Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
ภาพยนตร์ – Marshomme https://marshomme.com Thu, 14 Apr 2022 19:42:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png ภาพยนตร์ – Marshomme https://marshomme.com 32 32 “กิโกะ” ร้องไห้กลาง Live เหตุต้องถ่ายฉากการมี SEX ในภาพยนตร์ Ride or Die อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ https://marshomme.com/uncategorized/532316/ Thu, 14 Apr 2022 19:42:00 +0000
          ตกอกตกใจไม่น้อย เมื่อนักแสดงและนางแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่น “กิโกะ มิซูฮาระ” ได้ออกมาระบายถึงความอัดอั้นท่ามกลางการ Live ทางอินสตราแกรมของตัวเอง ในกรณีที่เธอขอไม่ร่วมซีนกับนักแสดงชาย ที่ไม่ยอมปิดส่วนลับในการถ่ายทำฉากการใกล้ชิดและการมี sex ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ Ride or Die: : อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ


           แม้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จะถูกสตรีมมิ่งทาง Netflix ไปเมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าว Shūkan Bunshun ของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวว่า ต้นสายปลายเหตุเกิดจาก การที่ กิโกะ ไปขอร้องให้ “อุเมคาวะ ฮารุโอะ” ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ ขอให้นักแสดงชายปิดส่วนลับระหว่างถ่ายทำฉากใกล้ชิดหรือฉากมีเพศสัมพันธ์ในเรื่อง แต่กลับถูกปฏิเสธคำขอจากโปรดิวเซอร์คนดังกล่าว พร้อมกับค่อนคอดเธอถึงความไม่เป็นมืออาชีพในการแสดง ทำให้ กิโกะ ต้องจำใจยอมถ่ายฉากดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางทีมงานนับสิบ โดยที่ไม่ได้มีการปกปิดของลับของนักแสดงชายแต่อย่างใดตลอดการถ่ายทำฉากนั้น


         และไม่นาน กิโกะ ก็ได้ลง Story พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในทางอ้อม โดยที่ไม่ได้มีการระบุถึงรายละเอียดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องใด ก่อนที่จะมาเปิดเผยใน Live ผ่าน Instagram เมื่อวาน (13 เมษายน) ช่วงเวลาประมาณ 5 โมง ตามเวลาญี่ปุ่น โดยเธอได้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า

         “เสียใจมากกับวงการบันเทิงญี่ปุ่นที่ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ ก่อนที่เธอจะปิดLiveก็ได้บอกกับผู้ชมทุกคนว่า เธอจะพยายามข้ามผ่านเหตุการณ์นี้ แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ได้”


          ย้อนกลับมาที่โปรดิวเซอร์ คนที่ปฏิเสธคำขอของ กิโกะ ก็มีวีรกรรมมาไม่น้อย โดยตามข่าวยังระบุอีกว่า เคยมีพฤติกรรมขอให้นักแสดงถ่ายภาพเปลือยส่งให้เขาแบบชัดๆ หากอยากที่จะแสดงในภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้าง นัยว่าอยากเป็นนักแสดลงก็ต้องส่งมาให้ QC กันก่อน ส่วนใครที่อยากรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นยังไง สามารถเข้าไปดูได้ทาง Netflix ซึ่งสตรีมมิ่งตั้งแต่ เมษายน ปีที่แล้ว


         นอกจากนี้ เรื่องราวของ กิโกะ ก็ยังถูกแพร่หลายไปยังหลายประเทศ และทำให้กระแสMetooถูกกลับมาพูดถึงในอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลกอีกครั้ง (#Metooเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ จนกระทั่งลุกลามกลายเป็นไวรัลไฟลามทุ่งในโลกโชเชียลมีเดีย)

ข้อมูลจาก: FB : Hoyayo Japan
https://www.facebook.com/HoyayoJapan

photo : IG i_am_kiko

]]>
5 เรื่องราวชวนอินจากซีรีส์เกาหลีสุดโรแมนติกบน Netflix https://marshomme.com/scoop/531881/ Fri, 04 Jun 2021 08:48:00 +0000
อยู่บ้านกันนานๆ ไล่เรียงซีรีส์จนแทบจะทุกเรื่องแล้วเชื่อว่าหลายคนอาจจะมีตันๆ อยากดูเรื่องใหม่ๆ กันแล้ว mars homme มีหนังรักโรแมนติกจากฟากเกาหลีมาแนะนำกันตั้งแต่ความรักแบบเรียลๆ ของวัยผู้ใหญ่โรแมนติกแบบหวานใสในรั้วมหาวิทยาลัย จนไปถึงความเข้มข้นของการชิงรักหักสวาท ใน 5 เรื่องราวจากเกาหลีสุดโรแมนติกบน Netflix ในเดือนมิถุนายนนี้


Nevertheless

รีส์ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดัง เล่าเรื่องราวความรักของสองนักศึกษา นาบี (ฮันโซฮี) และ แจออน (ซงคัง) ผู้ซึ่งเหนื่อยล้าจากบาดแผลความรักในอดีต แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างกลับทำให้ทั้งสองดึงดูดเข้าหากัน นาบิ ผู้ไม่เชื่อในความรักแต่อยากลองคบหามีความรักอยางจริงจัง ในขณะที่ แจออนมองว่าการคบหาจริงจังนั้นเป็นภาระ และอยากแค่หาคนคุยเล่นไปเรื่อยๆ Nevertheless จะพาเราไปร่วมลุ้นว่าทั้งสองที่มีมุมมองความรักต่างกันสุดขั้วนี้จะสามารถเปิดใจเข้าหากันได้สำเร็จหรือไม่


Love (ft. Marriage and Divorce) รัก แต่ง เลิก ซีซั่น 2

เรื่องราวของเพื่อนร่วมงานในสถานีวิทยุที่ต่างคนต่างต้องรับมือกับสามีที่นอกใจ แม้ทั้งสามจะมีความแตกต่างทั้งอายุและบริบทในแต่ละความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่พวกเธอทั้งสามคนนี้ต้องเผชิญเหมือนกัน นั่นก็คือชีวิตคู่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม การเปิดเผยและคลายปมความลับใหม่ในซีซั่น 2 ชวนลุ้นไปพร้อมกับตัวละครที่ต้องรับมือกับผลของการกระทำที่ผ่านมา บอกเลยว่าถ้าเป็นสายเสพดราม่าหนักๆ


So Not Worth It วัยใสๆ หัวใจสุดเปิ่น

สัมผัสชีวิตเด็กหอในประเทศเกาหลี ที่การันตี ความบันเทิงแบบสุดเหวี่ยง กับซิทคอมที่เสิร์ฟความรักแบบพอดีๆ เป็นเรื่องราวของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนานาชาติ ที่กำลังเดินทางสู่วัยผู้ใหญ่ ความรักวัยใส และมิตรภาพในหมู่เพื่อน So Not Worth It รวบรวมทั้งทัพนักแสดงดาวรุ่ง ไอดอล K-pop ไว้เพียบ


Hospital Playlist เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ ซีซั่น 2

แค่ซีซั่นแรกก็ติดงอมแงมไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ซีซั่น 2 มาให้อดนอนกันอีกแล้ว สำหรับซีรีส์สุดอบอุ่นที่ทุกคนรอคอย กลุ่มเพื่อนชาวแพทย์ทั้งห้ากลับมาอีกครั้ง ในเส้นทางมิตรภาพที่ยาวนาน 20 ปี เรื่องราวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นทั้งจากมุมชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลและมุมอื่นๆ ของตัวละครหลักทั้งห้า


Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว

ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของคู่รัก จาง ฮยอก (จางกียอง) และ จอง ดาอึน (แชซูบิน) กับบททดสอบความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ หลังจาง ฮยอกได้งานใหม่ที่ทำให้ต้องห่างไกลกัน ความสัมพันธ์ทางไกลครั้งนี้ยิ่งทวีความท้าทายมากขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ฮัน โบยอง (จองซูจอง / คริสตัล) ที่มีทีท่าสนใจจาง ฮยอกอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์รักสามเส้าสุดซับซ้อนนี้ จะทำให้สามคนได้ลิ้มรสชาติความรักทั้งที่ทั้งหวานและเปรี้ยวได้ในเวลาเดียวกัน

Source : Netflix

]]>
โอ๋ – ฐิติพันธ์ รักษาสัตย์ จากผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง ที่ผันตัวเองมาเป็น “มาดามฟันนี่” https://marshomme.com/lifestyle/531577/ Mon, 28 Dec 2020 09:36:00 +0000 ปีนี้เป็นปีที่แปลกค่ะ แม้โควิด-19จะทำให้ชีวิตผู้คนเกือบค่อนโลกเดือดร้อน ตกงาน ล้มหายตายจากแต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้เห็นคนที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอยู่หลายคนหนึ่งในจำนวนนั้น อิชั้นชื่นชม โอ๋ฐิติพันธ์ รักษาสัตย์ ผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง ที่ตัวเองมาเป็น มาดามฟันนี่แบบบังเอิ๊ญบังเอิญ เพราะดันทำคลิปเลียนแบบท่าน ส.ชื่อดังจากเมืองโอ่งจนโด่งดังไปทั่ว ชะตาชีวิตคนก็แบบนี้ล่ะค่ะ บทจะดวงตกก็ฉุดไม่อยู่บทจะดังก็ดังไกลสุดกู่เช่นกัน


ใครที่ติดตามหนังอินดี้มาอยู่บ้าง จะคุ้นเคยกับชื่อ โอ๋-ฐิติพันธ์ อยู่บ้าง เธอสร้างชื่อจากการเป็นโปดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์
“It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก” ที่มี กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เป็นผู้กำกับก่อนจะเริ่มทำหนังของตัวอย่าง “Love Next Door 1 และ 2”, และ “คนขับรถ The Driver” ที่ได้ ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มมโนทัย และ ภูริ หิรัญพฤกษ์มาแสดงเป็นคู่รักเกย์ พร้อมฉากเลิฟซีนบนโซฟาที่สั่นสะเทือนวงการระดับ 8 ริกเตอร์ ใครยังไม่ได้ชมเรื่องนี้ไปหามาชมนะคะ เผ็ด แซ่บค่ะ

แต่ใครจะได้คิดล่ะ ว่าโควิด-19 จะทำให้ โอ๋-ฐิติพันธ์ ตกงาน!ได้เช่นกันฟังเรื่องราวการต่อสู้ชีวิต และโรคซึมเศร้าที่หลายคนคาดไม่ถึง

Q : อยากให้พี่โอ๋เล่าที่มาของมาดามฟันนี่หน่อยค่ะจับพลัดจับผลูอย่างไร

A : ต้องใช้คำว่ามาเป็นมาดามฟันนี่ได้ด้วยความฟลุกค่ะเพราะว่าเล่น TikTok ช่วงโควิด เล่นมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง โคฟเป็นคนนั้นคนนี้แต่ว่ามันไม่มีคนดูก็เลยเลิกเล่น แล้วอยู่ดี ๆ รายการแฉของมดดำก็เอาคุณปารีณาไปออกดิฉันก็นั่งดูอยู่และคิดว่า Content นี้เดี๋ยวต้องมีคนขึ้นมาโคฟเยอะแน่ๆ เลย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาอ้าวทำไมไม่มีใครโคฟเลยล่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าจะลองดูอีกสักตั้งหนึ่งดีไหมกับ TikTok ก็เลยไปค้นชุดเอาวิกผมอันนี้มาใส่นะคะไม่เคยได้ใช้เลย แต่พอลองใส่ดู แล้วก็ อุ๊ย!ทำไมหน้าตาฉันเริ่มดูคล้ายล่ะพอลองยิ้มหน้ากระจกเท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปที่กล้องโทรศัพท์ อัดเลย 3 เทค ตายแล้ว ฉันจะโดนฟ้องไหมนะ เหมือนมาก โพสต์เลยละกันปกติ Facebook เราไม่ค่อยมีใครกดไลก์นะคะแต่หลังจากที่โพสต์คลิปนั้นไป notification ขึ้นตลอดเวลา ผ่านไปคืนหนึ่งยอดวิวเป็นล้านทั้งแชร์ทั้งอะไรต่างๆ ชีวิตเปลี่ยนไปเลยค่ะ วันรุ่งขึ้นก็เลย ลองต่ออีกสักคลิปเผื่อว่า ดูซิว่าเราฟลุกหรือเปล่าหลังจากขึ้นไม่ได้หยุดเลยค่ะ คือทุกคลิปเล่นแล้ว ฟีดแบ็กดีมากๆ กลายเป็นว่าคลิปที่มีคนดูมากที่สุดคือคลิปที่เต้นเพราะว่าคนดูอาจจะ ไม่เคยเห็นว่าคุณปรณเขาเต้นอย่างไร พอเราลองไปเล่นปรากฏว่าคลิปนั้น ตอนนี้ก็ 7 ล้านวิวแล้ว


Q : มาช่วงถูกจังหวะหรือเปล่าคะ เพราะช่วงโควิดที่คนกำลังเครียดก็เลยต้องการเสพ Content ที่มันรีแลกซ์ ๆ หน่อย

A : ทุกเหตุผลรวมกัน คืออะไรที่จะเป็นไวรัลได้เนี่ยบางทีเราบอกไม่ได้จริง ๆ ว่า ทำไมคลิปนี้ถึงกลายเป็นไวรัลส่วนคลิปนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่างนะ พูดกันตรงๆ คือ คุณปรณเขาก็ไม่ได้มีคอมเมนต์ที่ดีนัก มีทั้งคนชอบ มีทั้งคนไม่ชอบ ฉะนั้นคนที่จะมาโคฟเนี่ย ต้องคิดแล้วว่า ถ้าเขาไปโคฟจะมีคนมาคอมเมนต์ที่ไม่ดีหรือเปล่าแต่เผอิญว่าเราก็ลองดู ปรากฏว่าคอมเมนต์ที่ได้รับมามันคือเป็นโพสิทีฟหมดเลย (ขอแป๊บหนึ่งนะคะ ไม่มีเสียงเพราะว่าตั้งแต่เป็นซึมเศร้าเสียงมันหาย) เพราะว่าไม่พูดกับใครเป็นปีๆ กล้ามเนื้อมันก็อ่อนแรงบวกกับเป็นภูมิแพ้ คนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้แต่ก็จะบอกคนที่ไปออกรายการว่า พี่เสียงเป็นแบบนี้นะ บางช่วงเสียงหาย


Q : มาดามฟันนี่เป็นโรคซึมเศร้า!!!เป็นมานานยังคะ

A : เป็นซึมเศร้าจริง ๆ น่าจะเป็นมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ว่ามันฝังอยู่ข้างในจนกระทั่งมันกลายเป็นวิกฤติวัยกลางคน บวกกับเป็นไบโพลาร์ด้วยมันทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกว่าเราไม่อยากไปทำงาน หนักเข้าก็ไม่อยากมีชีวิตต่อหนักที่สุดก็คือทุกคืนจะนึกถึงแต่เรื่องจะฆ่าตัวตายอย่างไร จะด้วยกรรมพันธุ์จะด้วยฮอร์โมนในร่างกาย จะด้วยความเครียดรวม ๆ กันหรือเปล่าเราไม่รู้แต่เราไปหาหมอ หมอก็เลยให้กินยา แต่พอกินยาแล้วมันก็มีภาวะของการhideความสุข ก็เลยเป็นที่มาที่เราอยู่ดี ๆ ไปซื้อชุดผู้หญิงค่ะซื้อวิกมาทั้งหมด 10 กว่าวิก ชุดผู้หญิงน่าจะเป็น 100 ชุด รองเท้าส้นสูงก็มีเป็น 10 คู่ เลย โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอามาใส่ทำอะไร

Q : แสดงว่าไม่ได้ชอบแต่งหญิงมาตั้งแต่เด็ก?

