Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
ศิลปิน – Marshomme https://marshomme.com Mon, 29 Mar 2021 07:58:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png ศิลปิน – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ดนุพล เจริญยศ ‘DANUMARC’ พลังงานบวกของผู้ชายสายติสต์ https://marshomme.com/aboy/531630/ Thu, 21 Jan 2021 09:16:00 +0000

Rose Sound ค่ายเพลงในสังกัดอาร์เอสที่เปรียบเสมือนไอคอนของวงการเพลงเมืองไทย เคยเป็นค่ายเพลงของศิลปินในตำนานอย่างวงอินทนิล คีรีบูน ฟรุตตี้ และใครต่อใคร ยามนี้ได้หวนกลับมาสร้างสีสันให้กับคนรักเสียงเพลงอีกครั้ง

ประเดิมด้วยการเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่และศิลปินหนึ่งในสี่คือดนุพล เจริญยศ หรือ ‘ดนุมาร์ค’ พร้อมกับผลงานเพลงซิงเกิลแรก ‘ขอเถอะ’ ที่ได้ตัวศิลปินรุ่นใหญ่มาร่วมงานในมิวสิกวิดีโอ


‘มาร์ค’ ศิลปินหนุ่มวัย 26 มีพื้นเพจากจังหวัดมุกดาหาร พักการเรียนที่ขอนแก่นไว้ ก่อนจะมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ควบคู่ไปกับการทำงานเป็นนักร้องนักดนตรีตามสถานบันเทิง

ปัจจุบันมาร์คเป็นนักศึกษาปี 2 คณะมนุษยศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง “ถ้าถามว่าเรียนยากไหม ผมว่าถ้าเราอยากได้ความรู้จากตรงนั้นมากๆ เราก็ต้องตั้งใจเรียน ถ้าอยากจะเรียนง่ายๆ ก็ได้แค่ผ่านๆ ทั้งหมดอยู่ที่เราละครับ” เขาจำกัดความเรื่องการเรียนของตนเอง “สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ครับ”

มาร์คเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมเริ่มเล่นตอนเรียนอยู่ ม.สี่ อายุประมาณสิบหก แต่ว่าไม่ได้เรียนการเล่นมา ผมเล่นด้วยการฝึกฝนมาเรื่อยๆ เล่นและตั้งวงกับเพื่อน ไม่ได้เรียนการเล่นดนตรีมาแบบเป็นจริงเป็นจัง ฝึกฝนเก็บเกี่ยวมาเรื่อยๆ

เครื่องดนตรีประเภทไหนที่ถนัดที่สุด

กีตาร์ครับ ส่วนเปียโนผมพอเล่นได้นิดหน่อย


ทำอาชีพนักดนตรีมานานหรือยัง

ผมเล่นเป็นอาชีพเมื่อสามปีที่แล้วครับ ที่กรุงเทพฯ เลย เล่นอยู่โซนบางนาเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็ยังมีโซนรัชดาภิเษก และรามคำแหง

ส่วนใหญ่เป็นงานกลางคืน ใช่ไหม

ใช่ครับ แต่มีรับอีเวนต์ช่วงกลางวันบ้าง

เล่นดนตรีกลางคืน มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง

มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมว่าไม่ว่าใครก็เคยผ่านมาเหมือนกัน อย่างผม ผมเป็นนักดนตรีโนเนม การทำงานแบบนี้เป็นงานเฉพาะทาง ไม่ใช่งานที่เรียนจบปริญญาแล้วมาทำ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีเครดิตอะไรเลย พอไปสมัครเล่นตามร้าน เขาก็จะให้เราทดสอบดูก่อน แต่บางที่เขาก็ไม่ตอบรับ (หัวเราะ)

ประมาณสองเดือนผ่านไปเขาถึงแจ้งมาว่ามีรอบให้ลง ไหนลองมาเล่นดูซิ เริ่มแรกผมก็เล่นไม่เก่งเลย ต้อขอบคุณทางร้านด้วยที่ให้โอกาสเรา จนผมพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้จากฟีดแบ็กของลูกค้า จากคนที่เล่นก่อนหน้าเรา ผมก็เรียนรู้มาเรื่อยๆ

เล่นเป็นวงหรือเล่นเดี่ยว

ผมเล่นคนเดียวส่วนใหญ่ เล่นกีตาร์ร้องเพลงคนเดียว

ช่วงเริ่มมีงานเยอะแค่ไหน

ตอนแรกผมมีแค่สองรอบต่อสัปดาห์ เดือนหนึ่งมีสามสิบวันผมก็ได้เล่นแค่แปดรอบ ประมาณนั้น ช่วงแรกๆ ลำบากอยู่ครับ (หัวเราะ) แต่ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเคยมีรอบเยอะที่สุดน่าจะ…12-13 รอบต่อสัปดาห์


มาร์คเข้ามาอยู่ในสังกัด Rose Sound ของอาร์เอสได้อย่างไร

ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ตรงนี้ ผมเคยทำโฆษณาเล็กๆ เป็นหนังสั้นมาก่อน เคยคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงนิดหนึ่ง มีเดินแบบด้วยนิดหน่อย แล้วมีพี่ที่รู้จักคอยป้อนงานให้ เขารู้จักกับคนที่อยู่ในอาร์เอส คือ พี่ก้อง (ปรีดิยุช รัตนงาม) เขาบอกว่าอาร์เอสอยากจะกลับมาทำเพลง อยากได้ศิลปินใหม่ มีใครน่าสนใจไหม แล้วเขาก็ส่งผมไปลองออดิชั่นดู ปรากฏว่าผ่าน ได้เข้าสู่กระบวนการทำเพลงกับพวกพี่ๆ จนผมได้มาอยู่ตรงนี้ครับ

ผลงานเพลง ‘ขอเถอะ’ ที่เพิ่งออกมาเป็นซิงเกิลแรกเลยใช่ไหม

ซิงเกิลแรกเลยครับ

ใช้เวลานานไหมกว่าจะมีผลงานเพลงแรกออกมา

ของผมนี่ใช้เวลาประมาณสอง-สามเดือน ผมแต่งเพลงเองด้วย ผมคิดว่ายุคสมัยนี้เขาต้องการให้ศิลปินแสดงความเป็นตัวตนออกมา คือขายความเป็นตัวตนมากกว่าแต่ก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าศิลปินสามารถแต่งเพลงได้ แต่งเลย สามารถเล่นได้ เล่นเลย ผมก็เลยมีส่วนร่วมในเพลงค่อนข้างเยอะ

ทุกวันนี้มาร์คยังเล่นดนตรีตามร้านอยู่อีกไหม

ค่อยๆ ลดลงแล้วครับ เริ่มที่จะมาให้น้ำหนักกับงานด้านนี้ จนถึงวันหนึ่งผมอาจจะหยุดเล่นไปเลยก็ได้


คิดว่าแง่ดีของการเป็นศิลปินในสังกัดเป็นอย่างไร

ในแง่ดี ผมรู้สึกว่า…ผมภูมิใจในตัวเองก่อนเลย ที่เราสะสม หมกมุ่นกับสิ่งที่เรารักมา พยายามกับมันมา จนมาถึงวันที่มันได้ออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว ผมดีใจที่ผมได้มาแสดงออก มาแชร์ความรู้สึกดีๆ ประสบการณ์ผ่านเสียงเพลง ผมดีใจที่ได้มาทำตรงนี้
 
และพอได้เข้ามาในกระบวนการ แต่งเพลง อัดเสียง คุยกับโปรดิวเซอร์ ได้ทำโน่นทำนี่กับพวกพี่ๆ สนุกดีครับ ชอบ

เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันมาก่อนหรือเปล่า

แน่นอนครับ (หัวเราะ) ผมอยากเป็นนักร้องมานานแล้ว อยากเป็นศิลปิน

ตอนเด็กๆ เคยร้องเพลงบ้างไหม

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนขี้อายครับ แอบร้องอย่างเดียว คาราโอเกะก็ไม่เคยไปร้องกับเขา รู้ว่าตัวเองร้องเป็น ร้องถูกคีย์ แต่ไม่เคยไปร้องกับเขา เพราะว่าขี้อาย แล้วเราค่อยๆ เผยตัวเองออกมาเรื่อยๆ

