หากย้อนกลับไปเมื่อปี 1969 จุดเริ่มต้นของตระกูล Z ได้ถือกำเนิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยรูปร่างหน้าที่ออกแนวสปอร์ตคูเป้ชัดเจนรวมถึงกำลังขับเคลื่อนอันทรงพลังจึงให้ยุคนั้นเขาก็เป็นเบอร์ต้นๆของผู้ชื่นชอบความแรง ทว่าเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน นับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 เส้นสายการออกแบบพัฒนาให้มีความทันสมัยแต่ไม่ทิ้งแนวทางเดิมเลยแม้แต่น้อย แล้วในเจเนอเรชั่นที่ 7
ล่าสุดนิสสันได้เผยโฉมเจเนอเรชั่นใหม่ของตระกูล Z ออกสู่ธารณชนเป็นที่เรียบร้อยหลายคนบอกว่าเครื่องยนต์บล็อคนี้น่าจะดันแรงม้าให้สูงได้มากกว่านี้ โดยการปรับโฉมครั้งนี้เขาได้มาพร้อมกับขุมกำลัง VR30DDTT บล็อคเดียวกับ Infiniti Q60 เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตรแบบ V6 พร้อมพละกำลังอยู่ที่ 400 แรงม้าแค่นี้ก็ถือว่ามากพอสำหรับขับไปอวดหน้าตาบนท้องถนนและยังพ่วงมาด้วยเทอร์คู่ทรงพลัง เพื่อการตอบสนองได้ดีทั้งรอบต้นและรอบปลาย
แน่นอนระบบส่งกำลังมาแบบแพคคู่ให้เลือกทั้งแบบอัตโนมัติ9จังหวะพร้อมแพดเดิลซิฟท์สไตล์ Nissan GT-R รุ่นเกียร์อัตโนมัติทุกรุ่นมาพร้อมฟังก์ชั่น Launch Control สำหรับช่วยออกตัว ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาเกรด Z Performance ก็จะมีฟังก์ชั่น Advanced Launch Assist Control ด้วยให้กำลังต่อเนื่องลื่นไหล ในเกียร์ธรรมดาจะเป็น6จังหวะอัตราทดชิด พร้อมคลัทช์ประสิทธิภาพสูงของ EXEDY บางครั้งความสนุกก็อยู่ที่เกียร์ธรรมดาบางคนก็ยังหลงไหลกับการขับแบบเดิมอยู่เพื่อเค้นกำลังออกมาให้สุดทุกเกียร์
ดีไซน์ภายนอกเน้นเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งตัวตนตั้งแต่อดีตโดยชุดกระจังหน้าเป็นทรงเหลี่ยมชัดเจน ตรงกลางช่องดักลมเป็นแบบรังผึ้งเป็นสำเงา ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED ทั้งชุดเลือกใช้ไฟส่องสว่างเวลากลางวันเป็นแบบสองเส้นบนล่าง ซึ่งหากสังเกตช่องดักลมของรุ่นนี้จะคล้ายกับ 350Z จะต่างเพียงขนาดเท่านั้นอาจเล็กกว่า
หากมองจากด้านข้างตัวรถเราจะเห็นชัดเจนถึงเส้นตรงแนวยาวจากด้านหน้าถึงท้าย รวมถึงหลังบคาลาดเอียงสไตล์รถคูเป้ ซึ่งการออกแบบนี้เป็นการถอดแบบมาจากตระกูล Z ทุกรุ่น ในโฉมนี้ยังถูกเน้นย้ำเส้นสายดังกล่าวด้วยการเพิ่มคิ้วโคเมี่ยมจากเสาเอด้านบนหลังคายาวจนถึงเสาซีผ่านโลโก้ Z ทรงกลม ส่วนหลังคาของรุ่นนี้จะเป็นสีดำตัดกับสีตัวรถ ล้อแม็กมีทั้งสีน้ำตาลทองและสีดำ แยกเป็น 3 เกรดรุ่นย่อย ได้แก่ Z Sport, Z Performance และรุ่นพิเศษจำกัดจำนวน Z Proto Spec (ผลิตเพียง240)
Z Sport มากับล้อแม็กซ์อลูมิเนียม ลายใหม่ขนาดขนาด 18 นิ้ว ยางYokohama ADVAN Sport ส่วนรุ่น Z Performance จะอัพเกรดขึ้นเลือกใช้ล้อฟอร์จ น้ำหนักเบาเป็นพิเศษของRAYSชื่อนี้สายซิ่งญี่ปุ่นเขารู้กันดีโดยจับคู่ยางสมรรถนะสูง Bridgestone Potenza S007 ด้านหน้าขนาด 255/40 ด้านหลังหน้ากว้างเป็นพิเศษ 275/35 ภายในก็จะมีฟังก์ชั่นมาใช้งานมาให้ครบครันเช่นจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว หรือ 9 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) พร้อมระบบอินโฟเทนเมนท์ Nissan Connect รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto หรือ Apple CarPlay, Wi-Fi hotspot, พอร์ท USB มีให้ทั้ง Type-A และ Type-C และชุดเครื่องเสียง Bose พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่งเป็นต้นฯ
งานนี้นิสสันพร้อมอัดสปอร์ตต่างค่ายอย่าง Toyota Supra แบบไม่มีกั๊ก น่าสนใจอย่างยิ่งว่าชื่อของ Z ซีรี่ส์จะกลับมาเฉิดฉายได้อีกครั้งหรือไม่ ราคาอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.4 ล้านบาท ถ้ามาถึงเมืองไทยราคาจะเพิ่มขึ้นหรือเปล่าต้องรอดู
Story : tong superman
Photo: moto1
