Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
เพลง – Marshomme https://marshomme.com Mon, 29 Mar 2021 07:57:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png เพลง – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ดนุพล เจริญยศ ‘DANUMARC’ พลังงานบวกของผู้ชายสายติสต์ https://marshomme.com/aboy/531630/ Thu, 21 Jan 2021 09:16:00 +0000

Rose Sound ค่ายเพลงในสังกัดอาร์เอสที่เปรียบเสมือนไอคอนของวงการเพลงเมืองไทย เคยเป็นค่ายเพลงของศิลปินในตำนานอย่างวงอินทนิล คีรีบูน ฟรุตตี้ และใครต่อใคร ยามนี้ได้หวนกลับมาสร้างสีสันให้กับคนรักเสียงเพลงอีกครั้ง

ประเดิมด้วยการเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่และศิลปินหนึ่งในสี่คือดนุพล เจริญยศ หรือ ‘ดนุมาร์ค’ พร้อมกับผลงานเพลงซิงเกิลแรก ‘ขอเถอะ’ ที่ได้ตัวศิลปินรุ่นใหญ่มาร่วมงานในมิวสิกวิดีโอ


‘มาร์ค’ ศิลปินหนุ่มวัย 26 มีพื้นเพจากจังหวัดมุกดาหาร พักการเรียนที่ขอนแก่นไว้ ก่อนจะมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ควบคู่ไปกับการทำงานเป็นนักร้องนักดนตรีตามสถานบันเทิง

ปัจจุบันมาร์คเป็นนักศึกษาปี 2 คณะมนุษยศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง “ถ้าถามว่าเรียนยากไหม ผมว่าถ้าเราอยากได้ความรู้จากตรงนั้นมากๆ เราก็ต้องตั้งใจเรียน ถ้าอยากจะเรียนง่ายๆ ก็ได้แค่ผ่านๆ ทั้งหมดอยู่ที่เราละครับ” เขาจำกัดความเรื่องการเรียนของตนเอง “สำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ครับ”

มาร์คเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมเริ่มเล่นตอนเรียนอยู่ ม.สี่ อายุประมาณสิบหก แต่ว่าไม่ได้เรียนการเล่นมา ผมเล่นด้วยการฝึกฝนมาเรื่อยๆ เล่นและตั้งวงกับเพื่อน ไม่ได้เรียนการเล่นดนตรีมาแบบเป็นจริงเป็นจัง ฝึกฝนเก็บเกี่ยวมาเรื่อยๆ

เครื่องดนตรีประเภทไหนที่ถนัดที่สุด

กีตาร์ครับ ส่วนเปียโนผมพอเล่นได้นิดหน่อย


ทำอาชีพนักดนตรีมานานหรือยัง

ผมเล่นเป็นอาชีพเมื่อสามปีที่แล้วครับ ที่กรุงเทพฯ เลย เล่นอยู่โซนบางนาเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็ยังมีโซนรัชดาภิเษก และรามคำแหง

ส่วนใหญ่เป็นงานกลางคืน ใช่ไหม

ใช่ครับ แต่มีรับอีเวนต์ช่วงกลางวันบ้าง

เล่นดนตรีกลางคืน มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง

มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมว่าไม่ว่าใครก็เคยผ่านมาเหมือนกัน อย่างผม ผมเป็นนักดนตรีโนเนม การทำงานแบบนี้เป็นงานเฉพาะทาง ไม่ใช่งานที่เรียนจบปริญญาแล้วมาทำ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีเครดิตอะไรเลย พอไปสมัครเล่นตามร้าน เขาก็จะให้เราทดสอบดูก่อน แต่บางที่เขาก็ไม่ตอบรับ (หัวเราะ)

ประมาณสองเดือนผ่านไปเขาถึงแจ้งมาว่ามีรอบให้ลง ไหนลองมาเล่นดูซิ เริ่มแรกผมก็เล่นไม่เก่งเลย ต้อขอบคุณทางร้านด้วยที่ให้โอกาสเรา จนผมพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ได้เรียนรู้จากฟีดแบ็กของลูกค้า จากคนที่เล่นก่อนหน้าเรา ผมก็เรียนรู้มาเรื่อยๆ

เล่นเป็นวงหรือเล่นเดี่ยว

ผมเล่นคนเดียวส่วนใหญ่ เล่นกีตาร์ร้องเพลงคนเดียว

ช่วงเริ่มมีงานเยอะแค่ไหน

ตอนแรกผมมีแค่สองรอบต่อสัปดาห์ เดือนหนึ่งมีสามสิบวันผมก็ได้เล่นแค่แปดรอบ ประมาณนั้น ช่วงแรกๆ ลำบากอยู่ครับ (หัวเราะ) แต่ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเคยมีรอบเยอะที่สุดน่าจะ…12-13 รอบต่อสัปดาห์


มาร์คเข้ามาอยู่ในสังกัด Rose Sound ของอาร์เอสได้อย่างไร

ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ตรงนี้ ผมเคยทำโฆษณาเล็กๆ เป็นหนังสั้นมาก่อน เคยคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงนิดหนึ่ง มีเดินแบบด้วยนิดหน่อย แล้วมีพี่ที่รู้จักคอยป้อนงานให้ เขารู้จักกับคนที่อยู่ในอาร์เอส คือ พี่ก้อง (ปรีดิยุช รัตนงาม) เขาบอกว่าอาร์เอสอยากจะกลับมาทำเพลง อยากได้ศิลปินใหม่ มีใครน่าสนใจไหม แล้วเขาก็ส่งผมไปลองออดิชั่นดู ปรากฏว่าผ่าน ได้เข้าสู่กระบวนการทำเพลงกับพวกพี่ๆ จนผมได้มาอยู่ตรงนี้ครับ

ผลงานเพลง ‘ขอเถอะ’ ที่เพิ่งออกมาเป็นซิงเกิลแรกเลยใช่ไหม

ซิงเกิลแรกเลยครับ

ใช้เวลานานไหมกว่าจะมีผลงานเพลงแรกออกมา

ของผมนี่ใช้เวลาประมาณสอง-สามเดือน ผมแต่งเพลงเองด้วย ผมคิดว่ายุคสมัยนี้เขาต้องการให้ศิลปินแสดงความเป็นตัวตนออกมา คือขายความเป็นตัวตนมากกว่าแต่ก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าศิลปินสามารถแต่งเพลงได้ แต่งเลย สามารถเล่นได้ เล่นเลย ผมก็เลยมีส่วนร่วมในเพลงค่อนข้างเยอะ