ชีวิตวัยเด็กที่มุกดาหารเป็นอย่างไร

ผมอยู่บ้านนอก บ้านนอกแบบจัดๆ เลยครับ ไม่ได้อยู่ในเมืองที่มีการแข่งขันสูงๆ หรือมีคนมากหน้าหลายตา มีคนเก่งๆ โน่นนี่มาเป็น inspiration ให้กับเรา ผมไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทุกอย่างผมเริ่มเสพมันในช่วงที่อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้าถึง แล้วผมก็เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองหมดเลย ไม่มีอาจารย์ ไม่มีครู ไม่มีรุ่นพี่ให้เป็นแบบอย่าง ไม่มีอะไรเลย นั่นคือชีวิตบ้านนอกของผม

หลังจากนั้นมีศิลปินคนไหนเป็นต้นแบบบ้างไหม

ก็มีสิงโต นำโชค เอก สุระเชษฐ์ อะตอม-ชนกันต์ (รัตนอุดม) ความจริงหลายคนเลยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวป๊อป แต่ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นสามคนที่ผมพูดถึงนี่แหละครับ พี่เอก พี่สิงโต พี่อะตอม

มีโอกาสได้เจอกันแล้วใช่ไหม

ใช่ครับ และผมหวังว่าคงจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน

เคยคิดถึงเรื่องการประกวดมาก่อนหรือเปล่า

ความจริงผมเคยประกวดมานะครับ แต่ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ไม่เคยได้รับตำแหน่งอะไรเลย เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่เรารัก เราประกวดมา แม้ว่าไม่เคยชนะ ไม่เคยได้รางวัล แต่เราก็ไม่เคยหยุดที่จะอยู่กับมัน เรายังรักและยังทำมาเรื่อยๆ

ทางค่ายคาดหวังอะไรจากมาร์คบ้าง

ถ้าตามโจทย์เลย ทางค่ายอยากให้ผมนำเสนอสิ่งใหม่ๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือ นำเสนอตัวผมเองนี่แหละ แสดงความเป็นตัวของตัวผมเองออกมาให้มากที่สุด ผ่านเสียงเพลง ผ่านการแสดงออก ผ่านเสื้อผ้า-หน้า-ผม คือเขาอยากให้เราเป็นศิลปินที่มีคุณภาพคนหนึ่งนั่นละ


แล้วมาร์คเองคาดหวังอะไรบ้างกับผลงานเพลงที่ออกมา

สิ่งที่ผมคาดหวังก็คือผมอยากจะแชร์ความรู้สึกที่ผมมี อยากแชร์ไอเดีย อยากแชร์อะไรใหม่ๆ ที่เราประสบมันมา
คือการแต่งเพลงหรืออะไรเหล่านี้ มันเกิดจากการคิดขึ้นมาใหม่และเกิดจากการฟังของคนที่ทำไว้ก่อนแล้ว เราเอามาผสมผสานจนกลายเป็นตัวของเราเองนั่นคือสิ่งที่ผมอยากแชร์ อยากให้คนอื่นได้รับรู้ รับฟัง

มีความรู้สึกอย่างไรกับวงการเพลงยุคนี้

ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นวงการดนตรีวงการรถแข่ง วงการเครื่องยนต์ หรือวงการศิลปะทุกอย่าง คนไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลกเพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวว่าเราเป็นแค่นักดนตรี ศิลปินไทยคำว่าดนตรีไม่มีขอบเขตอะไร มันเป็นสากลอยู่แล้ว เราก็พยายามทำให้เต็มที่มากที่สุด

มาร์คคาดหวังอะไรบ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำ

จริงๆ อยากให้เป็นอาชีพสุดท้ายของเรา (หัวเราะ) ผมอยากอยู่กับอาชีพนี้ไปจนแก่ตายเลยจริงๆ เพราะผมชอบดนตรี ชอบเพลงมาก

ถามเรื่องความรักหน่อย มาร์คมีความรักบ้างหรือยัง

ผมเป็นคนมีความรักยากครับ (ยิ้ม) เลิกกับแฟนไปครั้งหนึ่ง ห่างไปประมาณสี่-ห้าปีค่อยมีแฟนใหม่อีกครั้งเป็นคนมีความรักยาก แต่ไม่ได้แปลว่าผมเป็นคนใจร้าย ไม่เมตตา


ทำงานกลางคืนมีโอกาสเจอผู้คนเยอะแยะ ไม่มีปิ๊งใครบ้างเลยหรือ

อืมม์ สำหรับผมเวลาทำงานผมไม่ค่อยจะนอกเรื่องสักเท่าไหร่เพราะว่ามันจะมีความเสี่ยงที่เราจะเสียหายหลายอย่างสมมติเราทำงานกลางคืนที่ร้านหนึ่ง มีลูกค้ามาชอบเรา เราจะไม่เล่นด้วยเลยแค่คุยกับเขาได้เพื่อเป็นเพื่อนกัน แต่จะไม่ไปกับเขาต่อ เพราะถ้าเกิดคบกันแล้ววันหนึ่งเลิกกันเขาจะพาลเกลียดร้านที่เราทำงานอยู่ไปเลย ร้านก็จะเสียลูกค้าไปแล้วเราก็เสียคนที่ประทับใจเราไปด้วย เสียผู้ฟังคนหนึ่งไปเลย

มีประโยคอะไรบ้าง เวลาจะพูดปฏิเสธลูกค้าที่ชวนไปด้วย

สมมติว่าเขาขอไลน์จังหวะที่เขาขอไลน์ถ้าไม่ให้เขาอาจจะหน้าเสีย สถานการณ์อาจจะตึงเครียดเราก็จะให้เขาไปก่อน แต่พอคุยไลน์กันปุ๊บเราก็จะบอกว่าเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว (หัวเราะ) ประมาณนั้นครับ

สเป๊กล่ะ มีหรือเปล่า

ไม่มีครับสูงเตี้ยผิวเข้มผิวขาวได้หมด ขอแค่เราประทับใจเขา มันจูนกันได้ ถ้า passion ตรงกัน

เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนบ้างไหม

ผมเคยมีสามคน ใช่…นับได้ สามคนคบนานที่สุดก็สองปีครึ่ง

ที่เลิกกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไร

เลิกกัน ผมไม่ได้เลิกแย่เท่าไหร่สาเหตุที่เลิก น่าจะเป็นเพราะว่าเราโตขึ้น แล้วเรามีวิชั่นที่แตกต่างออกไปคล้ายเราเริ่มมองสิ่งของสิ่งหนึ่งที่มันเคยน่ารัก กลายเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับเราไปแล้ว


ผมคิดว่าคงเป็นกันหลายคนอย่างเช่นช่วง ม.หกไปมหาวิทยาลัย เรามีวิชั่นใหม่ มีเป้าหมายใหม่มีความต้องการอะไรใหม่ ทำให้มีความรู้สึกว่า เราแยกกันไปน่าจะดีกว่า

มาร์คเคยมีประสบการณ์อะไรเลวร้ายในชีวิตไหม

ประสบการณ์เลวร้ายในชีวิตน่าจะเป็นตอนที่คุณแม่เสียครับจากโรคมะเร็ง ที่ผมเสียใจก็เพราะว่า เราอยู่บ้านนอก ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้คือแม่เริ่มต้นที่จะเป็นเนื้องอก เราก็นึกว่าแม่ปวดขาธรรมดา แล้วเราก็ละเลย ซึ่งถ้าเรามีความรู้หน่อยเราก็น่าจะรู้ว่า การปวดนานขนาดนั้นมันไม่ใช่ปวดขาธรรมดาแล้วพอไปตรวจปุ๊บก็เจอเนื้องอกที่พร้อมเป็นมะเร็ง เป็นความเสียใจที่เราความรู้น้อยแต่มันก็ผ่านมาแล้ว

