Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
เกย์ – Marshomme https://marshomme.com Thu, 30 Apr 2020 16:43:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png เกย์ – Marshomme https://marshomme.com 32 32 Lockdown Story เกย์ โรคระบาด และอาการตกหลุมรัก https://marshomme.com/lifestyle/529764/ Thu, 30 Apr 2020 16:43:00 +0000
โดยเบญจกาย


จั่วหัวแบบนี้ เบญจกายไม่ได้จะแต่งนิยายวายให้อ่านนะคะ แต่หลังจากที่เงียบหายไปยาวนาน เพราะไม่มีเก้งกวางท่านใดเจียดคิวมาให้สัมภาษณ์ ถือโอกาสใช้เวลาว่างช่วงกักตัว หลังจากดูน้องพรฮับจนเมื่อยมือ เสิร์จหาข้อมูลอื่นๆ ดูบ้างว่า ชาว LGBT บ้านอื่นเมืองอื่น ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากน้อยแค่ไหน แม้จะไม่ได้มีข้อมูลที่ชัดเจนนัก แต่เรื่องราวต่างๆที่อิรุงตุนังกับเกย์ ก็มีเรื่องให้เบ้ปาก และมีเรื่องราวน่ารักๆ ที่น่าหยิบมาทำซีรีส์มากๆ ค่ะ


เอาเรื่องที่ชวนให้เบ้ปาก มองบนกันก่อนนะคะ แม้โลกจะเจริญก้าวหน้ามาถึงยุคดิจิทัลแล้วก็เถอะ แต่ก็มิวายมีวิวาทะบ้าๆ บอๆ ระหว่างพวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรง


เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อ ‘ริชาร์ดเวเบอร์’ ทนายความและเกย์นักเคลื่อนไหวทางสังคม ชาวนิวยอร์ก วัย 57 ปี ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคโควิด-19 การเสียชีวิตจะด้วยโรคระบาดแบบนี้หรือด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเกย์หรือมนุษย์ทั่วไปก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความเสียใจใช่มั้ยคะ

แต่นายริค ไวล์ส เจ้าของเว็บไซต์ TruNews กลับแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า โดยกล่าวถึงการเสียชีวิตของริชาร์ดเวเบอร์ ว่าเป็นคำตัดสินของพระเจ้า!!!

“เขาเป็นทนายอาวุโสของ LGBT เนติบัณฑิตยสภาแห่งนิวยอร์ก นักกฎหมายที่เคยฟ้องร้องโบสถ์, ทนายความที่เคยฟ้องกระทรวง ทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการบูรณาการการใช้ห้องน้ำ เพื่ออนุญาตให้ ‘ผู้ชาย’ ใช้ห้องน้ำร่วมกับเด็กๆ แต่วันนี้ทนายความอาวุโสของพวกเขาได้ชีวิตที่นครนิวยอร์กด้วยเชื้อไวรัสโคโรนา นี่คือคำตัดสินของพระเจ้า ผมเพียงต้องการจะบอกพวกคุณว่า อย่ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์” ไวล์สกล่าว

ค่ะ พลันที่ประโยคนี้โดนเผยแพร่ออกไป ปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้ามก็ตามมาทันที เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือไวรัสโคโรนาไม่เคยเลือกเพศ ชนชั้น เชื้อชาติ ฐานะ เลยแม้แต่น้อย มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้สามารถตายได้ด้วยโรคโควิด-19 กันทั้งนั้น และข้อเท็จจริงที่มีทั่วไปก็คือคนเคร่งศาสนาก็เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเช่นกัน จนกลายเป็นที่มาของประโยค

“หากเอชไอวีเป็นการลงโทษเกย์ของพระเจ้าแล้ว เชื้อไวรัสโคโรนาคือการลงโทษคริสเตียนอนุรักษนิยมจากพระเจ้าเช่นกัน”

อันนี้คือวิวาทะที่พวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรงในยุโรปกับอเมริกา เขาวีนใส่กันนะคะ ไทยแลนด์ไม่เกี่ยว

