Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
หนุ่ม – Marshomme https://marshomme.com Mon, 29 Mar 2021 07:57:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png หนุ่ม – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ‘อี ซึงจู’ หนุ่มปริศนาในเอ็มวีใหม่ของไอดอลสาว BLACKPINK https://marshomme.com/scoop/531489/ Wed, 14 Oct 2020 07:01:00 +0000
เรื่องกลายเป็นข่าวแบบไวรัลไปในชั่วข้ามคืน เมื่อเอ็มวีเพลงใหม่ ‘Lovesick Girls’ ของเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK ถูกปล่อยเป็นปฐมฤกษ์เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  จนทำให้ยอดวิวทะลุถึง 61 ล้านภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนจะมีดราม่าปรากฏขึ้น  กระทั่งต้องปล่อยเอ็มวีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาแทน และนับถึงโมงยามนี้ยอดวิวสูงเกิน 150 ล้านไปเรียบร้อยแล้ว

ประเด็นร้อนอยู่ที่เอ็มวีเวอร์ชั่นแรกอันเป็นเหตุให้ต้องลงทุนลงแรงทำกันใหม่  นั่นเพราะเวอร์ชั่นเก่า เจนนี-หนึ่งในสมาชิกของ BLACKPINK สวมชุดพยาบาลขณะขับขานเนื้อเพลง “Didn’t wanna be a princess, I’m priceless/ A prince not even on my list/ Love is a drug that I quit/ No doctor could help when I’m lovesick” ซึ่งกลายเป็นดราม่าขึ้นเมื่อสมาคมผู้ประกอบการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของเกาหลีออกมาติติงถึงความไม่เหมาะสมที่ไอดอลสาวสวมเครื่องแบบพยาบาลขณะแสดงออกด้วยท่าทางเซ็กซี่จนดูคล้าย ‘วัตถุทางเพศ’ ในสายตา


YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดรีบออกมาขอโทษ พร้อมทั้งทำการตัดต่อมิวสิกวิดีโอเสียใหม่ โดยนำฉากที่มีเจนนีในลุคอื่นเสียบเข้าไปแทน

ประเด็นร้อนของเพลงนี้ไม่ได้มีแค่เพียงดราม่าเรื่องเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของหนุ่มปริศนาที่ปรากฏตัวในเอ็มวีด้วย เขาคือหนุ่มผมยาวที่ลิซา-ลลิษา มโนบาล สาวไทยหนึ่งเดียวในวง BLACKPINK ซบศีรษะลงแนบแผ่นอก แสดงอาการซึ้งๆ กับโรเซ หรือมีปากเสียงกับสาวเจนนี แม้ว่าในเอ็มวีจะไม่เปิดเผยหน้าตาให้เห็นแบบจะๆ แต่ชาวเน็ตและแฟนคลับของ BLACKPINK หลายคนสามารถสัมผัสได้ว่า เขาไม่ธรรมดา และใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่า เขาเป็นใคร?


อี ซึงจู (Lee Seungjoo) คือชื่อจริงของหนุ่มคนนี้ นอกจากนั้นเขายังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น Loren, DJ Boid, Løren และ Cawlr แต่หากใครเป็น BLINKs (แฟนคลับของ BLACKPINK) ตัวจริงอาจเคยเห็นเขาคนนี้เล่นกีตาร์อะคูสติกให้กับโรเซในการถ่ายทอดสดทางอินสตาแกรม เพื่อคัฟเวอร์เพลง ‘Wayo’ ของบัง เยดัม-สมาชิกวง Treasure รวมถึงเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของค่าย The BLACK Label ภายใต้สังกัด YG Entertainment

นอกจากนั้นลอเรนยังเคยมีส่วนร่วมในการทำเพลง ‘Bullsh*t ของ G-Dragon ซึ่งเปิดตัวไปในปี 2017 และยังเป็นดีเจร่วมกับคอนเสิร์ตเดี่ยวของ G-Dragon ใน Act III: M.O.T.T.E World Tour


ลอเรนทั้งสมาร์ทและมากความสามารถ เคยเป็นนายแบบให้กับแฟชั่นสตรีทแวร์แบรนด์หนึ่ง มาร่วมงานกับเอ็มวีเพลง ‘Lovesick Girls’ ครั้งนี้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดงนำชายอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ด้วย การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงไอดอลสาวๆ ของเขาเริ่มจากการทำงานให้กับนิตยสาร W Korea เขาได้รู้จักกับจีอึน ซึ่งเป็นสไตลิสต์ของ BLACKPINK

และตอนนี้พอเพลงดัง ดูเหมือนใครๆ ก็ทุ่มความสนใจไปที่เขา โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนคลับของไอดอลสาว ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือข่าวคอนเฟิร์ม ก็มีเพิ่มขึ้นตามลำดับ


อี ซึงจูเกิดเมื่อปี 1995 อยู่ในวัยเดียวกันกับจีซู สมาชิก BLACKPINK ทั้งยังเป็นเพื่อนกับสาวๆ ทุกคนในวง และไม่ใช่เคยเล่นดนตรีแจมกับโรเซเท่านั้น เขายังร่วมงานและไปช่วยเป็นกำลังใจพวกเธอระหว่างถ่ายทำเอ็มวีเพลง ‘Ice Cream’ อีกด้วย

จากโพสต์ต่างๆ ของเขาในโซเชียลมีเดียทำให้ชาวเน็ตรับรู้ด้วยว่า เขาสามารถพูดได้สองภาษาอย่างคล่องแคล่ว ทั้งเกาหลีภาษาแม่ และภาษาอังกฤษ