A : ไม่ชอบ เราเคยไปต่างประเทศ ไปแต่งประกวดสนุกๆแล้วเราก็รู้สึกว่าการเป็นกะเทยนี่มันยากนะแต่งตัวเหนื่อยจังเลย ใส่วิกก็เจ็บหัวต้องมาแต่งใส่เสื้อใน เสื้อผ้าก็ไม่มีไซส์เราไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นกะเทยแต่งหญิงเลย แต่ซื้อเสื้อผ้าผู้หญิง ทำไมไม่รู้จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ชุดที่ซื้อมาทั้งหมด วิกทุกอันได้ใช้หมดเลยแปลกมากค่ะ

Q : แล้ววันนี้บาลานซ์งานกับความเป็นตัวตนของเราอย่างไรคะ

A : ต้องเล่าว่าตอนที่เราไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นไบโพลาร์ให้ยามากินไปประมาณ 3 เดือนนะคะ แล้วมันมีผลกับร่างกายเราคือบางคนอาจจะเวิร์กหมอเขาก็รักษาตามอาการ แต่พอเราเปลี่ยนยาไปมาผลของมันถึงขนาดที่ทำให้เราเจ็บกระดูก ตอนกลางคืนเวลานอนจะรู้สึกเจ็บเหมือนปวดกระดูกข้างใน อย่างบอกไม่ถูกจนเราต้องเอาขาไปฟาดกับเตียง บางคืนตื่นขึ้นมานะมันปวดมาก เราเลยตัดสินใจว่าจะเลิกกินยาแล้วลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ปรากฏว่าช่วงโควิดยิ่งเครียด แต่พอมาเล่น tiktok มันหาย มันทำให้เราลืม สมมติคลิปแต่งตัวกินเวลาไปแล้ว 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น 3 ชั่วโมงนั้นมันหายเครียดไปเลย จึงต้องทำทุกวันติดต่อกันเป็นเดือน กลายเป็นว่าอาการดีขึ้นเราก็รู้สึกว่าเราเบาลงในเรื่องของการไม่คิดที่จะอยากฆ่าตัวตาย และที่สำคัญมันมีเหตุผลที่ทำให้เราอยากจะตื่นมาทำอะไรในวันต่อไป


Q : แสดงว่ามาดามฟันนี่นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยบำบัดความเครียดของเรา

A : ใช่ค่ะ เหมือนกับมาดามฟันนี่เกิดขึ้นมาเพื่อเยียวยาเราในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นด้วย ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าเราจะมีความสามารถขนาดนั้น แต่ใน Feedback ก็เห็นอยู่ว่า ทุกคนเข้ามาดูเพื่อคลายเครียดอาจจะเรื่องการเมืองด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปารีณาเอง ซึ่งพอเราโคฟทุกคนก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่งค่ะ

Q : หลังจากที่คอนเทนต์แรกออกไปแล้วปังมากจากนั้นเราครีเอทีฟคอนเทนต์อื่น ๆ เรื่อยมาอย่างไรบ้างคะ

A : ตอนแรกคิดอย่างนี้นะคะว่า คุณปารีณามีคลิปเสียงอะไรบ้างฉันจะลองโคฟให้หมด ให้เรารู้สึกว่า มันเข้ากับเรา แต่พอทำไปเรารู้สึกว่ามันตลกบางอันไม่เข้ากับเราเลย รู้สึกมันไม่เหมาะกับเราเสร็จแล้วคราวนี้เราก็มานั่งนึกว่าเอ๊ะ เราจะยึดติดอยู่กับคาแรกเตอร์นี้ตลอดไปเหรอลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างดีกว่า ปรากฏว่าคนไม่ดูค่ะ ลองทำเพลงก็แล้ว คนก็ไม่ดูแต่พอทำแบบเดิม คนเขาให้การตอบรับ เขายังอยากเห็นเราเป็นแบบนี้อยู่ซึ่งถามว่าคอนเทนต์ได้คิดใหม่ว่าจะทำอะไรต่อไปหรือไม่ ตอนนี้คือวันต่อวันเลยคนดูก็เพิ่มขึ้นบ้างลดลงบ้าง แต่ที่สำคัญคนจำเราได้ กลายเป็นแบรนด์ดิ้งของเราแล้วก็กลายเป็นว่าไปที่ไหนแล้วแต่งตัวแบบนี้ คนจะขอถ่ายรูปเยอะมาก สปอนเซอร์เข้าก็แปลกใจตัวเองว่าจากที่ตกงานช่วงโควิด สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ กลายเป็นว่าตอนนี้มาดามฟันนี่เป็นงานใหม่ของเราไปแล้ว


Q : นอกจากงานในการcreativeคาแรกเตอร์มาดามฟันนี่เนี่ยตอนนี้พี่โอ๋ยังอยากทำอะไรอยู่บ้าง จะทำหนังต่อไหมคะ

A : จริง ๆ แล้วคาแรกเตอร์ของมาดามฟันนี่เริ่มสร้างรายได้ให้เรานะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเอง ตอนแรกเราก็คิดว่าเดี๋ยวคงหยุดมั้งปรากฏว่าไม่หยุด ยังมีคนที่ให้การสนับสนุนเราเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ คอนเทนต์เราก็ยังไม่ได้มีแปลกใหม่อะไร เราพยายามที่จะทำเรื่องยาก ๆ ครีเอทยาก ๆ คนก็ยังชอบดูอะไรที่ง่าย ๆ อยู่เราก็ทำอย่างที่คนชอบด้วย ในขณะเดียวกันตอนนี้งานอื่น ๆ ไม่ค่อยมีเข้ามาเลย แต่เราก็พยายามที่จะสานต่อในสิ่งที่เราอยากทำ ก็คือทำหนังเพราะฉะนั้นในขณะที่เป็นมาดามฟันนี่มีชื่อเสียงมากขึ้นกลายเป็นว่ามีค่ายหนังก็ติดต่อมาจะให้ทุนเรากำกับหนังด้วย งงมาก