ทุกครั้งที่มันเกิดการระบาดของโรคระบาดพวกนี้ทีไร เราจะได้ยินวิวาทะพวกนี้เสมอ ตอนที่เอชไอวีระบาดหนักในยุค 90 ก็เช่นกัน ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ LBGT ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกาก็ได้รับข้อกล่าวหานี้ไปเต็มๆ แต่ให้บังเอิญที่การระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ มันดันไปจู่โจมที่ศูนย์กลางของศาสนาใหญ่ๆ ได้แก่ กรุงโรม ศูนย์กลางของคาทอลิก, เอเธนส์ ศูนย์กลางของกรีกออร์โธดอกซ์, มอสโก ศูนย์กลางของออร์ทอดอกซ์ รัสเซีย ลอนดอน ศูนย์กลางของพวกแองลิกัน, เยรูซาเล็ม ศูนย์กลางแห่งศรัทธาของชาวยิวและซอลท์เลคซิตี้ซึ่งศูนย์กลางของพวกมอร์มอน

ฝั่งเกย์เสรีนิยมที่ซานฟรานซิสโก ก็ออกมาตอกกลับในเรื่องนี้ทันที โดยเปรียบเทียบว่า ความพิโรธของพระเจ้าในการส่งไวรัสโคโรนามาปราบมนุษย์โลกดูบ้างว่าเป็นอย่างไร ในซานฟรานซิสโกมีผู้ป่วยไม่ถึง 1,000 รายและมีผู้เสียชีวิต 12 ราย ในขณะที่เมืองสำคัญๆทุกแห่งของศูนย์กลางของศาสนาหลักๆ ของโลก ศาสนาที่ ณ จุดหนึ่งเคยเลือกปฏิบัติต่อชุมชน LGBT กลับมีอัตราการติดเชื้อไวรัสและเสียชีวิตมากกว่าซานฟรานซิสโก ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ฉะนั้น คำพูดของริค ไวล์ส จึงดูจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก นี่คือสิ่งที่เกย์เสรีนิยมสุดโต่งฝั่งซานฟรานซิสโกสรุปมา ความจริงที่ควรจะเป็นในเวลานี้ก็คือเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หยุดสร้างความเกลียดชังด้วยสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา และหยุดโทษคนอื่นโดยไม่สำเหนียกมองตัวเองเลยสักนิด

ชอบบทสรุปนี้จัง เพราะในขณะที่คนในยุโรปและอเมริกายังเหยียดเพศกันอยู่ บ้านเรากลับเอาโรคระบาดมาสร้างประเด็นทางการเมืองได้ไม่หยุดหย่อน แต่จะมีคนไทยชังชาติสำนึกมั้ยคะ…

ฟังเรื่องเหวี่ยงวีนแล้ว กลับมาที่เรื่องน่ารักๆ บ้างนะคะ ในทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นบนโลกมักจะตามมาด้วยเลิฟสะตอรี่เสมอ แล้วหลายเรื่องจะถูกแต่งขึ้นภายหลัง แต่เรื่องนี้เรื่องจริงๆ ค่ะ และบอกได้เลยใครที่กำลังหาพล็อตทำซีรีส์ เรื่องนี้ปังสุด


แล้วความรักท่ามกลางโรคระบาดใหญ่เป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นในลอนดอน เมื่อนายแอรอน ฮุสเซย์ โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัว ถึงเรื่องความรักของเขาช่วงกักตัว ที่บังเอิ๊ญบังเอิญมากค่ะแม่ เรื่องมีอยู่ว่า นายแอรอน ฮุสเซย์ และนายรี้ดแบดแมน เกย์ชาวอังกฤษ ที่อาศัยอยู่ในลอนดอนทั้งคู่ ได้ออกเดตกันมาไม่กี่วัน ก่อนที่คนส่วนใหญ่ของโลกจะต้องเข้าสู่โหมดล็อกดาวน์เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน

จะเรียกว่า เจอกันไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ (ส่วนจะได้เสียกันมาก่อนหรือไม่ อันนี้เบญไม่ทราบนะคะ อาจจะแค่ภายนอกก็ได้ใครจะรู้ อิอิ) ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคู่กิ๊กนั่นเอง แต่จู่ๆ วันหนึ่ง รูมเมตของรี้ด ก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ เพราะดันไปอิรุงตุงนังกับคนที่ติดเชื้อไปก่อนหน้านี้ รี้ดแม้จะยังไม่ติดเชื้อ แต่สถานการณ์ก็ถูกบังคับให้เขาต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนหนึ่ง เพื่อหาที่พักชั่วคราว และก็ได้บ้านของแอรอนนี่แหละที่เป็นที่พักใจค่ะ

เรื่องมันน่าจะจบง่ายๆ เนอะ แค่มาอาศัยไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับห้องตัวเอง แต่ดันมาเจอประกาศของท่านนายกผู้แสนจะน่าเบื่อของชาวอังกฤษหลายๆ คน นายบอริ่ง จอห์นสัน อุ๊บส์ ผิดค่ะ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดันประกาศล็อกดาวน์ลอนดอนทันที ทำให้ทั้งคู่ออกจากห้องไม่ได้ (หุยยย ป้าไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้น)


“เขามาขออยู่ 2-3 วัน เพื่อปกป้องตัวเองและดูว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูมเมตของเขา” แอรอนกล่าว หลังจากนั้นในวันถัดมา “นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ก็ประกาศล็อกดาวน์เด็ดขาด เราออกไปไหนไม่ได้ทั้งวันและมันก็สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะอยู่ต่อไปจนกว่านายบอริสจะยกเลิกคำสั่ง”

“เมื่อคุณถูกขังอยู่ในบ้านกับใครสักคนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มันจะช่วยเร่งให้คุณทำความรู้จักกันเร็วขึ้น ในขั้นตอนนี้ โชคดีที่เราไม่ได้มีพฤติกรรมที่รบกวนซึ่งกันและกันมากจนเกินไป” แอรอนกล่าว

นั่นล่ะค่ะ เมื่อไม่มีอะไรจะทำนอกจากต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชม. ก็ทำให้รู้จักกันและกันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดทั้งสองก็กลายเป็นแฟนกัน


“แม้มันจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ฉันมีความสุขมาก ที่นี่เราเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา เพราะเราสามารถเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง โดยไม่มีคนนอกมารบกวน” รี้ดกล่าว

เรื่องราวล็อกดาวน์สะดุดรักก็จบลงแต่เพียงแค่นี้ก่อน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไร โปรดไปแต่งเรื่องเอาเองตามอัธยาศัย หรือไม่ก็รอให้ปลดล็อกดาวน์ในลอนดอนเมื่อไหร่จะติดต่อขอสัมภาษณ์พวกนาง

เรียบเรียงข้อมูลจาก
https://www.pride.com/lovesex/2020/4/15/these-two-men-had-go-lockdown-together-now-theyre-boyfriends
https://www.lgbtqnation.com/2020/04/hiv-gods-punishment-gays-coronavirus-gods-punishment-christians/?fbclid=IwAR0CQaBi9_YwY2VulWN9VOZ-KvcQTN9N12zfL0OnmSciZcaCiTVA9WTFGjk#.Xpfbus5uJmQ.facebook

]]>
Please, please Mister Gay World ‘ภัทรพล ใจเย็น’ https://marshomme.com/lifestyle/408552/ Thu, 27 Feb 2020 16:49:00 +0000

หลังการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เราได้เห็น ‘ภาพเสมือนจะก้าวหน้า’ ค่ะ! เพราะมีผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเข้าไปทำหน้าที่หลายท่าน โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เคลมตัวเองว่า ‘หัวก้าวหน้าสุดๆ’ ล้ำไปไกลถึงอนาคตใหม่เบื้องหน้า