อีกข่าวเกี่ยวกับเขาที่น่าจะเป็นข่าวลือ นั่นคือ เขาเป็นทายาทของลี แฮจิน-หนึ่งในผู้ก่อตั้ง NAVER บริษัทเนเวอร์ ของเกาหลีใต้ที่ให้บริการด้าน Search Engine, Web Portal และ Online Gaming ที่ขยายธุรกิจไปถึงจีนและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป็นบริษัทแม่ของแอพลิเคชั่น Line ลี แฮจินมีทรัพย์สินอยู่ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และติดอันดับที่ 14 ในรายชื่อ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ตามรายงานของนิตยสาร Forbes


ข่าวลือเกี่ยวกับหนุ่มปริศนาคนนี้เริ่มแพร่สะพัดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าข่าวนี้เป็นความจริง รวมถึงข่าวที่ว่าเมื่อปี 2017 บริษัท Naver ตัดสินใจครั้งใหญ่กับการทุ่มเงินกว่า 1 แสนล้านวอนเพื่อลงทุนใน YG Entertainment

ส่วนข่าวเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับใครนั้น ไม่ได้ถูกหยิบยกมาเป็นข่าวลือ และชาวเน็ตน่าจะเชื่อว่าเขายังโสด สังเกตได้จากชื่อบัญชีอินสตาแกรมของเขาที่ใช้ @lorenisalone

ที่บอกโต้งๆ ตรงๆ ว่า “ลอเรนตัวคนเดียว”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
BOYS NEXT DOOR ทำความรู้จัก 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 https://marshomme.com/aboy/531460/ Tue, 29 Sep 2020 09:53:00 +0000

เซอร์ไพรส์พอสมควรที่ตำนานซิตคอมในยุค 90s อย่าง 3 หนุ่ม 3 มุม ถูกนำมาตีความใหม่ใน พ.ศ.นี้ ทิ้งเวลาไปกว่า 20 ปี ที่เลือกใช้คำว่า ‘ตีความใหม่’ เพราะไม่ใช่การรีเมกสร้างใหม่นักแสดงชุดเดิม กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และมอส-ปฏิภาณ ปฐวิกานต์ ยังคงพร้อมหน้าเพิ่มเติมคือความแก่ของทั้งสามหนุ่มที่กลายเป็นรุ่นพ่อ และส่วนที่เพิ่มเติมมาคือลูกชายหน้าตาหล่อเหลาทั้งสามคน บี-เสถียรพงษ์ ชมภูพลอย, ปีโป้-ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์ และซี-ปรัตถกร คัยนันทน์

3 หนุ่ม 3 มุม x 2 จึงกลายเป็นส่วนผสมของ 2 เจเนอเรชั่นที่น่าสนใจระหว่าง Gen X และ Gen Z ซึ่งตรงกับบริบทปัจจุบัน ที่ช่องว่างระหว่างเจนบวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย เข้ามามีบทบาททำให้วิถีชีวิตวิธีคิดของคนต่างวัยมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว มาทำความรู้จักกับรุ่นลูก บี, ปีโป้ และซี แล้วไล่ชม 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ย้อนหลังให้จุใจ


Q : แนะนำตัวกันหน่อย

บี : สวัสดีครับ ผม ‘บี-เสถียรพงษ์ ชมภูพลอย’ ครับ ลูกพ่อเอกพลครับ แสดงเป็นหนึ่งครับผม

ปีโป้ : สวัสดีครับผม ‘ปีโป้-ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์’ รับบทเป็นเฟิร์ส หรือว่าลูกของพ่อทศพลครับ

ซี : สวัสดีครับผม ‘ซี-ปรัตถกร คัยนันทน์’ ครับ รับบทเป็นอูโน่ลูกพ่อพีรพลครับผม

Q : ปีนี้อายุเท่าไรกันแล้ว

ซี : โป้กับบีเท่ากันครับ 21 ส่วน ผม 19 ปีครับ

Q : เคยคุยกับพ่อหรือแม่ หรือพี่ป้าน้าอาหรือไม่ว่าป้าๆ แม่ๆ เคยดูซิตคอมเรื่องนี้ไหม 

ปีโป้ : เคยดูอยู่แล้วครับ อย่างบ้านโป้ครับ พี่สาวคนโตสุดหรือว่าคนที่ 2 ก็เคยดูอยู่แล้ว เขาจะพูดบ่อย แล้วเราก็เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จนติดหู ประมาณว่าแค่เดินกับเพื่อน 3 คน หรือว่าอยู่ด้วยกัน 3 คน คุณครูหรือผู้ใหญ่ก็จะว่าเอ๊ย 3 หนุ่ม 3 มุม หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ครับ นั่นคือสิ่งที่ได้ยินมา 

บี : 3 หนุ่ม 3 มุม คือติดหูมาตั้งแต่เด็กแล้ว โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือซิตคอม เพิ่งมารู้ตอนที่จะได้มาแคสต์น่ะครับว่าคือซิตคอม 

ซี : ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ได้มาแคสต์ครับ แล้วก็กลับไปถามแม่ว่ารู้จักหรือเปล่า เขาก็ร้อง อ๋อ ทันทีเลย


Q : กดดันไหมว่า ตอนที่เรารู้ว่าเราจะต้องมาเล่นเป็นลูกของพี่ทั้ง 3 คน พี่กบ พี่แท่ง พี่มอส