ตอนนั้นมาร์คอายุเท่าไหร่

ตอนนั้น 20-21 ครับ

ครอบครัวที่เหลือยังอยู่ครบใช่ไหม

ครับมีพี่ชายคนหนึ่ง และพ่อ ผมเป็นลูกคนสุดท้องครับ

แล้วพ่อคิดอย่างไรที่มาร์คมาทำงานดนตรี

พ่อก็ภูมิใจในตัวผมนะครับจริงๆ พ่อเป็นคนไม่ค่อยแสดงออก แต่สิ่งที่เขาเคยสนับสนุนผมมาตลอดมันมาถึงจุดที่เป็นความจริงแล้วเขาไม่ได้สนับสนุนเราแค่เฉยๆ หรือเราไม่ได้ทำมันแบบเล่นๆ วันนี้มันมาถึงจุดที่เราสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า เราทำได้จริงๆ เขาก็ภูมิใจครับ

ฟีดแบ็กจากผลงานเพลงซิงเกิลแรกของมาร์คเป็นอย่างไรบ้าง

ฟีดแบ็กก็ตามโจทย์เลยครับเขารู้สึกถึงความแปลกใหม่ของเพลง ของค่ายที่ไม่เคยทำเพลงแนวนี้ของเพลงที่มันฟังสนุกดูทันสมัย แปลกใหม่ ค่อนข้างตรงโจทย์ที่ตั้งไว้

ผลงานเพลงลำดับถัดไปจะมีออกมาอีกเมื่อไหร่

ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ครับเดี๋ยวเจอกัน (หัวเราะ)

คราวละเพลง

ครับ แต่ถ้าเกิดมีคนแชร์กันเยอะๆ ก็อาจจะมีงานเพลงออกมารัวๆ กว่านี้ (หัวเราะ)


มีช่องทางโซเชียลให้แฟนคลับติดตามบ้างไหม

มีครับมีอินสตาแกรมเป็นหลัก คือ @danu.marc ความจริงมีเฟซบุ๊ก แฟนเพจด้วย แต่ว่ายังไม่ได้โพสต์อะไรมาก

มาร์คมองโซเชียลมีเดียปัจจุบันเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียถือเป็นช่องทางเป็นอาชีพของคนได้เลย มันเป็นทั้งที่ระบาย ที่เก็บความทรงจำขณเดียวกันการที่เราเป็นคนน่าสนใจ คนที่สามารถมอบความสุขให้คนอื่นได้ ก็จะมีคนมาตามเราเมื่อเขามาตามเราแล้ว และจะมีการส่งต่อ บอก แชร์อะไรดีๆ ให้เขาได้นั่นคือความเป็นไปของโซเชียลมีเดียทุกวันนี้


เรื่อง:บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ใครคือ ‘Love of My Life’ ของเลดี้ กาก้า? https://marshomme.com/scoop/531619/ Tue, 12 Jan 2021 06:57:00 +0000
ชีวิตรักของคนดังที่ผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 กันมามีอยู่หลายคู่ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ เลดี้ กาก้า กับแฟนหนุ่มคนล่าสุด…ไมเคิล โปลันสกี้ นักลงทุนด้านเทคโนโลยีวัย 40 ปี ที่เธอเฉลยในรายการ ‘Morning Joe’ เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วว่าเขาคนนี้แหละที่เป็น ‘Love of My Life’

ไมเคิลโปลันสกี้สำเร็จการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2006 ปัจจุบันทำงานเป็นผู้บริหารให้กับปาร์เกอร์ กรุ๊ป ในส่วนของมูลนิธิ ซึ่งเป็นของฌอน ปาร์เกอร์-หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook


พวกเขามีความสนใจร่วมกันในงานของมูลนิธิ ทั้งของเขา และมูลนิธิ Born This Way ที่ซินเธีย แกร์มานอตตา-แม่ของเธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง พวกเขาพร้อมใจกันที่จะพัฒนาแอพฯ ขึ้นมา

ทั้งสองรู้จักและปิ๊งกันเมื่อปลายปี 2019 ที่ปาร์ตี้ส่งท้ายปีในลาส เวกัส หลังจากนั้นก็มีช่างภาพข่าวเห็นทั้งสองในงานซูเปอร์ โบว์ลที่ไมอามี ก่อนที่สาวเจ้าของรางวัลออสการ์จะออกมายืนยันกับสื่อเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับโปลันสกี้ในเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมโพสต์ภาพถ่ายเธอในอ้อมกอดของเขา-ในท่าที่ภาษาข่าวเรียกว่า ‘ท่ารับปริญญามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ -บนเรือยอชต์ ผ่านทางอินสตาแกรมในเวลาต่อมา


‘Stupid Love’ เป็นชื่อเพลงซิงเกิลที่เลดี้ กาก้าปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่ประกาศสัมพันธ์รักใหม่ “ฉันเจอรักโง่ๆ” เป็นอีกประโยคหนึ่งที่บรรยายภาพเซลฟีของเธอกับโปลันสกี้ แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เพลงดังกล่าวเธอแต่งไว้เมื่อไหร่ หรือมันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนใหม่ของเธอหรือไม่ แต่เนื้อหาของเพลงก็กล่าวถึงการเจอคนที่ใช่ในท้ายที่สุด หลังจากการแสวงหามานาน

เดือนพฤษภาคม 2020 เลดี้ กาก้าเปิดตัวอัลบั้มชุดที่ 6 มีการจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ที่เธอกับโปลันสกี้ร่วมฉลองตามมาตรการเว้นระยะห่าง คลิปวิดีโอในอินสตาแกรมเผยให้เห็นเธอกับเขาเพียงแค่สองคน สวมหน้ากากอนามัยอยู่ภายในห้อง มีเพลง ‘911’ ซึ่งเป็นเพลงใหม่ของเธอกระหึ่มดัง และลูกโป่งหลากสีที่ประดับเป็นฉากหลังเผยให้เห็นชื่ออัลบั้มใหม่ ‘Chromatica’


ในช่วงการเว้นระยะห่างทางสังคม เธอกับโปลันสกี้มีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันภายในบ้านพักที่มาลิบู แคลิฟอร์เนีย สื่อบันเทิงรายงานข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทั้งสองขลุกตัวอยู่ในแต่บ้านของเธอ และมักสั่งอาหารเดลิเวอรี โพสต์ภาพลงอินสตาแกรม ให้กำลังใจทั้งตัวเองและแฟนคลับ

“ต้องเข้มแข็ง เราใช้เวลาว่างเล่นเกมวิดีโอกัน และเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน” และที่สำคัญ ต้องทำจิตใจปลอดโปร่ง และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย พร้อมแฮชแท็กต่างๆ นานา เช่นว่า #selfcare #bekind “และขออย่าสิ้นหวังเมื่อคุณติด #corona ซึ่งมันโอเค และจะดีมากถ้าคุณสามารถอยู่แต่ในบ้านได้ เพราะนั่นเป็นเสมือนกฎสำหรับโลก”

เดือนสิงหาคม 2020 เธอโพสต์อินสตาแกรมอวดเมนูพาสต้าที่เธอทำเอง และเผยไต๋ว่าโปลันสกี้เพลิดเพลินกับกิจกรรมเคียงข้างเธอด้วย

“กำลังเตรียมมื้อค่ำด้วยรัก และซอสอิตาเลียนรสเผ็ด” และหยอดด้วยประโยคหวานๆ “ฉันชอบที่จะเชื่อมโยงวัฒนธรรมของฉันกับคนที่ฉันรัก”


“ฉันตื่นเต้นมากกับการจะได้เป็นแม่คน” ประโยคนี้เคยกลายเป็นประเด็นข่าว หลังจากเปิดเผยเรื่องราวความรักของเธอกับไมเคิล โปลันสกี้ ผู้ชายที่เธอเพิ่งคบหาเพียงแค่สามเดือนครึ่ง เธอยังให้สัมภาษณ์กับนิตยสารผู้หญิงด้วยว่า เป็นความมหัศจรรย์ของเพศแม่ที่สามารถให้กำเนิดทายาทได้

“เราสามารถอุ้มคนไว้ในตัวเรา และปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น จากนั้นเขาก็ออกมา และเป็นหน้าที่ของเราที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป”

ความสุขจากความรักในวันนี้ ทำให้เลดี้ กาก้าวาดฝันถึงวันข้างหน้า เธออยากจะมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเพลงและหนังให้มากขึ้น