ทุกวันนี้มาร์คยังเล่นดนตรีตามร้านอยู่อีกไหม

ค่อยๆ ลดลงแล้วครับ เริ่มที่จะมาให้น้ำหนักกับงานด้านนี้ จนถึงวันหนึ่งผมอาจจะหยุดเล่นไปเลยก็ได้


คิดว่าแง่ดีของการเป็นศิลปินในสังกัดเป็นอย่างไร

ในแง่ดี ผมรู้สึกว่า…ผมภูมิใจในตัวเองก่อนเลย ที่เราสะสม หมกมุ่นกับสิ่งที่เรารักมา พยายามกับมันมา จนมาถึงวันที่มันได้ออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว ผมดีใจที่ผมได้มาแสดงออก มาแชร์ความรู้สึกดีๆ ประสบการณ์ผ่านเสียงเพลง ผมดีใจที่ได้มาทำตรงนี้
 
และพอได้เข้ามาในกระบวนการ แต่งเพลง อัดเสียง คุยกับโปรดิวเซอร์ ได้ทำโน่นทำนี่กับพวกพี่ๆ สนุกดีครับ ชอบ

เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันมาก่อนหรือเปล่า

แน่นอนครับ (หัวเราะ) ผมอยากเป็นนักร้องมานานแล้ว อยากเป็นศิลปิน

ตอนเด็กๆ เคยร้องเพลงบ้างไหม

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนขี้อายครับ แอบร้องอย่างเดียว คาราโอเกะก็ไม่เคยไปร้องกับเขา รู้ว่าตัวเองร้องเป็น ร้องถูกคีย์ แต่ไม่เคยไปร้องกับเขา เพราะว่าขี้อาย แล้วเราค่อยๆ เผยตัวเองออกมาเรื่อยๆ

ชีวิตวัยเด็กที่มุกดาหารเป็นอย่างไร

ผมอยู่บ้านนอก บ้านนอกแบบจัดๆ เลยครับ ไม่ได้อยู่ในเมืองที่มีการแข่งขันสูงๆ หรือมีคนมากหน้าหลายตา มีคนเก่งๆ โน่นนี่มาเป็น inspiration ให้กับเรา ผมไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทุกอย่างผมเริ่มเสพมันในช่วงที่อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้าถึง แล้วผมก็เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองหมดเลย ไม่มีอาจารย์ ไม่มีครู ไม่มีรุ่นพี่ให้เป็นแบบอย่าง ไม่มีอะไรเลย นั่นคือชีวิตบ้านนอกของผม

หลังจากนั้นมีศิลปินคนไหนเป็นต้นแบบบ้างไหม

ก็มีสิงโต นำโชค เอก สุระเชษฐ์ อะตอม-ชนกันต์ (รัตนอุดม) ความจริงหลายคนเลยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวป๊อป แต่ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นสามคนที่ผมพูดถึงนี่แหละครับ พี่เอก พี่สิงโต พี่อะตอม

มีโอกาสได้เจอกันแล้วใช่ไหม

ใช่ครับ และผมหวังว่าคงจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน

เคยคิดถึงเรื่องการประกวดมาก่อนหรือเปล่า

ความจริงผมเคยประกวดมานะครับ แต่ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ไม่เคยได้รับตำแหน่งอะไรเลย เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่เรารัก เราประกวดมา แม้ว่าไม่เคยชนะ ไม่เคยได้รางวัล แต่เราก็ไม่เคยหยุดที่จะอยู่กับมัน เรายังรักและยังทำมาเรื่อยๆ

ทางค่ายคาดหวังอะไรจากมาร์คบ้าง

ถ้าตามโจทย์เลย ทางค่ายอยากให้ผมนำเสนอสิ่งใหม่ๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือ นำเสนอตัวผมเองนี่แหละ แสดงความเป็นตัวของตัวผมเองออกมาให้มากที่สุด ผ่านเสียงเพลง ผ่านการแสดงออก ผ่านเสื้อผ้า-หน้า-ผม คือเขาอยากให้เราเป็นศิลปินที่มีคุณภาพคนหนึ่งนั่นละ


แล้วมาร์คเองคาดหวังอะไรบ้างกับผลงานเพลงที่ออกมา

สิ่งที่ผมคาดหวังก็คือผมอยากจะแชร์ความรู้สึกที่ผมมี อยากแชร์ไอเดีย อยากแชร์อะไรใหม่ๆ ที่เราประสบมันมา
คือการแต่งเพลงหรืออะไรเหล่านี้ มันเกิดจากการคิดขึ้นมาใหม่และเกิดจากการฟังของคนที่ทำไว้ก่อนแล้ว เราเอามาผสมผสานจนกลายเป็นตัวของเราเองนั่นคือสิ่งที่ผมอยากแชร์ อยากให้คนอื่นได้รับรู้ รับฟัง

มีความรู้สึกอย่างไรกับวงการเพลงยุคนี้

ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นวงการดนตรีวงการรถแข่ง วงการเครื่องยนต์ หรือวงการศิลปะทุกอย่าง คนไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลกเพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวว่าเราเป็นแค่นักดนตรี ศิลปินไทยคำว่าดนตรีไม่มีขอบเขตอะไร มันเป็นสากลอยู่แล้ว เราก็พยายามทำให้เต็มที่มากที่สุด

มาร์คคาดหวังอะไรบ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำ

จริงๆ อยากให้เป็นอาชีพสุดท้ายของเรา (หัวเราะ) ผมอยากอยู่กับอาชีพนี้ไปจนแก่ตายเลยจริงๆ เพราะผมชอบดนตรี ชอบเพลงมาก