Q : อยากให้เล่าถึงโปรเจ็กต์หนังในอนาคตหน่อยค่ะ

A : ค่ายนี้นะคะชื่อ Hollywood Thailand ค่ะ เป็นค่ายที่เคยทำเรื่อง “The Maid สาวรับใช้” ที่ออก Netflix นะค่ะเขาจะทำหนังค่อนข้างที่จะไม่ได้ตามกระแส เสร็จแล้วพี่บอยซึ่งเป็นผู้บริหารเขาก็ถามเราว่า อยากทำหนังเรื่องอะไรไหม มีเรื่องอะไรมานำเสนอบ้างประเหมาะเหลือเกินที่เรามีโปรเจ็กต์เรื่อง “เจ้าสาว UFO” ซึ่งเขียนไว้นานมาก แต่ว่าไม่คิดว่าจะได้ทำหรอกนะ เพราะว่า CG มันเยอะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูก UFO ลักพาตัวไป พอกลับลงมา ดันท้อง แล้วก็คลอดลูกเป็นเอเลี่ยนพล็อตหลัก ๆ มีแค่นี้ แต่เราเอามาพัฒนาให้เป็นtreatmentจนเป็นบท เขียนบทจนเสร็จแล้ว แก้ 2-3 รอบ เอาให้เขาอ่าน ปรากฏว่าเขาโอเค เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นช่วง pre-production นะคะ กำลังจะปรับบทเพิ่มเติม และหานางเอกอยู่คิดว่าจะได้ถ่ายทำช่วงปีหน้า ซึ่งตอนนี้บอกตามตรงเลยว่าบทมันค่อนข้างจะแรงนิดหนึ่ง ผู้หญิงที่จะมาเล่น อยู่ในวัย 20-25 แต่มันจะมีฉากเซ็กซี่ด้วยและต้องกล้าเล่นพอสมควรตอนนี้ก็ติดต่อไปบ้างนะคะ แต่ว่ายังไม่ได้คำตอบกลับมา


Q : พี่โอ๋อยู่วงการมานานแล้วนะกี่ปีได้แล้วคะ เป็นทั้งนักแสดงสมทบ คนทำงานเบื้องหลัง โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ

A : จริง ๆ เป็นพวกจับฉ่ายค่ะ ทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใช้คำว่านิ่งก่อน คือทำงานดี ทำงานหนัก แต่ว่าเราอยู่เบื้องหลังมาตลอดเราไม่ได้เป็นคนที่จะออกนอกหน้า ที่มีชื่อแล้วคนจดจำ ตอนทำหนังเรื่องแรก It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารักก่อนหน้านั้นก็เป็นพนักงานการตลาดให้กับบริษัทอยู่ รัชดาลัย ซีเนริโอ แกรมมี่บีอีซีเทโร เคยเป็นตัวประกอบในละครเรื่อง ชายไม่จริงหญิงแท้ ยุคแหม่ม แคทรียาแสดงนำก็ทำมาแล้ว แต่ว่าเรื่องทำหนังจริง ๆ ก็มีแค่นั้นล่ะค่ะ

Q : จากการที่เราเริ่มเป็นพนักงานการตลาด ทำเบื้องหลังเป็น Extra อะไรพวกนี้เราเรียนมาทางนี้โดยตรงหรือเปล่าคะ

A : ไม่ได้เรียนเลยค่ะ จบการตลาดมา คือพยายามจะเรียนนิเทศนะสมัครมหาวิทยาลัยเอกชนไปหลายที่ ไม่ติดสักที่ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมฉันถูกผลักไสจากโชคชะตา ไม่ได้เรียนสักที ต้องมาเรียนการตลาดแล้วก็ทำงานการตลาดมาตลอด แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่าจริง ๆ ได้เอาความรู้เรื่องการตลาดมาช่วยในเรื่องของการทำหนังทำงานได้มากเลยนะคะ

Q : แสดงว่าเราไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียน acting เลย

A : ไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียนกำกับ ไม่เคยเรียนโปรดิวเซอร์เลย ต้องใช้คำว่า “นั่งนึกเอาเอง” ว่าถ้าจะทำหนัง 1 เรื่อง ออกกอง 7 วัน ต้องสื่อสารกับใครบ้าง จ่ายเงินใครบ้าง Timeline ในการทำงานมีอะไรบ้าง เหมือนกับเราเขียนตำราเองใหม่หมด ไม่เคยเปิดหนังสือหรือ Google หา เพราะว่าในที่สุดประสบการณ์มันสอนให้เรารู้ด้วยตัวเองว่าจะทำกับคนนี้ก็ต้องเริ่มจ่ายเงินเขา ถ่ายเสร็จก็ต้องจ่ายวันนั้นมันคือเป็นเรื่องของไฟแนนซ์ ของบัญชี เรื่องต้นทุนคนทำหนังไม่ใช่จะครีเอทีฟอย่างเดียวนะ เรื่องเงินสำคัญนะคะ


Q : แล้วจากวันนั้นถึงวันนี้เรามองตัวเองอย่างไรบ้างครับจากพนักงานการตลาด และเทิร์นมาเป็นผู้กำกับได้

A : จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ พูดยากจัง เราพยายามจะหาคำจำกัดความนิยามให้ชีวิตตัวเอง มันเหมือนต้มจับฉ่าย ที่พยายามลองผิดลองถูกมาตลอดชีวิตจนกระทั่งมาเจอปารีณา จนกระทั่งมาเจอมาดามฟันนี่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าแต่ถ้าถามพี่ว่ามันเป็นการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ของกะเทยคนหนึ่งซึ่งปฏิเสธตัวเองมาตลอด แต่ว่าตัวตนข้างในมันทุบ มันทุบว่าเธอต้องทำสิ่งนี้อย่าปล่อยให้ตายก่อน เธอต้องลุกขึ้นมาแต่งหญิง เธอต้องลุกขึ้นมาสร้างความบันเทิงเธอต้องเป็นคาแรกเตอร์แล้วพอมันปลดปล่อยออกมามันเหมือนกับตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

Q : เมื่อกี้ที่บอกว่าปฏิเสธตัวตนของเรามาตลอดคืออะไร เรารู้ว่าเราเป็นตุ๊ด แต่เราก็ก็ยังรู้สึกปฏิเสธมันอยู่?

A : เราเคยคิดว่าเราเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนผู้หญิงตั้งแต่เด็กเป็นผู้ชายขาวหมวย อย่างไรเธอต้องกลายเป็นกะเทยแปลงเพศแน่ ๆ ในอนาคต ตอนเด็ก ๆ คิดนะว่าต้องเป็นแปลงเพศ แต่เราก็เห็นว่าคนอื่นเขาเป็นกะเทยแต่งหญิง อ๋อเขาต้องไปเป็นนางโชว์ ไปประกวดนางงาม ไปเป็นช่างแต่งหน้าเราก็คิดว่าเราจะทำได้เหรอ เรากลัวศัลยกรรมจังเลย มันเจ็บ ไม่เอาดีกว่าเราก็เลยซ่อนตัวตนของเราอยู่ภายใต้อะไรก็ไม่รู้ แล้วทุกครั้งที่ส่องกระจกเราไม่ได้ชอบตัวเองเลย ไม่เคยชอบตัวเอง เรารู้สึกว่ามันคือใครก็ไม่รู้แต่วันนี้ที่ใส่วิก ทุกครั้งที่ส่องกระจกคือมันใช่ มันไม่เกี่ยวกับความสวยนะนึกออกไหม แต่ก่อนเราจะรู้สึกตลอดว่าถ่ายมุมนี้สิฉันสวย ต้องอย่างนี้สิ ตอนนี้คือใช่ พอข้างในมันใช่ปุ๊บมาเลยเราไม่อายที่จะเปิดเผยรูปไหนในชีวิตของเราเลย

Q :ตั้งแต่เด็กจนโตที่เรารู้สึกว่าเราปฏิเสธตัวเราเนี่ย ครอบครัวเรามีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างครับ

A : เขารู้ตั้งแต่เกิดค่ะ ตั้งแต่อนุบาล1ไปยืนเกาะพุ่มไม้อยู่ วันแรกของไปโรงเรียนจำได้เรามองดูเห็นเด็กผู้หญิงเล่นชิงช้า เห็นผู้ชายวิ่งไล่กันเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวโล้ชิงช้าหัวเราะคิกคัก เราก็ยืนดูที่พุ่มไม้ แล้วก็มองว่าฉันไม่ใช่กลุ่มนั้นที่มาวิ่งไล่เตะกันฉันคือผู้หญิงผมยาวที่กำลังเล่นชิงช้าอยู่ แต่ฉันไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้เราก็รู้สึกเลยว่าเราผิดแปลก เราจะเข้าไปอยู่กับพวกเขาได้อย่างไรทันทีที่เข้าไปในสังคมเด็กนั่นแหละคือโดนล้อเลย ตั้งแต่ไปโรงเรียนวันแรก


Q : โดนบูลลี่เลยจากเพื่อนๆ?