แต่ขอโทษนะคะ บรรดาผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ทำหน้าที่ได้ไม่ถึงปี อิชั้นก็ได้เห็นธาตุแท้อันสะท้อนทั้งความ ‘กระแดะแอนด์กลวง’ ของพวกเขาเหล่านั้น เพราะนอกจากความพยายามเสียเหลือเกินที่จะแต่งตัวสวยไปวันๆ (ที่หลายท่านมองว่า ‘ไม่รู้จักกาลเทศะ’ ซะมากกว่า) และโชว์ศักยภาพแบบจัดง่าว จนกลายเป็นประเด็น ‘ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์’ ที่ทำให้ภาพลักษณ์กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ดำดิ่ง ติดลบเสียยิ่งกว่าหุ้นที่โดนพิษไวรัสโคโรนา

กาลก็เลยมาถึงจุดที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องมานั่งขบคิดกันว่า การมีผู้แทนราษฎรจากกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนั้นจะช่วยผลักดันสิทธิ์และกฎหมายต่างๆ ที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศพึงสมควรจะได้รับ หรือเข้าไปทำลายภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ให้ดูแย่ไปมากกว่าเดิม

เอาล่ะ ไม่ต้องไปฝากความหวังใดกับผู้แทนราษฎรกลุ่มคนหลากหลายทางเพศหรอกค่ะ นั่นมัน mission impossible เอาเป็นว่า กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ช่วยตัวเองเถอะนะคะ ในวันนี้เราได้ผู้ชนะเลิศการประกวด Mr. Gay world Thailand 2020 แล้ว และผู้ที่ได้รับมงนี้ นอกจากจะต้องเป็นตัวแทนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศของประเทศไทยไปประกวดที่แอฟริกาใต้แล้ว ยังจะต้องเป็นหัวหอกในการผลักดันประเด็นต่างๆ ทางสังคมในเรื่องต่างๆ ด้วย โดยเจ้าของรางวัล Mr. Gay world Thailand 2020 ล่าสุดได้แก่ ‘โก้-ภัทรพล ใจเย็น’ ที่มีประวัติน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ


โก้เข้ามาสมัครประกวด Mr. Gay world ได้อย่างไร ได้ข่าวสารมาจากไหน หรือว่ามีอะไรที่ทำให้สนใจเข้าประกวดครั้งนี้

เริ่มต้นเลย ผมเห็นเขาประกาศรับสมัครครับ แล้วโก้เคยดูในส่วนของการประกวดไลฟ์สดของปีที่แล้ว โก้มองว่าเวทีนี้เป็นเวทีที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ LGBT แล้วก็สังคมได้ครับ เลยเริ่มฟิตหุ่น พัฒนาความรู้ แล้วก็เข้ามาสมัครประกวดที่นี่ เพราะอย่างน้อย โก้อาจจะเป็นกระบอกเสียงให้ LGBT แล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับการประกวดในครั้งนี้ได้ครับ

คาดหวังอะไรบ้างตั้งแต่เข้ามาประกวดจนถึงวันที่ประกาศรางวัลชนะเลิศ

ไม่คาดหวังครับ เพราะว่าในวันที่ประกวด ตอนแรกเวทีนี้เขาเน้นจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคมแล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดี การประกวดในแต่ละช่วงก็จะมีแคมเปญแต่ละแคมเปญ ซึ่งผู้เข้าประกวดทุกคนเขามีความสามารถและมีความแตกต่างเฉพาะไปเลย เลยคิดว่าใครก็ได้ครับใน 30-31คนนี้ ซึ่งเรามองแล้วเราคิดว่าเราทำให้เต็มที่ครับ


ในการประกวดทุกปีจะต้องมีการเสนอแคมเปญที่ผู้เข้าประกวดอยากจะทำ เรานำเสนอเรื่องอะไร มีความน่าสนใจอย่างไร?