ซี : แรกๆ โอ้โฮ เจอครั้งแรกนี่ทรุดเลย

ปีโป้ : วันแรกก็เครียดเหมือนกัน เพราะว่าอย่างตัวพี่แท่งครับ จะเป็นคนค่อนข้าง open mindset ไม่ค่อยมีกำแพง แต่ว่าเราก็เกรงใจเขาแหละ เพราะเขาผู้ใหญ่มากๆ อาจจะรู้สึกว่าเราจะได้เล่นกับตำนานทั้ง 3 ท่านได้เหรอ อะไรอย่างนี้ แล้วก็กดดันตัวเอง

บี : กดดันมากครับ เพราะว่าเป็นผลงานชิ้นแรกของผมในวงการบันเทิงครับ แล้วก็ได้เล่นเป็นลูกพี่กบ แล้วยิ่งพี่กบเป็นคนขรึม เวลาเขาทำอะไร เขาจะชอบอยู่คนเดียวกับตัวเอง ผมก็เลยกลัว เวลาเข้าบทกับเขานี่กลัวมาก แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มโอเคแล้ว

ซี : ผมก็กดดันมากๆ เพราะว่าเป็นเรื่องแรกเหมือนกันครับผม แล้วก็ตอนที่เจอพี่มอสครั้งแรก พี่มอสก็เดินเข้ามาเลย เราก็ตกใจแล้ว ตอนแรกเรากดดันอยู่ แล้วพี่มอสก็ดึงไปกอด เราก็ผ่อนคลายขึ้น รู้สึกเป็นกันเอง จากที่เครียดๆ ก็ค่อยๆ หายไป

Q : ย้อนกลับไปคำถามแรกที่บอกว่ากดดัน ที่เคยคุยกับพี่น้องหรือญาติว่า 3 หนุ่ม 3 มุม ในอดีตเป็นอย่างไร ตอนนั้นรู้ไหมว่าเรื่องนี้เป็นซิตคอมที่ดังมากในยุค 90

ปีโป้ : เป็นซีรีส์ที่ดังมาก เพราะว่าใครๆ ก็พูดถึงเนาะ แต่คือเราอาจจะเกิดไม่ทัน แบบไม่ทันแล้วนิดหนึ่ง อีกนิดเดียว อาจจะเหลื่อมๆ กับของเรา ของซีก็ไม่น่าจะทันหมดเลย ไกลเลย

ซี : ใช่ ผมก็ไม่รู้ว่ามันดังมากขนาดไหนครับ แต่พอได้มาคุยกับใครหลายๆ คน เขาบอกเฮ้ยมีคอนเสิร์ตด้วยนะเว้ย มันไม่ใช่เล่นๆ นะมีคอนเสิร์ตในยุคนั้น


ปีโป้ : แล้วความกดดันเราก็เพิ่มขึ้นนะ เพราะว่าเรารู้สึกว่าแต่ก่อนซิตคอมนี้เรื่องนี้ดีมากๆ คนรักคนปลื้มมากๆ พอเราต้องแสดง เรากลัวว่าเราจะทำภาพลักษณ์เก่าๆ เสีย เรายิ่งกดดันตัวเองว่าเราต้องทำออกมาให้ดีนะ ห้ามทำให้ภาพลักษณ์มันดูแย่นะ

ซี : ใช่ครับ

Q : ตัวจริงกับคาแรกเตอร์ในเรื่องเป็นอย่างไร

ปีโป้ : ไม่ได้แตกต่างกันมากเลย เหมือนกับเบลนด์ๆ กัน เหมือนกับมีเส้นบางๆ กั้นอยู่นิดเดียวเอง

Q : สามคนนี้จะมีปีโป้ที่อยู่วงการมาก่อนใช่ไหม เข้ามาตั้งแต่ฮอร์โมน อีก 2 คน เข้ามาจากโครงการอะไร

บี : The Next One ครับ

Q : เล่าให้ฟังหน่อย ตอนนั้นไปประกวด The Next One ได้อย่างไร

ซี : ไปประกวดได้อย่างไรใช่ไหมครับ ตอนนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญครับ คือตอนไปเดินเล่นในห้างพอดีแล้วพี่ๆ เขาเรียกเข้าไป เขาแบบยื่นบัตรให้ ลองมาแคสต์ดู แต่ถามแม่ก่อนนะ แม่บอกไปเลยลูก แม่อยากให้เราไป เลยเข้าไปที่ Central World ครับ


บี : ของผมมีรุ่นพี่ครับ เป็นเจ้าของคลินิกศัลยกรรมที่เชียงใหม่ เขาบอกว่าเฮ้ยบีลองไปดูไหม ได้พี่เดี๋ยวลองไปดู เลยลองไปที่ Central Festival ที่เชียงใหม่

Q : ตอนที่รู้ว่ามาถึง 8 คนสุดท้ายความรู้สึกจากวันแรกมาจนถึงวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

บี : ภูมิใจในตัวเองนะครับ เหนื่อยมาก โดนกดดันมาก แล้วผมอยู่เชียงใหม่นะครับ ต้องไปมากรุงเทพฯ ตลอด ผมคิดว่ามันคุ้มนะสำหรับผม มันคุ้มกับความเหนื่อย ต้องแลกกับการไปๆ มาๆ

