะเทยยังไม่เฟียสไงนึกออกไหม จะหลบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วก็หาเพื่อนหากลุ่ม จนกระทั่งมันมีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งเปลี่ยนชีวิตเรามากเรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” เราไม่คิดว่าอุ๊ย กะเทยยุคแรก ๆ เต็มเลยในหนัง แล้วก็มีคาแรกเตอร์หลากหลายมากมันทำให้เราตั้งคำถามว่า อ๋อถ้าเราโตไปเราจะต้องมีอาชีพการงานและเราจะต้องมีเพื่อนหรือมีสังคมก็เป็นประมาณนี้ใช่ไหม นึกออกไหมคะกะเทยต่างจังหวัดมันไม่มีแบบอย่าง แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นแบบอย่างทำให้เราเห็นว่า เราควรจะโตไปเป็นอย่างไร

Q : หลังจาก ฉันผู้ชายนะยะก็เลยทำให้เรายิ่งค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา

A : ใช่ เราก็เลยเริ่มเสพสื่อ เริ่มหาดูคาแรกเตอร์ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นเราเริ่มเห็นสาวประเภทสองในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่าเราอยากเป็นใครเรานึกไม่ออกจริง ๆ เพราะว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้าง ใช้คำว่าอะไรดีล่ะเราไม่ค่อยชอบโดนล้อ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้อยากเป็นเพศอื่นเพราะเราเป็นไม่ได้ เราเป็นกะเทยหัวโปกกะโหลกกะลาแต่งกลอนไปเรื่อยเปื่อยอะไรอย่างนี้ค่ะ


Q : พี่โอ๋คิดว่าเราความหลากหลายทางเพศกลุ่ม LGBT ในเมืองไทยตอนนี้อยู่ในจุดที่น่าพอใจหรือยังแล้วมีอะไรที่คิดว่าเราจะต้องไฟต์หรืออยากให้มันเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือว่าการยอมรับในสังคมที่มากขึ้น

A : พี่ว่านะการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีหมดการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีทั้งนั้นแหละถูกไหมคะเพราะฉะนั้นคือการเรียกร้องสิทธิและก็สร้างความเท่าเทียม ย้อนไป 100 ปี 1,000 ปี พูดเลยว่ามันไม่เคยเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเท่าเทียมจะไม่มี เราจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพราะฉะนั้นคนที่รณรงค์เรื่องนี้จะต้องต่อสู้ ห้ามหยุดแต่ถามว่าในฐานะของกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ และอยู่ในประเทศไทยบอกเลยว่าค่อนข้างมีความสุข เพราะว่าถ้าลองไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเราก็รู้สึกว่ามันไม่มีความสุขเท่าที่นี่ แต่ว่ามันยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างที่เรายังมีความรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนได้เปิดโอกาสมากขึ้น เพราะว่าในที่สุดแล้วกะเทยทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะมากมาย

เพียงแต่ว่าเขาต้องการโอกาสเท่านั้นเองสิ่งที่อยากให้คนในสังคมรู้มากที่สุดก็คือ กะเทยมันไม่ใช่โรคติดต่อ อันที่ 1 หมายความว่าเมื่อเห็นกะเทยในสื่อมันไม่ได้สามารถจะทำให้คนที่ดูเป็นกะเทยตามไปด้วย เรื่องการ Come Out เป็นเรื่องสำคัญนะ แล้วก็มีคนพูดถึงน้อยบางคนรณรงค์ให้ทุกคนรักตัวเอง ออกมายอมรับตัวเองแต่สำหรับแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกันนะ เงื่อนไขของครอบครัวไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปบังคับหรือไปบอกใครให้ทำอะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าครอบครัวเขานั้นมีเงื่อนไขอะไรบ้างเพราะว่าบางคนที่ Come Out หรือว่าเปิดเผยตัวตนออกมากับครอบครัว มันกลายเป็นร้ายก็มีแต่ละคนต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ พี่ยังไม่เคยพูดกับพ่อแม่เลยว่าแม่หนูเป็นกะเทยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพูด แต่ใช้วิธีให้เขาเรียนรู้เองว่าเราเป็นอะไร

Q : พี่โอ๋คิดอย่างไรคะที่ตอนนี้ LGBT ในเมืองไทยเราเติบโตขึ้นแต่ในขณะเดียวกันมีคนในวงการภาพยนตร์บางท่านกลับบอกว่า ทำหนังเกย์มีแต่เจ๊งดูเหมือนว่าตลาดมันโตขึ้น แต่ว่าพอเราจะทำหนังเพื่อเซิร์ฟกลุ่ม LGBT คนกลุ่มนี้เองกลับไม่ได้สนับสนุน

A : เอาส่วนตัวก่อนนะ ส่วนตัวพี่มีความรู้สึกว่าหนังเกย์จำเป็นต้องทำ หนังเกย์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เราจำเป็นที่จะต้องมีให้เด็กเห็นแต่ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ส่วนพี่เติบโตมาแล้วได้เรียนรู้เรื่องการเป็นเกย์จากหนังแล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นสื่อที่ทำให้เรามีความสุขเพราะเราได้รู้สึกว่าเราเริ่มอยากดูหนังเกย์ จนมันขยายเป็นหนังที่เป็นหนังวายหนังจิ้นต่าง ๆ ซึ่งก็ต่างกันถูกไหมครับ มันส่งเสริมให้เห็นและสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายสังคมเกย์เต็มไปหมดเลยถ้าจะไม่มีหนังเกย์เป็นไปไม่ได้ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแต่ถ้าถามว่าทำไมทำหนังเกย์ถึงเจ๊งในประเทศไทย ไม่ต้องหนังเกย์หรอกหนังแบบอื่นก็เจ๊งค่ะ