รวมถึงงานมูลนิธิ Born This Way “ฉันอยากจะช่วยหาทุนสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการปวดเรื้อรังจากโรคไฟโบรไมอัลเจีย (โรคเรื้อรังที่ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ) และโรคระบบประสาท” ที่เธอสามารถทำร่วมกันกับโปลันสกี้

แม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก้าวผ่านขวบปีมาแล้ว และไมเคิล โปลันสกี้คนนี้คือผู้ชายที่เธอยืนยันว่าเป็น ‘ความรักของชีวิต’ แต่สื่อบันเทิง โดยเฉพาะของอเมริกัน ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไรนักว่าจะมั่นคงถาวร US Magazine หยอดท้ายข่าวรักใหม่ของเธอครั้งนี้ด้วยรายชื่อผู้ชายที่เธอเคยคบหาเป็นแฟนมาก่อนหน้า เช่น เทย์เลอร์ คินนีย์ นักแสดงจาก ‘Chicaco Fire’ เคยควงกับเธอระหว่างปี 2011-2016 คริสเตียน คาริโน หนุ่มใหญ่จากสำนักจัดหาศิลปินที่มีความสามารถ เป็น ‘คู่รัก’ ของเธอระหว่างปี 2017-2019 และแดน ฮอร์ตัน วิศวกรเสียง ที่เธอคบแค่เพียงสามเดือน ก่อนจะแยกจากกันในเดือนตุลาคม 2019 จากนั้นเลดี้ กาก้าก็มาพบเจอกับ ‘ความรักของชีวิต’ เมื่อตอนปลายปี


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

อ้างอิง:

https://mfitv.com/lady-gaga-ruft-freund-michael-polansky-die-liebe-meines-lebens/
https://web.de/magazine/unterhaltung/stars/bodenstaendige-wuensche-lady-gaga-freut-zeit-mutter-ehefrau-34601386#:~:text=%22Ich%20freue%20mich%20so%20sehr,ihn%20am%20Leben%20zu%20halten.%22
https://www.usmagazine.com/celebrity-news/news/lady-gaga-calls-her-boyfriend-michael-polansky-the-love-of-my-life/

]]>
ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ อัพเดตชีวิตและความหลังในอดีตของ ‘มิสเตอร์ดี’ https://marshomme.com/interview/531479/ Mon, 12 Oct 2020 09:23:00 +0000

หากยังจำกันได้ ศิลปินเด็กรูปร่างผอมบาง ผมสีทอง ที่มีชื่อในวงการเพลงช่วงสิบกว่าปีที่แล้วว่า ‘MR. D’ และเป็นลูกชายคนสุดท้องของฐาปกรณ์ และจิตรลดา ดิษยนันทน์ ชื่อของมิสเตอร์ดีโดดเด่นในกลุ่มศิลปินเด็ก ที่ตอนนั้นค่ายเพลงดังไม่ว่าแกรมมี่หรืออาร์เอสต่างผลิตกันออกมา แต่วันนี้มิสเตอร์ดีเติบใหญ่เป็นหนุ่ม และไม่เหลือเค้าของเด็กน้อยอย่างที่เคยคุ้นตาอีกแล้ว


‘เวลล์’ ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ ทิ้งวงการไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาคณะ Bachelor of Music จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นหน่วยกำลังสำคัญอีกส่วนหนึ่งให้กับธุรกิจของครอบครัว ในตำแหน่ง Executive Producer ผู้ผลิตละครทีวีของค่ายกันตนา

หนุ่มผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่งยังคงคลุกคลีอยู่กับงานเพลงและการแสดง แม้ว่าหน้าที่การงานหลักของเขาจะเป็นคนเบื้องหลังก็ตาม

หน้าที่ความรับผิดชอบของเวลล์ ในฐานะ Executive Producer มีอะไรบ้าง
 
ผมจะควบคุมด้านการผลิตโดยเฉพาะ นั่นคือตั้งแต่ขั้นตอนพรี-โปรดักชั่นจนถึงโพสต์-โปรดักชั่น ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เริ่มวางแผนกันว่าจะถ่ายอะไร จะเอาบทประพันธ์จากที่ไหน ใช้ทีมอะไร จนได้เป็นเทปสำหรับออกอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของเรื่องนั้นๆ

ตอนนี้ปริมาณละครของค่ายกันตนามีจำนวนแค่ไหน

เนื่องจากกันตนาเป็น Content Provider ก็จะมีการแบ่งงานกัน เพราะเราก็มีญาติหลายคนใช่ไหมครับ (หัวเราะ) รุ่นผมนี่ก็ถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่สามของกันตนาแล้ว หรือตระกูลกัลย์จาฤก ในส่วนของผมก็ได้รับมอบหมายให้ผลิตงานให้กับช่อง 7 เป็นส่วนใหญ่ ส่วนพี่สาว (ดิษย์ลดา ดิษยนันทน์) ก็จะผลิตให้กับอีกสื่อหนึ่ง อีกแพลตฟอร์มหนึ่ง แล้วญาติอีกคนก็จะทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ให้กับอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง

ตัวผมซึ่งทำให้กับช่อง 7 เพราะกันตนากับช่อง 7 ก็จับมือกันมานานหลายปีแล้ว ก็นับว่าเป็นเกียรติ และโชคดีที่มีงานจากช่อง 7 คอยป้อนให้เราตลอด และเราก็คอยผลิตงานที่มีคุณภาพให้เขาตลอดเวลา


ล่าสุดมีการ recrut นักแสดงในโปรเจ็กต์ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของเวลล์ด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ เป็นละครที่ผมเอาเรื่องจริงจากคนที่ภายใต้ความกดดันของสถานการณ์โควิด-19 มาทำเป็นละคร มีการดัดแปลงบ้าง หรือเป็นเรื่องจริงโดยตรงก็มี ตอนนี้เราถ่ายทำไปหนึ่งชุดแล้ว วางแผนจะออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางช่อง 7

เป็นการเอานักแสดงที่เราแคสต์มาจากงานกันตนา มาร์เก็ตเพลส ซึ่งตอนนั้นจากสามวันมีคนมาแคสติ้งประมาณเจ็ดร้อยกว่าคน เราคัดมาได้เหลือ 16 คนมาร่วมงานกับกันตนาไปเรื่อยๆ และหนึ่งในโปรเจ็กต์นั้นก็เป็น ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ที่ผมทำอยู่

นอกจากนั้น งานที่ผมทำให้กับช่อง 7 ที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้คือ ‘เงาบุญ’ ซึ่งเป็นละครจากบทประพันธ์ของคุณสมสุข กัลย์จาฤก หรือคุณยายของผมที่เคยเขียนเรื่องเปรตไว้ ก็เอามาดัดแปลงให้มันทันสมัย ตอนนี้กำลังออกอากาศอยู่ทางช่อง 7 ครับ


นอกเหนือจากงานที่กันตนาแล้ว ยังมีงานแสดงของตัวเองบ้างไหม

ช่วงเวลานี้ผมยังมีการผลิตเพลง การโปรดิวซ์เพลง เหมือนเป็น out source เป็นงานที่ผมทำเป็น hobby คือถ้ามีเวลาทำได้ผมก็ทำครับ ผมเน้นงานประจำที่บริษัทอยู่แล้ว แต่ว่าผมก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ผมรักจริงๆ นั่นคือเพลง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเรียนจบมาด้วย ผมก็รับจ้างโปรดิวซ์เพลง เพลงก็หลายแนวด้วย ล่าสุดเป็นฮิป-ฮอป ซึ่งผมก็มีงานอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

นอกจากนั้นก็จะเป็นงานละครเวทีที่ผมเพิ่งมาได้เล่นเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ที่มาร่วมในวงการละครเวที วงการมิวสิคัล ซึ่งผมก็หวังว่าจะได้โอกาสแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ

มีข่าวว่าร่วมแสดงในเรื่อง ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ ของดรีมบอกซ์ด้วย ใช่ไหม

ใช่ครับ ตอนนี้หยุดไว้ก่อนเพราะติดช่วงโควิดพอดี อันนี้ก็หวังว่าจะได้โอกาสที่เขาจะหาเวลามาลงเรื่องนี้ใหม่เพราะว่าก็ถ่ายโปสเตอร์อะไรไปเรียบร้อยแล้ว จริงๆ บล็อกกิ้งจนจบเรื่องไปแล้วด้วย ตอนนี้ก็รอเวลาที่เราจะได้นำเรื่องนี้มาโชว์ให้ชมกันได้