Q : กับพี่กบ พี่แท่ง พี่มอส เราสร้างความคุ้นเคยกันนานไหม

ปีโป้ : ไม่นะ เพราะว่าเขา อย่างที่บอกว่าเขาแบบไม่ค่อยมีกำแพงกับพวกเราเลยอะไร เพราะว่าด้วยความเป็นพ่อด้วย เขาเอ็นดูเรามากๆเลยค่อนข้างไม่ค่อยใช้เวลานานมาก

บี : ใช่ เพราะว่าอยู่กอง เราพยายามเข้าหาพวกเขา ถามพวกเขาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อความสนุกเวลาเข้าฉากครับ


Q : เคยถามพี่กบ พี่แท่ง พี่มอส ไหมว่า บรรยากาศการถ่ายทำ 3 หนุ่ม 3 มุม ยุคนั้นกับปีนี้ต่างกันอย่างไร 

ปีโป้ : พี่แท่งเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนะยังไม่มีมือถือ จะต้องมาที่กองตามเวลา แต่ก่อนทุกคนจะมารวมตัวกันตอนตีห้าครึ่งหกโมง แล้วจะถ่ายอยู่ตรงนั้นยาวๆ นอนตรงนั้น อยู่ด้วยกันตรงนั้น

บี : พี่กบบอกว่ายุคนี้สบาย อยู่ที่เดียว ห้องเย็นติดแอร์ เมื่อก่อนคือต้องถ่ายแบบไปนู่นไปนี่บ้างอะไรอย่างนี้ ไม่มีอะไรติดต่อ ถนนหนทางก็ไปลำบาก

ซี : ตอนนั้นพี่มอสเล่าให้ฟัง ตอนที่พี่มอสติดเรียน พี่มอสเขาจะถ่าย แล้วทุกคนต้องรอพี่มอสคนเดียว ทุกคนต้องรอพี่มอสเรียนเสร็จ

Q : ความสัมพันธ์ของลูกกับพ่อในซิตคอม 

ปีโป้ : คืออย่างโป้กับพี่แท่งนะ เหมือนมีแบบมีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างตรงกันเยอะมากๆ อย่างโป้ไปกินข้าว โป้ก็นั่งกินข้าวปกติของโป้ แต่พอกำลังจะกลับแล้ว เพิ่งมาเจอ อ้าว พ่ออยู่ร้านเดียวกัน คือไลฟ์สไตล์จะค่อนข้างใกล้เคียงกัน อย่างเตะบอล กินข้าวที่ไหนอะไรอย่างนี้ ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างตรงกันเยอะครับ 

บี : ของผมอาจจะมีระยะกันนิดหน่อยสำหรับพี่กบ เพราะว่าพี่กบเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก เลยจะต้องสร้างความคุ้นเคยกัน เวลาผมไหว้เขาผมจะเข้าขอไปกอด มากอดเลย ไม่เป็นไร ค่อยๆ สร้าง


ปีโป้ : อย่างที่บอกว่าพี่กบเป็นคนที่ชอบนั่งคนเดียวอยู่ในกอง บีก็เป็นครับ ค่อนข้างมีระยะห่าง

ซี : กับพี่มอสเหมือนกันไหม เหมือนนะ คือแบบพี่มอสเขาจะมีความเป็นพ่อไปแล้วใช่ไหมครับ แล้วจะมีความตลกเฮฮา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าต้องให้คนอื่นบอกว่าเหมือนหรือเปล่า คือเขาจะมีความเป็นเหมือน เป็นทั้งพี่ เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งครู คอยพูดให้เฮฮาตลอดเวลาคอย สร้างสีสันตลอดเวลา

Q : ได้ถามพ่อแม่ที่บ้านไหมว่าหลังจากที่เขาดูผลงานของเราไปแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ปีโป้ : จริงๆ ป่าป๊าชอบนะ หม่าม้าชอบมากครับ หม่าม้าดีใจที่ได้เข้าไปจอยใน Project ใหญ่ครับ 

บี : พ่อแม่ดีใจครับ เพราะว่าไปไหนก็มีคนทักพ่อทักแม่ว่าเห็นลูกไปเล่น 3 หนุ่ม 3 มุม x 2

ซี : แม่ไม่ได้บอกเลยว่าชอบ แต่ว่าทุกคืนเวลาผมเดินไปอาบน้ำ ห้องแม่กับห้องผมติดกันครับ ติดห้องน้ำ ก็จะมีเสียง 3 หนุ่ม 3 มุมตลอด คืนนี้เปิดอีกแล้วเหรอ ถ้าเป็นพ่อจะไม่ได้เปิดขนาดนั้น แต่แชร์บ้าง แต่ส่วนย่าบอกทั้งอำเภอที่ฉะเชิงเทรา เขาคงรู้จักผม คือย่าโปรโมตเก่งมาก

Q : ตอนนี้เรียนอะไรกันอยู่

ปีโป้ : ของโป้เรียน Communication Arts ครับ อยู่ที่ ม.กรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล คอลเลจ ครับ 

บี : ผมเรียนครูพละ ราชภัฏเชียงใหม่ครับ 

ซี : ผมเรียน Broadcasting ม.กรุงเทพครับ เพิ่งเข้าปี 1 เลยครับ สดๆ ร้อนๆ


Q : มองอนาคตในวงการบันเทิงไว้อย่างไรบ้าง

ปีโป้ : โป้มองว่าทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าตอนนี้มันมีคนเข้ามาใหม่ๆ เยอะมาก แล้วคนเก่าๆ ต้องพัฒนาให้ตัวเองแข็งแรง แล้วเตรียมพร้อมกับการพัฒนามากขึ้น เช่นว่าตอนนี้อยากเรียนร้องเพลง อยากลองเล่นหนังสัก 1 เรื่อง หรือว่าอยากเล่นละครเวทีสักรอบหนึ่งครับ 