Q : นั่นน่ะสิ มันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าตัว Content ไม่โดน หรือว่าลึก ๆ แล้วคนไทยเองก็มีความรู้สึกแอนตี้หนังไทย

A : ในฐานะที่เคยทำหนังเกย์ หนังเกย์แบบหนังเกย์เลยสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ คนที่จะเดินเข้าโรงเหมือนกับบอกให้โลกรู้ว่าฉันซื้อตั๋วมาดูหนังเกย์นะ เหมือนกับบอกอยู่กลาย ๆ ว่า ฉันเป็นเกย์ฉันถึงมาดูหนังเกย์ นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ทำหนังเกย์สื่อที่จะโปรโมทบางทีต้องคิดดี ๆ ว่ามันจะทำให้คนดูรู้สึกโอเคไหมในการที่จะเดินเข้าโรง บางทีบางคนอายแต่อยากดูก็เลยต้องรอที่จะดูออนไลน์แทร โปสเตอร์มันอาจโป๊จนเกินไป มีผลนะ เขาถึงรอที่จะดูออนไลน์ หรือว่าบางเรื่องเขาตัดสินใจที่จะให้มีรอบฉายเฉพาะตอนกลางคืนขายดี อย่างนี้มันเป็นเรื่องของการตลาด แต่ถามว่าคนอยากดูไหม อยากดูแต่ว่าเราจะต้องหาวิธีการ เพิ่มช่องทางในการดู ให้เขารู้สึกเขาสบายใจ ซึ่งมันสื่อให้เห็นเลยว่าคนเป็นเกย์ในเมืองไทยไม่ได้รู้สึกจะต้องภาคภูมิใจในการที่จะบอกว่าตัวเองเป็น

Q : คิดอย่างไรกับซีรีส์วายคะ

A : ซีรีส์วายเป็นซีรีย์ที่มหัศจรรย์มากสามารถที่จะสร้างโลกใหม่คู่ขนานได้โดยที่ผู้ชายสองคนรักกันแต่ไม่ได้พูดถึงความเป็นเกย์เลยพี่คิดว่ามันเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่ต้องใช้ความสามารถในการเล่า เพื่อ service ให้กับคนดู และพี่ว่ากรอบต่าง ๆ มันถูกทำลายหมดเพื่อที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้น ถ้าเราตามไม่ทันและเราปฏิเสธปุ๊บพอเราดูซีรีส์วาย เราจะงงไง เรางงในตรรกะว่าทำไมล่ะทำไมไม่มีใครพูดถึงว่าผู้ชายสองคนรักกันแล้วเป็นเกย์ แล้วทำไมถึงจีบกันตลอดเวลา

Q : จะมีโอกาสได้เห็น โอ๋ ฐิติพันธ์ทำซีรีส์วายสักเรื่องหนึ่งไหม

A : ยากมาก ต้องใช้วิธีจูนตรรกะเพราะเรารู้สึกว่าเราอยู่ในโลกของเกย์ เราส่งเสริมเรื่องชายรักชาย เรื่องของ Queer movie ส่วนตัวชอบหนังที่มีกะเทยเราพยายามที่จะดันให้กะเทยเป็นนางเอก เพราะเราเป็นกะเทย เราอยากเห็นตัวเองเป็นนางเอกเพราะฉะนั้นพอเป็นซีรีส์วายต้องจูนใหม่ มันเป็นโลกใหม่ ๆ แต่ถามว่าอยากทำไหมอยากทำนะคะ


Q : อยากให้ฝากเพจนิดหนึ่ง ติดตามฝากให้ท่านผู้ชมผู้อ่านฟังติดตามมาดามฟันนี่นิดหนึ่งค่ะ

A : ตอนนี้มาดามฟันนี่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นต้องขอขอบพระคุณนะคะ แฟน ๆ ทุกคน FC ทุกคนที่ให้การสนับสนุน รวมถึงลูกค้าสปอนเซอร์ต่าง ๆ นะคะ ก็อย่าลืมติดตามนะคะมาดามฟันนี่ใน TikTokในเพจ ใน Facebook นะคะ แล้วก็ใน YouTube ด้วย ก็จะมี Content น่ารัก ๆ สนุก ๆ ขำ ๆ มานำเสนอค่ะ ก็ฝากสนับสนุนด้วยค่ะ


โดย เบญจกาย

]]>
หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล “ความปากกล้าของผมเกิดขึ้นจากการได้ลองและได้ล้ม” https://marshomme.com/interview/959/ Tue, 06 Aug 2019 16:09:00 +0000

บริษัทพร้อมมิตรโปรดักชั่น ที่เคยผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ไทยและละครโทรทัศน์มาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเป็นที่นัดหมายของเรากับ ‘คุณชายอดัม’ โอรสวัย 33 ปีของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา เป็นอาคารโล่ง และดูเงียบเหงา เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้ผลิตผลงานภาพยนตร์หรือละครเหมือนในอดีตอีกแล้ว