ปกติผมเคยได้เล่นมิวสิคัล แต่ ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ เรื่องนี้เป็นละครพูด ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก นับเป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยที่เป็นละครพูดอย่างเดียว ต้องมา coaching เยอะ แต่ก็สนุกสนานกันครับ ดีใจนะครับที่เขาให้โอกาส เพราะทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกเนาะ


เวลล์เรียนมาทางด้านการแสดงมาด้วยหรือเปล่า

จริงๆ ตอนเรียนเพลง มันจะเน้นโอเปร่า แล้วโอเปร่ามันคือเป็นการร้องอีกชนิดหนึ่งแต่มันคือละครเวทีนี่ละ โอเปร่าเป็นการแสดงเป็นเรื่องบนเวที ผมก็เลยเรียนแอ็คติ้งในทางนั้นด้วย แต่นอกจากนั้นมันก็เป็นการแอ็คติ้งให้กล้องบ้าง แต่ผมไม่ได้เลือกไปทางนั้นโดยเฉพาะ เพราะว่าผมก็คิดอยู่บ้างว่า ก่อนที่ผมจะกลับมาผมก็ควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการทำโปรดักชั่น เทคนิคการผลิตละครด้วย ผมเลยไปเน้นพวกซาวนฺด์ เอ็นจิเนียร์ พอผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาทำงานให้กันตนาแรกๆ ผมก็ไปทำโพสต์-โปรดักชั่น ไปเน้นพวกเพลง พวกซาวนฺด์ก่อน ตอนนั้นผมทำอยู่ฝ่ายโพสต์-โปรดักชั่นอยู่ราวสามปี ก่อนที่จะเริ่มมาดูด้านโปรดักชั่นล้วนๆ ครับ

นั่นคือตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยเดนเวอร์

ใช่ครับ แต่ถ้าเรื่องการร้องเพลงนั่น ผมเรียนตั้งแต่อายุสิบสอง เพราะตอนนั้นผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่นิวยอร์ก เพราะพี่สาวเขาคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน แล้วคุณแม่บอกว่า ถ้าส่งน้องไปอยู่ด้วยจะอยู่ต่อไหม พี่สาวก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะเลี้ยงน้องเอง ผมเลยไปอยู่กับพี่สาว แต่หลังจากพี่สาวไปมหาวิทยาลัย ผมก็ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ เลือกโรงเรียนที่เขาสอนดนตรีอยู่แล้วด้วย เป็นโรงเรียนชื่อ Interlochen Center for the Arts อยู่ในมิชิแกน

โรงเรียนนี้จะเน้นสอนพวกเด็กอาร์ต พวกเล่นละคร เล่นดนตรี มีเต้น บัลเล่ต์ รวมกันอยู่ในโรงเรียนเดียว ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนสี่ร้อยกว่าคน เป็นไฮสคูลที่เตรียมเด็กให้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนรวม มีครบทุกวิชาแต่เน้นอาร์ต แต่เขาไม่มีสอนร้องเพลง หลังจากเรียนจบผมก็ไปเดนเวอร์ ไปหาเรียนร้องเพลงที่เดนเวอร์ แต่ตอนนั้นผมก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าผมจะร้องเพลงอยู่เฉยๆ มันจะไปรอดไหม มันก็ต้องมีอะไรมาเสริมด้วย ผมก็เลยไปดูเรื่องซาวนด์ด้วย


ทำไมตอนนั้นเลือกที่จะร้องโอเปร่าล่ะ

ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องโอเปราเลย คือเริ่มแรกผมเคยเรียนร้องเพลงที่มหิดล ตอนนั้นสิบเอ็ดขวบ มันเหมือนเราเทรนไปด้วยและออกเทปไปด้วย ตอนนั้นผมยังเป็นนักร้องเด็ก ‘มิสเตอร์ดี’ ก็เทรนไปมา เหมือนครูของผมจะหยิบเพลงคลาสสิกมาให้ร้องดู เพราะมันเป็นช่วงที่เสียงของผมยังไม่แตก ก็เลยลองร้องแบบคลาสสิกเหมือนเป็นบอย โซปราโนไป แล้วครูยังส่งผมไปแข่งขันที่โอซาก้า ดันได้รางวัลมา

ลองคิดไปคิดมาก็ว่าอาจจะร้องเพลงคลาสสิกไปเรื่อยๆ เพราะผมก็เห็นว่า จริงๆ การร้องเพลงคลาสสิกมันมาใช้ได้กับหลายสไตล์ของการร้องเพลง มันไม่ใช่แค่การร้องโอเปร่าอย่างเดียว เรียนร้องคลาสสิกแล้วมันมาร้องแจ๊ซได้ มาปรับกับป๊อปได้ ผมเห็นว่าถ้าเรียนด้านนี้มามันสามารถร้องได้ทุกอย่างเลย ผมก็เลยลองเรียนต่อไปเรื่อยๆ แล้วบังเอิญมีโอกาสได้เรียนด้านนี้ที่อเมริกาพอดี ผมก็ไม่ทิ้ง จะลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าสิบเอ็ดผ่านมา ก็สามารถจบมาได้ (หัวเราะ) จบคลาสสิกมาเลย และก็มีด้านซาวนฺด์อย่างที่บอกด้วย

ยังคิดถึงอดีตที่เคยเป็นมิสเตอร์ดีอยู่หรือเปล่า

ผมคิดถึงประสบการณ์หลายอย่างมาก ผมคิดถึงที่ว่าได้มาอยู่กับเพลงตลอดเวลา แต่ว่าบางอย่างผมก็ไม่คิดถึง อย่างเช่น บางทีผมรู้สึกว่าเด็กๆ รอบตัวอยู่บ้านเล่นเกมกับเพื่อน แต่ผมต้องนั่งรถไปทัวร์ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) มานึกดูอีกทีผมรู้สึกว่าวัยเด็กผมขาดหายอะไรไปในช่วงเวลานั้นหรือเปล่า เหมือนเด็กคนอื่นเขาได้ทำโน่นทำนี่ แต่ผมไม่ได้ทำ ไม่เชิงว่าจะเสียดาย แค่บางทีมานั่งคิดดูว่า ถ้าตอนนั้นผมได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นทำ ชีวิตผมจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ทุกอย่างที่ผ่านมาก็ทำให้ผมรู้สึกดี และดีใจมากที่ได้ประสบการณ์แบบนี้ เพราะมัน shape ผมให้ผมมาเป็นวันนี้ได้ครับ


สิบกว่าปีที่แล้วเวลล์เริ่มต้นเป็นมิสเตอร์ดีได้อย่างไร

ผมเริ่มตอนอายุแปดขวบ เพลงแรกของผมคือเพลงประกอบละคร ‘วัยซนคนมหัศจรรย์’ ของไอทีวี ตอนนั้นก็ร้องไปแบบขำๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เพราะผมไม่ได้อยากจะออกเทป ไม่ได้อยากจะอะไร เขาหานักร้องที่มีเสียงเด็กมาร้องเพลงประกอบละครเด็ก ความคิดผมคือแค่นั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เผอิญละครมันดังขึ้นมา แล้วเพลงมันก็ดังตามละคร ทางคนดูก็เหมือนจะเรียกร้องว่าน่าจะให้คนร้องเพลงประกอบละครเรื่องนี้ลองมาแสดงเป็นดารารับเชิญดีไหม

ไปๆ มาๆ เป็นดารารับเชิญไม่พอ ผมต้องเล่นต่อไปเลย (หัวเราะ) มันไม่หยุดแค่นั้น เหมือนโอกาสจะเข้ามาเรื่อยๆ และผมก็สนุกกับมัน พ่อกับแม่ผมไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ามันจะอะไรขนาดนี้ อีกอย่างเขาไม่ได้ดันผมด้วย เห็นว่าผมมีความสุขกับมัน เขาก็ให้โอกาสผมได้ลองว่าจะไปถึงจุดไหนได้