A : คือเด็กเขาไม่รู้ เราจำได้นะว่าโดนล้อว่าเด็กอนามัยสมัยก่อนมันยังไม่ค่อยมีคำว่าตุ๊ด กะเทย เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขนาดคุณครูตอน ป.2 คุณครูยังถามหน้าห้องว่าห้องนี้ใครเป็นตุ๊ดบ้างแล้วเด็กทั้งห้องก็ชี้มาที่เรา และหัวเราะฮิฮิ

Q : แต่มันก็ทำให้เราสตรองขึ้นหรือเปล่าคะว่าเรา ต้องสู้

A : เราว่ากะเทยทุกคนเคยผ่านจุดนี้มาในการที่จะต้องถูกตีตราถูกบูลลี่ใช่ไหมคะ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นคนที่ต่อสู้เพื่อตัวเอง สมัยก่อนกะเทยยังไม่เฟียสไงนึกออกไหม จะหลบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วก็หาเพื่อนหากลุ่ม จนกระทั่งมันมีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งเปลี่ยนชีวิตเรามากเรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” เราไม่คิดว่าอุ๊ย กะเทยยุคแรก ๆ เต็มเลยในหนัง แล้วก็มีคาแรกเตอร์หลากหลายมากมันทำให้เราตั้งคำถามว่า อ๋อถ้าเราโตไปเราจะต้องมีอาชีพการงานและเราจะต้องมีเพื่อนหรือมีสังคมก็เป็นประมาณนี้ใช่ไหม นึกออกไหมคะกะเทยต่างจังหวัดมันไม่มีแบบอย่าง แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นแบบอย่างทำให้เราเห็นว่า เราควรจะโตไปเป็นอย่างไร

Q : หลังจาก ฉันผู้ชายนะยะก็เลยทำให้เรายิ่งค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา

A : ใช่ เราก็เลยเริ่มเสพสื่อ เริ่มหาดูคาแรกเตอร์ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นเราเริ่มเห็นสาวประเภทสองในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่าเราอยากเป็นใครเรานึกไม่ออกจริง ๆ เพราะว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้าง ใช้คำว่าอะไรดีล่ะเราไม่ค่อยชอบโดนล้อ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้อยากเป็นเพศอื่นเพราะเราเป็นไม่ได้ เราเป็นกะเทยหัวโปกกะโหลกกะลาแต่งกลอนไปเรื่อยเปื่อยอะไรอย่างนี้ค่ะ


Q : พี่โอ๋คิดว่าเราความหลากหลายทางเพศกลุ่ม LGBT ในเมืองไทยตอนนี้อยู่ในจุดที่น่าพอใจหรือยังแล้วมีอะไรที่คิดว่าเราจะต้องไฟต์หรืออยากให้มันเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือว่าการยอมรับในสังคมที่มากขึ้น

A : พี่ว่านะการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีหมดการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีทั้งนั้นแหละถูกไหมคะเพราะฉะนั้นคือการเรียกร้องสิทธิและก็สร้างความเท่าเทียม ย้อนไป 100 ปี 1,000 ปี พูดเลยว่ามันไม่เคยเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเท่าเทียมจะไม่มี เราจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพราะฉะนั้นคนที่รณรงค์เรื่องนี้จะต้องต่อสู้ ห้ามหยุดแต่ถามว่าในฐานะของกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ และอยู่ในประเทศไทยบอกเลยว่าค่อนข้างมีความสุข เพราะว่าถ้าลองไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเราก็รู้สึกว่ามันไม่มีความสุขเท่าที่นี่ แต่ว่ามันยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างที่เรายังมีความรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนได้เปิดโอกาสมากขึ้น เพราะว่าในที่สุดแล้วกะเทยทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะมากมาย

เพียงแต่ว่าเขาต้องการโอกาสเท่านั้นเองสิ่งที่อยากให้คนในสังคมรู้มากที่สุดก็คือ กะเทยมันไม่ใช่โรคติดต่อ อันที่ 1 หมายความว่าเมื่อเห็นกะเทยในสื่อมันไม่ได้สามารถจะทำให้คนที่ดูเป็นกะเทยตามไปด้วย เรื่องการ Come Out เป็นเรื่องสำคัญนะ แล้วก็มีคนพูดถึงน้อยบางคนรณรงค์ให้ทุกคนรักตัวเอง ออกมายอมรับตัวเองแต่สำหรับแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกันนะ เงื่อนไขของครอบครัวไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปบังคับหรือไปบอกใครให้ทำอะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าครอบครัวเขานั้นมีเงื่อนไขอะไรบ้างเพราะว่าบางคนที่ Come Out หรือว่าเปิดเผยตัวตนออกมากับครอบครัว มันกลายเป็นร้ายก็มีแต่ละคนต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ พี่ยังไม่เคยพูดกับพ่อแม่เลยว่าแม่หนูเป็นกะเทยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพูด แต่ใช้วิธีให้เขาเรียนรู้เองว่าเราเป็นอะไร

Q : พี่โอ๋คิดอย่างไรคะที่ตอนนี้ LGBT ในเมืองไทยเราเติบโตขึ้นแต่ในขณะเดียวกันมีคนในวงการภาพยนตร์บางท่านกลับบอกว่า ทำหนังเกย์มีแต่เจ๊งดูเหมือนว่าตลาดมันโตขึ้น แต่ว่าพอเราจะทำหนังเพื่อเซิร์ฟกลุ่ม LGBT คนกลุ่มนี้เองกลับไม่ได้สนับสนุน

A : เอาส่วนตัวก่อนนะ ส่วนตัวพี่มีความรู้สึกว่าหนังเกย์จำเป็นต้องทำ หนังเกย์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เราจำเป็นที่จะต้องมีให้เด็กเห็นแต่ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ส่วนพี่เติบโตมาแล้วได้เรียนรู้เรื่องการเป็นเกย์จากหนังแล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นสื่อที่ทำให้เรามีความสุขเพราะเราได้รู้สึกว่าเราเริ่มอยากดูหนังเกย์ จนมันขยายเป็นหนังที่เป็นหนังวายหนังจิ้นต่าง ๆ ซึ่งก็ต่างกันถูกไหมครับ มันส่งเสริมให้เห็นและสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายสังคมเกย์เต็มไปหมดเลยถ้าจะไม่มีหนังเกย์เป็นไปไม่ได้ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแต่ถ้าถามว่าทำไมทำหนังเกย์ถึงเจ๊งในประเทศไทย ไม่ต้องหนังเกย์หรอกหนังแบบอื่นก็เจ๊งค่ะ


Q : นั่นน่ะสิ มันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าตัว Content ไม่โดน หรือว่าลึก ๆ แล้วคนไทยเองก็มีความรู้สึกแอนตี้หนังไทย