บริเวณชั้นสองของอาคารที่เรานั่งสนทนา มีหุ่นในชุดเครื่องแต่งกายโบราณ และบอร์ดแสดงสถานที่ บรรยากาศคล้ายพิพิธภัณฑ์ คุณชายอดัมเล่าว่า ยังคงใช้สถานที่แห่งนี้สำหรับการประชุมงานในบางโอกาส แต่ก็นานๆ ครั้ง ส่วนตัวเขานั้นยังคงใช้บ้านพักเป็นสถานที่ทำงานเป็นหลัก

“ผมทำบ้านเป็นออฟฟิศครับ ผมชอบออฟฟิศแย่ๆ รกๆ อุปกรณ์กล้องเต็มไปหมด และมีเตียงอยู่ข้างๆ ออฟฟิศ ตื่นขึ้นมาก็ลุกเดินมาทำงานได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ออฟฟิศทำหนังไหนที่ไม่มีเตียงอยู่ข้างๆ ที่ทำงาน ผมว่ามันผิดนะ”

ตอนนี้คุณชายทำอะไรอยู่บ้าง

เยอะอยู่ครับ ตอนนี้ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับฯ ผู้จัดทั้งละคร ซีรีส์ หนัง มีหมด แต่ทำเป็นงานอิสระ ซึ่งตอนนี้ก็มีซีรีส์ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ซีซันที่สาม เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ 12 กรกฎาคมนี้ทาง Monomaxxx ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์โดยเฉพาะ แล้วยังมีงานโปรดิวเซอร์หนังเรื่อง ‘Classic Again’ ซึ่งรีเมคหนังเก่าเรื่อง ‘The Classic’ ของเกาหลี และซีรีส์ที่กำลังจะทำอีกเรื่องหนึ่ง แต่อันนี้ยังบอกไม่ได้ครับ ความลับทางราชการ (ยิ้ม)

อีกตำแหน่งคือ เป็นผู้บริหารอยู่ที่ Viu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ตอนนี้น่าจะรู้จักกันดีแล้ว เพราะมีซีรีส์เกาหลีเยอะ และยังมีซีรีส์ไทยอีกชุดใหญ่เลย มีผู้บริหารอีกชุดหนึ่งดูแลด้านคอนเทนต์ เรื่องการผลิตออริจินอล ซีรีส์ด้วย ด้านการซื้อ-ขายคอนเทนต์ด้วย ก็ดูทั้งไทยและช่วยในต่างประเทศ

นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีงานจัดรายการวิทยุคลื่นความคิด 96.5 MHz ในเครือข่ายขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) และไปช่วยงานฟรีอีกเยอะมากครับ เป็นกรรมการสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ ไปช่วยเป็นเลขานุการธุรกิจภาพยนตร์ที่ สสว. (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตั้งขึ้นมา งานอะไรที่ช่วยเหลือวงการได้ ถึงฟรีก็ไปช่วยอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของผม เขาก็ส่งไปสู้รบปรบมือด้านวิชาการในเวทีดีเบต เวทีเสวนา สายที่ไม่ต้องมีความป๊อปปูลาร์หรือความมีชื่อเสียงมาเกี่ยวนะครับ ผมลุยหมด

แบ่งเวลาเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวอย่างไร

ผมไม่แบ่งครับ ความจริงตารางงานเต็มทุกวัน เสร็จงานนี้แล้วต่อด้วยงานนั้น จนกระทั่งเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง กลับมานั่งเขียนบทต่อถึงตีสาม แล้วคิดงานต่อ ก่อนจะดูหนังหรือละครเพื่อศึกษางาน หลังจากนั้นก็นอน เจ็ดหรือแปดโมงก็ตื่นละ ผมทำงานเจ็ดวัน ทั้งสัปดาห์ จนกระทั่งมันเต็ม แล้วตัวเองน็อค ถึงจะได้หยุดพัก

ธุรกิจบันเทิงบนแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไปอย่าง Viu ที่คุณชายทำหน้าที่บริหารอยู่มีความยากง่ายอย่างไร

