Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
หนุ่มหล่อ – Marshomme https://marshomme.com Thu, 22 Jul 2021 07:03:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png หนุ่มหล่อ – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ลุยไปในโลกของกีฬาเอ็กซ์ตรีมของ ‘เฟย-ภัทร เอกแสงกุล’ https://marshomme.com/interview/531520/ Thu, 05 Nov 2020 05:14:00 +0000

แฟนๆ ช่อง GMMTV หลายคนอาจรู้จัก ‘เฟย-ภัทร เอกแสงกุล’ หนุ่มหล่อมาดเซอร์ อดีตจุฬาฯ คทากร และ 1 ใน 50 หนุ่มโสดคลีโอปี 2015 ผ่านบทบาทนักแสดงจากผลงานละคร ทั้ง GPA สถาบันพันธุ์แสบ และ O-negative รักออกแบบไม่ได้รวมถึงบทบาทพิธีกรมาดกวนในรายการ ‘โตแล้ว’ แต่ครั้งนี้…เราจะก้าวไปทำความรู้จักกับตัวตนของเฟยแชร์ประสบการณ์ความมันส์และแพชชั่นในกีฬาเอ็กซ์ตรีม ทั้งปีนผา ดำน้ำ และเดินเขาที่ขอบอกได้คำเดียวว่าสนุก มันส์ และต้องใช้พลังอย่างมาก!

จุดเริ่มต้นของกีฬาเอ็กซ์ตรีม

ทุกอย่างมันเริ่มจากพ่อครับ เพราะพ่อเป็นสายกิจกรรมเอาต์ดอร์เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆ พ่อจะพาไปตั้งแคมป์บ่อยมาก ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เรียกว่านอนเต็นท์มาตั้งแต่เด็กๆ เลย เราก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ พอโตขึ้นมาอีกหน่อย สมัยนั้นช่วงซัมเมอร์ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เขาจะเปิดให้เด็กได้เข้าไปลองเล่นกีฬาหลายๆ ชนิด พ่อพาไปเล่นทุกอย่างเลย เล่นบาส เทควันโด แบตมินตัน ปิงปอง เราก็เลยได้เล่น อีกส่วนหนึ่งคือเราเป็นคนที่ไม่ค่อยอยู่สุข แอคทีฟตลอดเวลา หากิจกรรมใหม่ๆ มาทำได้เรื่อยๆ ด้วยความชอบกีฬาและเป็นคนแอคทีฟอยู่แล้ว พอโตขึ้นมาเลยลองขยับกีฬาง่ายๆ มาเป็นกีฬาที่ยากขึ้น เช่น ช่วงม.ต้น เห็นเพื่อนเล่นสเกตบอร์ดกัน เราก็เล่นบ้าง คือมันค่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ หากิจกรรมใหม่ๆ ลองสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเอง

Instagram ของเฟยเต็มไปด้วยรูปกิจกรรมปีนผาและดำน้ำ

ปีนผากับดำน้ำ มันเป็นกีฬาที่ค่อนข้างจะฉีกจากการเล่นบาสเกตบอล เตะฟุตบอล ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กทั่วไปในโรงเรียนมัธยมชายไทยเขาทำกัน (หัวเราะ)


ตอนที่เริ่มลองปีนผาครั้งแรก ตอนนั้นเด็กมากนะ แต่มาปีนผาจริงจังน่าจะเมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน ตอนนั้นบ้าปีนอยู่สักพักใหญ่ๆ เลย ประมาณ 3-4 เดือนติดกัน เพราะว่าชอบมาก ด้วยงานหรืออะไรสักอย่างทำให้เลิกปีน จากนั้นก็หายไปเลยครับ จนเมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว มีรุ่นพี่ชวนกลับไปลองปีนดูอีกครั้ง เราคิดกับตัวเองว่า “เฮ้ย เราคิดถึงมันจัง อยากกลับไปปีนอีกครั้ง” เลยตัดสินใจกลับไปปีนอีกครั้ง จากนั้นตอนมาก็ยาวเลยครับ กลายเป็นติดปีนผาไปเลย


ส่วนดำน้ำนี่ ตอนเด็กๆ พ่อไม่ให้ดำน้ำเลยครับ เพราะมันอันตรายเกินไปสำหรับเรา พอโตขึ้น เริ่มทำงาน หาเงินเองได้ แล้วเราเองอยากลองดำสกูบาอยู่แล้วด้วย เลยตัดสินใจลองดู เพราะสกูบาใช้เงินค่อนข้างเยอะนะ ไหนจะค่าออกทริปแต่ละครั้ง ค่าเรียนดำน้ำ และค่าอุปกรณ์อีก พอหาเงินได้ด้วยตัวเองเลยลองเรียน แล้วรู้สึกชอบ ส่วนตัวชอบทะเลอยู่แล้วด้วย เลยติดใจ ตอนนี้พยายามเรียนเพื่อที่จะขึ้นไปเป็นครูให้ได้ เพราะมันสามารถสร้างอาชีพใหม่ให้กับเราได้ ตอบโจทย์ความชอบของตัวเองด้วย และหาเงินจากมันได้ด้วย

หาเวลาออกทริปไปดำน้ำ-ปีนผาบ่อยแค่ไหน

ความจริงแล้วเราอยากทำทั้งดำน้ำและปีนผาควบคู่กันไปให้ได้เยอะที่สุดนะ แต่มันทำไม่ได้ (หัวเราะ) อย่างดำน้ำ ถ้าออกทริปครั้งหนึ่งก็ใช้เงินเยอะมาก 7 วัน ประมาณ 2-3 หมื่นเลยนะ แถมเราเองไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น จะทิ้งงานแล้วหายไปเลยมันทำไม่ได้แน่ๆ แต่มีทริปดำน้ำมาเรื่อยๆ นะ อาจจะไม่บ่อยมาก 2-3 เดือนครั้ง แล้วแต่กำลังทรัพย์ของเราด้วย (หัวเราะ) แต่สำหรับปีนผา เราสามารถทำได้บ่อยๆ ครับ หลังเสร็จงาน มีเวลาสัก 2-3 ชั่วโมงสามารถไปปีนได้แล้ว จากนั้นก็กลับบ้าน นอน ตื่นเช้ามาลุยงานวันต่อไปได้เลย หรือถ้าวันไหนมีเวลาว่าง จะออกไปปีนผาแบบเอาต์ดอร์ จัดทริปสั้นๆ หาสถานที่ใกล้ๆ เช้าไป-เย็นกลับก็ทำได้เลย

เสน่ห์ของมันคืออะไร

มันเท่เพราะคนปกติไม่ทำกัน (หัวเราะ) กีฬาเอ็กซ์ตรีมแต่ละอย่างมันมีเสน่ห์ต่างกันนะ อย่างปีนผา มันเหมือนเรากำลังสู้อยู่กับตัวเอง ช่วงก่อนหน้านี้ เราพักในช่วงโควิด-19 ไป ทุกอย่างมันดรอปลงมาก เราปีนรูทยากๆ ได้น้อยลง พอสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น กลับมาปีนได้สักพัก เกิดอุบัติเหตุมือหักต้องพักไปอีก ช่วงนี้เลยกลับมาฟิตมากขึ้น เพราะกำลังสู้กับตัวเองอยู่ แล้วที่เราชอบปีนผามาก เพราะมันไม่ใช่กีฬาแบบฟุตบอลที่ต้องแข่งกับคู่ต่อสู้ แต่มันคือการแข่งกับตัวเอง ว่าเราจะสามารถปีนรูทที่ยากขึ้นกว่าเดิมได้หรือเปล่า สู้กับตัวเองล้วนๆ เลย “ทำไมเราทำไม่ได้วะ เราต้องทำได้สิ ค่อยๆ ไต่ระดับมันไปเรื่อยๆ”


อีกอย่างหนึ่งคือ มัน Fullfill ตัวเราได้ มันบำบัดตัวเราเวลาที่เราสามารถปลดล็อกอีกเลเวลหนึ่งของตัวเองได้ เราเก่งขึ้นแล้วนะ รวมถึงเวลาที่ได้ไปเก็บรูทที่อยู่ใน Bucket List ของเราด้วย สิ่งพวกนี้มันช่วยเติมเต็มเราได้มากๆ เราทำงานทุกวันนี้ก็เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่เป็นความสุขให้กับตัวเองด้วย

ถ้าอยากลองปีนผาควรจะเริ่มต้นยังไงดี

ตอบได้คำเดียวเลยว่าเราไม่สามารถบอกคุณได้ ว่าคุณจะต้องเริ่มยังไง แต่คุณต้องลองเริ่มดูก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าคุณชอบมันไหม คุณกลัวมันหรือเปล่า คุณสามารถทำมันได้ไหม ถามว่าต้องมีร่างกายที่แข็งแรงก่อนไหม บอกเลยว่าไม่จำเป็นครับ ถ้าเราเริ่มปีนผาไปเรื่อยๆ ร่างกายจะค่อยๆแข็งแรงขึ้นมาเอง

การเตรียมตัว ต้องศึกษาวิธี, เส้นทางการปีนไหม

มันเป็นสิ่งที่นักปีนผาทุกคนต้องทำครับ ก่อนจะปีนผาเราต้องมองหน้าผา มองแล้วพิจารณาว่าตรงไหน จุดไหนที่เราเหยียบได้บ้าง จับอะไรได้บ้าง จินตนาการท่าทางของตัวเองเมื่อต้องปีนขึ้นไป ถ้าใครที่ดูคลิปแข่งปีนผาบ่อยๆ จะเห็นเลยว่าเขาจะให้เวลานักกีฬาทุกคนออกมาดูรูทก่อน เพื่อให้นักกีฬาได้จินตนาการว่าต้องปีนอย่างไร คือมันต้องอ่านรูทก่อนปีน ไม่งั้นก็ตก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้ใช้แรงน้อยลง มันมีคำพูดที่ว่า “อ่านรูทก่อนแล้วค่อยปีน” นี่แหละคือสิ่งที่นักปีนผาต้องทำ!


แล้วดำน้ำต้องเตรียมตัวอย่างไร

ถ้าเป็นดำน้ำ ใน Protocal เขาจะมีกำหนดไว้ว่าห้ามทำอะไรบ้าง ถ้าเราทำตามกฎก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว นอกจากคนที่มีปัญหาสุขภาพ มีโรคประจำตัว เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือมีสภาวะร่างกายที่ผิดปกติ ควรให้หมอตรวจเช็กก่อนว่าเราสามารถทำได้หรือเปล่า ถ้าร่างกายไม่ไหวให้ Skip ไปก่อน มันมีคำพูดของนักดำน้ำที่พูดกันว่า “เราสามารถดำน้ำพรุ่งนี้ได้เสมอ” ไม่ต้องฝืน ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกไม่โอเค ก็อย่าเพิ่งดำน้ำ

ไปปีนผาเอาต์ดอร์ และดำน้ำที่ไหนมาบ้าง

ไปปีนผาที่น้ำผาป่าใหญ่ สระบุรี มา 2 รอบ ที่นี่มีแคมป์สำหรับนักปีนผาโดยเฉพาะเป็นจุดที่มีชาวต่างชาติไปปีนผากันเยอะมาก แถมยังเดินทางง่าย ขับรถไปจากกรุงเทพฯ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง นอกจากนี้มีที่หาดไร่เลย์ กระบี่ อีก 2 รอบ ที่นี่เป็นอีกจุดที่ชาวต่างชาติเขาบินมาปีนผากันเยอะมาก แล้วล่าสุดไปที่ลำปางมา


ส่วนดำน้ำนี่ไปมาค่อนข้างเยอะเลย ถ้าใกล้ๆ ก็มีแสมสาร สัตหีบ ระยอง แล้วมีลงใต้ไปดำน้ำที่อันดามันเหนือ อันดามันใต้ ส่วนใหญ่จะไปทางอันดามันบ่อย เพราะเดินทางสะดวก นั่งเครื่องบินลงภูเก็ตก็ถึง แต่ถ้าเป็นต่างประเทศเคยไปมาแค่ที่เดียว ก็คือสิปาดัน เป็นอุทยานแห่งชาติของมาเลเซีย เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีผาล้อมรอบ แล้วมีแนวปะการังเยอะมาก มีโอกาสได้เจอสัตว์แปลกๆ ที่ไม่มีในไทยเยอะเลย เช่น ปลานกแก้วหัวโหนก ฉลามหัวค้อน ฉลามสีน้ำเงิน และปลากระเบนชนิดต่างๆ

ชอบที่ไหนมากที่สุด

สำหรับปีนผา ชอบที่สุดก็คือที่หาดไร่เลย์ครับ เอาจริงๆ หลายคนชอบคิดว่าไร่เลย์คือเกาะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันคือหาด อยู่บนแผ่นดินไทยนี่ล่ะ แต่มันดูเหมือนถูกตัดขาดจากตัวเมืองมาก เพราะไม่มีถนนตัดผ่านจากตัวกระบี่ ถ้าจะไปมีทางเดียวคือต้องนั่งเรืออ้อมไป ไปถึงแล้วมันเหมือนเราหลุดมาอยู่อีกที่ที่หนึ่งเลย บรรยากาศมันดีมาก แล้วเดินทางง่ายด้วย แค่นั่งเครื่องบินไปกระบี่ แล้วเดินทางต่ออีก 30-40 นาทีก็ถึงหาดไร่เลย์แล้ว ส่วนดำน้ำต้องยกให้สิปาดันเลยครับ สัตว์มันค่อนข้างเยอะกว่าที่ไทยมากเลย

มีที่ไหนที่อยากไปอีกบ้าง

เยอะมากเลยนะ (หัวเราะ) ดำน้ำนี่มีเยอะมากนะ ทั้งเม็กซิโก กาลาปากอส เคปทาวน์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย มันมีอีกมากมายมหาศาลเลยล่ะ อยากไปให้ทั่วโลกเลย ความจริงอยากลองดำน้ำแข็งดูสักครั้งในชีวิตด้วย ส่วนปีนผา ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Free Solo ซึ่งเกี่ยวกับคนที่ปีนผามือเปล่า โดยไม่มี Safety ขึ้นไป El Capitan นั่นล่ะครับ คือความฝันที่เราอยากจะไปเห็นหน้าผานั้นด้วยตาตัวเองสักครั้ง อาจจะยังไม่ต้องปีนแบบเขาก็ได้ แต่ขอไปยืนดูตรงนั้นก่อน


ถ้าต้องเลือกระหว่างทะเลกับภูเขา เฟยเลือกอะไร

มันเลือกยากมาก! เคยตั้ง Story Question ใน Instagram ให้คนมาถามคำถาม นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่คนถามเข้ามาเยอะมาก ระหว่างปีนผากับดำน้ำเลือกอะไร ภูเขากับทะเลเลือกอะไร บอกตรงๆ ว่าเลือกไม่ได้ มันแล้วแต่โอกาสจริงๆ ว่า ณ เวลานั้นเราอยากไปที่ไหน สมมุติถ้าตอบคำถามนี้ไปแล้ว ก็จะมีคนถามต่ออีกว่าแล้วถ้าอยากมีบ้านสักหลังจะอยู่บนเขาหรือริมทะเล ก็ตอบไม่ได้อีก คืออยากมันทั้งสองที่เลย อาจจะด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้าเป็นทะเล ถ้าเป็นอันนี้โอเคเลยนะ (หัวเราะ)