แคมเปญของโก้ชื่อ Love and Learn (in Yourself) คือบังคับเข้าใจตัวของเรา แล้วก็สามารถคิดบวกแบบ Positive Thinking ซึ่งโครงการของโก้จะเป็นโครงการที่อยากให้เน้นความเข้าใจในสังคม เริ่มจากตัวเราก่อน คือถ้าเกิดเราเข้าใจคนอื่นแต่เราไม่เข้าใจตัวเราเอง ไม่มีการยอมรับตัวเอง เราก็จะไม่สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เหมือนอย่างข่าวล่าสุดที่เด็ก ม.1 เขาไล่ยิงเพื่อนร่วมห้อง โก้ว่าตรงนี้มันต้องเริ่มจากความเข้าใจในตัวเขาก่อน และความเข้าใจในสิ่งรอบข้าง ซึ่งเมื่อรู้จักตัวเรา และครอบครัวเข้าใจ โก้เชื่อว่ามันจะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

วันนี้เราวางสเต็ปไว้หรือยังว่า แผน 1 2 3 ที่เราจะทำในอนาคตจะเริ่มอย่างไรบ้าง

อย่างแรกเลยคือ โก้จะเริ่มเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมก่อน จากเมื่อก่อนโก้อาจจะมีการเที่ยวเตร่กินเหล้า เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มองว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง แต่ ณ วันนี้ พอโก้มาอยู่ตรงนี้ โก้อยากจะเป็นแบบอย่างแล้วก็เป็นกระบอกเสียงให้ครับว่า เราสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง เหมือนกับเพศสภาพทั่วๆ ไป โดยที่เราเริ่มจากช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสก่อน ถ้าเป็นไปได้ โก้อยากจะเน้นในส่วนของ LGBT เป็นหลัก ซึ่งโครงการของโก้ต่อไป โก้มองว่าถ้าโก้มีโอกาสหรือว่ามีเม็ดเงินที่ support จริงๆ โก้ก็จะสามารถต่อยอดไปช่วยเหลือเด็กที่เขาด้อยการศึกษาให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาในการศึกษาต่อไปครับ


ถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง โก้เปิดตัวมานานหรือยัง ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอย่างไร

แม่โก้เขารู้จากคนอื่น แม่บอกว่าแม่เลี้ยงได้แต่ตัว แต่หัวใจเลี้ยงไม่ได้ ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร ขอให้เป็นคนดีแค่นั้นเอง ซึ่งชีวิตสมัยก่อนโก้ปากกัดตีนถีบ ต้องสู้ชีวิต ต่อสู้หลายๆ อย่าง มันทำให้โก้คิดว่าถ้าเกิดโก้ได้ทำงานที่ดีๆ แล้ว โก้ได้มีโอกาสช่วยเหลือพ่อแม่แล้ว นั่นคือสิ่งแรกที่โก้ต้องทำ หลังจากนั้นโก้จะทำอะไรเพื่อสังคม แล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้ เหมือนกับที่โก้เคยได้โอกาสจากคนรอบข้างจนโก้มีทุกวันนี้ครับ นั่นคือความตั้งใจ

จากพาร์ตครอบครัวที่พ่อแม่เข้าใจเรา เพื่อนในโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้าง

สมัยที่โก้เรียนค่อนข้างจะโดนกดดัน โดนบูลลี่ โดนกลั่นแกล้งบ้างเช่นเอาชอล์คมาเขียนที่โต๊ะ ต่างๆ นานา แต่พอเรากลับถึงบ้านเราก็ลืมแล้ว เพราะโก้เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว แล้วโก้เชื่อว่าการที่เรามองบวกในชีวิตครับ แล้วเราเอาความเสียใจตรงนี้มาพัฒนาเป็นแรงกระตุ้นในการทำอะไรหลายๆ อย่างจะทำให้เราเห็นคุณค่า แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ และเราจะภูมิใจในตัวเราครับ

เข้ามหาวิทยาลัย เราเลือกเรียนสาขาอะไร
คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของการเรียนบริหารมันจะเป็นอะไรที่ต่างคนต่างเรียนตาม Sector ของแต่ละคน จะมีกลุ่มเพื่อนหลากหลายมากขึ้น ทุกคนต่างทำงาน certificate ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมาสุงสิงเหมือนสมัยมัธยมครับ


ปัจจุบันทำงานอะไรในแง่ของความเป็น LGBT ควรจะต้องปรับตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจปี 2020

ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัทเอกชนครับ ดูแลเรื่องการลงทุน เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนครับ จะให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุนต่างๆ ครับ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็น LGBT นะครับ เป็นใครก็ได้ครับในสังคม อาจจะต้องระวังการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นครับ อย่างตอนนี้รัฐบาลเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการใช้จ่าย อาจจะต้องมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังครับ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ระยะยาวในการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยนะครับ

มาถึงจุดที่เราเป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่จะต้องออกไปประกวดในเวทีโลก เราเตรียมความพร้อมของเราแค่ไหน

เหลือเวลาประมาณ 4-5 เดือน ตอนนี้เริ่มไปเรียนภาษาเพิ่ม หาความรู้เพิ่มมากขึ้นว่า LGBT ตอนนี้ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง ต่างประเทศมีอะไรบ้าง แล้วก็ฝึกบุคลิกภาพการเดิน เริ่มหาชุดประจำชาติ หาในส่วนของสปอนเซอร์เพื่อจะ support ในเวทีโลกต่อไปครับ


ในระดับนานาชาติ ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสวรรค์ของ LGBT ใครๆ ก็มาเที่ยว แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีเว็บไซต์หนึ่งจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหลายๆ ด้าน ถ้าสมมุติว่าเราโดนถามประเด็นนี้บนเวทีโลกจะอธิบายอย่างไร

ผมคิดว่านโยบายเหล่านี้ในเมืองไทย อยู่ในช่วงที่ยังไม่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือสร้างความเข้าใจตัวเรา แล้วก็สร้างความยอมรับให้เพิ่มมากขึ้น ต้องยอมรับครับว่าชายจริงหญิงแท้ เขาก็มีปัญหาหลายๆ อย่างเข้ามา สิ่งที่เราทำได้ก็คือเราทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นแบบอย่าง และสร้างความเข้าใจระหว่าง LGBT ด้วยกันเอง นั่นคือเราต้องจับมือร่วมกัน แล้วพัฒนาหรือว่าทำนโยบายอะไรก็ได้ครับให้เห็นว่า เรามีคุณค่าและสามารถทำอะไรได้ในสังคม แล้วโก้เชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เสียงเราแข็งขึ้น หรือว่ามีสิทธิเพิ่มมากขึ้น นโยบายต่างๆ จะได้รับการอนุมัติแล้วก็ตามมาครับ

อยากฝากอะไรไปถึงคนที่สนใจจะประกวด Mr. Gay world ปีหน้าบ้าง

อย่างแรกนะครับ เตรียมความพร้อม เพราะว่ามันเป็นการแข่งขันที่ต้องต่อสู้กับคนรอบข้างอย่างหนักเลยครับ เพราะฉะนั้นทำจิตใจให้แข็งแรง สองตั้งใจเลยครับ แล้วคิดเลยว่าเราจะทำอะไรเพื่อสังคม แล้วโก้เชื่อว่าการที่เราเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร นั่นคือประสบการณ์ที่คุณจะหาซื้อที่ไหนไม่ได้ครับ

]]>
มัดกล้าม, แจ็กเก็ตหนัง และเกย์ไอคอนร่วมสมัยในหนัง https://marshomme.com/lifestyle/1028/ Mon, 07 Jan 2019 15:20:00 +0000
เพิ่งมีโอกาสชม Bohemian Rhapsody (2018) ในรอบท้ายๆ ก่อนจะหลุดโปรแกรม ดีเลย์มาหลายวันเชียวค่ะ มีหลายสิ่งที่น่าประทับใจจนต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง ใครที่ยังไม่ได้ชม แต่ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวช่วงประกาศผลรางวัลจากสถาบันต่างๆ ต้นปี หนังจะกลับมาฉายอีกรอบแน่นอน เพราะสาขานักแสดงนำชายน่าจะต้องมีชื่อ ‘รามี่ มาเล็ค’ เข้าชิงหลายสถาบันอยู่ (แต่ ณ ตอนนี้มีชื่อเข้าชิงและคว้าลูกโลกทองคำไปก่อนนะคะรามี่)