ไม่ยากนัก สิ่งที่สำคัญคือ รู้ว่าเรากำลังทำให้ใคร แพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มจะมีสเกลของมันอยู่ สเกลระดับโลกอย่าง Netflix หรือ Amazon ระดับ Region อย่าง Viu หรือ iFlix ระดับประเทศก็ไลน์ทีวี, Hollywood HD, Doonee หรือ AIS Play แต่ละที่แตกต่างกัน การวางกลยุทธ์ก็จะคนละแบบ การวางกลยุทธ์ของ Monomaxxx ซึ่งเน้นไปทางผู้ชายก็จะมีงานแบบที่เห็น มีสาวๆ หน้าอกใหญ่ๆ มีหนังมีซีรีส์ Viu มีซีรีส์เกาหลี ซึ่งเป็น best friend ของผู้หญิง มีงานประเภทที่สาวๆ ดูแล้วชอบ พวกติ่งเกาหลีชอบ พวกติ่งซีรีส์ไทยชอบ ส่วนไลน์ทีวีก็เป็นไทยเหมือนกัน มีจีเอ็มเอ็ม มีรายการทีวี มีรายการวาไรตี้ดีๆ มีงานที่เหมาะกับพวก first jobbers ทั้งกลุ่มในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ดังนั้นการบริหารงานจึงไม่ยากครับ เพราะเรารู้ว่าต้องการสื่อถึงใคร และในสื่อนี้เราได้ของมาตอบสนองเขาจริงหรือไม่ ถ้ามันตอบสนองเขาปุ๊บ พอเขาดูจบเราจะมีอะไรให้เขาดูต่อ เขาบันเทิงไหม หรือไม่บันเทิงเพราะอะไร หาทางแก้ได้ไหม ง่ายแค่นี้จริงๆ นะครับ พื้นฐานมันไม่ได้มีอะไรมาก จริงๆ มันมีรายละเอียดปลีกย่อย แต่รายละเอียดปลีกย่อยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณเริ่มฟัง ฟังเสียงผู้ชม ไม่ใช่แค่ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ดูตัวเลขที่เกิดขึ้น มีอะไรที่มันขึ้นและลง แล้วเราก็เอาไปวิเคราะห์หลังจากนั้น วิเคราะห์เสร็จแล้วก็ไปทำความเสี่ยงด้วย ไม่ใช่วิเคราะห์แล้วจบ ถ้าวันนี้ผลออกมาดี และถ้าเราทำแบบนั้นล่ะ จะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก ก็ต้องมีความเสี่ยง ต้องพร้อมที่จะเจ๊งด้วยนะ ถ้าไม่เจ๊งเราจะไม่นำหน้า เราจะไม่โต

Viu เพิ่งเปิดครบรอบปีที่สอง ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่อันดับท็อปของตลาดได้ เพราะเราฟังและเราปรับตัว เราเข้าใจคนดู บางทีคนอยู่บนหอคอยงาช้างหรือผู้บริหารใหญ่ๆ เขาไม่เข้าใจหรอก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว “เรามีเงิน เรามีทุกอย่างนี่ ไม่ขาดทุนน่ะ เรามีดารา มีทุกอย่างให้เลือกสรรเลย มีคนเก่งๆ เยอะแยะมากมาย มีผู้จัด มีผู้กำกับ มีทุกอย่าง จะเจ๊งได้ไง” ถ้าคุณมีทุกอย่างแล้ว คุณจะสงสัยไหมครับ ผมเคยสงสัยไง ผมเลยตั้งคำถาม ก็เลยมา… นอกเหนือจากทำงานเป็นผู้กำกับฯ แล้ว ที่วันหนึ่งเคยของานเขา “ขอโทษนะครับ งานผมน่าจะโอเคนะครับ น่าจะขายได้นะครับ ให้เงินผมที” ลองผมเปลี่ยนมาสวมหมวกอีกใบดู ผมก็เลยมาสมัครทำงานที่ Viu ก็เลยได้เข้าใจในส่วนของหมวกคนที่เป็นคนจ่ายด้วย และส่วนของหมวกที่เป็นคนขอด้วย

ในส่วนของคอนเทนต์มีมาจากทางไหนบ้างครับ

มีจากเกาหลีครับ จากฝั่งเพื่อนร่วมงานที่ดูแลการซื้อคอนเทนต์ อย่างของผม เวลาต่างประเทศจะใช้ของไทย ผมก็ช่วยดูแล

ซึ่งของไทยทางคุณชายก็ผลิตเองด้วย

ใช่ครับ เราผลิตเอง ความจริงเราเรียนรู้จากเกาหลี เพราะเรามีคอนเทนต์จากเกาหลีเยอะ พอมีเยอะเราก็เริ่มศึกษาว่าเราชอบเพราะอะไร หรือคนดูชอบเพราะอะไร เรามักพูดว่าเราอยากเป็นอย่างเกาหลี ไอ้คำว่าอยากเป็นอย่างเกาหลี ภาษาชาวบ้านน่ะคืออะไร คืออยากได้เงินเท่ากับเกาหลีเหรอ ถ้าอยู่ดีๆ ผมยื่นเงินให้ซีรีส์ละ 350 ล้านบาท ให้ทำละครสิบตอนจบ เชื่อไหมครับว่าเราจะไม่ได้ ‘Game of Thrones’ ทั้งๆ ที่นี่คือราคาที่ ‘Game of Thrones’ ทำ นี่คือราคาที่ ‘Boardwalk Empire’ ทำ เราจะไม่ได้เท่ากับ ‘Descendants of the Sun’ ต่อให้เราได้เงินเท่าเขานะ คุณมีเงินซื้อดาราได้ทั่วโลกแล้ว แต่คุณทำไม่ได้เพราะอะไร

ผมเห็นหลายโปรเจ็กต์ที่ได้เงินเยอะแล้วพัง นี่ไงเราเลยเริ่มศึกษา เราเป็นผู้กำกับฯ เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น โปรดิวเซอร์เราก็เคยเป็นมาแล้ว เราเคยคุมเงินมาก่อน และเรายังเป็นคนดูแลแพลตฟอร์ม เราก็เรียนรู้ว่า เรื่องนี้ประสบความสำเร็จเพราะอะไร นั่งดูสิ ดูด้วยตาเปล่าก่อน สนุกไหม เออ…ซีรีส์นี้สนุก มีแบบนี้แบบนั้น ตัวละครมีเสน่ห์แบบนี้ไง เราก็เรียนรู้ พอเราเริ่มเรียนรู้ เราก็คิดว่า เอาประสบการณ์ตรงนี้ ผนวกกับข้อมูล มารวมกัน แล้วเอาไปยื่นให้คนทำหนังที่มีไฟ มีแรง มีความปรารถนาอยากจะทำ ไม่ใช่ใครก็ได้ด้วยนะ ต้องเป็นคนที่มีความปรารถนาอยากจะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า ไประดับเอเชียได้ไหม พอที่จะทำเป็นสินค้าส่งออกได้ไหม เพราะถ้าเราจะผลักดันตัวเองไปทำอย่างนั้น เราก็ต้องคิดวิธีใหม่ และเราต้องสร้างตลาดใหม่ ตลาดของเราคืออะไร โลกออนไลน์ ซึ่งไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย

ก่อนหน้านี้เมื่อราวหก-เจ็ดปีที่แล้ว คุณชายเคยให้สัมภาษณ์ว่า คอนเทนต์ในโลกออนไลน์มีสีเทาเยอะ ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหม

ยังมีอยู่เยอะครับ คือคอนเทนต์น่ะครับ ปัจจุบัน…ผมจะใช้คำว่าอะไรดี มันไม่มีขาวกับดำ คือมันไม่มีสูตรสำเร็จว่าหนึ่ง-ประสบความสำเร็จได้ด้วยอะไร สอง-เล่าเรื่องแล้วคนชอบเพราะอะไร สาม-การลงทุนพวกนี้ ลงทุนแล้วมีคนดูแน่นอน มีเรตติ้งแน่นอน ทุกอย่าง-ในเชิงธุรกิจนะ มันไม่ได้มีความชัดเจนตลอดเวลา ถ้ามีผู้รู้เขาคงชนะแล้ว

แต่ถ้าโดยส่วนตัวของผม คำว่าสีเทาในการเล่าเรื่องก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ประเทศไทยเล่าเรื่องที่ผู้ร้ายเป็นคนดี คนดีเป็นผู้ร้าย เรื่องของความไม่ซ้ายก็ขวา แต่ผมรู้สึกว่าโลกของสื่อสำหรับผม…เราต้องเล่าเรื่องของสังคมที่ซับซ้อนขึ้น เราจะเห็นว่ายุคหลังๆ มันดีขึ้นมาก เพราะว่ามีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น ผู้ร้ายมีมิติขึ้น ผู้ร้ายสามารถเป็นคนดี หรือคนดีสามารถเป็นผู้ร้ายได้ มีเหตุและผล นั่นคือในเชิงการเล่าเรื่อง มันก็ยังเป็นสีเทา

คุณชายเรียนรู้อะไรบ้างจากการทรานสฟอร์มของ analog มาเป็น digital สู่แพลตฟอร์มที่หลากหลายในทุกวันนี้

ผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ได้เรียนรู้เลยมั้งครับ เพราะผมเริ่มทำ FuKDuK เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว FuKDuK เป็นอินเตอร์เน็ตทีวีเจ้าแรกๆ ของเมืองไทย สมัยพี่จอห์น (วิญญู วงศ์สุรวัฒน์) ยังทำอินเตอร์เน็ตทีวีรวมกลุ่มกัน ยังไม่แตกเป็น spokedark TV รุ่นนั้นเลย ตั้งแต่ยังไม่มีเฟซบุ๊ก ผมเรียนมาตั้งแต่ต้น ผมพูดมาตั้งแต่ต้นว่าโลกเราจะไปสู่ยุคที่…อะไรที่จะสบายกว่า เราไปน่ะ แค่ว่ามันจะเมื่อไหร่ และผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่าความหลากหลายมันไปได้ไกลขึ้น ทีนี้ขั้นตอนต่อไปคือเราสื่อสารกับประชากรโลกได้หรือยัง เรามีพื้นที่เปิดแล้ว ตอนนี้เราเปิดให้คนไทย ไปทางไหนเราก็เจอคนไทย คำว่า “ยูทูเบอร์” กลายเป็นอาชีพไปแล้ว

เมื่อสิบปีที่แล้วผมบอกว่าเราจะทำสื่อลงออนไลน์ ทุกคนขำ มันเป็นอาชีพได้จริงเหรอ ทุกวันนี้ถ้าถามเด็กๆ ว่าอยากเป็นอะไร ส่วนใหญ่จะบอกว่าอยากเป็นยูทูเบอร์ อยากเป็นเกมแคสเตอร์ อยากเป็นแคสเตอร์ใน Bigo Live โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราไปถึงคนได้ทั้งประเทศแล้ว ขั้นตอนต่อไป เราแข่งในประเทศไม่พอ เราต้องเริ่มแข่งในสเกลเอเชีย สเกลโลก ด้วยภาษาของเรานะ ด้วยวิธีการของเรานะ ไม่ใช่เราจะกระโดดไป เมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว เราพยายามจะทำตัวเองเป็นฮอลลีวูด แล้วสุดท้ายเราพยายามทำตัวเป็นเกาหลี เป็นจีน เราไม่พยายามทำตัวเป็นไทย ที่สามารถสื่อสารกับทั้งโลกได้บ้าง นี่แหละเป็นปัญหา