ถามจริงๆ สายลุยขนาดนี้ เอาพลังมาจากไหนนัก

ไม่รู้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) มันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เราเป็นคนเอเนอจี้สูงมาก แอคทีฟตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมันอาจจะมาจากเราอยากทำ ถ้าเรามีแพชชั่นกับอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็อยากไป อยากทำ มันอยู่ที่ว่าเรารักมันจริงหรือเปล่า ถ้าเราชอบและรักมันจริงๆ เราก็จะหาเวลา หาแรงมาทำจนได้ หรือไม่ได้ก็อาจจะเซฟแรงจากตรงอื่น เพื่อให้ได้ทำสิ่งนี้

ความจริงแล้วดำน้ำมันไม่เหนื่อยเลยนะ แรกๆ อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะใช้ร่างกายไม่เป็น ต้องตีขา แหวกทะเล ขึ้นมาเหนื่อย หอบ นอนหลับ แต่ถ้าเริ่มดำน้ำเป็น ดำน้ำไปสักพักแล้ว ลงไปในน้ำนี่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ตีขาครั้งเดียวก็ไหลไปตามกระแสน้ำแล้ว แต่ถ้าเป็นปีนผาล่ะก็ยอมรับเลยว่าเหนื่อยจริงๆ แค่เดินเข้าป่าไปก็เป็นชั่วโมงแล้ว ไหนจะต้องแบกกระเป๋าเป้อีก แล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่ชอบคือเดินเขา อันนี้เราชอบที่ได้ใช้เวลาเดินขึ้นไปเพื่อตั้งแคมป์สักคืน ชมวิวสวยๆ แล้วก็เดินลง

เล่าถึงการเดินเขาหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง

เราไม่ได้ไปมาเยอะขนาดนั้นนะ ถ้าไทยก็มีไปบ้างตอนไปถ่ายรายการ แต่ที่ไปเองจริงๆ เลยคือเขาช้างเผือก กาญจนบุรี ระยะทางการเดินเท้าประมาณ 8 กิโลเมตร ผ่านเขาประมาณ 3 ลูกได้กว่าจะถึงจุดตั้งแคมป์ แล้วก็ขึ้นไปพิชิตยอดเขาอีกประมาณ 600-700 เมตร ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก ทั้งร้อน แต่สนุกมากๆ อยู่ดี ถ้าใครอยากลองเดินเขาเราแนะนำที่นี่เลย เพราะมันไม่ยากมาก ไม่ต้องเตรียมพร้อมร่างกายมากก็สามารถขึ้นไปถึงยอดได้เหมือนกัน จริงๆ ตอนแรกตั้งใจว่าปลายปีนี้จะไป EBC หรือ Everest Base Camps ใช้เวลา 12 วัน เดินขึ้นไปยังเบสแคมป์ของคนที่เขาจะไปขึ้นเอเวอเรสต์ แต่เราไม่ขึ้นเอเวอเรสต์นะ กลัวตาย (หัวเราะ)


ลุยขนาดนี้มีโมเมนต์ท้อๆ เหนื่อยๆ บ้างไหม

มีแน่นอน อย่างปีนผามันจะมีจุดหนึ่งที่เราท้อกับตัวเองมาก เช่น เราติดอยู่ในระดับนี้ ความยากเท่านี้มา 3 เดือนแล้ว มันไม่ผ่านสักที มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เก่งขึ้นเลยเหรอ ไม่แข็งแรงขึ้นเลยเหรอ แต่ความจริงแล้วเราอาจจะแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่การที่จะสเต็ปขึ้นไปอีกระดับหนึ่งมันยากมากแค่นั้นเอง แต่ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าทำไมไม่จบสักทีวะ ก็จะมีเพื่อนๆ และสังคมของนักปีนผาที่จะคอยให้กำลังใจกัน “เฮ้ย แกทำได้” มีเพื่อนๆ ค่อยให้กำลังใจ มันก็ช่วยเราได้เยอะ

เฟยดูเหมือนไม่กลัวอะไร พร้อมลุย พร้อมสู้ไปหมด

กลัวแมงมุมครับ นี่คือจุดอ่อนของเราเลย เพราะว่าบนหน้าผามีแมงมุม ยิ่งเป็นหน้าผาที่ไม่ค่อยมีคนไปปีน ยิ่งเจอง่ายมาก ล่าสุดที่ไปปีนผามาก็เจอตัวเบ้อเริ่ม เท่าฝ่ามือ ห้อยอยู่ตรงซอกหน้าผาที่จับดีมาก คือถ้าเราเอามือไปจับตรงนั้นได้คือสบายเลยล่ะ แต่ก็ไม่ครับ ไม่จับ (หัวเราะ) ขออ้อมดีกว่า นี่ขนาดพยายามข่มใจตัวเองมากๆ แล้วนะ แมงมุมเลยเป็นสิ่งที่เรากลัวมากๆ ถือเป็นอุปสรรคในการปีนผาของเราเลย แต่จริงๆ ตอนนี้ก็เริ่มกลัวน้อยลงมากแล้วนะ เพราะคนแกล้งเยอะ


กีฬาเอ็กซ์ตรีมชนิดไหนไหมที่เฟยจะไม่ทำเด็ดขาด

ลองบอร์ดเลย จริงๆ มันเป็นกีฬาที่เราเคยนั่งดูคลิป แล้วคิดว่าอยากลองเล่นเหมือนกันนะ ได้ใส่ถุงมือแล้วสไลด์ลงไป มันดูเท่นะ แต่พอมาคิดว่าแล้วถ้าเท้าเราหลุดจากบอร์ดจะทำอย่างไรล่ะ คือปีนผามันยังมีเชือกที่คอยเซฟเรา แต่ลองบอร์ดมันไม่มีใครช่วยเราได้เลย ถ้าเบรกไม่อยู่ก็คว่ำ แหกไปเลย ตอนนี้เลยพยายามเล่นอะไรที่มันเซฟกับงานเราในระดับหนึ่ง

ถ่ายละครหลายเรื่อง รายการทีวีอีก บาลานซ์ชีวิตกับกิจกรรมเหล่านี้อย่างไร

เราให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก โฟกัสกับงานก่อน ถ้ามีตารางงานมาต้องเช็กกับผู้จัดการว่างานนี้ใช้เวลาเท่าไหร่ เสร็จกี่โมง จากนั้นมาดูว่าเราอยู่ตรงไหน ไปปีนผาต่อได้ไหม ถ้าไปได้ก็ไป แต่ถ้าพรุ่งนี้มีงานเช้ามาก ก็ต้องมาประเมินตัวเองว่าไหวไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็เบรกไว้ก่อนเลย เช็กตารางชีวิตตัวเอง แล้วค่อยแทรกกิจกรรมของเราลงไป หรือถ้าบางครั้งตารางงานยังไม่ออก มีทริปดำน้ำเข้ามา อาจจะต้องขอล็อกไว้ก่อนเลย มันคือการจัดตารางเวลาต่างๆ ให้ลงตัว แล้วก็นอนให้เยอะขึ้น สังสรรค์ให้น้อยลง เราจะได้มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น


แพชชั่นในกีฬาอื่นๆ ล่ะ มีอีกไหม เล่าให้ฟังหน่อย

ตอนนี้มีกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่อยากไปทำอีกหลายอย่างมาก แต่โดนเพื่อนๆ หลายคนเบรกเอาไว้ เพื่อนจะบอกให้เราโฟกัสให้มันจบๆ ไปทีละอย่าง อย่างเมื่อปีสองปีก่อนเล่นเซิร์ฟ จากนั้นหยุดแล้วมาปีนผานี่ล่ะ ตอนนี้อยากกลับไปเล่นเซิร์ฟอีกแล้ว แต่พอได้ไปคุยกับพี่เป้อารักษ์ เขาบอกว่าให้เราไปลุยปีนผาก่อน อย่าเพิ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วใจเราตอนนี้มีความคิดอยากไปลองกระโดดร่มอีกแล้ว แต่เบรกไว้ก่อน เก็บเงินก่อน เพราะกระโดดร่มมันใช้เงินค่อนข้างเยอะมาก อยากลองกระโดดลงมาแบบตัวคนเดียว มันไม่ง่ายเลยนะกว่าจะได้ใบอนุญาตกระโดดคนเดียวได้ ต้องใช้เงิน 3-4 แสนเลย ไหนจะค่าอุปกรณ์อีก นี่ยังไม่รวมค่ากระโดดในแต่ละครั้ง ซึ่งหนึ่งครั้งก็ประมาณหนึ่งหมื่นบาทแล้ว คือมันเป็นกีฬาคนรวย เรายังไม่รวย ต้องค่อยๆ เก็บแต้มไปก่อน

ไอดอลกีฬาเอ็กซ์ตรีมของเฟย

ตอบยากมาก เพราะแต่ละวงการก็มีคนเก่งๆ เยอะมาก เราเองก็ดูทุกคนเลยด้วย ถ้าจะให้ตอบว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่งคงยาก เพราะเราอยากทำมันทุกอย่างเลย แต่นักกีฬาเหล่านั้นส่วนใหญ่เขาจะมุ่งมั่นกับกีฬาชนิดเดียว ถ้าเป็นไอดอลตอนนี้ ขอเป็นตัวเองที่เก่งกว่าตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้าก็แล้วกัน


เป้าหมายในปีนี้ของเฟย

มีเยอะมากเลย… แต่อย่างหนึ่งที่อยากทำได้มากๆ คืออยากปีนผาให้เก่งขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะๆ ปีนให้เก่งมากสุดๆ ไปเลย อยากบียอนด์ไปอีกขั้นหนึ่ง


เล่าถึงรายการ ‘โตแล้วเป็นคนทุกที่’

สำหรับ ‘โตแล้วเป็นคนทุกที่’รายการท่องเที่ยวที่ผมเป็นพิธีกรกับเพื่อนๆ อีก 4 คน มีทอยปฐมพงศ์, กันสมายชนกันต์, เฟิร์สคณพันธ์ แล้วก็น้องไบร์ทวชิรวิชญ์ ถือว่าโตแล้วในเวอร์ชันใหม่ ที่แตกต่างจากซีซั่นแรกมากๆ เพราะครั้งนี้เราจะเน้นการไปซึมซับวิถีชีวิตของคนในแต่ละชุมชน ไปลองใช้ชีวิตในแบบที่เขาเป็นกัน โดยที่เราจะสลับกันไปเที่ยวในที่ต่างๆ อาจจะไม่ได้พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้ง 5 คน ก็อาจจะได้เห็นเราในไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ มากขึ้น แต่ถ้าถามว่าจะได้เห็นเฟยลุยกับกีฬาเอ็กซ์ตรีมในรายการนี้ไหม น่าจะยากครับ เพราะมันเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างจะเฉพาะทางมากๆ เลยต้องอิงคนใหญ่ก่อน อย่างทอยก็ไม่ไหว เฟิร์สเองก็ดำน้ำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่ทุกคนโอเค อยากลองพาทุกคนไปลองทำดูนะ

ฝากถึงคนที่อยากเป็นสายลุย แต่ยังไม่เคยลอง

ครับ… สำหรับใครที่สนใจกีฬาเอ็กซ์ตรีม ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟบอร์ด สเกตบอร์ด ลองบอร์ด ปีนผา ดำน้ำ ฟรีไดฟ์ หรือสกูบา ถ้าคุณอยากลองขอให้ลงมือทำ ไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะลองทำดีไหม จะทำอย่างไรดี อยากให้ลองลงมือทำด้วยตัวเองดูก่อน แล้วคุณจะได้รู้คำตอบของมัน ถ้ามัวแต่มานั่งคิดก็ไม่ได้ลองสักที ไม่รู้จักกับกีฬาประเภทนั้นๆ สักที ไม่รู้จักกับตัวเองสักที อยากให้ลองลงมือทำดูครับ ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็แล้วแต่


Words : ChanisaKarnsritong

]]>
Nippon Boy รินทาโร อาซาริ นายแบบหนุ่มที่ฝึกภาษาไทยจริงจัง https://marshomme.com/aboy/531430/ Mon, 14 Sep 2020 10:43:00 +0000

ว่ากันว่าความชอบของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงได้ทุกชั่วโมงไม่เว้นแต่ความชอบ (มอง) ผู้ชายหน้าตาดีที่ไม่จำเป็นต้องมีกล้ามแน่นๆ มาโชว์ซิกแพคแบบพิมพ์นิยมเหมือนเมื่อก่อนทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความคลิ๊กหรือว่าทัช (Touch) กันตรงไหนมากกว่า


ไม่นานมานี้กระแสของ รินทาโร อาซาที่กำลังโด่งดังจาก Tiktok ได้เข้ามายืนในใจแฟนๆ ชาวไทยหลายๆ คนเป็นที่เรียบร้อย จุดที่ทำให้รินทาโร ได้ใจจากแฟนคนไทยไปเต็มๆ ตรงที่หนุ่มคนนี้พยายามสื่อสารด้วยข้อความเป็นภาษาไทยผ่านทางทวิตเตอร์และอินสตราแรมอยู่บ่อยๆนอกจากนี้รินทาโร กำลังศึกษาภาษาไทยแบบจริงจังเพื่อพูดคุยกับแฟนๆ ชาวไทย ความน่ารักของรินทาโร ที่ทัชสาวไทยโดยตรงนอกจากจะเป็นเรื่องหน้าตาแล้ว เรื่องความสูง 178 เซนติเมตรและ Body Charming ของเขาก็ทำให้ถึงกับต้องร้อง Wow


รินทาโร อาซาริ หนุ่มวัย 22 ปีคนนี้ไม่ใช่โนเนมมาจากที่ไหน เขาเป็นนายแบบญี่ปุ่น มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมานาน ทั้งถ่ายแบบ และเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์เสื้อผ้าหลายแบรนด์ เร็วๆ นี้เขาเพิ่งเปิดช่องยูทูปใหม่เอี่ยมเพื่อรองรับแฟนชาวไทยโดยเฉพาะ ใช้ชื่อช่องว่า “รินทาโร่อยากไปประเทศไทย Rintaro wanna go to Thailand” ที่ตอนนี้มีคนติดตาม 1.91K เดาว่า รินทาโรกำลังฝึกซุ่มพูดภาษาไทยอยู่แน่ๆ คลิปแรกของรินทาโร จะเป็นอย่างไรแนะนำว่าควรรีบไปกด Subscribe กันให้เร็ว แต่อะไรที่ทำให้หนุ่มคนนี้หันมาฝึกเรียนภาษาไทยขนาดนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด หมดโควิดเมื่อไหร่หนุ่มคนนี้น่าจะบินตรงมาเมืองไทยแน่นอน


Credit :
IG : rintaro_asari
Twitter : @rintaro_asari
TikTok : @rintaro_asari

]]>
‘มิเคลเล มอร์โรเน’ มาเฟียหนุ่มเซ็กซี่ ร้อนซ่าที่สุดในโมเมนต์นี้! https://marshomme.com/scoop/529932/ Fri, 03 Jul 2020 14:33:00 +0000
ด้วยความสูง 187 เซนติเมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม สัดส่วน 39-32-17 แถมบทบาทหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่โหด-ขรึม-เข้ม ส่งให้เขากลายเป็นดาราหนุ่มฮอตในชั่วพริบตา ในภาพยนตร์เรื่อง ‘365 Days’ (365 DNI) ของ Netflix ที่กระแสตอบรับแรงจัดในทุกประเทศทั่วโลก