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่ 3-4 ปีเอง

ครับ จากอายุแปดถึงสิบสองปี ความจริงแพลนไว้คือจะทำไปอีกเรื่อยๆ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็ทิ้งหมด (หัวเราะ) ทิ้งไปจนกลับมาอีกทีไม่มีใครจำได้ แต่ก็ดีไปอีกแบบ มันเหมือนผมได้กลับมาสร้างตัวตนใหม่ จะได้ไม่ต้องมีภาพมิสเตอร์ดีติดตัว อีกอย่างตอนนี้ผมตัวสูงขึ้น เสียงผมแตก สีผมก็ไม่ทองเหมือนตอนนั้น มันเลยสร้างตัวตนใหม่ได้ง่ายหน่อย แล้วยิ่งผมได้มาทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรตรงนั้น ผมก็เลยสร้าง identity ได้อีกแบบหนึ่ง

แต่ถ้าถามว่าคิดถึงช่วงนั้นไหม ผมคิดถึงหลายอย่าง เพราะมันก็สนุก มันคือเพลง มันคือสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมรักด้วย


ช่วงที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่เป็นมิสเตอร์ดีเพื่อไปเรียนต่อ จริงๆ แล้วตอนนั้นเวลล์รู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นผมนึกถึงสถานการณ์ของครอบครัวมากกว่าครับ ถึงแม้ว่าผมจะทิ้งโอกาสหลายอย่างไป แต่ผมนึกถึงครอบครัวว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรที่พี่สาวไปเป็นนางแบบที่นิวยอร์กอยู่นาน จู่ๆ อยากจะกลับบ้าน หรือถ้าผมจะออกไปหาประสบการณ์ที่ข้างนอกให้กับครอบครัว อาจจะดีกว่าอยู่แต่ในเมืองไทย ในจุดนั้นของชีวิตผมคิดว่ามันอาจจะดีสำหรับชีวิตผมและครอบครัวผมมากกว่า

เวลล์มองวงการเพลงของเมืองไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร

สำหรับผม ผมคิดว่าเทรนด์ของเพลงในประเทศไทยเป็นอะไรที่…บางทีก็มองไม่ออกจริงๆ นะว่าคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร ความจริงเรื่องเทรนด์ไม่ใช่แค่เพลงหรอกครับ มันรวมถึงหลายๆ อย่างในประเทศเรา บางอย่างเราดูว่ามันไม่น่าจะดังหรอก แต่จู่ๆ มันก็ดังขึ้นมา ประเทศเราพิเศษตรงนี้ (หัวเราะ) ที่ว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้

วงการเพลงที่อเมริกา โดยเฉพาะ main club ของเพลงที่นิวยอร์กมันเชื่อมตรงกับกรุงเทพฯ กับประเทศเรา และถ้าวงการเพลงของโลก อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเกาหลีนะครับ ถ้าวงการเพลงของโลกที่ประสบความสำเร็จที่นิวยอร์ก ผมสังเกตว่ามันเหมือน connection ที่จะมาบุกที่เมืองไทยเหมือนกัน แต่ถ้าของเกาหลีจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย แต่จะเป็นเทรนด์ที่ส่งอิทธิพลมาถึงเมืองไทยเหมือนกัน

ส่วนเทรนด์ในไทยมันจะมีอะไรหลายอย่างที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน อย่างเช่นเพลงท้องถิ่นของบ้านเราที่คนจะฟังตลอดอยู่แล้ว แต่ถ้าดูอยู่เรื่อยๆ มันก็จะมีพวก…ผมเรียกว่าเป็น hybrid คือมันจะเป็นสไตล์ของต่างประเทศและของบ้านเราที่รวมกันเหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ขึ้นมา ที่คนจะชอบคนจะติด


อย่างที่ผมสังเกตเห็นว่า คนเริ่มจะหยิบลูกเล่นของเพลงสากลและของไทยมารวมกัน แล้วมันก็เป็นสไตล์ของมันไปเลย อย่างเช่นพวกฮิป-ฮอปบ้านเรา มันก็คือเคล็ดลับ ซิกเนเจอร์หลายอย่างก็เป็นของอเมริกา สไตล์การแต่งเพลงของอเมริกา แต่ว่ามันเป็นการร้องแบบบ้านเรา สไตล์การร้อง ทำนองของบ้านเรามารวมกันในสไตล์ดนตรีของต่างประเทศ มันก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่งได้ จริงๆ เทรนด์มันไปได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเพลงมันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ในฐานะผู้จัดละครหรือคนที่อยู่ในวงการบันเทิง เวลล์ต้องตามเทรนด์อะไรเหล่านี้ด้วยหรือเปล่า

ใช่ครับ แต่ที่ผมสังเกตมากที่สุดคือ การที่คนเรามีเทคโนโลยีที่จะสามารถไปออนไลน์ได้ในวินาทีนี้ คือสามารถเข้าไปดูละครในโทรศัพท์มือถือได้ หรือไม่ใช่แค่ละคร จะดูอะไรก็ได้ ทำให้เห็นว่าในโลกนี้มาตรฐานมันอยู่ที่ไหนล่ะ ใช่ไหมครับ ผมเลยคิดว่าอย่างนี้ถ้าเราทำละครออกทีวีที่บ้านหรือในเน็ต มันก็ต้องสมจริงในความรู้สึกของคนดูละคร ถ้ามันมีอะไรเฟคขึ้นมา คนดูจะรู้ทันที เพราะเคยเห็นมาแล้ว มันเป็นยุคใหม่ที่ถ้ามีอะไรที่ไม่จริง คนจะติเลย คนจะรู้สึกว่ามันเข้าถึงไม่ได้ และจะว่าเลย มาตรฐานของการดูซีรีส์หรือละครมันสูงแล้ว

ที่สำคัญคือมันต้องเข้าถึง มันต้องสมจริง มันต้องสะท้อนสังคม แล้วมันใส่ได้กับละครหลายสไตล์เลย ละครผีก็ทำได้ ผมเองก็ทำละครผีเยอะ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นบทประพันธ์ของคุณยายผม ละครผีเกือบทุกเรื่องเลย แต่ถึงแม้จะมีเรื่องผีที่คนดูบ้านเราชอบอยู่แล้ว สุดท้ายในตัวละครมันต้องสมจริง มันจะไม่มีการเฟคได้อีกแล้ว เพราะถ้าคนดูเห็นเฟคปุ๊บเขาเปลี่ยนช่องเลย เขาไม่ดูหรอก

ไลฟ์สไตล์ของเวลล์เป็นอย่างไร พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม

(ยิ้ม) ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใจผมอยู่ที่งานอย่างเดียวครับ แล้วพอทำงานเสร็จใจก็อยู่ที่ครอบครัว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตยังวนอยู่ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน (หัวเราะ) ไลฟ์สไตล์ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แต่ช่วงก่อนโควิดก็…ทำงานในบริษัทเสร็จแล้วก็ไปซ้อมละครเวที


ผมเป็นคนที่…ถ้ามีงานผมก็จะร้อยเปอร์เซ็นต์กับการทำงาน จะห้าสิบ/ห้าสิบไม่ได้ ไม่งั้นพังพินาศ (หัวเราะ) นั่นคือนิสัยของผม ผมต้องร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างหนึ่ง แล้วค่อยไปร้อยเปอร์เซ็นต์อีกอย่างหนึ่ง การเป็นผู้จัด (ละคร) เต็มตัว บางทีมันต้องแบ่งงานเยอะ แต่ไม่ใช่สามสิบ-สามสิบ-สามสิบ-สิบ ผมต้องร้อยๆๆๆ (หัวเราะ) ไม่งั้นมันจะออกมาไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้อยู่ เรียนรู้ต่อไปว่า การมาเป็นผู้จัดละครมันต้องใช้ power line มาทุ่มเทหลายอย่างให้เต็มที่ได้

ประสบการณ์เรื่องความรักล่ะ มีบ้างหรือยัง

ความรัก…ประเด็นคือว่าตอนที่ผมอยู่เมืองนอก ผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องกลับบ้าน มาทำธุรกิจของครอบครัว ตอนนั้นผมก็เลยซีเรียสกับอะไรไม่ได้เต็มที่ เพราะผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ และผมกลัวจะไปทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ผมเลยคิดว่า ถ้าจะมาหาความรักก็คงต้องมาหาที่เมืองไทยนี่แหละ เพราะอย่างไรผมก็อยู่นี่