โลกเปิดแล้วนะ อินเตอร์เน็ตเปิดแล้ว อย่างเรื่องราวของ 13 หมูป่า คนติดตามกันทั้งโลก นั่งติดหน้าจอให้กำลังใจเด็กทั้งสิบสามคน ทั้งโลกเชื่อมถึงกันด้วยภาษาของเรา ด้วยวัฒนธรรมของเราได้ หรือชิพกับเดล-สองพี่น้อง ทำไมอเมริกันถึงคิดคอนเซ็ปต์ให้เข้าถึงวัฒนธรรมไทย หรือ ‘แอมฟิเบีย’ การ์ตูนเรื่องล่าสุดที่ลงดิสนีย์ แชนเนล นางเอกเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน สอนสัตว์ประหลาดกินลาบ ใช่ไหมครับ นี่คือเราเล่าเรื่องของเราเองไปสู่โลกได้ แล้วทำไมเราไม่เล่า เราแค่ต้องหาภาษาภาพ ไม่ใช่ภาษาพูด ตอนนี้เรากำลังบอกว่าปัญหาของเราคืออุปสรรคเรื่องภาษาพูด ไม่ใช่ เราดูซีรีส์เกาหลี ฝรั่ง หรือจีนได้ คนอินโดฯ ดูซีรีส์ไทยได้ ไม่ใช่เรื่องของภาษาพูดแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของภาษาภาพ หรือภาษาการเล่าเรื่อง ที่เรายังขาด เรายังไม่ได้เรียนรู้เพียงพอ ยังไม่เก่ง

ต้องเรียนตามตรงว่าเรายังตามหลังคนต่างชาติเยอะ ในเรื่องของการผลิตสื่อ เรื่องของการสร้างงานที่ดี เรามีไอเดีย เรามีคนเก่ง แต่ในจำนวนที่น้อยเกินไป ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เก่ง เวลาไปเจอโลกกว้างแล้วเราเหมือนฝุ่นละอองเล็กๆ ในอากาศ ซึ่งเราต้องทำตัวเองให้เหมือนเม็ดทรายได้แล้วนะ (หัวเราะ) ยังไม่ต้องพูดถึงการเป็นขวดโหลนะ เป็นเม็ดทรายก่อน ขอขยายตัวหน่อย ก็ต้องเรียน ต้องศึกษา ต้องพยายาม

การปรับตัวของอุตสาหกรรมบันเทิง จำพวกหนัง ละคร ซีรีส์ หรือเพลงในบ้านเราต่อจากนี้ มีแนวโน้มจะเป็นไปในทิศทางไหน

ไปหาอะไรที่สนุกครับ ไปหาอะไรที่คนชอบ คำว่าคนชอบเป็นอะไรที่ไม่เคยนิ่งสักวัน วันนี้ชอบแบบหนึ่ง พรุ่งนี้ชอบอีกแบบหนึ่ง ไม่มีการคาดการณ์ที่ชัดเจน และมุ่งไปทิศทางไหน เพราะว่าสิ่งใดที่ดีจะดึงดูดคน สิ่งใดที่ทำแล้วดูสนุกมันจะดึงคนเข้ามา คำว่าสนุกในที่นี้ก็พูดยาก จำกัดความได้ยาก

ตอนนั้นที่บ้านผมทำ ‘โหมโรง’ ใครจะคิดว่ามันสนุกล่ะ ไม่มีใครคิดว่าหนังดนตรีไทยจะสนุก แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งก็มีงานแบบ ‘บุพเพสันนิวาส’ ‘เมีย 2018’ โผล่ขึ้นมา หรือมี ‘ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น’ มี ‘แนนโนะ- Girl from Nowhere’ คนไทยจะคิดอะไรแบบนี้ได้เหรอ กึ่งๆ ‘Black Mirror’ เลยนะ หรือ ‘Home Stay’ เรื่องเป็นไซไฟมากๆ เลย เราจะคิดอย่างนั้นได้ยังไง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ งี้ เรื่องเกี่ยวกับโกงข้อสอบ แต่ไปจีน คนดูมหาศาล พี่บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) กลายเป็นไอดอลของคนทั้งประเทศในเวลาอึดใจหนึ่ง จาก ‘เคาท์ดาวน์’ มาเป็น ‘Bad Genius’ (ฉลาดเกมส์โกง)

ถ้าถามว่ามันจะมุ่งไปทิศทางไหน มันไร้ทิศทางอยู่แล้ว เพราะว่าการไร้ทิศทางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าเป็นภาษาของผมจะเรียกว่า Free Market คือ ณ วันหนึ่งสมัยที่มันยังมีทิศทาง มีคนคุมมันได้ แล้วเราก็จะไม่มีทางเข้าไปในอุตสาหกรรมได้เลย ตาสีตาสาเดินเข้าไป ผมอยากเสนอหนัง ผมมีไอเดีย ผมมีความคิด ผมเข้าไม่ได้ เข้าไม่ถึงตัว จะไปเอาเงินได้ไง สิบล้านยี่สิบล้านมาทำหนัง แต่ทุกวันนี้ความไร้ทิศทางมันทำให้เกิดตลาดเสรีที่แท้จริงว่า ถ้าคุณทำคอนเทนต์แล้วคนชอบ มันมีคนซื้อ มีคนทำ ถ้าคุณไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยเกมส์ต่างๆ ที่คุณสามารถหยิบมาใช้ได้ อาวุธมันหลากหลายขึ้น ที่จะทำให้งานของคุณประสบความสำเร็จ