ถามเรื่องความรักหน่อย มาร์คมีความรักบ้างหรือยัง

ผมเป็นคนมีความรักยากครับ (ยิ้ม) เลิกกับแฟนไปครั้งหนึ่ง ห่างไปประมาณสี่-ห้าปีค่อยมีแฟนใหม่อีกครั้งเป็นคนมีความรักยาก แต่ไม่ได้แปลว่าผมเป็นคนใจร้าย ไม่เมตตา


ทำงานกลางคืนมีโอกาสเจอผู้คนเยอะแยะ ไม่มีปิ๊งใครบ้างเลยหรือ

อืมม์ สำหรับผมเวลาทำงานผมไม่ค่อยจะนอกเรื่องสักเท่าไหร่เพราะว่ามันจะมีความเสี่ยงที่เราจะเสียหายหลายอย่างสมมติเราทำงานกลางคืนที่ร้านหนึ่ง มีลูกค้ามาชอบเรา เราจะไม่เล่นด้วยเลยแค่คุยกับเขาได้เพื่อเป็นเพื่อนกัน แต่จะไม่ไปกับเขาต่อ เพราะถ้าเกิดคบกันแล้ววันหนึ่งเลิกกันเขาจะพาลเกลียดร้านที่เราทำงานอยู่ไปเลย ร้านก็จะเสียลูกค้าไปแล้วเราก็เสียคนที่ประทับใจเราไปด้วย เสียผู้ฟังคนหนึ่งไปเลย

มีประโยคอะไรบ้าง เวลาจะพูดปฏิเสธลูกค้าที่ชวนไปด้วย

สมมติว่าเขาขอไลน์จังหวะที่เขาขอไลน์ถ้าไม่ให้เขาอาจจะหน้าเสีย สถานการณ์อาจจะตึงเครียดเราก็จะให้เขาไปก่อน แต่พอคุยไลน์กันปุ๊บเราก็จะบอกว่าเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว (หัวเราะ) ประมาณนั้นครับ

สเป๊กล่ะ มีหรือเปล่า

ไม่มีครับสูงเตี้ยผิวเข้มผิวขาวได้หมด ขอแค่เราประทับใจเขา มันจูนกันได้ ถ้า passion ตรงกัน

เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนบ้างไหม

ผมเคยมีสามคน ใช่…นับได้ สามคนคบนานที่สุดก็สองปีครึ่ง

ที่เลิกกันส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไร

เลิกกัน ผมไม่ได้เลิกแย่เท่าไหร่สาเหตุที่เลิก น่าจะเป็นเพราะว่าเราโตขึ้น แล้วเรามีวิชั่นที่แตกต่างออกไปคล้ายเราเริ่มมองสิ่งของสิ่งหนึ่งที่มันเคยน่ารัก กลายเป็นสิ่งธรรมดาสำหรับเราไปแล้ว


ผมคิดว่าคงเป็นกันหลายคนอย่างเช่นช่วง ม.หกไปมหาวิทยาลัย เรามีวิชั่นใหม่ มีเป้าหมายใหม่มีความต้องการอะไรใหม่ ทำให้มีความรู้สึกว่า เราแยกกันไปน่าจะดีกว่า

มาร์คเคยมีประสบการณ์อะไรเลวร้ายในชีวิตไหม

ประสบการณ์เลวร้ายในชีวิตน่าจะเป็นตอนที่คุณแม่เสียครับจากโรคมะเร็ง ที่ผมเสียใจก็เพราะว่า เราอยู่บ้านนอก ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้คือแม่เริ่มต้นที่จะเป็นเนื้องอก เราก็นึกว่าแม่ปวดขาธรรมดา แล้วเราก็ละเลย ซึ่งถ้าเรามีความรู้หน่อยเราก็น่าจะรู้ว่า การปวดนานขนาดนั้นมันไม่ใช่ปวดขาธรรมดาแล้วพอไปตรวจปุ๊บก็เจอเนื้องอกที่พร้อมเป็นมะเร็ง เป็นความเสียใจที่เราความรู้น้อยแต่มันก็ผ่านมาแล้ว

ตอนนั้นมาร์คอายุเท่าไหร่

ตอนนั้น 20-21 ครับ

ครอบครัวที่เหลือยังอยู่ครบใช่ไหม

ครับมีพี่ชายคนหนึ่ง และพ่อ ผมเป็นลูกคนสุดท้องครับ

แล้วพ่อคิดอย่างไรที่มาร์คมาทำงานดนตรี

พ่อก็ภูมิใจในตัวผมนะครับจริงๆ พ่อเป็นคนไม่ค่อยแสดงออก แต่สิ่งที่เขาเคยสนับสนุนผมมาตลอดมันมาถึงจุดที่เป็นความจริงแล้วเขาไม่ได้สนับสนุนเราแค่เฉยๆ หรือเราไม่ได้ทำมันแบบเล่นๆ วันนี้มันมาถึงจุดที่เราสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า เราทำได้จริงๆ เขาก็ภูมิใจครับ

ฟีดแบ็กจากผลงานเพลงซิงเกิลแรกของมาร์คเป็นอย่างไรบ้าง

ฟีดแบ็กก็ตามโจทย์เลยครับเขารู้สึกถึงความแปลกใหม่ของเพลง ของค่ายที่ไม่เคยทำเพลงแนวนี้ของเพลงที่มันฟังสนุกดูทันสมัย แปลกใหม่ ค่อนข้างตรงโจทย์ที่ตั้งไว้

ผลงานเพลงลำดับถัดไปจะมีออกมาอีกเมื่อไหร่

ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ครับเดี๋ยวเจอกัน (หัวเราะ)

คราวละเพลง

ครับ แต่ถ้าเกิดมีคนแชร์กันเยอะๆ ก็อาจจะมีงานเพลงออกมารัวๆ กว่านี้ (หัวเราะ)


มีช่องทางโซเชียลให้แฟนคลับติดตามบ้างไหม

มีครับมีอินสตาแกรมเป็นหลัก คือ @danu.marc ความจริงมีเฟซบุ๊ก แฟนเพจด้วย แต่ว่ายังไม่ได้โพสต์อะไรมาก