A : ในฐานะที่เคยทำหนังเกย์ หนังเกย์แบบหนังเกย์เลยสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ คนที่จะเดินเข้าโรงเหมือนกับบอกให้โลกรู้ว่าฉันซื้อตั๋วมาดูหนังเกย์นะ เหมือนกับบอกอยู่กลาย ๆ ว่า ฉันเป็นเกย์ฉันถึงมาดูหนังเกย์ นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ทำหนังเกย์สื่อที่จะโปรโมทบางทีต้องคิดดี ๆ ว่ามันจะทำให้คนดูรู้สึกโอเคไหมในการที่จะเดินเข้าโรง บางทีบางคนอายแต่อยากดูก็เลยต้องรอที่จะดูออนไลน์แทร โปสเตอร์มันอาจโป๊จนเกินไป มีผลนะ เขาถึงรอที่จะดูออนไลน์ หรือว่าบางเรื่องเขาตัดสินใจที่จะให้มีรอบฉายเฉพาะตอนกลางคืนขายดี อย่างนี้มันเป็นเรื่องของการตลาด แต่ถามว่าคนอยากดูไหม อยากดูแต่ว่าเราจะต้องหาวิธีการ เพิ่มช่องทางในการดู ให้เขารู้สึกเขาสบายใจ ซึ่งมันสื่อให้เห็นเลยว่าคนเป็นเกย์ในเมืองไทยไม่ได้รู้สึกจะต้องภาคภูมิใจในการที่จะบอกว่าตัวเองเป็น

Q : คิดอย่างไรกับซีรีส์วายคะ

A : ซีรีส์วายเป็นซีรีย์ที่มหัศจรรย์มากสามารถที่จะสร้างโลกใหม่คู่ขนานได้โดยที่ผู้ชายสองคนรักกันแต่ไม่ได้พูดถึงความเป็นเกย์เลยพี่คิดว่ามันเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่ต้องใช้ความสามารถในการเล่า เพื่อ service ให้กับคนดู และพี่ว่ากรอบต่าง ๆ มันถูกทำลายหมดเพื่อที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้น ถ้าเราตามไม่ทันและเราปฏิเสธปุ๊บพอเราดูซีรีส์วาย เราจะงงไง เรางงในตรรกะว่าทำไมล่ะทำไมไม่มีใครพูดถึงว่าผู้ชายสองคนรักกันแล้วเป็นเกย์ แล้วทำไมถึงจีบกันตลอดเวลา

Q : จะมีโอกาสได้เห็น โอ๋ ฐิติพันธ์ทำซีรีส์วายสักเรื่องหนึ่งไหม

A : ยากมาก ต้องใช้วิธีจูนตรรกะเพราะเรารู้สึกว่าเราอยู่ในโลกของเกย์ เราส่งเสริมเรื่องชายรักชาย เรื่องของ Queer movie ส่วนตัวชอบหนังที่มีกะเทยเราพยายามที่จะดันให้กะเทยเป็นนางเอก เพราะเราเป็นกะเทย เราอยากเห็นตัวเองเป็นนางเอกเพราะฉะนั้นพอเป็นซีรีส์วายต้องจูนใหม่ มันเป็นโลกใหม่ ๆ แต่ถามว่าอยากทำไหมอยากทำนะคะ


Q : อยากให้ฝากเพจนิดหนึ่ง ติดตามฝากให้ท่านผู้ชมผู้อ่านฟังติดตามมาดามฟันนี่นิดหนึ่งค่ะ

A : ตอนนี้มาดามฟันนี่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นต้องขอขอบพระคุณนะคะ แฟน ๆ ทุกคน FC ทุกคนที่ให้การสนับสนุน รวมถึงลูกค้าสปอนเซอร์ต่าง ๆ นะคะ ก็อย่าลืมติดตามนะคะมาดามฟันนี่ใน TikTokในเพจ ใน Facebook นะคะ แล้วก็ใน YouTube ด้วย ก็จะมี Content น่ารัก ๆ สนุก ๆ ขำ ๆ มานำเสนอค่ะ ก็ฝากสนับสนุนด้วยค่ะ


โดย เบญจกาย

]]>
กระแส #MeToo กับการจากไปแบบไม่หวนกลับของ ‘เควิน สเปซีย์’ https://marshomme.com/scoop/89318/ Fri, 01 Nov 2019 15:44:00 +0000
ช่วงปลายปี 2017 มีข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นในสังคมฮอลลีวูด เมื่อฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังของค่ายวอลต์ ดิสนีย์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชอบใช้อำนาจในหน้าที่การงานทำการล่วงละเมิดทางเพศและข่มขืนใจผู้หญิง เริ่มจากการเปิดเผยของนักแสดงในสังกัด คือ อาเซีย อาร์เจนโต และลูเซีย อีแวนส์ หลังจากนั้นนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ก็ดาหน้ากันออกมาแฉ รวมรายชื่อเป็นหางว่าว กระทั่งเกิดกระแสฮิตติดแฮชแท็ก #MeToo กระจายไปทั่วโลก

“ผมเพิ่งตระหนักว่าวิธีการแสดงออกของผมในอดีตต่อผู้ร่วมงานหญิงนั้นเป็นสาเหตุให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวด ผมต้องขอโทษอย่างรุนแรงต่อเรื่องดังกล่าว ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แม้จะรู้ว่าผมต้องใช้เวลาอีกนานก็ตาม” นั่นคือประโยคคำพูดที่ฮาร์วีย์บอกผ่านสื่อภายหลังตกเป็นข่าว แต่ไม่นานหลังจากนั้น กรรมการบริษัท ไวน์สตีน คัมปานีก็สั่งปลดเขาพ้นจากตำแหน่ง อีกทั้งจอร์จีนา แชปแมน-ภรรยาของเขาก็ประกาศขอแยกทาง

ระหว่างที่ข้อกล่าวหากำลังกลายเป็นกระแสยืดเยื้อ นักแสดงชายเบอร์ต้นๆ ของฮอลลีวูด อย่างเควิน สเปซีย์ ก็ออกมาเปิดตัวผ่านทวิตเตอร์ “ผมตัดสินใจแล้วว่า จะขอใช้ชีวิตที่เหลือเป็นเกย์อย่างเปิดเผย” แต่เหตุผลที่เขาจำต้องออกมาเผยตัวตน เพราะว่าถูกแอนโธนี แรปป์-นักแสดงที่แจ้งเกิดจากซีรีส์ ‘Star Trek: Discovery’ ออกมาแฉว่าเคยถูกสเปซีย์ล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อตอนที่ตนอายุ 14 ปี หลังจากไปงานปาร์ตี้ที่บ้านของสเปซีย์ และถูกสเปซีย์-ขณะอยู่ในสภาพมึนเมา-เกลี้ยกล่อมพาไปที่ห้องนอน แล้วเริ่มลวนลามเขา แต่เขาก็ผลักสเปซีย์ออกพ้นตัว และรีบผละออกจากบ้านไป

‘House of Cards’ และบทอวสาน

นับตั้งแต่ปี 2013 เควิน สเปซีย์ ปัจจุบันวัย 60 ปี เจ้าของรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง ‘The Usual Suspects’ (1995) และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ‘American Beauty’ (1999) ได้ร่วมแสดงในซีรีส์ของ Netflix เรื่อง ‘House of Cards’ เขาได้รับบทนำ เป็นนักการเมืองที่พยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงสุดในทำเนียบขาว จนเมื่อกระแสข่าวการล่วงละเมิดทางเพศในสังคมฮอลลีวูดเริ่มฉุดไม่อยู่ และตัวเขาเองซึ่งตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทำให้ Netflix ต้องตัดสินใจปลดสเปซีย์ออกจากซีรีส์เรื่องดังกล่าวทันที

รวมถึงบทบาทการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง ‘All the Money in the World’ ของผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ถ่ายทำเสร็จจนพร้อมออกฉายแล้ว ก็ต้องเลื่อนกำหนดฉาย หั่นทุกฉากที่มีสเปซีย์ปรากฏอยู่ทิ้งไป แล้วถ่ายทำใหม่อีกครั้งโดยมีการเลือกคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์มารับบทแทน