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มีไหม ไม่มี (หัวเราะ) เพราะอย่างที่บอกคือ ใจอยู่แต่กับเรื่องการงาน แต่ไม่ใช่ว่าผมปิดโอกาสนะครับ ชีวิตมันก็ต้องมีบ้างอยู่แล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้ออกไปค้นหาในช่วงเวลานี้ แต่ถ้ามีอะไรมาผมก็รับฟัง (หัวเราะ)

ปีนี้เวลล์อายุครบ 25 ปีพอดีใช่ไหม

ใช่ครับ

เชื่อเรื่องอาถรรพ์วัยเบญจเพสหรือเปล่า

ผู้ใหญ่เตือนมาเยอะเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมก็เคารพ เคารพว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่สอนอะไรผมก็รับฟัง เพราะผมก็อยากให้ทุกคนสบายใจครับ


มีใครคนหนึ่งพูดว่าคนเราเหมือนมีเทวดาคุ้มครอง แล้วพออายุยี่สิบห้าเราจะอยู่โดดเดี่ยว หรือว่าเรื่องที่เกี่ยวกันคือ มีคนบอกว่าขับรถช่วงนี้ต้องระวังประสบอุบัติเหตุ อะไรแบบนี้ อันนี้ผมก็ไม่รู้เพราะผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หรือจะต้องระวังตัว เหมือนช่วงนี้ดวงจะตกหน่อย โชคจะไม่ค่อยดี ผมก็รู้อะไรประมาณนี้ละครับ ไม่ได้รู้อะไรมาก

แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อแก้เคล็ด

ไม่ครับ แต่ถ้าจะมีผมก็ไปได้ คือถ้าจะให้ผู้ใหญ่สบายใจผมก็จะไป (ยิ้ม) แต่เวลานี้ผมก็ไม่รู้ และไม่คิดว่าจะอะไรมาก แต่ผมยอมไปอยู่แล้ว ผมก็เป็นพุทธด้วย

เวลล์มองอนาคตของตัวเองอย่างไร

ตอนนี้ผู้ใหญ่ทางกันตนาก็เริ่มสืบทอดหน้าที่ให้กับญาติๆ หลายคน รวมทั้งผมด้วย ตอนนี้เป้าหมายของผมคือการนำพาธุรกิจให้รุ่งเรือง และโกอินเตอร์ฯ จับมือกับต่างประเทศ พาวัฒนธรรมของไทยไปให้ทั้งโลกเห็น และให้สู้กับประเทศอื่นได้เต็มตัวอันนี้อนาคตเรื่องงานนะครับ

แต่ถ้าพูดถึงอนาคตของตัวเอง ผมก็จะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ครอบครัวแฮปปี้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาดูเรื่องตัวเองด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข เพราะว่าผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบแพลนอะไรแบบห้าปีข้างหน้าฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ผมคิดว่าปล่อยมันไปตามจังหวะของชีวิตดีกว่า


ตอนนี้เวลล์มีความสุขกับอะไรบ้าง

ตอนนี้ผมมีความสุขกับงานมาก ผมรู้สึกว่าผมรักงานนี้มากขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องทิ้งเพลงที่ผมรัก ผมเหมือนได้ทำสิ่งที่รักจริงๆ และได้มาเริ่มรักงานงานที่ทำอยู่แล้วด้วย มันเลยมีความสุข

ชีวิตแม้ว่าจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่มันก็บาลานซ์ได้ดีในช่วงเวลานี้ สุดท้ายแล้วถ้าจะมีเรื่องดีหรือไม่ดี เราก็ต้องมองไปข้างหน้า มีความสุขที่เรามีชีวิตอย่างนี้อยู่แล้ว ใช้ชีวิตทุกวันให้มีประโยชน์ มีความสุขก็พอ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
เรื่องลับของ ‘เลดี้ ไดอานา’ จากปากของ ‘เอลตัน จอห์น’ https://marshomme.com/scoop/185484/ Wed, 11 Dec 2019 17:12:00 +0000
เอลตัน จอห์น เจ้าของเพลงฮิตอย่าง ‘I’m Still Standing’ และ ‘Candle In The Wind’ ซึ่งมียอดขายซีดีทั่วโลกกว่า 900 ล้านแผ่น และได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เจ้าตำนานแห่งป๊อปและร็อก’

เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขามีผลงานหนังสือ ‘Me’ อัตชีวประวัติของตนเอง เล่าเรื่องราวที่ผกผันในชีวิต รวมทั้งแสดงทัศนะเกี่ยวกับงานอาชีพ การเปิดเผยตัวตน ความมัวเมายาเสพติดในอดีต ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับจอห์น เลนนอน และเลดี้ ไดอานา

นี่คือเรื่องเล่าบางส่วนของเอลตัน จอห์นในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา…


การพบเจอกันกับเลดี้ ไดอานา

เอลตัน จอห์นพบกับไดอานาครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 1981 ก่อนที่เธอจะเข้าพิธีเสกสมรสกับปรินซ์ชาร์ลส์ ทั้งสองเจอกันในงานฉลองวันคล้ายวันราชสมภพ 21 พรรษาของปรินซ์แอนดรูว์ ที่พระราชวังวินด์เซอร์ เขากับเรย์ คูเปอร์ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านความบันเทิงภายในงาน เขาพยายามออกแบบจัดฉากให้ดูเหนือจริง ติดตั้งไฟเพื่อให้แสงสาดไปที่พระราชวัง จัดพื้นที่บริเวณบอลรูมให้เป็นห้องดิสโก แต่เนื่องจากสมเด็จพระราชินีเสด็จร่วมงานด้วย จึงมีการลดระดับความดังของเสียงเพลงลง

สมเด็จพระราชินีเสด็จเข้าไปที่ห้องบอลรูมพร้อมกับกระเป๋าที่ข้างพระหัตถ์เหมือนเช่นปกติ พระองค์ทรงตรัสถามเอลตัน จอห์นอย่างสุภาพว่า จะขอร่วมวงด้วยได้หรือไม่ ก่อนที่จะเสด็จไปที่ฟลอร์กับเขา เต้นตามทำนองเพลงของบิล ฮาลีย์ ในจังหวะดิสโกที่ดูเหมือนจะเบาที่สุดในโลก


เอลตัน จอห์นรู้ดีว่า สมเด็จพระราชินีไม่ทรงปรารถนาจะเปิดเผยความขี้เล่นของพระองค์ในที่สาธารณะ นั่นเป็นเพราะสถานะของพระองค์ เขาสังเกตได้ตั้งแต่คราวที่พระองค์แต่งตั้งเขาเป็น ‘Commander of the British Empire’ และต่อมาทรงประธานยศ ‘อัศวิน’ ให้ ครั้งนั้นพระองค์ต้องทรงมอบเหรียญให้กับผู้คนกว่า 200 คน นานถึงสองชั่วโมงครึ่ง ทรงมอบเหรียญให้ทีละคน พร้อมทั้งทรง ‘small talk’ ไปด้วย เป็นคำถามสั้นๆ คล้ายๆ กันประมาณว่างานยุ่งไหม เพื่อให้ทุกคนได้ตอบคล้ายๆ กันว่า “yes, Ma’am” ก่อนที่พระองค์จะทรงปิดบทสนทนาด้วยคำว่า “ดีแล้ว” และคนถัดมาก็จะเดินเข้าไปรับเหรียญต่อ

ในความเป็นจริงพระองค์อาจจะเป็นคนตลกก็ได้ บางครั้งเอลตัน จอห์นก็เคยถูกตั้งคำถามจากพระองค์ เช่นว่า เขาเสพโคเคนก่อนที่จะขึ้นเวทีแสดงหรือไม่ จนทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ และพาลไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาเป็นแค่นักร้องจากชนชั้นสามัญ แล้วไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น แต่กับไดอานานั้นเขากลับรู้สึกอีกแบบ เธอไม่เคยถือตัว เข้าถึงและพูดคุยได้กับทุกคน อีกทั้งสามารถปรับตัวให้เหมือนเป็นสามัญชนได้อย่างง่ายดาย จนคนทุกชนชั้นรู้สึกสบายใจเมื่อพบเจอหรือสนทนากับเธอ พระโอรสทั้งสองของเธอดูเหมือนจะซึมซับสิ่งนี้จากเธอ โดยเฉพาะปรินซ์แฮร์รี ที่เหมือนไดอานามาก ตรงที่ไม่สนใจเรื่องชนชั้นหรือยศถาบรรดาศักดิ์