มาร์คมองโซเชียลมีเดียปัจจุบันเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียถือเป็นช่องทางเป็นอาชีพของคนได้เลย มันเป็นทั้งที่ระบาย ที่เก็บความทรงจำขณเดียวกันการที่เราเป็นคนน่าสนใจ คนที่สามารถมอบความสุขให้คนอื่นได้ ก็จะมีคนมาตามเราเมื่อเขามาตามเราแล้ว และจะมีการส่งต่อ บอก แชร์อะไรดีๆ ให้เขาได้นั่นคือความเป็นไปของโซเชียลมีเดียทุกวันนี้


เรื่อง:บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
‘อี ซึงจู’ หนุ่มปริศนาในเอ็มวีใหม่ของไอดอลสาว BLACKPINK https://marshomme.com/scoop/531489/ Wed, 14 Oct 2020 07:01:00 +0000
เรื่องกลายเป็นข่าวแบบไวรัลไปในชั่วข้ามคืน เมื่อเอ็มวีเพลงใหม่ ‘Lovesick Girls’ ของเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK ถูกปล่อยเป็นปฐมฤกษ์เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  จนทำให้ยอดวิวทะลุถึง 61 ล้านภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนจะมีดราม่าปรากฏขึ้น  กระทั่งต้องปล่อยเอ็มวีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาแทน และนับถึงโมงยามนี้ยอดวิวสูงเกิน 150 ล้านไปเรียบร้อยแล้ว

ประเด็นร้อนอยู่ที่เอ็มวีเวอร์ชั่นแรกอันเป็นเหตุให้ต้องลงทุนลงแรงทำกันใหม่  นั่นเพราะเวอร์ชั่นเก่า เจนนี-หนึ่งในสมาชิกของ BLACKPINK สวมชุดพยาบาลขณะขับขานเนื้อเพลง “Didn’t wanna be a princess, I’m priceless/ A prince not even on my list/ Love is a drug that I quit/ No doctor could help when I’m lovesick” ซึ่งกลายเป็นดราม่าขึ้นเมื่อสมาคมผู้ประกอบการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของเกาหลีออกมาติติงถึงความไม่เหมาะสมที่ไอดอลสาวสวมเครื่องแบบพยาบาลขณะแสดงออกด้วยท่าทางเซ็กซี่จนดูคล้าย ‘วัตถุทางเพศ’ ในสายตา


YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดรีบออกมาขอโทษ พร้อมทั้งทำการตัดต่อมิวสิกวิดีโอเสียใหม่ โดยนำฉากที่มีเจนนีในลุคอื่นเสียบเข้าไปแทน

ประเด็นร้อนของเพลงนี้ไม่ได้มีแค่เพียงดราม่าเรื่องเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของหนุ่มปริศนาที่ปรากฏตัวในเอ็มวีด้วย เขาคือหนุ่มผมยาวที่ลิซา-ลลิษา มโนบาล สาวไทยหนึ่งเดียวในวง BLACKPINK ซบศีรษะลงแนบแผ่นอก แสดงอาการซึ้งๆ กับโรเซ หรือมีปากเสียงกับสาวเจนนี แม้ว่าในเอ็มวีจะไม่เปิดเผยหน้าตาให้เห็นแบบจะๆ แต่ชาวเน็ตและแฟนคลับของ BLACKPINK หลายคนสามารถสัมผัสได้ว่า เขาไม่ธรรมดา และใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่า เขาเป็นใคร?


อี ซึงจู (Lee Seungjoo) คือชื่อจริงของหนุ่มคนนี้ นอกจากนั้นเขายังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น Loren, DJ Boid, Løren และ Cawlr แต่หากใครเป็น BLINKs (แฟนคลับของ BLACKPINK) ตัวจริงอาจเคยเห็นเขาคนนี้เล่นกีตาร์อะคูสติกให้กับโรเซในการถ่ายทอดสดทางอินสตาแกรม เพื่อคัฟเวอร์เพลง ‘Wayo’ ของบัง เยดัม-สมาชิกวง Treasure รวมถึงเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของค่าย The BLACK Label ภายใต้สังกัด YG Entertainment

นอกจากนั้นลอเรนยังเคยมีส่วนร่วมในการทำเพลง ‘Bullsh*t ของ G-Dragon ซึ่งเปิดตัวไปในปี 2017 และยังเป็นดีเจร่วมกับคอนเสิร์ตเดี่ยวของ G-Dragon ใน Act III: M.O.T.T.E World Tour


ลอเรนทั้งสมาร์ทและมากความสามารถ เคยเป็นนายแบบให้กับแฟชั่นสตรีทแวร์แบรนด์หนึ่ง มาร่วมงานกับเอ็มวีเพลง ‘Lovesick Girls’ ครั้งนี้ เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดงนำชายอย่างเดียว แต่ยังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ด้วย การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงไอดอลสาวๆ ของเขาเริ่มจากการทำงานให้กับนิตยสาร W Korea เขาได้รู้จักกับจีอึน ซึ่งเป็นสไตลิสต์ของ BLACKPINK

และตอนนี้พอเพลงดัง ดูเหมือนใครๆ ก็ทุ่มความสนใจไปที่เขา โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนคลับของไอดอลสาว ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือข่าวคอนเฟิร์ม ก็มีเพิ่มขึ้นตามลำดับ


อี ซึงจูเกิดเมื่อปี 1995 อยู่ในวัยเดียวกันกับจีซู สมาชิก BLACKPINK ทั้งยังเป็นเพื่อนกับสาวๆ ทุกคนในวง และไม่ใช่เคยเล่นดนตรีแจมกับโรเซเท่านั้น เขายังร่วมงานและไปช่วยเป็นกำลังใจพวกเธอระหว่างถ่ายทำเอ็มวีเพลง ‘Ice Cream’ อีกด้วย

จากโพสต์ต่างๆ ของเขาในโซเชียลมีเดียทำให้ชาวเน็ตรับรู้ด้วยว่า เขาสามารถพูดได้สองภาษาอย่างคล่องแคล่ว ทั้งเกาหลีภาษาแม่ และภาษาอังกฤษ