ดังนั้น มันไร้ทิศทางมากๆ และก็ไม่ต้องคาดเดา ปล่อยมัน เหมือนความสนุกของมันคือ ไม่คาดเดาในเรื่องของคอนเทนต์ ไม่ต้องคาดเดาในเรื่องของละคร เพลง หรือหนัง มันอาจจะมีอะไรดีๆ ขึ้นมา อาจจะมีเพลงรักเจ๋งๆ ขึ้นมา อย่างเพลง ‘Papaya’ ที่วง Babymetal ของญี่ปุ่นร้องกับพี่กอล์ฟ-ฟักกลิ้งฮีโร่ นี่คือสิ่งที่เป็นความไร้ทิศทาง แล้วมันสนุกว่า มีไอดอลเกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด อะไรก็ตามที่สามารถเกิดขึ้นได้มันก็เกิดขึ้น มันมีความกล้าที่จะเกิดขึ้น

หมายความว่ามันจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนทำมากขึ้นด้วยไหม

ความเสี่ยงมันมีอยู่แล้วตลอดครับ การทำหนังทำละคร พ่อแม่สอนผมมาตั้งแต่วันแรกว่ามันคือการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ต้องเข้าคาสิโนเลยครับ ทำหนังเถอะ เพราะไม่รู้หรอก อยู่ดีๆ ฝนตกคนก็ไม่ดูหนังแล้ว แค่ฝนตกคนก็ไม่ออกจากบ้านแล้ว ตอนที่หนัง ‘ตำนานนเรศวรมหาราช 3’ ฉายน่ะตรงกับวันเคอร์ฟิวอะครับ ทำไงล่ะ รัฐบาลบอกเคอร์ฟิว หนังฉายจะได้ตังค์ยังไงละ

ถามว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไหม ถ้าคุณเข้ามาทำงานด้านนี้แล้ว คุณก็อยู่ในความเสี่ยงโดยปริยายตั้งแต่ต้นครับ ทำอาชีพอื่นรวยและมั่นคงกว่านี้เยอะ อาชีพคนทำหนังไม่มั่นคงครับ มันมีอิสรภาพที่เราจะได้สนุกกับมัน อิสรภาพในการเล่า ในการพูด ในการทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ผมอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นผมทำซีรีส์เกี่ยวกับญี่ปุ่นแล้วขาย แล้วผมก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นค่อยทำ เราได้ค้นพบของใหม่ แต่ความเสี่ยงมีไหม – มี ความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว มันก็เป็นน้ำหนักที่ต้องดูกันไป

จากคนทำหนัง วันหนึ่งมานั่งในตำแหน่งผู้บริหาร คุณชายเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรของตัวเองที่ชัดเจนบ้าง

ไม่เห็นครับ ผมยังอยากทำหนัง และก็ถูกค่ายหนังปฏิเสธเหมือนเดิม ก็ยังทำหนังอยู่ครับ ไม่เห็นความแตกต่างอะไร เราแค่เห็นปัญหา แล้วเข้าไปแก้ เราเห็นตั้งแต่ตอนเป็นผู้กำกับฯ ตอนเขียนบท ตั้งแต่ตอนทำทีวีแล้ว ที่มาทำอินเตอร์เน็ตทีวีก็เพราะว่า ระบบไม่ได้เอื้อให้มีอิสรภาพในการทำงาน ระบบทุนนิยมไม่มีอิสรภาพ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมืองนะ แต่ว่าระบบทุนนิยมนี่อันตรายกว่าอิสรภาพทางการเมือง เพราะว่าการเมือง…เวลาเราพูดถึงการเมือง เราโดนบล็อก แต่ถ้าพูดถึงอิสรภาพของทุนนิยมที่คุณจะเล่าอะไรก็ได้ที่ขาย แล้วทุกคนบอกว่าทุกอย่างไม่ขายยกเว้นอันนี้ โอ…มันแย่กว่าหรือเปล่า ผมไม่ได้เป็นฝ่ายซ้ายนะ แต่ทุนนิยมนี่มันไม่มีอิสรภาพ

ผมไปหาอินเตอร์เน็ต เพราะมันมีอิสรภาพในการเล่าอะไรที่เป็นตลาด ขนาดเล่าตลาดยังเล่าไม่ได้เลยตอนนั้น ผมก็ย้ายมา ขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะแก้ปัญหาเดิมนั่นละครับ ว่าเราจะมีอิสรภาพในการเล่าเรื่องที่ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ตลาดได้หลายแบบยิ่งขึ้น ก็ย้ายมาเพื่อทำความเข้าใจ เรียนรู้ และการได้ทำงานหลายๆ ตำแหน่ง…ผมเคยเป็นผู้บริหาร PPTV ผมไปอยู่ในช่องทีวีเลย ก็ได้รู้เลยว่ากลไกมันเป็นอะไร กลไกทำไมวุ่นวาย ทำไมมันไม่เปิด มันไม่เกิด ทำไมมันอยู่เรตติ้งเท่านี้ อยากรู้ก็ต้องไปนั่งเอง ผมเข้าไปนั่งแล้วเห็นตัวเลขจริง ปัญหาจริง right in your face เลย กระแทกหน้า เลือดกบปาก เราก็เห็นจริง แล้วเราได้ลองแก้ปัญหาจริง เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราพูดน่ะ แก้ได้จริงหรือไม่ได้จริง แล้วการเป็นผู้บริหารมันช่วยตรงนี้ ช่วยให้เราไม่ปากกล้า ความปากกล้าของผมเกิดขึ้นจากการได้ลองและได้ล้ม และการล้มตรงนี้มันทำให้หนังของผมหนาขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ และผมพูดในสิ่งที่ผมประสบมาแล้ว