บี : ผมคิดว่าอยากทำงานชิ้นนี้ให้ดีก่อน แล้วให้มันดีเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมไม่รู้ว่าข้างหน้ามันจะมีโอกาสแบบนี้ให้ผมไหม คงต้องทำตรงนี้ให้ดีก่อน 

ซี : ผมอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ อยากเก่งหลายๆ ด้าน อยากพร้อมที่จะเผชิญกับหลายๆ อย่าง แล้วให้ตัวเองรู้สึกว่าตรงนี้เราเริ่มแข็งแรงแล้ว เราเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วอยากจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ

Q : ประเมินผลงานชิ้นแรกของตัวเองอย่างไรบ้างเต็ม 10 ให้กี่คะแนนดี

ซี : ผมให้ตัวเองประมาณ 7 ครับแต่บางจุดที่เรายังไม่พอใจก็อยู่ในระดับ 3 คะแนน

บี : ผมให้ 3 เพราะว่าผมคิดว่าผมอยากพัฒนาตัวเองให้มันเก่งกว่านี้ ให้มันทำได้ดีกว่านี้ อันนี้ยังมือใหม่ ครั้งแรกผมพยายาม เหมือนแบบไม่ต้องให้ผู้กำกับบอก ไม่ต้องให้ผู้กำกับไกด์ ผมอยากเป็นแบบนั้น


ปีโป้ : ประมาณ 6.5 ครับ เพราะรู้สึกว่ามันมีทั้งวันที่เราเอนเนอร์จีมาเต็ม แล้วก็วันที่เราเอนเนอร์จีมาไม่เต็ม รู้สึกว่าบางซีนที่มันถ่ายไปแล้วรู้สึกว่าเราเสียดาย เราคิดว่าเราจะทำให้ดีที่สุด แต่เอนเนอร์จีเราไม่ไหวแล้วจริงๆ เราถ่ายกันแบบยันเที่ยงคืน แล้วโป้ลากยาวหมดเลย คือเอนเนอร์จีจะดรอปหน่อยครับ ถามว่าชอบไหม ชื่นชอบนะ ซีนที่เอนเนอร์จีเยอะ เอนเนอร์จีแบบแรกๆ มาเต็ม รู้สึกว่าเราทำเต็มที่แล้ว แล้วดีด้วย แต่พอเอนเนอร์จีมันดรอปไปก็รู้สึกว่าแบบมันไม่ดีเท่าแรกๆ ที่เอนเนอร์จีเหลือ

Q : ปีโป้อยู่วงการมาก่อนน่าจะรับมือกับแฟนคลับได้ดี สองคนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องแฟนคลับเริ่มมีมาบ้างหรือยัง

บี : มีครับ แต่จะมีผู้จัดการคอยกั้นให้อะไร อันไหนที่มันควรไม่ควร เขาก็บอก

ซี : มีรู้จักบ้างนะครับ เวลาไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้แม่ที่ตลาด เขาก็จะทักใช่หรือเปล่าครับ ใช่ไหมครับ ใช่ก็ได้ครับ เป็นแม่ค้าด้วย เก่งมากเลยนะเรา

Q : ปรับตัวทันไหม

บี : สำหรับผมไม่ค่อยนานนะ เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมก็มีฐานแฟนคลับนิดหน่อยแล้วครับ มีผู้จัดการข้างนอกมีงานอีเว้นต์ข้างนอก  
ซี : ไม่นานเท่าไหร่เพราะว่ามีพี่โป้พี่บีคอยแนะนำ พี่บีคอยแนะนำเลยว่าเวลาถ่ายรูปแฟนคลับต้องแบบโค้งอะไรอย่างนี้ครับ

Q : ไลฟ์สไตล์วันหยุดเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าไม่มีเรียนไม่มีงานถ่ายทำ

ปีโป้ : ชอบหากิจกรรมทำครับ อย่างเช่นปีนผา ตีแบตล่าสุดไปเรียนดำน้ำแบบ freediving แบบไม่มีแทงก์ ผมเป็นคนที่ชอบแข่งขันกับตัวเองครับ


บี : ผมเล่นฟิตเนส แล้วก็ไปเล่นฟุตบอล ฟุตซอลครับ 

ซี : ผมชอบไปว่ายน้ำ ไปว่ายน้ำเสร็จแล้วก็มาเล่นเกม เล่นเกมเสร็จไปหาอะไรกิน แล้วกลับมาดูซีรีส์ต่อ ผมชอบดูซีรีส์เกาหลี ฝรั่งไม่ค่อยดู ฝรั่งนี่คือดูแบบนานๆ ที

Q : นอกจากงานแสดงแล้วอยากทำอะไรอีกไหมในวงการบันเทิง 

ปีโป้ : อย่างที่บอกแหละครับ พวกเราอยากเป็นนักร้อง อยากทำเพลงกันเอง ส่วนตัวอยากเล่นหนัง อยากเล่นละครเวทีสักเรื่อง


บี : ผมอยากร้องเพลง ผมอยากเล่นดนตรีสักอย่างหนึ่ง แล้วก็คิดว่าอยากเล่นภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง เพราะว่า เมื่อก่อนเคยดูสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก เออลองคิดถ้าเราไปแสดงเราจะทำได้มั้ย