อีกข่าวเกี่ยวกับเขาที่น่าจะเป็นข่าวลือ นั่นคือ เขาเป็นทายาทของลี แฮจิน-หนึ่งในผู้ก่อตั้ง NAVER บริษัทเนเวอร์ ของเกาหลีใต้ที่ให้บริการด้าน Search Engine, Web Portal และ Online Gaming ที่ขยายธุรกิจไปถึงจีนและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป็นบริษัทแม่ของแอพลิเคชั่น Line ลี แฮจินมีทรัพย์สินอยู่ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และติดอันดับที่ 14 ในรายชื่อ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ตามรายงานของนิตยสาร Forbes


ข่าวลือเกี่ยวกับหนุ่มปริศนาคนนี้เริ่มแพร่สะพัดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าข่าวนี้เป็นความจริง รวมถึงข่าวที่ว่าเมื่อปี 2017 บริษัท Naver ตัดสินใจครั้งใหญ่กับการทุ่มเงินกว่า 1 แสนล้านวอนเพื่อลงทุนใน YG Entertainment

ส่วนข่าวเรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับใครนั้น ไม่ได้ถูกหยิบยกมาเป็นข่าวลือ และชาวเน็ตน่าจะเชื่อว่าเขายังโสด สังเกตได้จากชื่อบัญชีอินสตาแกรมของเขาที่ใช้ @lorenisalone

ที่บอกโต้งๆ ตรงๆ ว่า “ลอเรนตัวคนเดียว”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
มารู้จัก ‘บรรดาผู้ชาย’ ของ ‘มาดอนนา’ คนล่าสุดคืออายุ 25! https://marshomme.com/scoop/411545/ Fri, 28 Feb 2020 17:48:00 +0000
“เด็กเจ๊” มักจะเรียกกันอย่างนี้ ถ้าหนุ่มคนไหนมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหญิงวัยสามสิบตอนปลายถึงวัยกลางคน แต่สำหรับ ‘มาดอนนา’ ราชินีเพลงป๊อป เจ้าของเพลงฮิตติดหูสังคมโลกมาตั้งแต่ยุคปลายทศวรรษ 70 ยามนี้ล่วงเข้าวัย 61 คงต้องเรียกบรรดาหนุ่มๆ ที่มาห้อมล้อม เกี่ยวดองเป็นคู่คบหาว่า “เด็กป้า” หรือไม่ก็ “เด็กยาย” กันแล้ว


อย่างเด็กหนุ่มคนล่าสุดที่เปิดเผยตัวเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ว่ากำลังคบหาอยู่กับมาดอนนานั้น ได้สร้างสถิติใหม่ในเรื่องของวัยที่แตกต่าง เพราะอายุของทั้งสองห่างกันถึง 36 ปี

มาดูกันว่า ชายคนรักของมาดอนนา ตลอดช่วงเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เป็นใครกันบ้าง?


อาห์ลามาลิค วิลเลียมส์ (วัยห่างกัน 36 ปี)

เด็กหนุ่มในอ้อมกอดและอ้อมใจ เกิดในแคลิฟอร์เนีย เป็นลูกของทหารผ่านศึก นอกจากอายุจะห่างกับศิลปินป๊อปสูงวัยมากมายแล้ว เขายังอายุน้อยกว่าลูร์ดส์-ลูกสาวคนแรกของเธออีก 2 ปี และมีสัมพันธ์รักกับมาดอนนามากว่าสี่เดือนแล้ว เขาเคยเป็นนักเต้นแบ็กอัพให้กับมาดอนนาครั้งแรกเมื่อปี 2015 ก่อนจะตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตพร้อมกับเธอในเวลาต่อมา ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย เขาพร่ำบอกในโซเชียลมีเดียตลอดเวลาว่า “อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยศิลปะ”

เรื่องคบหากับมาดอนนาที่เป็นรับรู้ของพ่อแม่ และไม่ถูกกีดกัน ฝ่ายแม่ยังเชื่อว่า มาดอนนาชมชอบลูกชายของเธอนั้นน่าจะเป็นที่ความสามารถของเขา


เควิน ซัมไปอู (วัยห่างกัน 33 ปี)

มาดอนนาเริ่มคบหากับเควิน นายแบบหนุ่มสัญชาติโปรตุเกสที่เกิดในฝรั่งเศส ขณะนั้นอายุ 26 ปี หลังจากที่เขาไปร่วมเล่นมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Bitch, I’m Madonna’ ช่วงปี 2017 ในเอ็มวีเพลงนี้ มีฉากเธอจูบเขาอย่างดูดดื่มในคลับ

ศิลปินสาวใหญ่ชื่นชมหนุ่มเควินตรงที่เขาเป็นคนไม่ปากโป้ง ไม่เคยพูดเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาดอนนาให้ใครฟัง แม้กระทั่งเพื่อนสนิท อีกทั้งยังไม่ปริปากให้นักข่าวรู้เรื่องที่พวกเขาออกเดทกันครั้งแรก ทำให้มาดอนนาไว้ใจเขา หลังจากนั้นทั้งสองก็ถูกปาปาราซซีไปเจอระหว่างไปทริปด้วยกันที่ลิสบอน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็สิ้นสุดลงในปีเดียวกันนั้นเหมือนกัน


ทิมอร์ สเตฟเฟนส์ (วัยห่างกัน 30 ปี)

มาดอนนามีสัมพันธ์รักกับทิมอร์ หนุ่มนักเต้นวัยขณะนั้น 26 ตั้งแต่ปี 2014 ตอนที่เธอเดินทางไปทางใต้ของฝรั่งเศสเพื่อฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 56


นักเต้นเชื้อชาติฮอลแลนด์เคยเต้นให้กับบิยองเซ ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมีปี 2010 และเคยเต้นในเอ็มวีเพลง ‘This Is It’ ของไมเคิล แจ็กสัน รวมทั้งอีกหลายเพลงในเอ็มวีของคริส บราวน์ ทิมอร์เจอกับมาดอนนาที่ปราสาทของดีไซเนอร์ ‘วาเลนติโน’ ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่สัมพันธ์รักของทั้งสองแค่วูบวาบ มาดอนนาเป็นคนพูดเองว่า “ไม่ซีเรียส แค่สนุกช่วงสั้นๆ” และจบด้วยดรามา เมื่อมาดอนนาขอให้เขาจัดเก็บกระเป๋า และออกจากบ้าน ในภายหลังทิมอร์เปิดเผยกับสื่อว่า ช่องว่างระหว่างวัยที่เขาเคยคิดว่าไม่สำคัญนั้น จริงๆ แล้วมันมีผลต่อความสัมพันธ์มาก