ไลฟ์สไตล์ของคุณชายเป็นอย่างไร

ชิลล์ๆ ครับ สนุก ผมเอ็นจอยชีวิตง่ายมาก ถ่ายรูป เจออะไรก็เล่า ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเล่น หากมีโอกาสก็อยากไปหาอะไรกินอร่อยๆ ดูหนังทุกคืน อ่านหนังสือ อ่านวิกิพีเดีย ถ้าผมสนใจอะไรผมเปิดวิกิพีเดียก่อนเลย ผมชอบเซิร์จ อย่างผมอยากได้ตุ๊กตาพะยูน ผมก็ไปเซิร์จหาว่าจะซื้อได้ที่ไหน ปรากฏว่าทั้งเอเชียนี่หายากมาก มีก็แต่ตุ๊กตามานาตี คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามานาตีกับพะยูนต่างกัน มานาตีมีสามพันธุ์ พะยูนมีหนึ่งพันธุ์ อะไรพวกนี้ผมอ่านจากวิกิพีเดีย อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า Dugong หรือพะยูนเป็นอย่างนี้ อีกสามประเภทเรียกว่ามานาตี ที่เหลือสูญพันธุ์หมดแล้ว และสัตว์พันธุ์นี้มันใกล้เคียงกับอะไรบ้าง พบว่ามันเหมือนช้าง มันมีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับช้าง แต่เป็นช้างที่อยู่ในน้ำ

ผมอ่านโน่นอ่านนี่แล้วสนุกไปกับชีวิต หรือถ้าว่างเมื่อไหร่ก็เที่ยวผับกินเหล้าเมาบ้าบอ กินร้านอิซะกายะ บาร์ เธค ไปเที่ยวรูท 66 เหมือนคนปกติทั่วไปแหละครับ ผมเอ็นจอยกับชีวิต ไลฟ์สไตล์ไม่จำเป็นต้องมีอะไรหวือหวาก็ได้ และถ้ามีโอกาสผมอยากไปดำน้ำมาก ไม่ได้ลงน้ำดำน้ำนานมากแล้ว คิดถึงทะเล คิดถึงโลกใต้น้ำ แต่ว่าด้วยความยุ่งของชีวิตทำให้ไม่ค่อยได้ไป จริงๆ ได้ไปทะเลบ่อย ถ้าอยากไปก็ได้ไป แต่การลงไปดำน้ำมันต้องหาสตางค์ระดับหนึ่ง ซึ่งชีวิตผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น ครอบครัวผมก็ไม่สบายกันหลายคน ต้องช่วยกันดูแล การไปเที่ยวแบบนั้นก็เริ่มลืมมากขึ้น แต่ก็ยังเที่ยวเฮฮาสนุกสนานอยู่ ส่วนใหญ่จะขอมีเวลานอนมากขึ้นเท่านั้นเอง

ตอนนี้เจอตุ๊กตาพะยูนหรือยัง

เจอแล้วครับ อยู่บน e-Bay มีคนแนะนำในเฟซบุ๊กว่าหาซื้อตุ๊กตาพะยูนได้ทาง e-Bay ผมชอบครับ มันน่ารักๆ ผมมีตุ๊กตาอยู่เต็มบ้าน ผมสะสมของเล่นเยอะครับ บ้านเต็มไปด้วยของเล่น ตอนนี้มีปืน เขาเรียก Nerf Gun ผมมีอยู่ห้าสิบกว่ากระบอก วันดีคืนดีก็ชวนเพื่อนๆ มายิงกันที่ออฟฟิศผม ยิงกันยับเลย เป็นสงครามกลางเมืองย่อมๆ ก็สนุกดี คือผมก็ยังคิดเหมือนเด็กอยู่นะครับ ไม่ได้คิดเหมือนผู้ใหญ่ ยังไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่น่ะเป็นด้วยความรับผิดชอบดีกว่า แต่สมองต้องเป็นเด็ก ถ้าสมองไม่เป็นเด็กเราจะไม่คิดอะไรใหม่ๆ คิดอะไรต้องมีข้อจำกัด

ผมยังคิดเหมือนเด็กครับ ตุ๊กตา การ์ตูนผมอ่านหมด ทั้งการ์ตูนไทย ฝรั่ง อะนิเมะ มังงะญี่ปุ่น ผมติด ‘เบอร์เซิร์ก’ (Berserk) มาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันก็ยังไม่จบเสียที คือผมสนุกกับทุกอย่าง เอ็นจอยกับชีวิตมาก ทุกวันมีความสนุกอยู่แล้ว เพราะความเครียดก็มี เลยหาความสนุกกับการปลูกต้นไม้หน้าบ้าน สนุกกับเครื่องตัดหญ้าใหม่ (หัวเราะ) สนุกกับการนั่งทำกูเกิล โฮม คือยังสนุกกับอะไรที่ปัญหาอ่อนได้ทุกวันละครับ
ผมไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไรขนาดนั้น เป็นคนบ้าๆ บอๆ ด้วยซ้ำ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>