สเปซีย์กับคดีความ

นับตั้งแต่ปลายปี 2017 มีการกล่าวหาสเปซีย์เรื่องการล่อลวงและล่วงละเมิดทางเพศมากกว่า 30 กรณี เริ่มจากแอนโธนี แรปป์ จากนั้นบรรดาทีมงานผู้ชายที่โรงละครโอลด์ วิค ในกรุงลอนดอน อีกอย่างต่ำ 20 คนกล่าวหาเขา จากเหตุการณ์เมื่อครั้งที่สเปซีย์ไปร่วมงานในฐานะผู้จัดการโรงละคร รวมถึงงานแสดงระหว่างปี 2003-2015

คดีฟ้องร้องเควิน สเปซีย์เข้าสู่ศาลเมืองแนนทักเก็ต รัฐแมสซาชูเส็ตส์ เมื่อโจทก์เป็นเด็กหนุ่มไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวหาสเปซีย์ว่าล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเขาอายุ 18 ปี เหตุเกิดเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2016 ที่แนนทักเก็ต สเปซีย์มอมเหล้าเขาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ แต่สเปซีย์ให้การปฏิเสธ

การพิจารณาคดีดำเนินมาจนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และผู้พิพากษาได้ตัดสินยกฟ้องคดีกล่าวหาเควิน สเปซีย์ เนื่องจากหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์อ้างถึงภาพและคลิปในโทรศัพท์มือถือนั้น ถูกลบทิ้งไปแล้ว อีกทั้งพยานฝ่ายโจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างที่ควร

ข้อสงสัยในตัวผู้ต้องหาที่ยังเป็นตราบาปต่อไป

กรณีของเมล กิบสัน นักแสดงรุ่นเก๋าของฮอลลีวูด อาจจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของเควิน สเปซีย์ เมื่อปี 2010 เขาเคยทำผิดคดีใช้กำลัง ข่มขู่อดีตภรรยา และพูดจาดูถูกเหยียดสีผิวเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจ จนเป็นเหตุให้วงการฮอลลีวูดปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเขา

แต่ไม่กี่ปีผ่านไป กิบสันก็หวนกลับสู่วงการอีกครั้ง ได้รับข้อเสนอให้แสดง และกำกับภาพยนตร์ รวมถึงเป็นแขกรับเชิญในรายการทอล์กโชว์

แม้ ‘ข้อสงสัยในตัวผู้ต้องหา’ คดีของเควิน สเปซีย์จะสิ้นสุดลงด้วยการยกฟ้องของศาล แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทุกอย่างยุติ และหวนกลับมาเป็นเช่นเดิม

คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงที่เขาสูญเสียไปกลับมาได้อีก รวมทั้งงานแสดง กระแส #MeToo ในโลกโซเซียล นอกจากจะสามารถทำลายกำแพงประเพณีเก่าแก่ที่ย่ำแย่ของฮอลลีวูดลงได้สำเร็จแล้ว มันยังจะกัดกร่อน หลอกหลอนผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ตราบนานอีกด้วย

และไม่ว่าเควิน สเปซีย์จะกระทำผิดจริงตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่ก็ตาม

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
การหวนคืนสู่จอเงินอีกครั้งของผู้ชายเซ็กซี่ มีปากกว้าง ‘มิก แจ็กเกอร์’ https://marshomme.com/scoop/961/ Fri, 02 Aug 2019 13:33:00 +0000
ข่าวล่าสุดจากมิก แจ็กเกอร์ออกมาก่อนวันเกิดครบรอบปีที่ 76 ของเขาว่า ขาร็อกแห่งตำนานจะคืนสู่จอเงินอีกครั้งหลังจากห่างหายมานานถึง 18 ปี คราวนี้เขาได้รับบทบาทเศรษฐีนักสะสมงานศิลปะ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Burnt Orange Heresy’ ของผู้กำกับฯ ชาวอิตาเลียน-กุยเซปเป คาโปตอนดิ ที่ดัดแปลงบทจากนิยายชื่อเรื่องเดียวกันของชาร์ลส์ วิลล์ฟอร์ด นักเขียนอเมริกัน และจะเปิดฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองเวนิศ วันที่ 7 กันยายนที่จะถึง

แจ็กเกอร์และวง The Rolling Stones วางแผนจะตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากแจ็กเกอร์-นักร้องนำ ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ทำให้วงร็อกของอังกฤษต้องเลื่อนการแสดงออกไป ส่วนการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘The Burnt Orange Heresy’ นั้น แจ็กเกอร์เทคิวให้กับกองถ่ายก่อนหมายนัดของแพทย์

นอกเหนือจากงานดนตรีแล้ว แจ็กเกอร์ยังเคยทำงานในฐานะนักแสดงหลายครั้ง ผลงานแสดงเรื่องสุดท้ายของเขาเมื่อปี 2001 คือ ‘The Man from Elysian Fields’ ภาพยนตร์แนวคอมเมอดี้จากฝีมือการกำกับฯ ของจอร์จ ฮิคเกนลูเปอร์

วง The Rolling Stones เคยมีผลงานเพลงฮิตในอดีตอย่าง Satisfaction และ Brown Sugar วางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน สืบต่อจากทัวร์ ‘No-Filter’ ที่พวกเขาเริ่มตระเวนแสดงในยุโรปในปี 2017

ร้องและเล่นด้วย

มิก แจ็กเกอร์ได้รับบทนำครั้งแรกคู่กับแอนิตา พาลเลนเบิร์กในภาพยนตร์เรื่อง ‘Performance’ (1968) กำกับการแสดงโดยนิโคลัส เริก มีเพลงประกอบ Memo from Turner ที่มักถูกนำมาเปิดซ้ำๆ เวลาจะกล่าวถึงความสามารถด้านดนตรีของแจ็กเกอร์ ตามด้วยภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องราวของอาชญากรในออสเตรเลีย ‘Ned Kelly’ (1970)

แวร์เนอร์ แฮร์โซก-ผู้กำกับฯ ชาวเยอรมัน เคยชักชวนแจ็กเกอร์ไปรับบทกัปตันเรือในภาพยนตร์คัลท์ของเขาเรื่อง ‘Fitzcarraldo’ (1982) ที่ไปถ่ายทำกันในป่าดงดิบของอเมริกาใต้ แต่ถ่ายทำไปได้เพียงบางส่วน แจ็กเกอร์ต้องหยุดการทำงานกลางคันเพื่อไปตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกกับวง The Rolling Stones ทำให้แฮร์โซกต้องหานักแสดงคนอื่นมารับบทแทน กระนั้นก็ยังนำฟุตเทจที่ถ่ายทำไปแล้วมาใช้ในหนังสารคดี ‘Mein liebster Feind’ (1999) ของเขา ที่บอกเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและทรหดระหว่างผู้กำกับฯ และนักแสดงอย่างเคลาส์ คินสกี้

เสียงชื่นชมที่แจ็กเกอร์ได้รับจากนักวิจารณ์มาจากผลงานภาพยนตร์ไซ-ไฟเรื่อง ‘Freejack’ (1992) ซึ่งใช้เพลง Ruthless People ที่แจ็กเกอร์เคยแต่งและร้องไว้เมื่อปี 1987 มาเป็นเพลงประกอบ นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว แจ็กเกอร์ยังทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง ‘Enigma’ (2001) และเป็นคนแต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์รีเมคเรื่อง ‘Alfie’ (2004) อีกด้วย

ผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ Old Habits Die Hard ของแจ็กเกอร์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในปี 2005

แวมไพร์กระหายเซ็กซ์

เมื่อปี 2012 คริสโตเฟอร์ แอนเดอร์เสน-นักเขียนอเมริกันวัยเกษียณ มีผลงานหนังสืออัตชีวประวัติของมิก แจ็กเกอร์ออกมา ชื่อเล่ม ‘Mick: The Wild Life and Mad Genius of Jagger’ เล่าถึงวีรกรรมด้านทางเพศของแจ็กเกอร์ ซึ่งน่าจะเคยมีสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าถึง 4,000 คน และกับผู้ชายอีกประปราย

ตัวเลขดังกล่าวมาจากคำบอกเล่าของคาร์ลา บรูนี-ซาร์โกซี อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศส “ฉันเป็นหนึ่งในจำนวนราวสี่พันคนของเขา ฉันคิดว่าเขาน่าจะเหมือนดอนฮวน” แต่จะพูดไปแล้ว เมื่อนำจำนวน 4,000 มาหารกับจำนวน 40 ปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในวงการ ผลลัพธ์เท่ากับ 100 ต่อปี หรือสัปดาห์ละ 2 เท่านั้น

“ผมรักใครไม่เคยยาก แต่ไม่เคยคลั่งรัก” เป็นประโยคคำพูดของแจ็กเกอร์ “ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึกกับใครสักเท่าไหร่”

เซ็กซ์ สำหรับเขาแล้วหมายถึงความเป็นไปได้ในการเติมพลังและทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย “ผมคิดว่าเขาค่อนข้างโดดเดี่ยวมากกว่า” คีธ แบดเจอรี-อดีตคนขับรถของแจ็กเกอร์เล่าเรื่องเจ้านาย “คนเราอาจจะมีเซ็กซ์เจ็ดคืนในสัปดาห์ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขาดความรู้สึกบางอย่างในชีวิต”

ในหนังสือเล่มดังกล่าว มีคำยืนยันจากคลารา บรูนี-ซาร์โกซีว่า แจ็กเกอร์ถือเป็น ‘ชายแก่’ ที่มีดีเรื่องบนเตียง หรือจากปากของลูเซียนา โมราด-นางแบบสาวบราซิเลียน ซึ่งเป็นแม่ของลูกคนหนึ่งของแจ็กเกอร์ “เขาเป็นตาเฒ่าที่เซ็กซี่มากๆ”

มีลูกคนที่ 8 ตอนอายุ 75

จนถึงปัจจุบัน มิก แจ็กเกอร์มีลูกทั้งหมด 8 คนจากภรรยา 5 คน หลาน 4 คน และเหลนอีกหนึ่งคน ลูกชายคนสุดท้องจากภรรยาคนล่าสุดอายุเพิ่งสองขวบเศษ ในขณะที่ลูกสาวคนโตอายุ 49 ปีแล้ว

‘แครีส’ ลูกสาวคนแรกจากมาร์ชา ฮันต์ คลอดเมื่อปี 1970

‘เจด’ ลูกสาวคนที่สองจากเบียงกา แจ็กเกอร์ คลอดเมื่อปี 1971

‘เอลิซาเบธ’ ‘เจมส์’ ‘จอร์เจีย’ และ ‘แกเบรียล’ จากเจอร์รี ฮอลล์ คลอดระหว่างปี 1984-1997

‘ลูคัส’ ลูกชายจากลูเซียนา โมราด คลอดเมื่อปี 1999

และ ‘เดเวอโรซ์ อ็อคตาเวียน บาซิล’ ลูกชายคนสุดท้องจากเมลานี แฮมริก คลอดเมื่อเดือนธันวาคมปี 2016

แม้แจ็กเกอร์จะมีความสัมพันธ์กับใครหลายคน แต่เขาเข้าพิธีแต่งงานและใช้ชีวิตคู่เพียงสองครั้งเท่านั้น ระหว่างปี 1971-1980 กับเบียงกา เปเรซ-โมรา มาเซียส และระหว่างปี 1990-1999 กับเจอร์รี ฮอลล์

เมลานี แฮมริก ภรรยาวัย 31 ปีคนล่าสุด เป็นนักบัลเลต์ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแจ็กเกอร์มาตั้งแต่ปี 2014 หลังจากลอรา ‘ลูแอนน์’ แบมโบรห์ หรือ L’Wren Scott (ชื่อที่ใช้ในงานอาชีพสไตลิสต์และแฟชั่น ดีไซเนอร์) เสียชีวิตจากการอัตวิบาตกรรมไปไม่นาน

ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ Daily Mail ระบุว่า เมลานีและแจ็กเกอร์ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันในนิวยอร์ก และรักใคร่กันดีเหมือนกับช่วงแรกที่เพิ่งพบรักกัน




เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ทำความรู้จัก Jason Momoa จากภาพยนตร์ Aquaman https://marshomme.com/scoop/1030/ Wed, 26 Dec 2018 12:40:00 +0000
500 ล้านเหรียญดอลลาร์ คือตัวเลขที่ภาพยนตร์เรื่อง Aquaman โกยรายได้จากทั่วโลก แถมยังเป็นการสร้างสถิติใหม่ของค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์ในประเทศจีนที่ทำรายได้สูงสุดเฉพาะรายได้ในจีนอยู่ที่ 209.5 ดอลลาร์

ขณะที่ต้นทุนในการสร้างอยู่ที่ 160 ล้านดอลลาร์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์หลายสำนักบอกว่า Aquaman ถือเป็นการกู้หน้าของหนังแนวฮีโร่ในจักรวาลดีซี

Mars Homme พาไปทำความรู้จักกับ Jason Momoa นักแสดงกล้ามบึกที่รับบทเอกของเรื่อง หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับเขา เพราะเคยรับบท Khal Drogo ในเรื่อง Games of Thrones


Jason Momoa ชื่อเต็มของเขาคือ Joseph Jason Namakaeha Momoa เกิดวันที่ 1 สิงหาคม ปี 1979 ใน Honolulu เกาะฮาวาย เจสันเป็นลูกชายของช่างภาพและจิตรกรชาวฮาวาย Coni Lemke และ Joseph Momoa เขาเติบโตมาในรัฐ Lowa และถูกทาบทามเข้าสู่วงการถ่ายแบบในปี 1998 ก่อนที่จะคว้ารางวัล Won Hawaii’s Model Of The Year 1999 And Hosted The Miss Teen Hawaii Contest

เจสันย้ายกลับไปอยู่ที่ฮาวายอีกครั้ง เพื่อถ่ายทำซีรีส์เรื่อง Baywatch หลังจากซีรีส์จบเขาใช้ชีวิตด้วยการเที่ยวรอบโลกอีกประมาณ 2-3 ปี กระทั่งในปี 2011 เขาได้ย้ายไปที่ลอสแอนเจลิส พร้อมกับเส้นทางสายนักแสดงกับผลงานที่สร้างชื่ออย่าง Ronon Dex ในซีรีส์ Stargate : Atlantis ในปี 2004 และชื่อของเจสันปรากฏอีกครั้งจากการเข้าชิงรางวัล Emmy ทางช่อง HBO ในปี 2010 จากเรื่อง Games of Thrones


แม้จะเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดง แต่ชีวิตหลังม่านของเขารับบทบาทเป็นคุณพ่อลูกสองผู้อ่อนโยนและชอบทำกิจกรรมกับลูกๆ ต้องยกให้กับความเป็นคุณพ่อแฟมิลี่แมนตัวจริง

ข้อมูลจาก
https://brandinside.asia
https://daradaily.com
Instagram :prideofgypsies

]]>