บราฮิม ไซบาต (วัยห่างกัน 29 ปี)

ช่วงปี 2010-2013 มาดอนนาคบหาจริงจังกับนักเต้นหนุ่มฝรั่งเศส เขาอายุ 23 ตอนที่เธอรู้จัก นักเต้นมุสลิมเป็นส่วนหนึ่งของคณะที่ไปร่วมงานเปิดตัว ‘Material Girl’ ไลน์แฟชั่นของมาดอนนาที่ห้างมาซีส์ในนครนิวยอร์ก


แม้ว่าเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น และมาดอนนาเองนั้นพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนเคมีทางเพศจะทำให้กำแพงภาษาทะลายไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งสองยืดเยื้อมากว่าสองปี ก็ถึงจุดอิ่มตัว มาดอนนารู้สึกคล้ายชื่อเสียงของเธอถูกบราฮิมนำไปใช้ประโยชน์ในงานอาชีพของเขา หนังสือพิมพ์ฟิกาโรของฝรั่งเศสรายงานข่าวเข้มข้นกว่านั้นว่า มาดอนนาไม่พอใจที่เห็นบราฮิมเข้าขากับสาวออสซี-คู่เต้นคนใหม่ของเขา

เฆซุส ลุซ (วัยห่างกัน 29 ปี)

มาดอนนาว่าจ้างนายแบบหนุ่มวัย 21 ปีคนนี้เพื่อถ่ายภาพเมื่อปี 2008 สามเดือนหลังจากที่เธอหย่าขาดจากกาย ริตชี เมื่อทำงานแล้วเสร็จ เธอก็ยังไม่ยอมวางมือจากหนุ่มรูปงาม ต่อมายังเมาท์กับเพื่อนสนิทด้วยว่า “การมีเซ็กซ์กับเฆซุสเป็นเรื่องสุดยอดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมาเลยจริงๆ”


ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังนั่งเครื่องบินไปบราซิล เพื่อพบเจอกับคริสเตียเน-แม่ของเฆซุสที่อายุน้อยกว่าเธอ 14 ปีอีกด้วย แต่ไม่ช้าไม่นาน เด็กหนุ่มก็กลายเป็นของเล่นที่น่าเบื่อสำหรับศิลปินสาวใหญ่ และเมื่อเธอบอกเลิก โลกทั้งใบของนายแบบหนุ่มดูเหมือนจะล่มจมหายไปด้วย

อเล็กซ์ โรดริเกซ (วัยห่างกัน 18 ปี)

A-Rod คือชื่อเล่นของอดีตนักเบสบอลพื้นเพเดิมโดมินิกัน โคจรมาพบเจอมาดอนนาในช่วงปี 2008 และกลายเป็นข่าวว่าทั้งสองแอบกิ๊กกัน ทั้งที่ขณะนั้นนักเบสบอลวัย 32 แต่งงานอยู่กินและมีลูกด้วยกันกับซินเธีย สเคอร์ติส นักข่าวปาปาราซซีเห็นเขาตามไปดูคอนเสิร์ตของมาดอนนาที่ไมอามี ซึ่งป๊อปสตาร์บนเวทียังร้องเพลงส่งซิกให้กับเขาด้วย


ไม่นานต่อมา ภรรยาของอเล็กซ์ก็ยื่นใบหย่า ส่วนมาดอนนาก็ถอนตัวจากดรามาครอบครัวคนอื่น หลงเหลือความทรงจำแค่เพียงความสัมพันธ์ที่เร่าร้อนในช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นอเล็กซ์ก็มีสัมพันธ์รักกับดาราสาวอย่างเคท ฮัดสัน และคาเมรอน ดิอาซ จนกระทั่งปี 2017 มาพบรักกับเจนนิเฟอร์ โลเปซ และหมั้นหมายกันเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019


กาย ริตชี (วัยห่างกัน 10 ปี)

มาดอนนาแต่งงานอยู่กินกับผู้กำกับฯ หนุ่มอังกฤษในช่วงระหว่างปี 2000-2008 และมีลูกชาย-ร็อกโก ด้วยกัน ชีวิตคู่ดูเหมือนจะราบรื่นและยาวนาน แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ต้องสะดุดและจบลงที่การหย่าร้าง

เพื่อนๆ ของทั้งสองเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ The Mirror ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองสิ้นสุดลงเพราะริตชีชอบที่จะใช้ชีวิตครอบครัวอยู่อย่างสงบ ในขณะที่มาดอนนายังหิวโหยวิถีชีวิตที่ตื่นตาตื่นใจในสังคมคนดัง


คาร์ลอส เลออง (วัยห่างกัน 8 ปี)

ความสัมพันธ์อันเร่าร้อนของนักเต้นวัย 23 กับมาดอนนาเกิดขึ้นในปี 1994 จนมีลูกสาว-ลูร์ดส์ ด้วยกันหนึ่งคน และจบลงด้วยการแยกทางกันในปี 1997 หลังจากลูร์ดส์ลืมตาดูโลกได้เพียงเจ็ดเดือน

ทุกวันนี้ คาร์ลอสยังคงพูดถึงอดีตภรรยาของเขาด้วยความชื่นชม “ผมขอบคุณเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่มอบลูกสาวให้กับผม และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีในชีวิต”

วอร์เรน เบ็ตตี

กับชายวัยแก่กว่าคนนี้ มาดอนนามีสัมพันธ์รักกับเขาระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘Dick Tracy’ และเป็นการคบหากันเพียงชั่วเวลาสั้นๆ คล้ายการโปรโมตหนัง


นอกเหนือจากทั้งหมดนี้แล้ว มาดอนนายังมีและเป็นข่าวกับทูพัค ชาเคอร์ (แรปเปอร์ที่วัยอ่อนกว่า 13 ปี) วานิลลา ไอซ์ (วัยอ่อนกว่า 9 ปี) เดนนิส ร็อดแมน (นักบาสเกตบอลวัยอ่อนกว่า 2 ปี) จอห์น เคนเนดี จูเนียร์ (ลูกชายอดีตประธานาธิบดีวัยอ่อนกว่า 2 ปี) รวมถึงฌอน เพนน์ (วัยอ่อนกว่า 2 ปี) ที่กลายมาเป็นสามีในเวลาต่อมา