Bohemian Rhapsody ไม่ใช่หนังที่พาเราไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ แห่งวง Queen เท่านั้น แต่หนังยังชวนให้นึกถึง gay icon ที่เผอิญร่วมสมัยกับเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ อีกท่านหนึ่งแบบบังเอิ๊ญบังเอิญค่ะ Touko Laaksonen หรือเจ้าของฉายา Tom of Finland ชื่อนี้คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ได้เห็นภาพวาดของเขา เกย์ไทยและเกย์ทั่วโลกจะร้อง อ๋อ ทันที

น่าแปลกใจที่ชีวิตของสองเกย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถูกหยิบยกเอามาทำเป็นหนังในเวลาไล่เลี่ยกัน Tom of Finland ออกฉายในปี 2017 และหนึ่งปีถัดมาเป็นปีของ Bohemian Rhapsody ที่หลายคงได้ชมกันแล้ว จะพบว่านอกจากหนังจะฉายไล่เลี่ยกันแล้ว เวลาในชีวิตจริงของทั้งสองท่านต่างมีชื่อเสียงโด่งดังในทศวรรษเดียวกันด้วย (1970-1991) และที่สำคัญ ทั้งคู่ยังเสียชีวิตเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่ห่างกันแค่ 17 วัน (Laaksonen เสียชีวิต 7 พ.ย. 1991 ส่วนเฟรดดี้ เสียชีวิต 24 พ.ย. ปีเดียวกัน) ดิฉันไม่แน่ใจนักว่าเขาทั้งคู่รู้จักกันส่วนตัวหรือไม่ แต่การอ้างอิงถึงกันในหนังทั้งสองเรื่อง บ่งบอกได้ว่าทั้งสองท่านรู้จักชื่อเสียงของกันและกันข้ามทวีปแน่นอน

Touko Laaksonen เกิดทศวรรษ 20s ในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองคาริน่า ประเทศฟินแลนด์ เป็นคนมีพรสวรรค์ด้านการขีดๆเขียนๆ มาตั้งแต่ในวัยรุ่น เข้าศึกษาด้านโฆษณาในเมืองเฮลซิงกิ แต่ดันเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเสียก่อน Laaksonen จึงถูกเกณฑ์ไปร่วมรบโดยปริยาย ทว่าในสนามรบนี้เองที่ตัวตนของเขาชัดเจนขึ้น เขามีเซ็กซ์กับเพื่อนทหาร และอีกหลายคนในสวนสาธารณะ ทั้งยังได้รู้ความลับของนายพลชั้นผู้ใหญ่ว่าใจเดียวกันอีกด้วย

ความชัดเจนในตัวตน ทำให้ Laaksonen เริ่มวาดภาพคนในเครื่องแบบที่มัดกล้ามใหญ่โต กล้ามเนื้อฟิตไปทุกส่วน (ซึ่งจริงๆ ก็ตั้งใจให้มันใหญ่โตไปทุกส่วนแหละ รวมทั้งอวัยวะเพศด้วย) ก่อนจะพัฒนาภาพเขียนของตัวเองไปสู่นายแบบแจ็กเก็ตหนัง หนวด บิ๊กไบค์ รองเท้าท็อปบู๊ตแบบทหาร และอีกมากมาย แต่ภาพวาดทั้งหมดเผยแพร่ไม่ได้ เพราะในทศวรรษ 50s นั้น เกย์เป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมยุโรป ขืนโป๊ะแตกมีหวังโดนตื้บตาย แต่แล้ววันหนึ่งก็เหมือนพระเจ้าทรงโปรด ในปี 1956 เขาส่งผลงานไปให้นิตยสาร Physique Pictorial ของอเมริกา ซึ่งถูกอกถูกใจ Bob Mizer บรรณาธิการเป็นยิ่งนัก งานของเขาได้รับการตีพิมพ์ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา พร้อมกับฉายา Tom of Finland ที่บรรณาธิการ Physique Pictorial เป็นผู้ตั้งให้