มิเคลเล มอร์โรเน ดาราหนุ่มอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1990 ที่เมืองเมเลญาโน ในแคว้นลอมบาร์ดี ทางตอนเหนือของอิตาลี มีแม่เป็นผู้เลี้ยงดู แต่ไม่มีข้อมูลเปิดเผยเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อ มอร์โรเนเรียนจบไฮสคูลที่ถิ่นฐานบ้านเกิดแล้วก็มาเรียนต่อด้านการแสดงที่มหาวิทยาลัย Teatro Fraschini di Pavia ในเมืองปาเวีย แคว้นลอมบาร์ดี จนจบหลักสูตร ก่อนไปเริ่มงานแสดงละครเวที สลับกับบทบาทในรายการโชว์ต่างๆ ทางทีวี และเริ่มได้บทเล็กๆ ในหนังอิตาเลียนเรื่องแรกคือ ‘Medici’ เมื่อปี 2016 จึงค่อยมีชื่อบันทึกลงทำเนียบนักแสดง


และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตการแสดงมาถึงเมื่อเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ Netflix ในภาพยนตร์เรื่อง ‘365 Days’ นี่ละ

มิเคลเล มอร์โรเน รับบท ‘ดอน มัสซิโม ทอร์ริเซลลี’ หัวหน้าแก๊งมาเฟียซิซิลี ที่ลักพาตัว ‘ลอรา’ (รับบทโดยแอนนา มาเรีย ซีคลุคกา) หญิงที่เขาหมายปอง และให้เวลาเธอ 365 วันเพื่อทำให้เธอตกหลุมรักเขาให้ได้

สองผู้กำกับฯ บาร์บารา บิอาโลวาส และโทมัสซ์ มันเดส ดัดแปลงบทหนังจากนิยายไตรภาค ‘365 DNI’ ของบลังกา ลิปินสกา-นักเขียนหญิงชาวโปลิช มีความต่อเนื่องและชวนให้ติดตามจนนักวิจารณ์นำไปเปรียบเทียบกับ ‘Fifty Shades of Grey’ ของอี.แอล. เจมส์-นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นนิยายไตรภาคเหมือนกัน

นับตั้งแต่ Netflix ปล่อยหนังเรื่อง ‘365 Days’ ออกมาตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ในโปแลนด์ และในหลายประเทศจนถึงเดือนมิถุนายน ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ติดท็อป 10 ในชาร์ตสตรีมมิงของทุกประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งในเมืองไทย ทั้งๆ ที่นักแสดงในเรื่องแทบไม่เป็นที่รู้จัก รวมถึงนักวิจารณ์ยังหยิบยกเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศมาเป็นประเด็น และแปะป้ายว่ามันเป็นหนังต้านกระแส #MeToo


แต่ดูเหมือนมิเคลเล มอร์โรเนจะอยู่เหนือข้อตำหนิทั้งหลายทั้งปวง นอกจากจะได้ตำแหน่งดาวรุ่งของ Netflix แล้ว เว็บไซต์ Oprahmag.com ยังตั้งฉายาเขาว่าเป็น ‘โนอาห์ เซนติเนโอแห่งปี 2020’ นายแบบและนักแสดงหนุ่มอเมริกันที่เคยโด่งดังจากซีรีส์ ‘The Fosters’ (2015) อีกด้วย

มอร์โรเนจึงกลายเป็นที่จับตามอง สื่อแทบทุกค่ายต้องหันมารายงานเกี่ยวกับเขา ทั้งเรื่องงานแสดงไปจนถึงเรื่องส่วนตัว

“สถานภาพโสด” เป็นคำตอบที่แฟนคลับอยากได้ยิน และฟังแล้วฟิน เขาเคยแต่งงานกับรูบา ซาเดห์-นักออกแบบแฟชั่นชาวเลบานีส เมื่อปี 2014 มีลูกชายด้วยกันสองคน ชื่อมาร์คูโด และบราโด มอร์โรเน แต่เพิ่งหย่าร้างกันเมื่อปี 2018 ซาเดห์ย้ายไปร่วมงานในคอนเซ็ปต์สโตร์ ‘Le Paradis des Fous’ กับเอลี ซาบ-ดีไซเนอร์สัญชาติเดียวกันกับเธอ

ส่วนมอร์โรเน หลังจากหย่าร้างก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า เขาเคยเล่าผ่านอินสตาแกรมของเขาว่า เขาแทบหันหลังให้กับทุกอย่าง ไม่คิดอยากจะกลับไปทำงานเป็นนักแสดงอีกเลย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องไปทำงานเป็นคนสวนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพราะเงินเริ่มร่อยหรอ


ทุกวันนี้เขายังทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดี เป็น ‘สุดยอดคุณพ่อ’ ในหลายภาพที่อดีตภรรยาของเขามักโพสต์ลงอินสตาแกรม และข้อมูลอื่นๆ ที่แฟนคลับสนใจอยากรู้ จนสื่อต้องไปขุดคุ้ยมาให้ อาทิ

นอกจากเป็นนักแสดงที่มีความสามารถแล้ว มอร์โรเนยังเป็นนักร้อง มือกีตาร์ และนักแต่งเพลง รวมถึงคิดประโยคคำพูดต่างๆ ที่สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเขาเอง เขาชอบใส่ต่างหู เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าเกี่ยวกับ ‘นางเงือก’ เขาชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
เขาติดบุหรี่ เขาอยู่ภายใต้สังกัด ‘Take off Artist Management’ @takeoffartistmanagement เขาชอบสะสมนาฬิกาหรู และมีเป็นคอลเล็กชั่น เขาเป็นคนรักสัตว์ และชอบขี่ม้า ฯลฯ


มิเคลเล มอร์โรเนยังมีผลงานแสดงจากปี 2019 เป็นบทประกอบในหนังเรื่อง ‘Bar Giuseppe’ (Bar Joseph) ของผู้กำกับฯ กุยลิโอ บาเซ รวมถึงงานปรากฏตัวตามรายการโชว์ต่างๆ ทางทีวี

และงานเพลงอัลบั้ม ‘Dark Room’ ของเขาที่ปล่อยออกมาในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา แฟนคลับต้องย้อนกลับไปสตรีม ‘365 Days’ ดูอีกรอบเพื่อฟังให้ชัดๆ เขาหยิบมาใช้เป็นเพลงประกอบในเรื่องถึงสี่เพลง ‘Hard for Me’ เป็นเพลงตอนเปิดเรื่อง ‘Watch Me Burn’ ในฉากอาบน้ำ ‘Dark Room’ เป็นเพลงแบ็กกราวนฺด์ และ ‘Feel It’ เปิดในช่วงขึ้นเครดิตตอนท้ายของหนัง ผลงานเพลงของเขาติดชาร์ตท็อป 10 ในอเมริกาในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาด้วย

ส่วน ‘365 Days’ ภาคถัดไป แม้ยังไม่มีคำตอบจาก Netflix ว่าจะสร้างต่ออีกหรือไม่ และเมื่อไหร่ แต่ล่าสุดมอร์โรเนได้ให้คำตอบเรื่องนี้กับสื่อเมื่อคราวไปปรากฏตัวที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ช่วงปลายเดือนมิถุนายนว่า มีภาคต่อแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าการถ่ายทำจะเริ่มกันเมื่อไหร่ เพราะสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย

แต่ที่แน่ๆ มิเคลเล มอร์โรเนยังมีบทบาทการแสดงใน ‘The Trail’ ซีรีส์ความยาวแปดตอนของ Netflix ที่ถ่ายทำไปเมื่อปีที่แล้ว

ใครรักหลงคลั่งไคล้เขาละก็ อย่าลืมติดตามละกัน


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
NEW COMER ‘ภูมิ-ภูริพันธ์ ทรัพย์แสงสวัสดิ์’ https://marshomme.com/aboy/319607/ Mon, 27 Jan 2020 16:22:00 +0000
แม้ละคร ‘สางนางพราย’ ทางช่อง 8 ออกอากาศมาได้ครึ่งทาง แต่นั่นก็ทำให้นักแสดงหน้าใหม่เอี่ยมอ่อง ‘ภูมิ-ภูริพันธ์ ทรัพย์แสงสวัสดิ์’ แจ้งเกิดได้สบายๆ โดยเฉพาะฉากโชว์หุ่นล่ำๆ ขาวๆ นั้นทำเอาสาวทุกประเภทกรี๊ดดด เสียงหลงไปตามๆ กัน ภูมิภูริพันธ์ เป็นศิลปินฝึกหัดของสังกัดช่อง 8 มา 4 ปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่ได้รางวัลเดือนมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี 58 ก่อนหน้านี้ ภูมิเคยชิมลางเล่นเอ็มวี ‘อยากรู้ใจจัง’ ของแพรว อาร์สยาม และ ‘เสียบกลางอก’ ของกล้วย อาร์สยาม ส่วนละคร ‘สางนางพราย’ เรื่องนี้ เป็นละครยาวเรื่องแรกในชีวิตหนุ่มคนนี้


‘สางนางพราย’ เป็นละครเรื่องแรกที่ภูมิเล่นหรือไม่

ถ้าละคร เป็นเรื่องแรกครับ จริงๆ เคยเล่นซีรีส์มาก่อนครับ แต่เป็นซีรีส์จบในตอน เล่นเป็นน้องชายนางเอกครับ ตัวบทบาทอาจจะไม่ได้มีมากเท่าไร ซีรีส์เกี่ยวกับผีครับ แล้วตัวเองไม่ได้เห็นผี แต่พี่สาวเราในซีรีส์จะมองเห็นวิญญาณได้ ก็เลยมีโอกาสไปแจมๆ บ้างไป แต่จำนวนซีนอาจจะไม่ได้เยอะมาก

ก่อนจะมาแสดงในสางนางพราย ภูมิเรียนการแสดงมานานหรือยัง

จริงๆ เคยเรียนการแสดงตอนเข้าสังกัด เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วครับ ตอนนั้นยังไม่มีผลงานเลยครับ เพิ่งมามีผลงานเมื่อไม่นานมานี้ครับ

เคยเล่นมิวสิกวิดีโอมาก่อนหน้านี้ด้วย?

มิวสิกเคยเล่นครับ เคยเล่นเมื่อตอนเด็กๆ ประมาณตอนปี 1 เอ็มวีแรกเลยคือเอ็มวี ‘อยากรู้ใจจัง’ของแพรว อาร์สยาม เล่นเป็นเด็กนักเรียนนี่แหละครับ ไปถ่ายกันที่โคราช ถือว่าเป็นผลงานเอ็มวีแรกเลยที่ได้ทำงานในวงการบันเทิงครับ ก็สนุกมาก ตอนไปถ่ายกันได้เรียนรู้งานว่ามันต้องใช้เวลา ไม่ได้สบายอย่างที่คิด ส่วนเอ็มวีที่สองเป็นเพลง ‘เสียบกลางอก’ ของพี่กล้วย อาร์สยาม เอ็มวีนั้นจะคาแร็กเตอร์โตขึ้นมานิดหนึ่ง เป็นคนที่มีแฟนแต่ว่าเจ้าชู้ แอบไปมีคนใหม่


มาแคสต์ละครเรื่องนี้ได้อย่างไร เรื่องราวเป็นอย่างไร

จำได้ว่าตอนนั้นกำลังไปเที่ยวอยู่ แล้วน้าโป้ง (ปุรินทร์ ขำอ่อน) ไลน์มาบอกว่ามีละครติดต่อมา ให้ลองไปแคสต์ดู ตอนแรกคิดว่าไม่รู้จะได้หรือเปล่า เพราะว่าเราเพิ่งจะเล่นซีรีส์เสร็จ ยังไม่คิดว่าจะมีละครเข้ามาได้เร็วขนาดนี้ ก็ลองไปคุยดูครับ ไปถึงเจอทีมงานผู้จัดเลยครับ พี่เขายื่นบทให้ และให้ลองเล่นให้ดูเลย ตอนแรกเกร็งมากครับ เพราะว่าไม่เคยเล่นละครมาก่อน ต้องแสดงต่อหน้าผู้จัดเต็มไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร นั่งกันเต็มไปหมดเลยครับ

พอรู้ว่าเราได้รับเลือกให้แสดงในกลุ่มบทนำรู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นยังไม่คิดว่าตัวเองได้เล่นครับ คิดว่าแค่ไปแสดงให้ดูเฉยๆ แล้วก็เหมือนกับว่าพี่เขาขอลองเทสต์อีกครั้งหนึ่งตอนฟิตติ้งครับ พอถึงวันฟิตติ้งนี่กดดันอีกเหมือนกันครับ เกร็งอีก เพราะว่าไปเจอนักแสดงที่เขาเคยผ่านงานแสดงมาเยอะๆ พอเราต้องไปเจอเขาจริงๆ ก็ตื่นเต้น กดดัน แล้วให้แคสต์อีกรอบหนึ่ง ผู้กำกับ พี่เบิร์ด (ภูมิภัทร สังวาลย์วรกุล) บอกว่าโอเค พอได้ ก็เลยได้เล่นบทเป็น‘นพพันธ์’ ครับ นพพันธ์นี่คือเป็นรุ่นน้องคนสนิทของพระเอก ซึ่งก็คือพี่กอล์ฟ อนุวัฒน์ครับ ในบทเราจะต้องทำงานด้วยกัน เป็นหน่วยซีลครับคาแร็กเตอร์ที่กวนๆ หน่อย

ถ่ายทำเสร็จหรือยัง เห็นว่าต้องมีฉากดำน้ำด้วย

ตอนนี้ใกล้แล้วครับ อีกไม่กี่คิวก็หมดแล้ว ในละครมีฉากดำน้ำด้วย เรื่องนี้ถ่ายดำน้ำเยอะมาก ถ่ายทั้งบึง ทั้งแม่น้ำ แล้วก็ในสระกระโดดสูง คือเขาเซตไว้เพื่อใช้เป็นโรงเรียนสอนคนดำน้ำครับ สนุกมาก


ทำไมถึงไปเกี่ยวกับเรื่องในน้ำ

เป็นละครรีเมคครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับหัวเรือที่มีอาถรรพ์ เป็นเรื่องราวของความรักและความอาฆาต กับการข้ามภพเพื่อมาทวงคืนของสางนางพราย หรือเจ้าหญิงเมธาวดีแห่งอาณาจักรเมธานคร ผู้เป็นพี่สาวของเจ้าหญิงเมธาวลัย (จักจั่น อคัมย์สิริ) เจ้าหญิงเมธาวดีไปตกหลุมรักภาคิไนย องครักษ์ของเธอกับน้องสาว แต่ว่าภาคิไนยนั้นกลับไปมีใจให้เจ้าหญิงเมธาวลัย เมื่อเจ้าหญิงเมธาวดีรู้ตัวว่าเธอเข้าใจผิดคิดว่าภาคิไนยรักเธอ แต่กลับไปรักน้องสาวทำให้เธอหาทางจะกำจัดน้องสาวเพราะความอิจฉาริษยาแต่แผนที่จะกำจัดน้องสาวกลับทำให้เมธาวดีเสียชีวิต จึงทำให้เมธาวดีนั้นเป็นวิญญาณอาฆาตสิงสถิตอยู่ในหัวเรือโบราณ และรอทวงคืนชายคนรักและรอคอยการล้างแค้นทุกชาติ ที่เหลือต้องติดตามเองนะครับ

ที่เขาเลือกให้มาแสดงด้วยเพราะภูมิเคยเป็นนักว่ายน้ำมาก่อนด้วยใช่ไหม

พี่เขาก็รู้นะครับว่าเป็นนักว่ายน้ำ อาจจะแมตช์กับบทด้วยครับ


ภูมิเรียนจบสาขาอะไรมานะ

วิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดลครับ

เห็นว่าตอนแรกสนใจไปทำเทรนเนอร์อยู่พักหนึ่ง

ใช่ครับ จริงๆ ก็ยังรับเทรนอยู่นะครับ แต่ว่าอาจจะไม่ได้รับเพิ่มแล้ว คือตอนนั้นฝึกงานที่ฟิตเนสกลางเมืองแห่งหนึ่งครับ เพราะคิดว่าจะไม่มาทางด้านการแสดงอีกแล้ว คิดว่าจะเข้าคลับเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ฟิตเนสเลย แต่สุดท้ายพอมีโอกาสเข้ามาก็คิดว่าลองดีกว่าในเมื่อโอกาสเข้ามาแล้ว