Citroen Ami เป็นการต่อยอดมาจากรถยนต์ต้นแบบที่เคยเปิดตัวในปี 2019 ด้วยการนำเสนอทางเลือกใหม่ในการขับเคลื่อนให้กับกลุ่มวัยรุ่นเพื่อทดแทนสกู๊ตเตอร์ หรือจักรยานสำหรับการขับในระยะไกล
Citroen Ami ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 8 แรงม้าความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถขับเคลื่อนได้ในระยะทาง 70 กิโลเมตรเมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม ใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่ 3 ชั่วโมงสำหรับไฟ 220 โวลต์ตัวแบตเตอรี่มีขนาด 5.5 kWh และนั่งได้ 2 ที่นั่งเท่านั้นตัวรถมีความยาวเพียง 2,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,390 มิลลิเมตร และสูง 1,520 มิลลิเมตร ตัวรถมีน้ำหนักเพียง 485 กิโลกรัม
ความเก๋ของ Citroen Ami นอกจากเรื่องของรูปทรงและการใช้งานของรถแล้ว ทางซีตรองยังเกิดปิ๊งไอเดียสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ Citroen Ami ไว้สองทาง คือซื้อขาดในราคา 6,000 ยูโร หรือเช่าใช้ระยะยาว 4 ปี ตกค่าใช้จ่าย 19.99 ยูโรต่อเดือน หรือ 720 บาท แต่มีข้อแม้ว่า ต้องวางเงินดาวน์ 2,644 ยูโร หรือประมาณ 95,000 บาท
ข้อมูลที่น่าสนใจอีกเรื่องคือโครงการ Free 2 Move ของกลุ่ม PSA ที่ประกอบด้วยเปอโยต์, ซีตรอง และโอเปิลที่เปิดให้บริการ Car Sharing โดยราคาสำหรับการเช่าใช้อยู่ที่ 0.26 ยูโรต่อนาที หรือ 9 บาทนิดๆ แต่จะต้องเสียค่าแรกเข้าในการเป็นสมาชิกของบริการนี้อยู่ที่ 9.90 ยูโร หรือ 360 บาท
Citroen Ami เริ่มทำตลาดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในฝรั่งเศสสเปน อิตาลี เบลเยียม โปรตุเกสและเยอรมนี โดยรถยนต์ล็อตแรกจะเริ่มส่งมอบได้ในเดือน มิถุนายนนี้
เรียบเรียงจาก MGR Online
ในปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้จำหน่ายอีซูซุทั่วประเทศมากกว่าทุกครั้ง รวมถึงผู้จำหน่ายอีซูซุใน สปป.ลาว และกัมพูชา ในรอบคัดเลือกมีผู้เข้าร่วมแข่งขันกว่า 1,900 คน และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจำนวน 214 คน ซึ่งจะช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถ เพิ่มพูนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและประสบการณ์ในการแก้ปัญหาแบบมืออาชีพให้กับบุคลากรของอีซูซุมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ยกระดับความพอใจของลูกค้า สอดคล้องกับวิถีอีซูซุ คือผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา
การแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุประจำปี 2561 รอบชิงชนะเลิศ ผู้เข้าแข่งขันต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละด้าน โดยมีคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำให้เกียรติร่วมเป็นกรรมการตัดสิน
ในงาน 2015 Geneva Motor Show ถือเป็นการคืนชีพอีกครั้งสำหรับรุ่น Longtail ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ที่เน้นเรื่องสมรรถนะสูงสุดในตระกูลซูเปอร์ซีรีส์ นั่นคือ McLaren 675LT ซึ่งได้รับการออกแบบให้สืบทอดความเป็นเลิศของรถยนต์รุ่นก่อนๆ เพราะ McLaren 675LT ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของตระกูล Super Series
กระแสตอบรับรุ่นคูเป้ที่ถูกผลิตในจำนวนจำกัดถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว McLaren จึงผลิตรถยนต์รุ่น McLaren 675LT Spider ซึ่งเป็นรุ่นเปิดประทุนที่เน้นสมรรถนะเร็วแรงสูงสุดเท่าที่ McLaren เคยผลิตมา โดยรถตัวอย่างทั้ง 500 คันจำหน่ายหมดภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น McLaren 600LT Coupé ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 4 ซึ่งใช้ชื่อ LT และเป็นรถ Longtail รุ่นแรกในตระกูล Sports Series โดยจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบรถคูเป้ ซึ่งแน่นอนว่าผลิตในจำนวนจำกัดเช่นกัน