ในทศวรรษ 60s ชื่อเสียงของ Tom of Finland เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกา แล้วค่อยๆ ลามไปยุโรป และงานของเขายังได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เกย์ใช้ในการสื่อสารตัวตนซึ่งกันและกัน แม้จะจำกัดอยู่ในแวดวงชาวเราในช่วงแรกก็ตาม จนกระทั่งทศวรรษที่ 70s ไม่มีเกย์คนไหนในโลกที่ไม่รู้จัก Tom of Finland งานของเขากลายเป็นต้นแบบของหนังสือโป๊และอุตสาหกรรมหนังโป๊ในเวลาถัดมา Laaksonen ได้รับเชิญมาปรากฏตัวในอเมริกาบ่อยครั้ง Laaksonen กลายเป็นเซเลบริตี้ที่เกย์อเมริกันยุคนั้นต้องรู้จักและเคยซื้องานของเขาไป ‘ติ้ว’ ที่บ้านไปโดยปริยาย

ตัดกลับมาที่เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ เขาได้รับการยอมรับให้ร่วมวงกับไบรอัน เมย์ และโรเจอร์ เทย์เลอร์ ในปี 1970 ในชื่อวง Smile จนกระทั่งจอห์น ดีคอน เข้ามาร่วมวงในปีถัดมา ชื่อวงจึงมีการเปลี่ยนใหม่เป็น Queen และเริ่มสร้างชื่อเสียงที่โด่งดังอย่างรวดเร็วจากยุโรปสู่อเมริกา แม้ความโด่งดังจะทำเฟรดดี้กลายเป็นร็อกไอคอนของหนุ่มสาวยุคนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนตัวตนของเขาก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากการออกทัวร์ในสถานที่ต่างๆ และได้สัมผัสกับ ‘ประสบการณ์ตรง’ จนทำให้เขายอมรับกับแมรี่ ออสติน แฟนสาวที่เขาแต่งเพลง Love of My Life ให้นั่นแหละ ว่าเขาเป็นไบเซ็กชวล แต่สิ่งที่แมรี่ตอบกลับ ดันกลายเป็นประโยคที่ว่า ‘No Freddie, you are gay’

เฟรดดี้และแมรี่แยกทางกันในปี 1976 หลังจากนั้นไม่นาน เฟรดดี้ก็ตัดผมสั้นและไว้หนวดในสไตล์ Tom of Finland เป๊ะๆ เพื่อนในวงยังแซวเลยว่า You look gay. แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับใส่ไปในหนังเพื่อให้ได้อารมณ์สนุกสนานก็เป็นได้ หนังจะเริ่ดกว่านี้ หากเฟรดดี้หยิบงานของ Tom of Finland มาชม แต่แม้จะไม่ได้พาดพิงถึง ทั้งลุคใหม่ของเขาและฉากการเข้าผับในลุคแจ็กเก็ตหนัง ปราศจากเสื้อตัวใน และคนในผับก็แต่งตัวแบบเดียวกัน มันบ่งบอกไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า เขาได้เข้าไปในบาร์เกย์นั่นเอง

ในยุคที่เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก Laaksonen ก็โด่งดังมากเช่นกัน เพียงแต่ความโด่งดังของทั้งคู่ต่างกัน Laaksonen คือเกย์ไอคอนในช่วงปี 1970-1991 แต่เฟรดดี้โด่งดังมาในฐานะศิลปินร็อกผู้มีเสียงร้องและการแสดงบนเวทีที่ยอดเยี่ยม ไม่มีใครยอมรับในความเป็นเกย์ของเขา แม้จะมีข่าวฉาวรุนแรงในทศวรรษ 80s แต่สุดท้ายเฟรดดี้ก็ไม่ได้ปิดตัวเองแต่อย่างใด หลังคอนเสิร์ต Live Aid ในปี 1985 เขาใช้ชีวิตร่วมกับแฟนหนุ่ม จิม ฮัตตัน จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1991 เดือนเดียวกับ Laaksonen อย่างที่บอกไป ต่างกันก็ตรง Laaksonen เสียชีวิตด้วยโรคชรา แต่เฟรดดี้จากไปด้วยโรคเอดส์ ทิ้งไว้แต่ผลงานให้เราจดจำเขาทั้งคู่ตราบจนนิรันดร์

Text : เบญจกาย

]]>