ทำไมตอนนั้นถึงถอดใจจะไม่ทำงานวงการบันเทิงแล้ว

เพราะว่าตอนที่เข้ามาแรกๆ มันไม่มีงานเลย พอใกล้จะครบ 3-4 ปีที่เซ็นสัญญาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถ้าเรารออีก ไม่รู้ว่าจะรอถึงเมื่อไรครับ อีกอย่างเรามีค่าใช้จ่ายครับ เพราะว่าเราเรียนใกล้จบแล้ว จริงๆ ไม่ได้ขอเงินแม่มาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนะครับ คือไม่อยากรองานครับ อยากจะทำไปเลยสักอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน


อะไรคือจุดเปลี่ยน

จุดเปลี่ยนที่มาทำต่อคือคุยกับพี่ๆ ที่ฟิตเนสครับว่าจะทำอย่างไรดี เพราะตอนนั้นพอได้รับเลือกก็ต้องปรึกษากับหลายๆ คนครับ พี่ๆ หลายๆ คนทั้งพี่ๆ ที่ฟิตเนส ทั้งแม่ก้อง (ปรีดิยุช รัตนงาม)ทั้งน้าโป้ง ก็บอกว่าให้ลองดูก่อน โอกาสมันเข้ามาแล้ว จริงๆ กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปทำงานเทรนเนอร์อีก ตอนนั้นติดที่ทำงานที่นั่นแล้ว เขารับเราเข้าทำงานแล้วด้วยครับ คือโอกาสมันมาทั้งคู่ครับ แต่อยากลองทางนี้ดูก่อน เพราะว่าเราไม่เคยทำ พี่ๆ ที่ฟิตเนสก็เชียร์ว่าไปเถอะ


ภูมิเคยได้ตำแหน่งเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัยของมหิดลด้วย

ใช่ครับ คือคณะภูมิ การคัดเลือกดาวเดือนคณะจะใช้การโหวตครับ เป็นการโหวตดาวกับเดือนคณะที่ง่ายมาก ปกติคณะอื่นเขาจะมีการประกวดกันภายในก่อน แค่เดือนคณะนี่ก็ต้องประกวดก่อน มีผลโหวต มีคณะกรรมการจริงจัง แต่ที่คณะภูมิ ด้วยความที่เป็นวิทย์กีฬามั้งครับ เราไม่ได้เน้นเรื่องทางความหล่อความสวยความงามมากนัก เขาก็เลยเปิดโหวตกันในไลน์กลุ่ม มารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเดือนคณะไปแล้วครับ


วิทยาศาสตร์การกีฬาต้องเรียนอะไรบ้าง

วิทยาศาสตร์การกีฬา จริงๆ คือการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อมาประยุกต์ใช้ในทางการกีฬาครับ เรียนพวก Anatomy ต้องศึกษาร่างกายว่ากล้ามเนื้อส่วนนี้ใช้งานอย่างไร แล้วจะประยุกต์เข้ากับกีฬาอย่างไร ต้องใช้โภชนาการอะไรบ้าง เป็นการศึกษาเกี่ยวกับร่างกายและวิทยาศาสตร์มาประยุกต์กัน เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดทางการออกกำลังกายครับ

กลับมาเรื่องละครบ้าง คาดหวังกับสางนางพรายมากแค่ไหน

คาดหวังอยากให้คนดูเยอะๆ เพราะภูมิว่ามันสนุก แล้วก็เป็นเรื่องแรกของภูมิด้วยครับ แต่ทางด้านการแสดงของภูมิ ภูมิว่ายังต้องพัฒนาอีกครับ โดยเฉพาะเรื่อง acting ครับ เวลาภูมิดูจากมอนิเตอร์แล้ว ภูมิว่ามันต้องพัฒนาอีก เพราะว่ายังใหม่ด้วย


ไลฟ์สไตล์วันหยุดเป็นอย่างไร

ภูมิไม่ค่อยมีวันหยุดครับ ภูมิทำงานตั้งแต่ปี 2 ครับ สอนว่ายน้ำ ถ้ามีเวลาว่างภูมิก็ไปสอนน้องๆ เด็กๆ

อยากให้ภูมิแนะนำน้องๆ ที่อยากเรียนต่อทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาว่าควรจะต้องมีความรู้พื้นฐานหรือต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ลองเข้าไปทางคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาดูว่าพี่ๆ จะแนะนำว่ามีการเรียนการสอนแบบไหน ต้องทำอะไรบ้างในแต่ละชั้นปี แล้วดูว่าเราชอบหรือเปล่า ถ้าชอบให้มาเรียนเลยครับ อย่าไปด้วยความคิดแบบว่าดีไหม หรือว่าจบมาจะทำงานอะไร เพราะว่าถ้าเราชอบ มันจะมีความสุขกับการทำงานครับ


ติดตามความเคลื่อนไหว ‘ภูมิ-ภูริพันธ์ ทรัพย์แสงสวัสดิ์’ IG @poompps
ติดตามละคร ‘สางนางพราย’ ทางช่อง 8 ได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 18.40 น.

]]>
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ คนเดิมในโลกใบเดิม กับเวลาที่เปลี่ยนผ่าน https://marshomme.com/interview/210682/ Fri, 20 Dec 2019 08:09:00 +0000

พระเอกหนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์-ฝรั่งเศส เริ่มเข้าสู่แวดวงการแสดงในสังกัด GTH (ปัจจุบันคือ GDH) ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ เมื่อปี 2548 และสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘คม ชัด ลึก อวอร์ด’ จากผลงานแสดงเรื่องแรกในปีนั้น จากนั้นค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนสามารถขึ้นทำเนียบนักแสดงระดับแถวหน้า มีผลงานการแสดงทั้งภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์เรื่อยมาตราบถึงปัจจุบัน

อาจเป็นเพราะความเท่ทั้งรูปลักษณ์และวาจา บวกกับความชิลล์ ขี้เล่น และติดดิน ที่เขาเปิดเผยในโลกโซเชียล ทั้งช่องทาง IG: @sunny_suwanmethanont ซึ่งมีผู้ติดตามถึง 3.5 ล้านบัญชี หรือทาง facebook.com/SunnSuwanFC ที่มียอดฟอลโลว์กว่า 5 แสนคน ทำให้ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ยังคงเป็นที่นิยมชมชอบของคนในวงการและแฟนคลับอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ซันนี่ยังมีผลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และพร้อมจะบอกเล่ากันตรงนี้ รวมถึงอัพเดตเรื่องราวอื่นๆ ในชีวิต แบบเท่ๆ ชิลล์ๆ


ทำงานในแวดวงบันเทิงมาสิบสี่ปี ได้เรียนรู้อะไรจากวงการบ้าง

ได้เจอคนดีๆ ครับ ได้เจอสิ่งที่ผมอยากทำเป็นอาชีพ และยังทำให้ผมมีแรงขับเคลื่อนจากมันด้วย ผมเลยรู้สึกโชคดี

ยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกบ้างไหม

ทุกอย่างละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจอคน การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น การเข้าสังคม การเงินของตัวเอง ทุกอย่างเลยครับ ได้เรียนรู้จากการเจอคน หรือได้เรียนรู้จากการที่ได้ไปอยู่ในที่ที่เราไม่เคยไป ได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ


ทุกวันนี้ซันนี่ยังเป็นศิลปินในสังกัดของ GDH อยู่ใช่ไหม

จริงๆ แล้ว GHD กับนาดาวคือบ้าน เรามีสัญญาใจกันครับ เขาคอยดูแลผมมาตั้งแต่แรก ก็เลยจะไม่ย้ายไปเมืองจีน (ยิ้ม)

ความยาก-ง่ายระหว่างการเป็นดาราในสังกัด กับไม่มีสังกัดเป็นอย่างไร

อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมเป็นกึ่งทั้งสองอย่าง ไม่รู้ว่าดาราในสังกัดเขาทำอย่างไร หรือดาราที่ไม่มีสังกัดจะเป็นอย่างไร เพราะว่าผมไม่รู้สึกว่าผมเป็นดาราอะไร ผมเป็นแค่คนปกติที่ทำอาชีพนี้ ก็เลยไม่ได้คิดว่า เอ๊ย…สังกัดแล้วฉันจะทำอะไรต่อไป มีสิ่งเดียวที่คิดจะทำก็คือ การเป็นนักแสดง อยากทำงานแสดงเท่านั้นเอง ที่เหลือก็แล้วแต่ ชีวิตจะไปทางไหนครับ

แต่ที่ผ่านมา งานทุกอย่างก็ผ่านสังกัดใช่ไหม

ใช่ครับ เขาดูแลเรา

และนั่นคือข้อดี

ใช่ครับ มีคนดูแล มีครอบครัวที่ปกป้องเรา ก็ดีครับ ดีกว่าที่เราจะไปคุย ไปหาโน่นนี่เอง อยากเล่นอยากแสดงอย่างนี้จัง แต่ถ้าไม่มีที่ให้ทำก็ไม่ได้


สิบสี่ปีที่ผ่านมา ซันนี่เคยรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้บ้างไหม

ผมไม่เคยเหนื่อยเลยครับ ผมเป็นคนแข็งแกร่งมาก ดูกล้ามสิ (ยิ้ม) มันอยู่ที่จิตครับ จิตจะสั่งตลอด ถ้าเราไม่หิวจิตจะสั่งให้ไม่หิว

อีกสองปีอายุจะสี่สิบแล้ว

ครับ ผมไม่เคยสี่สิบมาก่อน

เตรียมตัวอย่างไรบ้างไหม

ผมไม่เคยเตรียมตัวอะไรครับ เพราะผมไม่คิดว่าผมเปลี่ยนอะไรไปเลย ตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรกตอนอายุยี่สิบสาม มันก็มาเรื่อยๆ จนอายุสามสิบแปดเนี่ยครับ ไม่ได้เคยเลยว่าผมโตขึ้นหรือเปล่า หรือว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไป ผมแค่อยากใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่อยากทำ แค่นั้น


อายุเพิ่มขึ้น เวลาการทำงานเพิ่มขึ้น ข้อจำกัดในการทำงานมันเพิ่มขึ้นด้วยไหม

อ่า…มันหลายๆ อย่างครับ ไม่เชิงเป็นข้อจำกัด แต่พอเราเข้าใจแล้วว่าอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้ อันไหนไม่ควรจะทำ หรือว่าอันไหนเรารู้สึกพอใจแค่ไหน ก็จะคุยกันได้ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างคุยกันได้ โดยการที่ทำให้รู้สึกวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย มันคือการประนีประนอมกันและกัน

งานการแสดง สิ่งที่รับเล่นตลอดเวลานั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำอยู่แล้ว ผมไม่เคยยึดติดว่า ผมจะต้องเป็นใคร เป็นพระเอก หรือเป็นนักแสดง มันไม่ใช่วิถีอย่างนั้น คือพอเป็นภาพยนตร์ เป็นซีรีส์ที่เล่น เราทำงานเป็นทีม เหมือนทีมฟุตบอลของเราสิบเอ็ดคน นักแสดงทุกคนก็จะอยู่ในทีม ถ้าเราเตะชนะ เราได้แชมป์ด้วยกัน เราไม่ได้บอกว่า เฮ้ย…เพราะฉันนะ ฉันยิงประตูชัย ฉันเลยชนะ ไม่เกี่ยว

คิดวางแผนอะไรสำหรับอนาคตหรือเปล่า

ตั้งแต่อายุสี่-ห้าขวบแล้ว ผมไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิตเลยครับ โชคดีมากที่แม่ผมไม่ค่อยรักผมเท่าไหร่ (หัวเราะ) เขาเคยไปแฉว่า คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ มันคือชีวิตคุณ

ซันนี่ดูแลตัวเองอย่างไร ทั้งด้านสุขภาพ ร่างกาย ผิวพรรณ

อืมม์ จริงๆ แล้วมันคือ คิดในแง่ดีอย่างเดียวครับ ผมเองไม่ค่อยดูแล มีคนคอยดูแลอยู่แล้วคือช่างแต่งหน้า ช่างผม เขาชอบซื้อครีมมาให้ผม แค่นั้นเอง เลยไม่รู้ว่าจะดูแลอะไร ส่วนสุขภาพ เรื่องบอดี้ ถ้ารู้ว่าเราต้องเล่นเป็นอะไร เราก็ทำสภาพร่างกายให้เป็นตามนั้น ก็คือรักษาให้มันตรงกลางไว้


ก็คือใช้ชีวิตตามบท

ใช่ครับ มันก็เหมือนกับ…แล้วแต่ว่าชีวิตเราจะโดนพัดพาไปทางไหน มันสามารถมีช่วงเวลาที่เราจะเป็นแบบนี้ได้ หรือเป็นอีกแบบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา

แล้วถ้าไม่มีงานแสดงล่ะ ซันนี่ดูแลตัวเองอย่างไร

ก็ทั่วๆ ไป มันไม่ใช่การดูแลครับ กินอิ่มนอนหลับเหมือนทั่วๆ ไปแหละครับ

กลัวอ้วนบ้างไหม

ถ้าเกิดว่าจะต้องไปเล่นบทอะไรที่ไม่อ้วน จะกลัวครับ แต่ถ้าไม่มีก็เฉยๆ

เป็นคนอ้วนง่ายไหม

ผมเคยทั้งอ้วนและผอมมาตลอดทั้งชีวิต ผมรู้ตั้งแต่เล่นหนังเรื่อง ‘รัก 7 ปี ดี 7 หน’ ผมรู้จังหวะแล้วว่า ทำแบบไหนจะเอาไขมันออกได้ กินแบบไหนจะ…ผมไม่ต้องกังวลไง เพราะผมมีทรงที่สร้างได้อยู่แล้ว เคยไปฟิตเนสและสร้างทรงไว้แล้ว สมมุติพอเผละไป แป๊บเดียวก็กลับมาเหมือนเดิมได้

ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

ใช่ครับ มันอยู่ที่วินัยของเรา


แล้วกลัวแก่ไหม

ไม่รู้สิ ไม่แก่สักที ไม่รู้จะกลัวไปทำไม

เลขสี่ก็น่ากลัวแล้วนะ

ใช่ จริงเหรอครับ ยังไม่เคยถึงเลยครับ (ยิ้ม) แต่เท่ขึ้นทุกวัน ผมเลยไม่รู้ตัว

คิดถึงเรื่องการมีครอบครัวบ้างหรือยัง

ครอบครัวผมมีอยู่แล้วครับ

ครอบครัวของตัวเองล่ะ

หมายถึงผมเอาแม่ของคนอื่นมาเหรอครับ (ยิ้ม) ยังไม่เคยคิดเลยครับ มันต้องเจอก่อนว่าเราเจอใคร แล้วเราอยากจะสร้างครอบครัวกับเขาหรือเปล่า และเขาต้องอยากสร้างครอบครัวกับเราด้วยนะ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นความต้องการของผมอย่างเดียว ไม่ได้สวยงามเป็นความรัก มันต้องไปด้วยกัน