ตลอดชีวิต 61 ปีของศิลปินป๊อปแห่งตำนาน มีเพียง วอร์เรน เบ็ตตี เท่านั้นที่เป็นผู้ชายอายุมากกว่าเธอ 21 ปี

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
‘เลียม กัลลาเกอร์’ ปากกล้า ใจถึง ร้องเพลงได้ https://marshomme.com/scoop/1274/ Fri, 18 Oct 2019 15:23:00 +0000
เพลง ‘Wonderwall’ ดูคล้ายจะเป็นเพลงโปรดของใครต่อใครในยุคสมัยหนึ่ง ขับร้องโดยเลียม กัลป์ลาเกอร์-ฟรอนต์แมนของวง Oasis ที่ตัวจริงไม่ใช่หนุ่มอ่อนโยน นิสัยน่ารักแต่อย่างใด

เหตุผลอาจเป็นเพราะชีวิตวัยเด็กที่ซับซ้อนของเขา เลียมเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสามคน เกิดและเติบโตในแมนเชสเตอร์ และมักตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของผู้เป็นพ่อ ตอนเขาอายุ 10 ขวบแม่แยกทางกับพ่อ แล้วย้ายออกจากบ้านไปพร้อมกับลูกทั้งสามคน ปัญหาครอบครัวของเลียมส่งผลมาถึงพฤติกรรมของเขาในช่วงวัยรุ่น ทั้งการขโมยรถจักรยาน การทำลายข้าวของ และบ่อยครั้งก็ชอบหาเรื่องชกตีกับใครๆ โดยเฉพาะกับโนล-พี่ชายของเขาเอง

แต่นิสัยชอบความรุนแรง เลียม กัลลาเกอร์ก็พัฒนาตนเองไปสู่ความชอบในดนตรี ระหว่างที่ยังเรียนอยู่เขาเข้าร่วมวง The Rain ของเพื่อน ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อมาในปี 1991 จึงเปลี่ยนชื่อวงเป็น Oasis และจู่ๆ ก็มีโนล-พี่ชายเข้ามาร่วมบนเวทีการแสดง หลังจากนั้นก็มีการเซ็นสัญญากับค่ายเพลง

‘Definitely Maybe’ อัลบั้มแรกของพวกเขาออกตัวแรงกว่าของศิลปินคนไหนๆ อีกทั้งอัลบั้ม ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ รวมถึงเพลงอย่าง ‘Wonderwall’ และ ‘Don’t Look Back in Anger’ ยังช่วยผลักดันให้ชื่อของ Oasis ไต่อันดับขึ้นจุดสูงสุดของบริตป๊อป

ความขัดแย้งภายในและการเริ่มต้นใหม่

ความฝันของศิลปินวัยหนุ่มคล้ายจะเจิดจรัส หากปราศจากเงามืดในความมีชื่อเสียง – บ่อยครั้งมักมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพี่น้องคู่นี้ เลียมชอบหาเรื่อง ไม่ก็เมามายจนพลาดงานแสดง ภายหลังคอนเสิร์ตร่วมกับโนลเพียงไม่กี่ครั้ง และมีผลงานร่วมกัน 7 อัลบั้ม ปี 2009 เลียมก็ผละออกจากวง Oasis ไปในที่สุด เหตุเพราะเขาไม่สามารถทนทำงานร่วมกับพี่ชายของตนเองได้อีกต่อไป

เลียมไม่ได้หันหลังให้กับดนตรีอย่างที่ใครคาดคิด แต่กลับไปก่อตั้งวงใหม่ Beady Eye ซึ่งมีอดีตสมาชิกวง Oasis คนหนึ่งร่วมอยู่ด้วย ช่วยกันเข็นซิงเกิลแรกออกมาในปี 2010 ตามด้วยเพลงคัฟเวอร์ผลงานเก่าของ Oasis แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ เลียมกับเพื่อนสมาชิกวง Beady Eye จำต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตนอีกครั้งในปี 2014

‘As It Was’ ตัวตนของเลียม กัลลาเกอร์บนแผ่นฟิล์ม

“แรกเริ่ม ผมประหลาดใจนะที่เขาเป็นคนดี” เกวิน ฟิตซ์เจอรัลด์-ผู้กำกับหนังสารคดี บอกกับสื่อในช่วงเปิดตัว ‘As It Was’ หนังสารคดีตามติดชีวิตของเลียม กัลลาเกอร์ จากเดิมที่เคยได้ยินแต่ข่าวด้านลบเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าเรื่องที่เขาเคยถูกสายการบินแบนเพราะสูบบุหรี่บนเครื่องในปี 1998 เคยสบถและเสียฟันหลายซี่จากเรื่องชกต่อยกับตำรวจเยอรมันในปี 2002 ฯลฯ “เลียมเป็นคนขี้เล่น ตลก ขี้โอ่ และเขาดูผ่อนคลายมากๆ ด้วย”

ภาพในหนังสารคดีเผยตัวตนของเลียม กัลป์ลาเกอร์ที่สนุกสนานกับการวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้าตรู่ ขณะกำลังออกทัวร์คอนเสิร์ต เป็นคุณพ่อที่น่าภาคภูมิใจสำหรับลูกชายวัยรุ่นสองคน เช่นเดียวกับลูกสาวที่เขาได้ติดต่อเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1997 นอกจากนั้นยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของตนเอง และรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจใช้เวลามากกว่านี้กับแม่ของเขา

บางช่วงเวลาเขายังดูเข้าถึงจิตวิญญาณอีกด้วย ระหว่างที่เดินทางไปเยือนห้องนอนที่เขาเคยนอนร่วมกับพี่ชาย อีกทั้งสำนึกถึงบุญคุณต่อสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากวัยรุ่นเหลวแหลกกลายเป็นร็อกสตาร์