ซี : ผมอยากเป็นนักร้องครับ คืออย่างเวลาแบบเขา Performance บนเวที เวลาผมเห็น โอ้โฮดึงคนได้ขนาดนี้เลย เขาดึงเราเข้าไปอยู่ในโลกที่เขาร้องเพลง

Q : สุดท้ายฝากผลงานซิตคอมเรื่องแรกหน่อย

ปีโป้ : บอกเลยว่าซิตคอมเรื่อง 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 นะครับ ก็จะมีความอบอุ่น ความแฮปปี้เฮฮาปาจิงโกะ หรือว่าจะมีความอึมครึมบ้างอะไรนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นแบบfeel good ของความเป็นครอบครัว หรือว่าการมีครอบครัวมันดีอย่างไร แล้วก็การแก้ปัญหาของครอบครัว เขาช่วยกันคอยซัพพอร์ตกัน คอยดูแลเทคแคร์อะไรอย่างนี้

บี : คือแบบพอเวลามีปัญหาอะไรกันอย่างนี้ครับ ครอบครัวมันตีกันแรงๆ ผมว่าสุดท้ายแล้วครอบครัวก็คือครอบครัวครับ


ซี : อยากฝากให้ทุกคนช่วยติดตามดู 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ครับ เพราะว่าเราจะมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว ผมคิดว่าครอบครัวต้องเจอครับ แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมอยากให้ทุกคนติดตามชม 3 หนุ่ม 3 มุม x 2 ครับ ทุกวันเสาร์ 20.15 น. ผ่านทางช่อง One 31 และดูย้อนหลังที่ Application iQIYI หรือ iq.com ครับผม ฝากด้วยนะครับ

]]>
#shirtchallenge วัดความฟิต ท้าทายกำลัง https://marshomme.com/scoop/529684/ Wed, 15 Apr 2020 17:19:00 +0000

เมื่อหนุ่ม ๆ โดนท้าทายผ่าน IG ให้ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยการถอดเสื้อในท่าหกสูงติดกับกำแพง เท่านั้นยังไม่หนำใจ ใส่เสื้อเสร็จแล้วก็ต้องถอดกลับคืนในท่าเดิม บอกได้เลยว่าถ้าไม่แข็งแรงจริงทำไม่ได้และไม่แนะนำให้ทำตามเพราะอาจเกิดอันตรายได้

มากไปกว่า #challenge คือการชี้เป้าหนุ่มหล่อ บอดี้ดีมาโชว์ทักษะความแข็งแรงของช่วงแขน แผ่นหลัง ไล่ไปถึงปลายเท้า รวมมิตร #shirtchallenge ที่เรารวบรวมมาให้แล้วว่าเด็ด

]]>
NEW KID ON THE BLOCK ‘ภณ-ธนภณ เอี่ยมกำชัย’ https://marshomme.com/aboy/102564/ Tue, 12 Nov 2019 10:01:00 +0000

สาวๆ ที่เฝ้าติดตามโครงการ Superboy Project Presented by GSB คงกำลังลุ้นระทึก เพราะหลังจากถ่ายทอดสดโครงการมาสี่สัปดาห์ต่อเนื่อง ก็เข้าสู่สัปดาห์แห่งการ ‘คัดออก’ จริงของโครงการฯ เพื่อให้เหลือหนุ่มน้อยเพียง 5 คนสุดท้าย ที่พร้อมจะเป็นศิลปินใหม่ในสังกัด StarHunter เจริญรอยตามรุ่นพี่ SBFIVE อย่างบาส-สุรเดช พินิวัตร์, คิมม่อน-วโรดม เข็มมณฑา, คอปเตอร์-ภานุวัฒน์ เกิดทองดี, เต้-ดาวิชญ์ กรีพลฤกษ์ และตี๋-ธนพล จารุจิตรานนท์ ที่ดังทั่วเอเชียไปก่อนหน้านี้แล้ว


หนุ่มๆ เข้ารอบ #SuperboyProject มี 12 คนสุดท้ายมี ‘ของดี’ ที่พกติดตัวมาแตกต่างกันไป แต่เราก็เลือกคุยกับภณ-ธนภณ เอี่ยมกำชัย B12 ที่สะดุดตาด้วยสีผมสไตล์เกาหลีอินเทรนด์ อดีตเดือนคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ภณน่าจะเป็นพี่ใหญ่สุด

ภณเล่าว่า ที่มาร่วมโปรเจ็กต์นี้ก็เพราะ “ผมเห็นโปรเจ็กต์นี้จากเพื่อนที่อยู่ในวง SBFIVE ครับ นั่นคือตี๋ครับ ผมเลยทักไปถามตี๋ว่า เออถ้าจะสมัครโปรเจ็กต์นี้ได้ไหม ตี๋บอกว่า เฮ้ยลองมาดู ภณก็เลยคุยผู้จัดการภณ แล้วก็ไปสมัครดูครับ”

ได้ข่าวว่าภณเป็นสาวกเคป๊อปที่ทั้งร้องและเต้นมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่ง “ใช่ครับ ผมเริ่มฟังมาตั้งช่วงที่มัธยม ถ้าที่มาฟังจริงๆ จังๆ ก็ช่วงประมาณ ปี 1 ครับแต่ไอดอลที่ชื่นชอบตอนนี้ นั่นคือวง BTS นะครับ หลายๆ คนน่าจะรู้จักดี ภณชอบหลายเพลงและฟังแทบจะทั้งหมดของอัลบั้มเลยครับ ตอนนี้ที่ชอบสุดคือ Boy with LUV ครับ”