ตอนนี้ซันนี่มีผลงานอะไรใหม่บ้าง

มีหนังใหม่เรื่อง ‘Happy Old Year’ ครับ จะเข้าฉาย 26 ธันวาคมนี้ ดาราที่ร่วมแสดงมีน้องออกแบบ-ชุติมณฑน์ (จึงเจริญสุขยิ่ง) พี่อุ๋ม-อาภาศิริ (นิติพน) ฟ้า-ษริกา (สารทศิลป์ศุภา) และดาราอีกคับคั่งมากมายครับ กำกับฯ โดยนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

เรื่องราวเป็นอย่างไร

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สำหรับคนที่อยากจะทิ้งแต่ไม่อยากจะตัดใจ หนังพูดถึงความสัมพันธ์ของคนกับสิ่งของ คือของที่ก่อนจะให้เรามา มันเคยเป็นของของคนอื่นมาก่อน คือมันไม่ใช่แค่สิ่งของ มันเชื่อมโยงกับคนคนนั้นด้วย

เรื่องเริ่มต้นจากการที่คนคนหนึ่งจะย้ายบ้าน ต้องจัดบ้านใหม่ แล้วต้องไปเก็บของ รื้อของ สุดท้ายก็เลือกว่าอันไหนจะเก็บไว้บ้าง แต่มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่า ของบางอย่างมันเคยเป็นของใคร คนให้เรามา เราจะทิ้งมันดีไหม หรือเราจำความรู้สึกว่า คนที่เคยเป็นเจ้าของของสิ่งนี้เขาเป็นคนแบบไหน และจำได้ว่าสิ่งที่เราเคยคุยกับเขามันมีความสุขหรือเปล่า มันเชื่อมกันครับ ระหว่างสิ่งของกับคน

ในเรื่องผมเล่นเป็นโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เป็นคนจัดพร็อป จัดหาของเวลาจะทำอีเวนต์ และเป็นคนดีไซน์ว่าควรจะมีอะไรบ้าง ตัวละครนี้ก็จะเป็นมนุษย์อีกมุมหนึ่ง

ความจริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องอธิบายคาแรกเตอร์ของตัวละครหรอกครับ คนมักคิดว่าผมเล่นเหมือนกันทุกเรื่องอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า ไม่ว่าผมจะอธิบายอย่างไร คนก็ยังคิดแบบนั้น (ยิ้ม) ใช่ไหมครับ เล่นเป็นหมอเป้ง (My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน) เขาก็หาว่าผมเป็นชาวี (น้ำตากามเทพ) มันเหมือนกันตรงไหนผมยังไม่รู้เลย ก็แล้วแต่ ตามสบาย (หัวเราะ)

ตัวซันนี่เองล่ะ มีของอะไรบ้างที่ทิ้งไม่ลง

ที่บ้านเพียบเลยครับ ผมจำได้ว่าของชิ้นไหนที่ผมซื้อหรือใครให้มา แล้วเวลาหยิบออกมาจะทิ้งผมก็รู้สึกเกรงใจ ทิ้งไม่ลง อย่างของที่แฟนคลับให้มา จะยกให้คนอื่นผมยังเกรงใจเลย คนนี้ใส่ได้ แต่ถ้าแฟนคลับไปเห็นเข้าละ อะไรแบบนี้


ซันนี่มีไอดอลไหม และเป็นใคร

แบบอย่างที่ดีที่สุดในการเป็นมนุษย์ใช่ไหมครับ มีครับ สำหรับผมคือในหลวงรัชกาลที่ 9 อยากเป็นสักเสี้ยวหนึ่งของท่าน

ยึดคำสอนอะไรของพระองค์มาปฏิบัติบ้าง

เต็มไปหมดเลยครับ พระองค์ท่านสอนทั้งในเรื่องวิธีคิด คือการที่เราเปลี่ยนวิธีคิดเราก็สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ความพอเพียงไม่ได้หมายความแค่ว่าการอดออมหรือเก็บอะไรไว้ใช้ แต่มันคือทัศนคติ ว่าเรารู้จักตัวเองแค่ไหน รู้ว่าอะไรควรจะมีหรือไม่ควรจะมี บางอย่างเราไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ สิทธิบางสิทธิเราไม่มีความต้องการที่จะใช้ในชีวิตด้วยซ้ำ แต่เรากลัวคนอื่นเอาเปรียบ
ถ้าเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คนอื่นจะมีอะไรเยอะก็เรื่องของเขา เราจะมีรถสามคันทำไมในเมื่อเราใช้แค่คันเดียว แล้วเราจะมีรถอีกสองคันเพื่ออะไร มันคือวิธีคิดน่ะ วิธีคิดถูกปั๊บทุกอย่างก็ถูก

แล้วไอดอลในการทำงานล่ะ เป็นใคร

ทุกคนละครับ ทุกคนที่รักในอาชีพของเขา และทุ่มเทให้กับมัน ในวิชาชีพที่เขาจะมีได้ นักแสดงที่เคยร่วมงานกับผมทุกคนก็เป็นไอดอลของผมหมด เขาเป็นอาจารย์ผมด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นแบบอย่างที่ดี ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์จากทุกคน เพราะการแสดงมันต้องเชื่อมโยงกัน ต้อง react กัน เหมือนเราเจอมนุษย์คนหนึ่ง เราก็ได้เรียนรู้อะไรจากเขา


ซันนี่เรียนรู้การแสดงเพิ่มเติมจากไหนบ้าง นอกเหนือจากเวิร์กช็อป

จริงๆ แล้วการแสดงเพิ่มเติมที่ดีที่สุดคือการรู้จักมนุษย์ เจอคน คิดและเข้าใจประสบการณ์ชีวิตครับ ผมไม่เชื่อว่าการแสดงคือการฝึกฝน ผมเชื่อว่าเราจริงใจต่อความรู้สึก สำหรับผมมันไม่ใช่เหมือนกีฬา ผมไม่ต้องการ…การที่ทำอย่างไรให้ตัวเองร้องไห้ได้ตลอดเวลา มนุษย์จริงๆ ทุกคนอยากทำอะไรในตอนนั้น แค่บางจังหวะ บางจังหวะต่อให้เศร้าแค่ไหนเขาก็ไม่แสดงออก บางจังหวะเขาทนไม่ไหว เขาถึงแสดงออกมา

ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้มันต้องใหม่ สม่ำเสมอ ผมไม่อยากเคยชินในการที่…ผมฝึกมาเพื่อ…การแสดงคือการใช้ชีวิตตัวละคร ผมไม่สนใจว่าใครจะเก่งหรือไม่เก่ง

ซันนี่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ไหนสำหรับการรับงานแต่ละชิ้น

การเตรียมตัวของผมคือการปลูกฝังความเป็นทัศนคติ (ของตัวละคร) แบบนั้นลงไป ปลูกฝังความเข้าใจ และให้ตัวเองจริงใจต่อความรู้สึกนั้นด้วย ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน มันเป็นวิธีที่ผมคิดขึ้นมา ถ้ามันผิดหลักการละก็ อาจารย์หลายๆ คนอย่าว่าผมละกัน ผมขอโทษจริงๆ ผมทำได้แค่นี้ครับ (ยิ้ม)

มันคือชีวิตคนครับ เอาจริงๆ แล้วคนเรา…อย่างตัวผม ผมไม่ได้จำอะไรมาพูด ผมฟังอะไรมา รู้สึกแบบไหน แล้วผมก็แสดงหรือ react ตอบไปแบบนั้น ผมไม่ได้คิดว่าผมจะต้องหันหน้าด้านนี้แล้วพูดอย่างนี้นะ มันเท่แน่ๆ เลยเมื่ออยู่ในกล้อง ผมไม่ได้คิด มันเป็นไปเอง

แล้ววิธีการก็คือ ตอนนี้เราก็ต้องไม่ใช่ตัวเอง เราเป็นตัวละครนั้น ใส่ทัศนคติของตัวละครนั้นเข้าไป และใช้ชีวิตเหมือนเขา เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่เรื่องผิด นั่นคือสิทธิของเขา

งานอดิเรกของซันนี่มีอะไรบ้าง

ไม่รู้สิครับ มันเลือกไม่ถูก ผมก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ชอบเดินเล่น ชอบช้อปปิ้ง ชอบไปต่างประเทศ ชอบเจอเพื่อน ชอบไปเตะบอล ก็เลยไม่รู้ว่าอันไหนคืองานอดิเรก


มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหมเวลานี้

สิ่งที่สนใจในชีวิตตอนนี้ก็คือความสนุกสนานละครับ ความตั้งใจที่อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นให้ได้เรื่อยๆ ทุกวัน รวมทั้งงานแสดง และครอบครัว ผมก็มีอยู่แค่นี้ ผมอาจจะไม่ใช่คนที่แสดงออกด้านความรักกับครอบครัวสักเท่าไหร่ แต่ว่าผมก็อาศัยความเชื่อใจ

แต่มีความใกล้ชิดกับครอบครัวใช่ไหม

ใกล้ชิดครับ ผมอยู่ห่างกับพ่อแม่ประมาณแปดกิโลครับ ตั้งแต่แม่กลับจากแอฟริกาผมยังไม่ได้ไปหาแม่เลย ผมเจอแค่ครั้งเดียว

พวกพี่ๆ ล่ะ

พี่ชายก็อยู่บ้านครับ ยังไม่มีครอบครัว ส่วนพี่สาวผมมีครอบครัวแล้ว ก็แยกกันอยู่คนละบ้าน

แม่ยังเป็นห่วงซันนี่อยู่ไหม

ห่วงตลอดครับ เพราะเขาคิดว่าผมเหมือนเด็กเล็กๆ ตลอด แต่เขาจะไม่มาบอกผมเลยสักครั้งในชีวิตว่าอยากให้ผมทำอะไร

แม่ห่วงเรื่องอะไรบ้าง

ทุกอย่างแหละครับ ต่อให้อะไรเขาก็ห่วง กินข้าวหรือยัง เขาก็ห่วง ลูกเขาน่ะ (ยิ้ม) ถึงผมโตแล้วเขาก็ห่วง เหมือนผม แม่ผมไปแอฟริกาคนเดียวเดือนหนึ่ง ผมก็ห่วง แต่จริงๆ แล้วคิดว่า เขาใช้ชีวิตอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว และเขาไม่ใช่เด็กแล้วไง ผมก็ต้องปล่อยให้เขาทำนั่นทำนี่ แต่เขาก็ไม่บ่น ไปคนเดียว ได้สัญชาติมาลีกลับมาอีก (ยิ้ม) เหนือชั้นมาก ไม่รู้ทำได้อย่างไร โกงอายุได้อีกหกปี
แม่ผมเหนือชั้นมาก พ่อผมยืนปรบมือเลย ทำได้อย่างไร (หัวเราะ)


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์


สามารถดาวน์โหลดได้ที่ :
https://www.mebmarket.com/ebook-112421-Mars-Homme-Magazine-Online-SUNNY
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/79e8f50f-bcdd-4c9e-ae70-9cc71ee3b43c/mars-homme-magazine-online-sunny

]]>
TRULY HEARTTHROB ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ นักแสดงหนุ่มอนาคตไกล https://marshomme.com/aboy/128893/ Thu, 21 Nov 2019 16:55:00 +0000

กวาดสายตามองนักแสดงหนุ่มๆ สายเซ็กซี่ สยบใจสาวๆ ทุกประเภททุกครั้งที่เขา ‘ถอดเสื้อ’ ณ โมเมนต์นี้ คงต้องยกให้ชื่อ ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลจากซีรีส์ ‘3 Will Be Free สามเราต้องรอด’ทางช่อง one 31 แซงโค้งขึ้นมายืนหนึ่งเหนือนักแสดงวัยรุ่นชายทุกคนที่มีอยู่ในตอนนี้


อันที่จริง จอสฉายแววความเซ็กซี่มาตั้งแต่สมัยเข้าวงการด้วยการเป็นพิธีกรรายการ ‘ดูมันดิ’ รายการท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีพิธีกร 5 หนุ่มรสแซ่บๆ ลองย้อนกลับไปดูเทปเก่าๆ สิ เอะอะถอดเสื้อตลอดเวลา และหลายๆ อีพีก็ทำเอาน้ำหมากป้าแก่เลอะเสื้อไปหมด

“ตอนแรกทำเพจดูมันดิกับพี่ๆ ครับ เป็นเพจท่องเที่ยว แกล้งคน ทำคลิปตลกๆ ออนไลน์ ทั้ง YouTube และ Facebook แล้วตัวเราก็มีคนตามมากขึ้นใน Instagram ครับ จนวันหนึ่งพี่โจ้ (ทิชากร เหรียญทอง) ผู้กำกับของ Trasher อยากให้เรามาออดิชั่นบทบทหนึ่งใน Friend Zone ซีรีส์ เป็นนักแสดงรับเชิญ เป็นแฟนเก่าของแพรวา ก็เลยได้มาลองออดิชั่นดูครับ สุดท้าย เขาถามผมว่าอยากเซ็นสัญญากับ GMM ไหม อยากเล่นละครไหม สรุปได้รับเชิญสองเรื่องคือ Friend Zone ซีรีส์ และ Wolf เกมล่าเธอ ส่วนเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้รับบทหลักครับ”


งานพิธีกรสนุกไหม “สนุกครับ” จอสตอบ “แต่ถามว่ามันเชิงพิธีกรเต็มตัวไหมก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ เราไม่ได้พูดตามสคริปต์จ๋า มันเป็นแค่เพจท่องเที่ยวเหมือนเป็นกึ่ง vlog กึ่งรายการเรียลลิตี้ ที่พวกเราไปแข่งทำนู่นทำนี่กัน หาชาเลนจ์ ไปทำในสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทยแล้วก็ต่างประเทศครับ และถ้ามีคอนเทนต์ที่เราเห็นว่าสนุกๆ เราก็ทำครับผม แต่การออนมันจะไม่ได้ฟิกซ์ว่าอาทิตย์ละเทป จะออนตามคอนเทนต์ที่มีครับ ดูมันดินี่เริ่มทำตอนเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ปี 3 ครับ ถ้าจำไม่ผิด”

ก่อนเรียนนิเทศ เรียนอะไรมาก่อน มีคนเมาท์ว่าจอสเป็นลูกครึ่งปักษ์ใต้ “ไม่ครึ่งนะครับ เป็นคนใต้ล้วน ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชครับ ผมก็เกิดที่นั่น โตที่นั่นจนถึง 12 ปี จึงได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สายไหมครับ ตอน 12 เข้า ม.2 เรียนได้ปีหนึ่งก็ได้ทุนนักกีฬาครับ ไปอยู่โรงเรียน Traill International School เป็นโรงเรียนนานาชาติที่รามคำแหงครับ ตอนอายุ 15 ปี แต่พ่อแม่ผมไม่ได้ย้ายมาด้วยนะครับ ท่านยังทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน พ่อผมส่งมาเรียนกรุงเทพฯ เพราะมองว่าการศึกษาและสภาพแวดล้อมน่าจะดีกว่า เขาก็เลยส่งมาอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมากๆ ของคุณพ่อ แล้วเขาก็เอ็นดูเราอยู่แล้ว เพราะเขาไม่มีลูก แต่ตอนย้ายเรียนอินเตอร์ก็มาอยู่หอข้างๆ โรงเรียนคนเดียวครับ” จอสกล่าว