เลดี้ ไดอานา ขุมข่าวกอสสิป

ในตอนค่ำของปี 1981 นั้นเธอปรากฏตัวที่ห้องบอลรูม ทั้งสองพบเจอกันและรู้สึกได้ทันทีถึงความสนิทชิดเชื้อ เธอทักทายและพูดคุยกับผู้คนอย่างเป็นกันเอง เป็นแขกที่วิเศษสำหรับมื้ออาหารค่ำ เธอพูดทุกเรื่องอย่างเปิดเผย และเป็นขุมข่าวกอสสิปตัวจริง ไม่ว่าใครจะถามเธอเรื่องอะไร เธอมักจะตอบหมด ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ วิธีการที่เธอกล่าวถึงปรินซ์ชาร์ลส์ เธอไม่เคยเรียกชื่อของเขา แต่จะเรียกว่า “สามีของฉัน” ตลอด ไม่เคยเอ่ยชื่อชาร์ลส์ ส่วนชื่อเล่นนั้นแทบไม่ต้องนึกเดา มันฟังดูห่างเหิน เยือกเย็น และเป็นทางการมาก

เอลตัน จอห์นเล่าถึงครั้งที่เขาทำมิวสิคัล ‘The Lion King’ ครั้งนั้นเจฟฟรีย์ คัตเซนเบิร์ก-อดีตนายใหญ่ของดีสนีย์ เดินทางไปที่อังกฤษ เอลตันและเดวิด เฟอร์นิช (สามีของเอลตัน) จัดดินเนอร์ปาร์ตี้รับรองคัตเซนเบิร์กและภรรยาที่บ้านในวูดไซด์ เอลตันเอ่ยถามทั้งสองว่า มีใครในอังกฤษที่พวกเขาต้องการพบให้ได้บ้างไหม และคำตอบอย่างไม่ลังเลของทั้งสองก็คือ “เจ้าหญิงไดอานา”


ดังนั้น เอลตัน จอห์นจึงเชิญไดอานามาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วย นอกจากนั้นยังมีจอร์จ ไมเคิล ริชาร์ด เคอร์ติสกับภรรยา-เอมมา ฟรอยด์ ริชาร์ด เกียร์ และซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ซึ่งตอนนั้นทั้งหมดยังพักอยู่ในอังกฤษ และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ริชาร์ด เกียร์และไดอานามีท่าทีใกล้ชิดกันตั้งแต่แรกพบหน้ากัน ตอนนั้นเธอเพิ่งแยกทางกับปรินซ์ชาร์ลส์หมาดๆ ส่วนริชาร์ดก็เพิ่งบอกเลิกกับซินดี ครอว์ฟอร์ด ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันที่ด้านหน้าเตาผิง แลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างออกรส ขณะที่คนอื่นๆ ก็กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเอลตัน จอห์นนั้นแอบสังเกตเห็นว่า ซิลเวสเตอร์ สตอลโลนลอบชำเลืองไปที่ไดอานากับริชาร์ดบ่อยครั้ง และแสดงท่าทีคล้ายไม่สบอารมณ์

เอลตันรับรู้ได้ในตอนนั้นว่า เหตุที่สตอลโลนตอบตกลงมาร่วมปาร์ตี้ด้วย ก็เพราะคิดอยากจะใกล้ชิดไดอานา แต่พอมาเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้า ทำให้ค่ำคืนนั้นของเขาคล้ายผิดแผน

เกียร์และสตอลโลนเกือบถึงขั้นวางมวย

ในที่สุดอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ ทุกคนพากันเคลื่อนย้ายไปที่ห้องรับประทานอาหาร และทรุดนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ เอลตันสังเกตเห็นว่า ริชาร์ด เกียร์ไม่ได้ตามไป และซิลเวสเตอร์ สตอลโลนก็เช่นกัน ทั้งหมดจึงนั่งรอ ครั้นไม่เห็นทีท่าว่าทั้งสองจะโผล่มา เอลตันจึงบอกกับเดวิด-ผู้เป็นสามี ให้ช่วยไปดู กระทั่งเมื่อเขาเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมพระเอกทั้งสอง เดวิดก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูเอลตัน บอกว่า “มีปัญหาละ”

เดวิดเดินออกไปเจอเกียร์และสตอลโลนที่โถงด้านนอก ระหว่างกำลังตั้งท่าจะวางมวยกันอยู่ จนเดวิดต้องยับยั้งสถานการณ์ ด้วยการร้องบอกว่า อาหารพร้อมแล้ว และทำสีหน้าคล้ายไม่รู้เห็นว่าทั้งสองมีเรื่องอะไรกัน แต่เขาเห็นได้ชัดว่าสตอลโลนโกรธขึ้ง


หลังรับประทานอาหารเสร็จ ไดอานาและริชาร์ด เกียร์ย้ายกลับไปนั่งที่หน้าเตาผิงเหมือนเดิม ส่วนซิลเวสเตอร์ สตอลโลนขอตัวกลับ ใบหน้าขุ่นมัว “ผมไม่น่ามาเลย” เขาบอกเอลตัลกับเดวิดตอนที่ทั้งสองไปส่งที่หน้าประตู “ถ้ารู้ว่าเจ้าชายหน้าหมาอยู่ที่นี่ด้วย”

เมื่อกลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น เอลตัน จอห์นยังเห็นไดอานากับริชาร์ด เกียร์นั่งจ้องตากันแบบคลั่งไคล้ ทั้งสองแสดงอาการคล้ายลืมโลก บางทีไดอานาอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือบางทีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเสียจนทำให้เธอชิน หลังจากเธอเสียชีวิตแล้ว ก็เริ่มมีคนพูดถึงเรื่อง ‘ไดอานา เอฟเฟ็กต์’ ซึ่งหมายถึงวิธีที่เธอประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อราชวงศ์ โรคเอดส์ บูลิเมีย หรือความป่วยไข้ทางจิต


หลังจากนั้น เอลตัน จอห์นกับไดอานาก็ไม่พบไม่ได้คุยกันอีกนาน จนกระทั่งถึงวันที่เจียนนี เวอร์ซาเชถูกฆาตกรรม เขารับรู้ข่าวร้ายจากจอห์น รีด และไดอานาเป็นคนแรกที่โทรศัพท์หาเขา ทั้งที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอได้เบอร์จากที่ไหน เพราะเอลตันกับเดวิดเพิ่งซื้อบ้านที่นีซได้ไม่นาน ส่วนไดอานา ขณะนั้นอยู่ที่แซงต์-โตรเปซ์ บนเรือยอชต์ของโดดี อัล-ฟาเยด ริมชายฝั่งไม่ไกลกันนัก

ไดอานา เอลตัน และเดวิดเดินทางไปร่วมพิธีศพของเวอร์ซาเชพร้อมกัน ตอนที่ไดอานาไปถึงโบสถ์ (ในมิลาน) นักข่าวปาปาราซซีพากันมุงล้อม ราวกับเธอเป็นดาราใหญ่ระดับโลก บรรดาช่างภาพเกาะติดเธอไม่ห่างแม้ระหว่างบาทหลวงทำพิธีทางศาสนา


เช้าวันอาทิตย์ปลายเดือนสิงหาคม เอลตันและเดวิดถูกปลุกเพราะเสียงดังจากเครื่องแฟกซ์ เดวิดเป็นคนเดินไปดู และเดินกลับมาหาเอลตันพร้อมแผ่นกระดาษแฟกซ์ที่มีลายมือเขียน ส่งจากเพื่อนคนหนึ่งของพวกเขาที่อยู่ลอนดอน

“ช่างเป็นข่าวร้ายเสียจริง ฉันเสียใจที่ได้ยินข่าวนี้” ทั้งสองยังมึนงง ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นหมายถึงอะไร จนต้องลุกลี้ลุกลนเปิดทีวีดู

และรับรู้ในคราวนั้นว่า เจ้าหญิงไดอานาเสียชีวิตแล้ว


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>