ทำไมตอนอยู่ปี 1 ถึงฟังบ่อยๆ ล่ะ “ตอนนั้นผมสอบติดธรรมศาสตร์แล้วครับ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติ พอเข้าได้ปุ๊บก็ต้องเข้าร่วมการประกวดเดือนของคณะ โดยเริ่มจากประกวดเป็นสาขาๆ พี่สาขาเขามาลงความเห็นกันว่า เฮ้ยคนไหนจะได้เป็นเดือนของสาขานะ ก็ให้เพื่อนช่วยกันโหวตครับว่า ใครจะได้เป็นตัวแทนของสาขาไปประกวดของคณะ พอได้เป็นตัวแทนสาขาก็ไปแข่งในคณะก่อน สาขามีประมาณ 25 สาขาครับ ผมก็เลยเลือกสิ่งที่ตัวเองถนัดก็คือการเต้นไปใช้ในรอบแสดงความสามารถพิเศษ จนชนะ ได้เป็นเดือนคณะ แล้วก็ไปแข่งระดับมหาวิทยาลัย ได้รางวัล Popular Vote ปี 57 กลับมาครับ” ภณกล่าว

หลังจากได้ตำแหน่งเดือนแล้วเราต้องทำหน้าที่อะไรต่อ “พอได้ของคณะ คณะจะให้เราเป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะว่ามีกี่สาขา มีอะไรน่าสนใจบ้าง เรียนแล้วไปทำงานอะไรได้บ้าง หลังจากนั้นผมก็ทำกิจกรรมในคณะเรื่อยมาครับ เป็นคณะกรรมการนักศึกษาตั้งแต่ปี 2 แต่พอจะจบ ตอนอยู่ปี 4 ภณก็ลองไปประกวดของเชียร์ลีดเดอร์งานฟุตบอลประเพณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดูครับ แต่ไม่ได้ครับ ก็มีหลายคนถามเหมือนกันนะครับว่าทำไมต้องรอจนถึงปี 4 แล้วค่อยมาคัดลีด จริงๆ ตั้งแต่ปี 1 ก็มีพี่ๆ ชวนนะครับ แต่ว่าตอนนั้นภณอยากจะทำหน้าที่เดือนคณะให้ดีก่อน และได้เป็นผู้นำเชียร์ของคณะ เราก็อยากจะทำงานของคณะให้เต็มที่ก่อน เราเลยเลือกตรงนั้น จนมาถึงปี 4 ภณเลยคิดว่า เฮ้ยปีสุดท้ายแล้ว อยากจะทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำบ้าง เพราะส่วนใหญ่ภณจะทำงานเบื้องหลังเสียมากกว่า ก็เลยอยากจะลองทำงานเบื้องหน้าดูครับ”


ในฐานะที่เรียนจบแล้วคิดอย่างไรกับการทำกิจกรรม ภณตอบทันทีว่า “สำหรับตัวภณนะครับ ภณคิดว่า เป็นข้อดีในการทำกิจกรรม ก็คือการที่เราอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นการเริ่มต้นที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าการที่ใช้ชีวิตข้างนอกหลังเรียนจบ เราจะไม่รู้เลยว่าเราจะเจออะไรบ้าง เราต้องทำงานกับใคร อายุต่างกันแค่ไหน การทำกิจกรรมก็เหมือนฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น และเอาจริงแล้วหลายๆ กิจกรรมที่เคยทำ ภณเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับทำงานร่วมกับผู้อื่น ในการทำงานเรื่องต่างๆ ที่เป็นระบบมากขึ้นครับ”

ตอนนี้เรียนจบแล้ว เกรดดีไหม “อย่าพูดถึงแล้วกันครับ เอาว่าเรียนจบได้ โอเคดีครับ อยู่ในเกณฑ์ที่พอใจครับ” ภณกล่าว ถ้าให้มองย้อนกลับดูชีวิตในมหาวิทยาลัย 4 ปีที่ผ่านมา “ภณว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยคือชีวิตที่สนุกมากครับ ตอนนั้นเรา Enjoy กับการทำกิจกรรมมากๆ เลย เรื่องเรียนเราก็สนใจนะครับ ตอนนั้นที่อยากเข้าธรรมศาสตร์ ก็เพราะว่าเรื่องนี้แหละ ธรรมศาสตร์เด่นเรื่องกิจกรรม เราก็เลยชอบที่จะทำกิจกรรมครับ และทำให้เราเติบโตขึ้น จากเฟรชชี่ มาสู่ซีเนียร์ ตอนที่ภณอยู่ปี 4 เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดนะครับ เหมือนเราเป็นพี่ใหญ่สุด ต้องดูแลน้องๆ ภณรู้สึกว่าการที่เราได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง มันมีความสุขมากครับ เวลาเราเห็นเขาดีใจกับมัน เขามีความสุข เรารู้สึกแฮปปี้ไปกับมันด้วยครับ”

คิดว่าการประกวดดาวเดือนอะไรเนี่ย ไร้สาระไหม “ไม่ไร้สาระนะครับ” ภณตอบทันที “สำหรับภณมองว่านี่คือการที่เราได้โชว์ความสามารถครับ บางคนเขาอาจจะมองว่า การประกวดดาวเดือนคือการใช้แค่หน้าตามาประกวด แต่สำหรับภณคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นครับ เราต้องมีเสน่ห์ มีความสามารถที่จะดึงดูดผู้คนให้มาดูเรา การโชว์ความสามารถศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ครับ”