แล้วทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงเลือกเรียนนิเทศศาสตร์

“ให้พูดตามตรงเลยนะ” จอสเกริ่น “ตอนแรกคือทางครอบครัวอยากให้เข้าจุฬาฯ มากๆ ที่ผ่านมาไม่มีญาติๆ เคยเข้าจุฬาฯ มาก่อน เขาเลยรู้สึกว่ามันเป็นบิ๊กดีลสำหรับเขา ตอนแรกผมอยากจะเข้า BBA บริหารธุรกิจครับ บัญชี แต่ว่าผมก็รู้สึกว่าเรายังไม่รู้เลยเราชอบอะไร ส่วนนิเทศตอนนั้น เอาตรงๆ ผมไม่ได้รู้มากว่านิเทศต้องทำอะไรบ้าง พอคิดถึงนิเทศก็คือทำหนังแล้วเราไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น แต่ว่าเรายื่นไป 3 คณะ ยื่นเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ ยื่นนิเทศอินเตอร์ แล้วก็ยื่นบัญชีหรือว่าบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์ไปหมดเลยของจุฬาฯ ของที่อื่นคือไม่ได้ยื่นเลยครับ เพราะว่าอยากเข้าแค่จุฬาฯ แต่ดันติดแค่ตัวเดียว ถือโชคดีมากๆ เพราะว่าพอเราเข้ามาแล้ว เรารู้สึกว่าเราชอบที่สุดแล้ว เหมาะกับเราที่สุด เพราะเห็นเพื่อนที่เรียนบริหารอินเตอร์ เรียนเศรษฐศาสตร์ แล้วดูเครียด ไม่ใช่ตัวเราเลย”

แมสคอมคือเส้นทางสู่ออนไลน์หรือเปล่า “ก็ส่วนหนึ่งครับ” จอสตอบ “เหมือนตอนนั้นเรื่องโซเชียลมีเดียเริ่มมาแล้ว YouTube พวก Instagram เริ่มมาใหม่ๆ ตอนนั้น Facebook จะบูมมากกว่า แต่ว่า Instagram ก็เพิ่งเริ่มมา แล้วเราก็ได้เห็นเพื่อนๆ ที่เขาเป็นดารา เด็กนิเทศก็มีดาราบ้าง มีเน็ตไอดอลบ้าง เราก็เห็นเขา แล้วพอเราได้มาทำเพจเอง เรารู้สึกว่าเพิ่งได้รู้จัก แต่พอได้เรียนพวก Online Marketing ด้วย ผมเก็ตทันทีว่ามันคืออะไร เพราะว่าในช่วงนั้นมันเป็นช่วง transition ระหว่าง Offline Marketing กับ Digital Marketing ด้วย เป็นช่วงที่กำลังหนักจะเทไปทาง Digital Marketing มากขึ้น ถือว่าช่วยให้เราปรับตัวได้เร็ว”


ถือว่าได้เลือกเรียนที่ลงตัวกับตัวเรา “ก็ไม่ทุกวิชาครับ แต่คลาสที่ไม่นึกว่าจะมาชอบแต่กลับชอบมากก็คือคลาสที่ได้เรียนมิวสิคัลคลาสหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้มาสายการแสดงเลย แต่ดันมาชอบคลาสนี้มากๆ เพราะว่ามันได้ทำงาน ทำละครเวที ได้ร้องเพลง ซึ่งเราไม่เคยร้องมาก่อน แล้วได้พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเราชอบมาก ก็เป็นคลาสที่ชอบมากๆ เลย ส่วนเรื่องแบบ Ad กับ Marketing เราก็พอได้ครับ แต่ไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น เราชอบ Public speaking เราชอบการพูด การได้แบบไป presentation เราจะเป็นสายพูดมากกว่าสายเขียน เพราะฉะนั้นงานในคลาสคือเราจะเป็นสาย present เลยรู้สึกว่าเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบพูด”

เด็กนิเทศเขาชอบทำกิจกรรม ตอนเรียนทำกิจกรรมบ้างหรือเปล่า “ผมทำตอนเทอม 1 อย่างเดียวครับ แต่พอเราได้ทำเกือบทุกอย่างแล้ว เรารู้สึกว่าเราเริ่มเฟดๆ ออกมา เพราะตอนนั้นคือคลั่งฟิตเนสมาก เข้าแต่ฟิตเนสอย่างเดียวเลย เพราะว่าถ้าอยู่ในคณะคือมันต้องทำงานจนดึก แล้วมันรบกวนเวลาฟิตเนสเรา”

ไม่ชอบการแสดงแต่พอมาเริ่มเข้าสู่โหมดการแสดงต้องปรับตัวมากไหม “เยอะครับ”(หัวเราะ) จอสตอบ “ถามว่าเยอะไหมก็ไม่ได้มากขนาดนั้นนะ แต่ว่าต้องปรับตัวในระดับหนึ่ง เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบเซ็ตอะไรไว้ก่อน จะมีคนวางแพลนวาง Schedule ตลอดเวลา ทำให้เราเป็นคนที่ทำตามแผน วางแผนในชีวิตเราในหลายๆ เรื่อง แต่ว่าในเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องของศิลปะ มันเป็นการปล่อยตัวเองให้ฟรี แล้วก็อินไปกับโมเมนต์นั้นๆ ซึ่งผมว่าสำหรับตัวผมในตอนนั้นแล้วก็ตอนนี้ เป็นอะไรที่ชาเลนจ์มากๆ ที่การที่จะเป็นคาแรกเตอร์ที่เราไม่รู้จักอะไรเลย มันต้องลืมเกือบทุกอย่างครับ แล้วทำตัวให้ relax ให้ได้มากที่สุด คือผมเป็นคนที่ชอบกดดันตัวเอง หมายถึงว่าถ้าเป็นเรื่องในด้านกีฬาหรือว่าเรื่องการเรียน ถ้าเราออกกำลังกายทุกวัน มันจะเก่งขึ้น มันจะดีขึ้น มันจะมีกราฟที่ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ถ้าเราใส่เวิร์กไปเท่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้มันก็จะประมาณเท่านี้ แต่การแสดงมันไม่เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นงานศิลปะ มันต้องใช้อารมณ์ ซึ่งมันเกี่ยวกับตัวเราเลย ถ้าเราไม่ relax การที่กดดันตัวเอง บางทีมันก็ไม่เวิร์ก”


นี่ถือว่าเราต้องมาเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่หมด “ใช่ครับ ในการแสดงนี่ใช่เลย เพราะว่าจนถึงตอนนี้ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ พยายามจับจุดอะไรที่มันเวิร์กกับเรา เราก็ไปฟัง podcast ไปเรียนเพิ่ม แต่โชคดีครับที่ 2 เรื่องแรก บทน้อยมาก แค่ตัวละครที่มาโผล่เป็นสีสันของตัวละครตัวหลักตัวหนึ่ง ถามว่าตอนนั้นเข้ากล้องครั้งแรกของ Friend Zone ซีรีส์ โอ้โฮพูดติดๆ ขัดๆ ลนมาก ไม่เคยเจอประสบการณ์ในกองถ่ายมาก่อน ไม่เคยมาอยู่ข้างหน้าเลย เคยไปทำงานกับเขาบ้าง แต่ก็ไปดูเบื้องหลัง แล้วเราก็ไม่ได้อินอะไรอยู่แล้ว พอไปทำงานจริงๆ มันตื่นเต้น แต่พอไปดูผลงานปุ๊บ เขาตัดต่อมา เขาก็ช่วยเรา มันออกมาโอเค เรารู้สึกว่า เฮ้ย เจ๋งดี เออเราได้ไปอยู่ที่เราเคยดูคนอื่นเขา อะไรอย่างนี้ครับ ก็ตื่นเต้น แล้วพอเรื่องที่ 2 คือ Wolf ได้ไปพูดบทภาษาอังกฤษด้วย เป็นบาร์เทนเดอร์ เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ยเออมันสนุกแล้ว อะไรอย่างนี้ ถ้าเราทำได้มันสนุกแล้ว” จอสกล่าว

จากรับเชิญ เดินไปเดินมาหล่อๆ พอต้องกระโดดขึ้นมาเป็นแสดงนำ ก็ต้องเผชิญกับความหนักหน่วงที่หนักอึ้งกว่า

“หนักกว่ามากครับ แต่มันเป็นงานที่ท้าทาย แล้วผมรู้สึกว่าในชีวิตผมไม่ได้เจออะไรที่มันชาเลนจ์บ่อยเท่าไรนัก แต่ว่านี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายเรา เป็นตัววัดความสามารถเรา แล้วเป็นทางเลือกใหม่ในด้านการแสดง เพราะฉะนั้นเราเลยเต็มที่กับมัน ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้ซีเรียสกับผลลัพธ์ขนาดนั้น แต่ว่าเราทำเต็มที่ เราสนุกกับมัน ผมโชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ คนในกองที่เขาทั้งให้กำลังใจ เขาสอนเราหลายๆ อย่างในการทำงาน ทำให้แบบประสบการณ์ที่มีอยู่ในช่วง 2-4 เดือนดีมากครับ ผมยังคิดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ”

นีโอกับตัวจอส ห่างไกลกันแค่ไหน หรือว่ามีความใกล้เคียงกันตรงไหนบ้าง

“ในตัวความใกล้เคียงครับ คือนีโอเนี่ยผมว่าต้องมีเสน่ห์ทั้งกายภาพแล้วก็นิสัย หมายความว่าต้องมีเสน่ห์การดึงดูดทางเพศทั้งสองเพศเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าในชีวิตจริงก็เคยมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาชอบผมเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับเขามองเห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องเวิร์กอะไรกับมันมากนัก แต่ในเรื่องนิสัยใจคอ ผมว่าเหมือนด้วยความที่เราเป็นคนที่เล่นออกกำลังกายมา เราสูง เราพอรู้อยู่ว่าเป็นคนหุ่นดีนะ หน้าตาเราก็ไม่ได้แย่ เราเลยรู้ว่าจุดแข็งเรามีอะไร จุดอ่อนเรามีอะไร จริงๆ ก็ไม่อยากพูดเต็มปากว่าบริหารเสน่ห์เป็น แต่พอรู้ว่าเคยจีบคนนู้นคนนั้นคนนี้มาก่อน คุยกับเพื่อนก็รู้ว่าตัวเองมีข้อดีอะไร สามารถเอาไปใช้ได้อย่างไร แต่นีโอจะดาร์กกว่านิดหนึ่ง หมายความว่าสามารถเอาสิ่งนี้ไปหลอกให้เขามาชอบเพื่อน ในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ผมว่ายุคนี้แล้ว เราเป็นคนที่ค่อนข้างเปิด หมายถึงว่ายอมรับในทุกอย่าง ในความฟรีของความรู้สึก แต่พอได้มารับบทนีโอเนี่ยมันสอนเรา แล้วผมว่านีโอให้อะไรผมมากกว่าที่ผมให้นีโอเสียอีก นีโอให้ความรู้สึกว่ามันไม่มีกฎเกณฑ์นะครับ เราเอาคอนเซ็ปต์นี้มาใช้กับชีวิตเราจริงๆ อะไรอย่างนี้ เพราะเรารู้สึกว่าการที่เราไปชอบคนนู้นคนนี้มันไม่จำเป็นว่าเราต้องให้คำจำกัดความมันว่าคืออะไร แค่เรารู้สึกอย่างไร เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกก็พอครับ”


ฉากที่เต้นเป็นสตริปเปอร์นี่ต้องฝึกนานไหม “ไม่นานครับ” จอสตอบทันที “ผมแกะท่า 2 ชั่วโมงเอง กับคุณครูที่มาสอน แล้วก็เราซ้อมประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ ส่วนตัวเราชอบหนังเรื่อง Magic Mike มากอยู่แล้ว เลยรู้สึกตื่นเต้นมากกับฉากนี้ รู้สึกว่าโอเคแอ็กติ้งแรกๆ ไม่ผ่านไม่เป็นไร แต่ผมต้องเต้นให้ได้ก่อน เลยไปฝึกหนักมาก กลับไปดู Magic Mike ทั้ง 2 ภาคเลยอีกรอบหนึ่งเพื่อเก็ตอินเนอร์ แต่จริงๆ อยากจะไปบาร์โฮสจริงๆ ด้วย แต่ว่าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน และไม่มีโอกาสได้ไป เลยเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ รวมๆ อาทิตย์หนึ่งครับ เพราะว่าพอแกะท่าเสร็จเราไปซ้อมต่อทุกวันเลยครับ”

ฉากไหนที่ยากที่สุดเท่าที่แสดงมาใน 3 Will Be Free

“ฉากไหนยากที่สุดเหรอครับ ส่วนใหญ่ของผมน่าจะเป็นซีนทะเลาะครับ ซีนอารมณ์ที่ต้องเถียงกัน แล้วก็ซีนบู๊ครับ ซีนทะเลาะเนี่ยเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะต้องไฟต์กับตัวหมิว หรือดีเจมายด์ แล้วเขาก็แสดงถึงมาก เขาเก่ง สามารถต่อปากต่อคำกับเราได้เลย ส่วนเรายังมีความเกร็งๆ อยู่บ้าง มีความประหม่าอยู่บ้าง มันอาจจะได้ไม่สุดครับ ช่วงฉากแรกๆ เลยครับ ที่ต้องแบบมาต่อล้อต่อเถียงกับมายด์ มันก็จะมีความเกรงใจอยู่บ้าง สู้แบบสู้เขาไม่ได้ แต่พอสนิทกันมากขึ้น คนในกองมันก็ละลายพฤติกรรมครับ เราก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนฉากบู๊ก็ได้ลอง ได้ยิงปืน ได้เต้น แล้วได้ชกต่อย แต่ส่วนใหญ่นีโอจะโดนกระทืบเสียมากกว่าครับ”(หัวเราะ)

ลืมพูดไปฉากหนึ่ง ฉากทรีซัมอะ “อ๋อครับผม (ยิ้ม) เอาจริงๆ ผมว่าฉากนี้สำหรับผมมันผ่านไปเร็วมากเลยนะ เพราะว่าผมรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรติดขัดเลย ทุกคนแฮปปี้ แล้วพอคัตเสร็จ ก็บอก โอ้โฮ จะโดนเซ็นเซอร์ไหมเนี่ย ซึ่งต้องให้เครดิตผู้กำกับแล้วก็นักแสดงอีกสองคนด้วย เพราะว่าทั้งมายด์ และพี่เต และพี่โจ้ ผู้กำกับนะครับ ที่แบบไปสุดกับซีนนี้จริงๆ เรานั่งแพลนกันว่ามันจะเป็นอย่างไรดี แต่สุดท้ายคือออกมาทุกคนไปเต็มที่ โดยเฉพาะมายด์ครับ ให้เครดิตมายด์เลยว่ามายด์ดึงตัวละครหมิวมาได้สุดมาก ส่วนพี่โจ้เอง เขาเปิดโอกาสให้นักแสดงอย่างเรา ถ้ามีความคิดเห็นอะไร หรือว่าเราอยากจะพูดอะไรกับเขา เราอยากจะให้ตัวละครทำอย่างนี้ เขาจะเปิดโอกาสให้เสนอออกมาเลย ซึ่งมายด์เป็นคนหนึ่งที่เสนอออกมาแบบสุดมากในเรื่องของตัวหมิวครับ ถามว่าประหม่าไหม ก็ไม่นะครับ ผมว่าเราพออินไปกับคาแรกเตอร์ เราถ่ายมาระดับหนึ่งแล้วมันรู้อยู่ว่าคาแรกเตอร์นี้ต้องการอะไร ตัวละครของเรามันเป็นคนอย่างไร แล้วมันเลยทำให้ฉากนั้นมันไม่ยากครับ ถามว่ามีความเขินนิดๆ หนึ่งไหม ก็นิดหนึ่งครับผม”

ในชีวิตจริงล่ะ เคยมีซีนนี้หรือเปล่า?
“อ๋อไม่เคยครับ ไม่เคยจริงๆ”


ระหว่างฉากจูบกับเต กับจูบกับหมิว ฟิลลิ่งต่างกันไหม

“ต่างกันไหมเหรอครับ” จอสคิดสักพัก “มันก็ต่างครับ แต่ว่าไม่ได้ต่างกันมาก เพราะว่าเหมือนจูบพี่เตคือจูบผู้ชาย แล้วผมก็ไม่เคย make out กับผู้ชายมาก่อน เรามีความคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรวะ แต่ถามว่ามันตื่นเต้นไหม ก็นิดหน่อย แต่ไม่ได้เกร็งนะครับ เพราะเรารู้ว่ามันคือการแสดง เราแค่อยากไปให้สุด ฉากที่จูบกับพี่เตที่โรงยิม ผมว่าเนื่องจากเราเล่นซีนกันต่อเนื่องมา เล่นแบต ทำนู่นทำนี่ มีความผูกพันกันมันก็ธรรมชาติมากครับ เพราะว่าเราสนิทกับพี่เตอยู่แล้ว หมายถึงว่าเขาเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มาก จนผมไม่มีกำแพงกับพี่เตเลย แรกๆ กับมายด์ยังมีบ้าง เพราะว่ามายด์เขาแสดงเก่ง พี่เตก็เก่ง แต่มายด์แสดงเก่งแล้วเราไม่ได้สนิท พอสนิทแล้วเป็นผู้หญิงด้วย เราก็จะเกรงใจเขา แต่พอสนิทกันไปได้เรื่อยๆ แล้วมันไม่มีกำแพง มันละลายพฤติกรรมไปแล้ว ทุกอย่างก็คือสมูทหมดเลยครับผม”

เมื่อกี้มีติดใจอยู่ประเด็นหนึ่งที่บอกว่า “ชอบบริหารเสน่ห์” ในชีวิตจริงเป็นอย่างไรบ้างครับ มีเกย์มาจีบบ่อยหรือไม่

“ผมไม่ค่อยมีคนมาจีบนะครับ หรือผมอาจจะดูไม่ออกก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเขาไม่ได้มาจีบ ส่วนใหญ่มีคนชอบ direct message มา หรือว่ามีเพื่อน หรือว่าพี่ๆ น้อง ๆ บอกว่าชอบคนนี้มากเลย แต่ถามว่าเคยมีคนมาจีบมั้ย ครั้งสุดท้ายที่มีคนมาจีบ ผมจำไม่ได้จริงๆ ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว”

แล้วเราบริหารเสน่ห์อย่างไร? “คำว่าบริหารเสน่ห์ สำหรับผมว่ามันไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเรื่องของชู้สาว หมายถึงว่าเราทำ ในการจำกัดความของผมนะครับ อย่างการที่ทำให้คนอื่นรัก คนอื่นมีความสุข อยู่ด้วยแล้วมีความสุขทำให้เขาหัวเราะ หรือว่าทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมว่าอันนั้นก็คือการบริหารเสน่ห์ในแง่ของผมนะ แต่ส่วนนีโอเนี่ยมันเป็นเรื่องของการทำอย่างไรให้เขามาชอบเรา แต่ผมว่าการบริหารเสน่ห์คือมันไม่ได้รู้ตัวหรอกครับ ตัวละครเองหรือว่าตัวเราเองไม่ได้รู้ว่าเรากำลังบริหารเสน่ห์อยู่นะ ตัวนีโอจะใช้ความรู้สึกไปมากกว่าครับ คือรู้สึกดีกับใคร ก็ลุยเลย หมายถึงคุยดีทำดีด้วย แต่ว่าด้วยเนเจอร์แล้วนีโอน่าจะเป็นขี้อ่อย แล้วก็ไม่ได้คิดเยอะ ถ้าเราทำแบบนี้กับคนแบบนั้น เขาจะรู้สึกแบบว่าหวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ซึ่งถามว่าชีวิตจริงผมก็เคยมีนะ แต่ว่านาน นานมากๆ สมมุติว่าเราเป็นคนเฟรนด์ลี่มากเกินไป แล้วอยู่ดีๆ เพื่อนชอบเราขึ้นมา จนเขามาสารภาพ บางทีถ้าเราไม่ได้ชอบเขา เราก็ต้องบอกเขาว่าเราไม่ได้ต้องการจะสื่ออย่างนั้นนะ แต่เราคิดกับยูแบบเพื่อน”


ขอย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ตอนที่จอสถ่ายดูมันดิ จะมีหลายซีนที่ต้องถอดเสื้อ เช่นเดียวกับในเรื่องเรื่องนี้ “ใช่ ก็ชินไปแล้วมั้งครับ หมายความว่ามันเป็นเรื่องปกติ” จอสพูดแทรก เรารู้สึกอย่างไรที่สมมุติว่ามีคนมาบอกว่ายูเป็นคนที่มี sex appeal สูง “ก็ดีใจนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำชม จะบอกอย่างไรดีล่ะ เราไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าพอมีคนพูดมาเราก็รับไว้ว่าเป็นคำชม เราก็ไม่ทราบ มันอาจจะด้วยหุ่นด้วยแหละว่าเราสูง เราออกกำลังกายมันทำให้ดูมี sex appeal รับไว้เป็นคำชมแล้วกันครับผม”


ระหว่างเล่นกีฬากับเข้าฟิตเนส “คือเล่นกีฬาบาสเนี่ย ตอนนี้ผมไม่ได้อยากให้ตัวใหญ่ไปกว่านี้แล้ว เพราะว่าด้วยบทด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ฉะนั้นปกติจะเป็นคนดูแลตัวเองด้วยเข้าฟิตเนสครับ อย่างแรกคือเป็นคนที่รักการออกกำลังกายยกเวตอยู่แล้ว แล้วเราก็เล่นกีฬาบาสด้วย ถือว่าเป็นการคาร์ดิโอไป เมื่อก่อนเป็นคนมีสิวเยอะมาก พอเข้าวงการมา เราขยันทาแบบสกินแคร์ ไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตมาว่าอันไหนดี ถามพี่ๆ บ้าง แล้วก็ใช้ เมื่อก่อนแทบไม่ได้ดูแลตัวเอง หมายถึงว่าในเรื่องผิวหน้าผิวกายเลยครับ แต่ตอนนี้จะนั่งใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีทาครีม เพราะเรารู้สึกว่ามันสำคัญ เราต้องให้ความสำคัญกับมัน ให้เวลากับมันครับ”

ถ้าวันนี้ไม่ได้เข้าวงการ “ผมว่าจริงๆ ที่อยากทำ ตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกว่าอยากทำอยู่ ถ้ามีเวลาเราก็อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬา แล้วการออกกำลังกาย well being อยากให้คนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ในแบบที่มีไลฟ์สไตล์ที่มัน Healthy ขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปเรียนเกี่ยวกับ Sport and Conditioning สำหรับการกีฬา แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ววงการกีฬาไทย ในฟีลด์นี้เขาให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน แต่ผมว่ามากกว่าเมื่อก่อนแน่ แต่อาจจะไม่พอในสเกลที่จะทำให้เป็นอาชีพขึ้นมาได้ เป็นโค้ช แบบไม่ใช่โค้ชบาสนะครับ เป็น Strength and Conditioning Coach สมมุติว่ามันจะมี all season ครับ แข่งเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวสำหรับ Season หน้า การเทรน การเวต การเล่นอะไรมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปลองตรงนั้นดูเหมือนกันครับผม”

อนาคตในวงการบันเทิงตั้งเป้าไว้อย่างไร

“ตอนนี้ครับ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ก็อยากจะลุยกับมันให้เต็มที่ครับ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังสนุกกับการแสดง แล้วการทำงานเราได้รับโอกาสที่ดีมามากเลย เราเลยอยากจะใช้เวลาตรงนี้เต็มที่กับมันให้ดีที่สุด แล้วดูว่าพอสุดท้ายแล้วมาตกผลึกว่าเราได้อะไรจากมันบ้าง เราชอบเรารักกับการแสดงแค่ไหน เพราะตอนนี้เราชอบเราสนุก ผมพูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับว่าผมรักการแสดง เพราะว่าเราเหมือนได้โอกาสมาลอง ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว สุดแล้วเนี่ย 3-5 ปี แล้วเรามาดูอีกทีว่าเรายังรักการแสดงอยู่หรือเปล่า ถ้ารักการแสดงก็ทำต่อ ถ้าไม่ได้รัก เราอาจจะไปดูว่าเราจะเจอ passion อะไรอื่นๆ บ้างที่เราอยากทำ ในระหว่างเวลานี้ ผมว่าช่วงปีสองปีนี้ก็คือ 70-80-90% คงเทให้การแสดงหมดเลยครับ ในงานละครหรือซีรีส์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะว่ามันต้องใช้เวลาจริงๆ ของแบบนี้ แล้วมันต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองด้วย เพื่อที่จะมีบทดีๆ มาให้ลองอีก แล้วถ้าสมมุติว่าเราจะสนุกกับมัน เรายัง Enjoy กับมันอยู่ เราก็ทำต่อ”

เมื่อกี้บอกว่าตอนเรียนชอบวิชามิวสิคัล เคยคิดจะเป็นนักร้องบ้างไหม

“ไม่เคยครับ ชอบที่ได้ลอง แต่ถามว่าตัวเองเสียงดีไหม ก็ไม่ครับ คือผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าตอนแรกคือเราเป็นคนอารมณ์ศิลปิน หมายถึงว่าชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนก็เคยร้องเพลงในตอนอาบน้ำนะ ทุกคนจะเอาโทรศัพท์ไปด้วย แล้วเปิดเพลงที่ตัวเองชอบ ถ้าเราชอบเราก็จะร้อง แต่ว่าไม่เคยเอาเสียงมาให้คนอื่นฟังว่าเสียงเราเป็นอย่างไร เพราะเรารู้ว่าทุกคนก็คงเคยอัดเสียงร้องเพลงใช่ไหมครับ เรานึกว่าตัวเองเสียงดี แต่พอฟังออกมาปุ๊บแล้วมันไม่เวิร์ก ไปร้องคาราโอเกะก็ไม่เวิร์ก จนได้มาลองร้องเพลงมิวสิคัลดู มีการวอร์มเสียง ก็ไม่ได้แย่ ร้องได้ แต่ว่าไม่ได้จัดว่าดีครับ มันเป็นประสบการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันสนุก”

]]>
NEW KID ON THE BLOCK ‘ภณ-ธนภณ เอี่ยมกำชัย’ https://marshomme.com/aboy/102564/ Tue, 12 Nov 2019 10:01:00 +0000

สาวๆ ที่เฝ้าติดตามโครงการ Superboy Project Presented by GSB คงกำลังลุ้นระทึก เพราะหลังจากถ่ายทอดสดโครงการมาสี่สัปดาห์ต่อเนื่อง ก็เข้าสู่สัปดาห์แห่งการ ‘คัดออก’ จริงของโครงการฯ เพื่อให้เหลือหนุ่มน้อยเพียง 5 คนสุดท้าย ที่พร้อมจะเป็นศิลปินใหม่ในสังกัด StarHunter เจริญรอยตามรุ่นพี่ SBFIVE อย่างบาส-สุรเดช พินิวัตร์, คิมม่อน-วโรดม เข็มมณฑา, คอปเตอร์-ภานุวัฒน์ เกิดทองดี, เต้-ดาวิชญ์ กรีพลฤกษ์ และตี๋-ธนพล จารุจิตรานนท์ ที่ดังทั่วเอเชียไปก่อนหน้านี้แล้ว


หนุ่มๆ เข้ารอบ #SuperboyProject มี 12 คนสุดท้ายมี ‘ของดี’ ที่พกติดตัวมาแตกต่างกันไป แต่เราก็เลือกคุยกับภณ-ธนภณ เอี่ยมกำชัย B12 ที่สะดุดตาด้วยสีผมสไตล์เกาหลีอินเทรนด์ อดีตเดือนคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ภณน่าจะเป็นพี่ใหญ่สุด

ภณเล่าว่า ที่มาร่วมโปรเจ็กต์นี้ก็เพราะ “ผมเห็นโปรเจ็กต์นี้จากเพื่อนที่อยู่ในวง SBFIVE ครับ นั่นคือตี๋ครับ ผมเลยทักไปถามตี๋ว่า เออถ้าจะสมัครโปรเจ็กต์นี้ได้ไหม ตี๋บอกว่า เฮ้ยลองมาดู ภณก็เลยคุยผู้จัดการภณ แล้วก็ไปสมัครดูครับ”

ได้ข่าวว่าภณเป็นสาวกเคป๊อปที่ทั้งร้องและเต้นมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่ง “ใช่ครับ ผมเริ่มฟังมาตั้งช่วงที่มัธยม ถ้าที่มาฟังจริงๆ จังๆ ก็ช่วงประมาณ ปี 1 ครับแต่ไอดอลที่ชื่นชอบตอนนี้ นั่นคือวง BTS นะครับ หลายๆ คนน่าจะรู้จักดี ภณชอบหลายเพลงและฟังแทบจะทั้งหมดของอัลบั้มเลยครับ ตอนนี้ที่ชอบสุดคือ Boy with LUV ครับ”


ทำไมตอนอยู่ปี 1 ถึงฟังบ่อยๆ ล่ะ “ตอนนั้นผมสอบติดธรรมศาสตร์แล้วครับ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติ พอเข้าได้ปุ๊บก็ต้องเข้าร่วมการประกวดเดือนของคณะ โดยเริ่มจากประกวดเป็นสาขาๆ พี่สาขาเขามาลงความเห็นกันว่า เฮ้ยคนไหนจะได้เป็นเดือนของสาขานะ ก็ให้เพื่อนช่วยกันโหวตครับว่า ใครจะได้เป็นตัวแทนของสาขาไปประกวดของคณะ พอได้เป็นตัวแทนสาขาก็ไปแข่งในคณะก่อน สาขามีประมาณ 25 สาขาครับ ผมก็เลยเลือกสิ่งที่ตัวเองถนัดก็คือการเต้นไปใช้ในรอบแสดงความสามารถพิเศษ จนชนะ ได้เป็นเดือนคณะ แล้วก็ไปแข่งระดับมหาวิทยาลัย ได้รางวัล Popular Vote ปี 57 กลับมาครับ” ภณกล่าว

หลังจากได้ตำแหน่งเดือนแล้วเราต้องทำหน้าที่อะไรต่อ “พอได้ของคณะ คณะจะให้เราเป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะว่ามีกี่สาขา มีอะไรน่าสนใจบ้าง เรียนแล้วไปทำงานอะไรได้บ้าง หลังจากนั้นผมก็ทำกิจกรรมในคณะเรื่อยมาครับ เป็นคณะกรรมการนักศึกษาตั้งแต่ปี 2 แต่พอจะจบ ตอนอยู่ปี 4 ภณก็ลองไปประกวดของเชียร์ลีดเดอร์งานฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดูครับ แต่ไม่ได้ครับ ก็มีหลายคนถามเหมือนกันนะครับว่าทำไมต้องรอจนถึงปี 4 แล้วค่อยมาคัดลีด จริงๆ ตั้งแต่ปี 1 ก็มีพี่ๆ ชวนนะครับ แต่ว่าตอนนั้นภณอยากจะทำหน้าที่เดือนคณะให้ดีก่อน และได้เป็นผู้นำเชียร์ของคณะ เราก็อยากจะทำงานของคณะให้เต็มที่ก่อน เราเลยเลือกตรงนั้น จนมาถึงปี 4 ภณเลยคิดว่า เฮ้ยปีสุดท้ายแล้ว อยากจะทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำบ้าง เพราะส่วนใหญ่ภณจะทำงานเบื้องหลังเสียมากกว่า ก็เลยอยากจะลองทำงานเบื้องหน้าดูครับ”