ไลฟ์สไตล์ของเด็กธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นอย่างไร “ถ้าเป็นเด็กรังสิตนะครับ ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในช่วงติวเราจะอ่านหนังสือกันที่ศูนย์การเรียนรู้ หรือไม่ก็หอสมุดป๋วยฯ ครับ เพราะว่าจะไปอ่านหนังสือกัน แล้วก็จะไปอยู่ที่ยูสแควร์ครับ เป็นศูนย์รวมอาหารที่นักศึกษาธรรมศาสตร์จะชอบไปกินกันที่นั่นเยอะมากครับ ส่วนช่วงสอบก็จะอ่านหนังสือกันตามร้านกาแฟบ้าง ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่อย่างเพื่อนภณก็จะกลับบ้านครับ แต่บางคนที่บ้านอยู่ไกลจริงๆ เขาก็อยู่หอครับ แบบนานๆ กลับทีครับ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนไปเที่ยวที่ฟิวเจอร์ครับ เป็นห้างที่ใกล้ธรรมศาสตร์ที่สุดครับ” (หัวเราะ)

หลังจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป Superboy Project Presented by GSB จะเริ่มเข้าสู่การคัดออกแล้ว กดดันมั้ย “กดดันครับ เพราะว่าเพื่อนๆ อีก 11 คนเขาก็มีความสามารถ มีเสน่ห์ในแบบของเขาครับ ซึ่งภณก็ต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเองออกมาให้อย่างมากที่สุดครับ เพื่อไปสู้กับเขาให้ได้”

ระหว่างร้องกับเต้น ถนัดอะไรมากกว่ากัน “ถนัดเต้นครับ ถนัดเต้นเสียมากกว่าครับ”


คิดอย่างไร ถ้าเกิดมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าวัยรุ่นไทยเลียนแบบ K-POP มากเกินไป “ภณว่าเราต้องแยกก่อนครับ แยกระหว่าง K-Pop กับ T-Pop นะครับ ซึ่งที่เขาบอกเลียนแบบ เพราะเราพยายามมองศักยภาพของ K-Pop ใช่ไหมครับ เขาจะมีศักยภาพมากไม่ว่าจะร้องเต้นหรือความเข้มข้นในการฝึกฝน เราแค่เอาข้อดีจาก K-Pop มาพัฒนา ใน T-Pop ของเรา ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าไปก๊อปเขา แต่ภณคิดว่ามันเป็นการพัฒนาศักยภาพของคนไทยเองให้มันมากขึ้นครับ”

ทุกวันนี้คิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง “ข้อบกพร่องเหรอครับ (คิดนานหน่อย) ภณคิดว่าทุกคนก็จะมีข้อบกพร่องเป็นของตัวเองนะครับ แล้วก็ข้อดีของตัวเอง ดังนั้นข้อบกพร่องของภณ ภณคิดว่าเป็นคนที่บางทีคิดมากเกินไปครับ คิดมากเกินไปจนทำให้พลาดบางเรื่องอย่างเรื่องในวงการบันเทิงอาจจะขาดเสน่ห์ไปบ้างครับ เพราะว่าเราเป็นคนที่คิดมาก คิดอยากจะทำออกมาให้ดี แล้วก็ดีที่สุด ตอนนี้ก็รู้ตัวเอง พยายามผ่อนคลายตัวเองให้มากขึ้นครับ”

สมมุติว่าจบโปรเจ็กต์แล้วเป็น 1 ใน 5 “โปรเจ็กต์นี้นะครับก็ต้องขอบคุณทางสตาร์ ฮันเตอร์นะครับ เพราะว่าเขาได้วางแผนไว้ต่อไปว่าจะทำบ้าง สมมุติว่าถ้าได้ 5 คน แน่นอนจะต้องทำงานเพลง มี MV มีถ่ายซีรีส์ มีละคร มีโฆษณามากมายครับ เขาก็วางแพลนไว้แล้ว ถ้าเราได้เป็น 5 คนสุดท้าย ก็จะได้ทำตามแพลนนี้ครับ”


ถ้าเกิดเขาจับไปเล่นซีรีส์วายล่ะ “ไม่มีปัญหาครับ” ภณตอบทันที “เพราะว่ามันคือการแสดงครับ การแสดงนี่เหมือนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งครับ ที่เราจะเรียนรู้ไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนก็ตามครับ แล้วเรื่องการจิ้นชาย-ชายนี่ ภณคิดว่าผู้หญิงอาจจะมองเห็นความน่ารักของผู้ชายครับ เวลาอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงก็เลยจับชาย-ชายจิ้นกันบ่อยๆ” (ยิ้ม)

เปลี่ยนสีผมมานานหรือยัง ไปได้แรงบันดาลใจจากไหน “ประมาณเดือนหนึ่งครับ ก่อนเข้าโปรเจ็กต์ ตอนแรกทำสีม่วงเทาครับ แต่ตอนนี้ก็เฟดออกเป็นสีนี้แล้ว สีนี้ได้มาจากพี่จินวง BTS ครับ เพราะว่าตอนนั้นเขาทำสีม่วง เฮ้ย หล่อมากๆ เลย เราเลยอยากทำสีนี้ แล้วบังเอิญทำสีนี้ก่อนวันที่จะไปประกวดของ Superboy Project ครับ ก็เลยอาจจะเด่นเป็นพิเศษเลยครับ” ภณกล่าว


Text by Takeshi West

]]>