ในฐานะที่เรียนจบแล้วคิดอย่างไรกับการทำกิจกรรม ภณตอบทันทีว่า “สำหรับตัวภณนะครับ ภณคิดว่า เป็นข้อดีในการทำกิจกรรม ก็คือการที่เราอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นการเริ่มต้นที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าการที่ใช้ชีวิตข้างนอกหลังเรียนจบ เราจะไม่รู้เลยว่าเราจะเจออะไรบ้าง เราต้องทำงานกับใคร อายุต่างกันแค่ไหน การทำกิจกรรมก็เหมือนฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น และเอาจริงแล้วหลายๆ กิจกรรมที่เคยทำ ภณเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับทำงานร่วมกับผู้อื่น ในการทำงานเรื่องต่างๆ ที่เป็นระบบมากขึ้นครับ”

ตอนนี้เรียนจบแล้ว เกรดดีไหม “อย่าพูดถึงแล้วกันครับ เอาว่าเรียนจบได้ โอเคดีครับ อยู่ในเกณฑ์ที่พอใจครับ” ภณกล่าว ถ้าให้มองย้อนกลับดูชีวิตในมหาวิทยาลัย 4 ปีที่ผ่านมา “ภณว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยคือชีวิตที่สนุกมากครับ ตอนนั้นเรา Enjoy กับการทำกิจกรรมมากๆ เลย เรื่องเรียนเราก็สนใจนะครับ ตอนนั้นที่อยากเข้าธรรมศาสตร์ ก็เพราะว่าเรื่องนี้แหละ ธรรมศาสตร์เด่นเรื่องกิจกรรม เราก็เลยชอบที่จะทำกิจกรรมครับ และทำให้เราเติบโตขึ้น จากเฟรชชี่ มาสู่ซีเนียร์ ตอนที่ภณอยู่ปี 4 เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดนะครับ เหมือนเราเป็นพี่ใหญ่สุด ต้องดูแลน้องๆ ภณรู้สึกว่าการที่เราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง มันมีความสุขมากครับ เวลาเราเห็นเขาดีใจกับมัน เขามีความสุข เรารู้สึกแฮปปี้ไปกับมันด้วยครับ”

คิดว่าการประกวดดาวเดือนอะไรเนี่ย ไร้สาระไหม “ไม่ไร้สาระนะครับ” ภณตอบทันที “สำหรับภณมองว่านี่คือการที่เราได้โชว์ความสามารถครับ บางคนเขาอาจจะมองว่า การประกวดดาวเดือนคือการใช้แค่หน้าตามาประกวด แต่สำหรับภณคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นครับ เราต้องมีเสน่ห์ มีความสามารถที่จะดึงดูดผู้คนให้มาดูเรา การโชว์ความสามารถศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ครับ”


ไลฟ์สไตล์ของเด็กธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นอย่างไร “ถ้าเป็นเด็กรังสิตนะครับ ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในช่วงติวเราจะอ่านหนังสือกันที่ศูนย์การเรียนรู้ หรือไม่ก็หอสมุดป๋วยฯ ครับ เพราะว่าจะไปอ่านหนังสือกัน แล้วก็จะไปอยู่ที่ยูสแควร์ครับ เป็นศูนย์รวมอาหารที่นักศึกษาธรรมศาสตร์จะชอบไปกินกันที่นั่นเยอะมากครับ ส่วนช่วงสอบก็จะอ่านหนังสือกันตามร้านกาแฟบ้าง ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่อย่างเพื่อนภณก็จะกลับบ้านครับ แต่บางคนที่บ้านอยู่ไกลจริงๆ เขาก็อยู่หอครับ แบบนานๆ กลับทีครับ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนไปเที่ยวที่ฟิวเจอร์ครับ เป็นห้างที่ใกล้ธรรมศาสตร์ที่สุดครับ” (หัวเราะ)

หลังจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป Superboy Project Presented by GSB จะเริ่มเข้าสู่การคัดออกแล้ว กดดันมั้ย “กดดันครับ เพราะว่าเพื่อนๆ อีก 11 คนเขาก็มีความสามารถ มีเสน่ห์ในแบบของเขาครับ ซึ่งภณก็ต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองออกมาให้อย่างมากที่สุดครับ เพื่อไปสู้กับเขาให้ได้”

ระหว่างร้องกับเต้น ถนัดอะไรมากกว่ากัน “ถนัดเต้นครับ ถนัดเต้นเสียมากกว่าครับ”


คิดอย่างไร ถ้าเกิดมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าวัยรุ่นไทยเลียนแบบ K-POP มากเกินไป “ภณว่าเราต้องแยกก่อนครับ แยกระหว่าง K-Pop กับ T-Pop นะครับ ซึ่งที่เขาบอกเลียนแบบ เพราะเราพยายามมองศักยภาพของ K-Pop ใช่ไหมครับ เขาจะมีศักยภาพมากไม่ว่าจะร้องเต้นหรือความเข้มข้นในการฝึกฝน เราแค่เอาข้อดีจาก K-Pop มาพัฒนา ใน T-Pop ของเรา ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าไปก๊อปเขา แต่ภณคิดว่ามันเป็นการพัฒนาศักยภาพของคนไทยเองให้มันมากขึ้นครับ”

ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง “ข้อบกพร่องเหรอครับ (คิดนานหน่อย) ภณคิดว่าทุกคนก็จะมีข้อบกพร่องเป็นของตัวเองนะครับ แล้วก็ข้อดีของตัวเอง ดังนั้นข้อบกพร่องของภณ ภณคิดว่าเป็นคนที่บางทีคิดมากเกินไปครับ คิดมากเกินไปจนทำให้พลาดบางเรื่องอย่างเรื่องในวงการบันเทิงอาจจะขาดเสน่ห์ไปบ้างครับ เพราะว่าเราเป็นคนที่คิดมาก คิดอยากจะทำออกมาให้ดี แล้วก็ดีที่สุด ตอนนี้ก็รู้ตัวเอง พยายามผ่อนคลายตัวเองให้มากขึ้นครับ”

สมมุติว่าจบโปรเจ็กต์แล้วเป็น 1 ใน 5 “โปรเจ็กต์นี้นะครับก็ต้องขอบคุณทางสตาร์ ฮันเตอร์นะครับ เพราะว่าเขาได้วางแผนไว้ต่อไปว่าจะทำบ้าง สมมุติว่าถ้าได้ 5 คน แน่นอนจะต้องทำงานเพลง มี MV มีถ่ายซีรีส์ มีละคร มีโฆษณามากมายครับ เขาก็วางแพลนไว้แล้ว ถ้าเราได้เป็น 5 คนสุดท้าย ก็จะได้ทำตามแพลนนี้ครับ”


ถ้าเกิดเขาจับไปเล่นซีรีส์วายล่ะ “ไม่มีปัญหาครับ” ภณตอบทันที “เพราะว่ามันคือการแสดงครับ การแสดงนี่เหมือนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งครับ ที่เราจะเรียนรู้ไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนก็ตามครับ แล้วเรื่องการจิ้นชาย-ชายนี่ ภณคิดว่าผู้หญิงอาจจะมองเห็นความน่ารักของผู้ชายครับ เวลาอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงก็เลยจับชาย-ชายจิ้นกันบ่อยๆ” (ยิ้ม)

เปลี่ยนสีผมมานานหรือยัง ไปได้แรงบันดาลใจจากไหน “ประมาณเดือนหนึ่งครับ ก่อนเข้าโปรเจ็กต์ ตอนแรกทำสีม่วงเทาครับ แต่ตอนนี้ก็เฟดออกเป็นสีนี้แล้ว สีนี้ได้มาจากพี่จินวง BTS ครับ เพราะว่าตอนนั้นเขาทำสีม่วง เฮ้ย หล่อมากๆ เลย เราเลยอยากทำสีนี้ แล้วบังเอิญทำสีนี้ก่อนวันที่จะไปประกวดของ Superboy Project ครับ ก็เลยอาจจะเด่นเป็นพิเศษเลยครับ” ภณกล่าว


Text by Takeshi West

]]>
ONLY THE CAT KNOWS ไป๋ ทากุล https://marshomme.com/interview/1586/ Tue, 22 Oct 2019 09:10:00 +0000

กระแสเห่อนักร้องตาตี่ ผิวขาว ปากแดง มีมานานหลายปี ดูเหมือนช่วงปีที่ผ่านมาจะมีหนุ่มหน้าเข้ม คมๆ บาดใจ แบบไทยๆ แทรกตัวเข้ามาในวงการนายแบบ แต่แหม พอเข้าไปคุยด้วยเท่านั้นแหละ น้องเป็นหนุ่มเมียนมาร์จ้า (จะว่าไปไทย เมียนมาร์ ลาว เขมร นี่ถ้ายืนเรียงกันเฉยๆ ก็แทบแยกไม่ออกนะว่าใครเป็นชาติไหน หล่อจนต้องกินกันเองเชียว 555)

‘ไป๋ ทากุล’ คือหนุ่มที่เรากำลังพูดถึง แม้หน้าตาจะคมเข้ม แต่ดวงตาที่แอบตี่เล็กๆ ผสานรอยสักและรอยยิ้มที่มีเขี้ยวเสน่ห์ ก็พิชิตใจสาวๆ ได้ไม่ยาก ทำไมจู่ๆ ไป๋ ทากุล ถึงมาดังในเมืองไทยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ #MarsHomme จะพาทุกท่านไปค้นหาคำตอบกัน แต่ที่แน่ๆ แฟชั่นที่หนุ่มไป๋ ทากุล มาถ่ายวันนี้ แซ่บ แอนด์ ฟิน แน่นอน


แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อย เผื่อผู้อ่านหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ

สวัสดีครับ ผมชื่อไป๋ ทากุลนะครับ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 3 ครับ ทางด้านจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง

เข้าสู่วงการนายแบบได้อย่างไร และใครเป็นผู้ชักนำ

ผมเข้าวงการนายแบบมาได้ 6 ปีแล้วนะครับ คนที่สนับสนุนก็ไม่ใครอื่น คุณแม่ผมเองครับ เพราะคุณแม่อยากให้เข้าวงการครับ

พอคุณแม่สนับสนุนแล้วต้องไปออดิชั่นหรือไปแคสติ้งไหม

ที่เมียนมาร์ไม่มีระบบออดิชั่นหรือแคสติ้งแบบนั้นครับ และจริงๆ แล้วผมอยู่นอกเมืองย่างกุ้ง แต่พอคุณแม่อยากให้เข้าวงการ ผมก็ส่งใบสมัครกับโมเดลลิ่งครับ พอเขาเห็นรูปผมก็ชอบมา เขาพยายามผลักดันจนมาถึงจุดนี้ครับ


พอเราเริ่มมาเป็นนายแบบแล้ว ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะไหม

เปลี่ยนเยอะครับ การเปลี่ยนแปลงนี่ผมหมายถึงจริงๆ ชีวิตผมเป็นเด็กต่างจังหวัด พอเข้ามาวงการแล้วก็ต้องเปลี่ยนตัวเองหมด และต้องมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องการดูแลตัวเองด้วย แต่ผมโชคดีที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับร่างกายมากนัก เพราะเป็นคนดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กส่วนหน้าตาก็โชคดีที่ไม่ค่อยเป็นสิวหรือแพ้เครื่องสำอาง ส่วนตอนนี้ตากแดดบ่อยก็อาจจะทำให้หน้าดูคล้ำๆ ไปบ้าง

วันว่างที่เมียนมาร์ทำอะไรบ้าง

ว่างๆ ผมจะวาดรูปครับ แล้วก็เล่นไวโอลินครับ แต่ส่วนมากก็จะเป็นวาดรูปมากกว่า แล้วถ้ามีวันหยุดประมาณ 2-3 วัน ถ้าไม่มีงาน ผมไปเที่ยวต่างเมืองครับ


วาดรูปเก่งทำไมไม่เรียนเป็น artist ทำไมเลือกเรียนจิตวิทยาแทน

วิธีการศึกษาที่เมียนมาร์ ไม่ว่าจะเป็นใคร พอจบ ม.6 จะต้องเอาคะแนนไปเทียบเพื่อดูว่าเราจะเข้าเรียนในสาขาใดได้บ้าง ส่วนผมคะแนนไปตรงกับสาขาวิชา Psychology ครับ ก็เลยตกลงเรียนทางด้านนี้ ส่วนเรื่องวาดรูปนี่ผมใช้ฝึกเองนะ สามารถวาดได้ดีเลยล่ะ แต่ผมไม่ได้คิดว่าจะเรียนเพื่อเอาปริญญา

เคยมาแฟนมิตติ้งในเมืองไทยไปแล้วทีหนึ่งใช่ไหม เล่าบรรยากาศให้ฟังหน่อย

ครับ ใช่ครับ คือผมตื่นเต้นมากเลย ผมเองไม่เคยจัดแฟนมิตติ้งที่เมียนมาร์มาก่อนด้วย ตอนที่ต้องมาจัดที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก ก็คิดอยู่ว่าผมไม่ใช่ศิลปินดังในไทย จะมีคนมามั้ยนะ ผมไม่คิดว่าจะมีคนเยอะ คิดว่าน่าจะมาแค่คนสองคน แต่พอมาเจองานจริงๆ แล้วแฟนคลับเยอะมาก ภูมิใจมากครับ


มีโมเมนต์ไหนบ้างที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ

มีครับ เยอะด้วยครับ แต่ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือนอกจากเจอกันทั้งวัน เล่นเกมด้วยกันแล้ว ก่อนจะกลับ ตอนลากันมีแฟนคลับบางคนร้องไห้ด้วยครับ ผมรู้สึกว่าเศร้ามากไม่นึกว่าจะมีคนรักเราขนาดนี้

ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนายแบบจะทำอะไร

อาจจะเป็นศิลปินวาดรูป หรือว่าทำธุรกิจของคุณแม่ที่ทำอยู่ที่เมียนมาร์ครับ

ชอบวาดรูป ชอบผลงานของศิลปินคนไหนเป็นพิเศษ

จริงๆ ชอบวาดรูปครับ แต่ไม่ได้วาดเป็นเรื่องเป็นราว และผมก็ไม่ได้ชอบถึงขั้นที่ต้องติดตามงานของคนนั้นคนนี้เป็นพิเศษ แต่งานของศิลปินคนอื่นๆ ผมจะอาศัยอ่านหนังสือเอาครับ เพื่อดูงานของพวกเขา


Credit Fashion :
Model:PaingTakhon
Photographer:PanuwatNgernpot
Make up – Hairstylist :Chinnathontakkhapanich
Stylist :Pipat Kim
Clothes : ISSUE Siam Paragon, The Emporium www.issue-thailand.com
LEISURE PROJECTS Siam Center www.leisureprojectsbkk.com
GOOD MIXER Siam Center
NOXX SWIMWEAR Siam Paragon, The Emporium www.noxxwear.com


Location : CASA PAPA Home&Space

Instagram >>casapapa.homeandspace www.instagram.com/casapapa.homeandspace
Facebook >> CASA PAPA Home&Space www.facebook.com/casapapa.homeandspace

ดาวน์โหลดแฟชั่นและบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่
https://www.mebmarket.com/ebook-106942-Mars-Homme-Magazine-Online-Paing-Takhon
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/b5394638-6c1f-4a8d-8799-d61b78814bf6/pai

]]>