แต่สิ่งเดียวที่เลียมยังหาความสงบสุขไม่ได้ นั่นคือ เรื่องของโนล ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้พี่น้องคู่นี้ไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกันมานานหลายปี “หลังจากแยกวงไป เลียมรู้สึกเจ็บปวดนะ เพราะที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องกัน และเลียมก็คิดถึงเขา” ฟิตซ์เจอรัลด์บอก

ความขัดแย้งยังสืบต่อในความเป็นจริง

ขณะที่โนล กัลลาเกอร์ พี่ชายวัย 52 ปีกลับรู้สึกต่างไปจากน้องชายวัย 47 เขาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ และไม่ยินยอมให้ใช้เพลงของวง Oasis ซึ่งส่วนใหญ่เขาเป็นคนแต่ง ไปใช้ประกอบในหนังสารคดีเด็ดขาด พร้อมข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องหากมีการละเมิด

ไม่ว่า ‘Wonderwall’ หรือ ‘Supersonic’ เพลงคลาสสิกของ Oasis ที่เลียมมักนำไปร้องนั้น ล้วนเป็นผลงานที่โนลเป็นคนแต่ง เมื่อสองปีก่อนโนลยังเคยพูดเหน็บแนมผ่านสื่อไปถึงน้องชายเจ้าปัญหา “ผมมองแบบปรัชญานะ ผมอยู่ตรงนี้และเล่นเพลงของผม ส่วนเขาอยู่ตรงนั้นและยังเล่นเพลงของผม” ก่อนประกาศเตือนน้องชายอย่างจริงจัง หลังจากรับรู้ข่าวการถ่ายทำสารคดี ‘As It Was’ เมื่อปี 2018

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เลียมเคยโอดครวญผ่านทวิตเตอร์เรื่องที่พี่ชายของตนขู่ฟ้อง “ผมเพิ่งรู้ข่าวว่าตัวเองอาจจะถูกฟ้องโดยผู้ชายเล็กๆ ที่มากอำนาจ ถ้าผมเอาฟุตเทจเพลงของ Oasis ที่ผมร้องไปใช้ใน ‘As It Was’ ใครกันที่ควรจะขมขื่น?”

ชีวิตรักของร็อกสตาร์

ชีวิตจริงนอกจอของเลียม กัลลาเกอร์ เขาไม่ใช่แค่เป็นร็อกสตาร์ที่โด่งดังเท่านั้น หากยังเป็นแขกรับเชิญขายดีบนหน้าหนึ่งของสื่อบันเทิงด้วย กระทั่งมีคนเปรียบเทียบเขาเป็นจอห์น เลนนอนกลับชาติมาเกิด แม้ว่าเลนนอนจะเสียชีวิตหลังจากเลียมเกิดแล้วแปดปีก็ตาม นั่นเพราะเป็นบุคคลที่สามารถป้อนข่าวให้เสพกันได้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเรื่องราวส่วนตัวของเลียมก็เช่นกัน


ปี 1997 เลียมแต่งงานกับแพตซี เคนสิต-ภรรยาคนแรก และได้ลูกสาว-มอลลีในเวลาไม่นานต่อมา แต่ไม่ใช่จากภรรยาที่เพิ่งแต่งกันหมาดๆ หากเป็นลูกที่เขามีกับลิซา มูริช-นักร้องสาวที่เลียมมีสัมพันธ์ด้วยหลังแต่งงาน ต่อมาก็ได้ลูกชายสองคน จากเคนสิตหนึ่งคน และอีกหนึ่งคนจากนิโคล แอปเปิลตัน-ภรรยาคนที่สอง จากนั้นชีวิตคู่ระยะเวลาห้าปีกับภรรยาคนที่สองก็อับปางลงในปี 2014

คู่หมั้นหมายคนล่าสุดของเลียมคือ เด็บบี้ กวิเธอร์ ผู้ช่วยสาวที่เข้ามาช่วยงานเขาตั้งแต่ปี 2013 เคยมีประสบการณ์เป็นผู้จัดการส่วนตัวและพีอาร์ให้กับศิลปินมาก่อน รวมถึงเป็นคนที่ทำให้เลียมมีความมั่นใจในตัวเองและการแต่งเพลง แต่ก็ไม่วายมีข่าวออกมาเมื่อปีที่แล้วว่า ทั้งสองทะเลาะกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน และเลียมบีบคอเธอ จะจริงเท็จอย่างไร ทั้งสองก็ปฏิเสธข่าวไปแล้ว

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่สื่อสามารถนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับเลียม กัลลาเจอร์ได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะเขาคือจอห์น เลนนอนกลับชาติมาเกิด แต่เป็นเพราะเขาเสพติดการ ‘คัมแบ็ก’ นั่นเอง

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
ดนตรีที่ไม่มีนิยามของ ‘D GERRARD’ https://marshomme.com/interview/963/ Wed, 31 Jul 2019 17:49:00 +0000

ก่อนที่กระแสเพลงแร็ป และวัฒนธรรมฮิปฮอปจะเข้ามาตีตลาดเพลงเมืองไทยเข้าอย่างจัง! จนท่อนแร็ปเจ๋งๆ ของบรรดาแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ ต่างเข้าไปแทรกอยู่ตามซิงเกิ้ลใหม่แทบทุกสไตล์เพลง ทั้งป๊อป ร็อก และลูกทุ่ง หลายคนน่าจะเคยได้ยินเสียงนุ่มๆ สไตล์อาร์แอนด์บี ที่มาพร้อมดนตรีแนวฮิปฮอปจากเพลง GALAXY ของ D GERRARD ศิลปินหน้าใหม่ในขณะนั้น

‘บิ๊ก’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘D GERRARD’ ศิลปินที่หลายคนต่างหาคำนิยามสไตล์เพลงของเขา ต้องยอมรับเลยว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินที่ทำให้คนไทยได้เปิดโลกในการฟังเพลงแนวใหม่ๆ ที่ผสมผสานหลากสไตล์เข้าไว้ด้วยกัน บางคนบอกว่าเขาคือแร็ปเปอร์ แต่อย่าลืมนะว่าในเพลงของเขาก็มีทั้งเสียงร้องสไตล์อาร์แอนด์บี ดนตรีแนวฮิปฮอป และบางครั้งก็มีแนวการร้องสไตล์คลาสสิกแทรกเข้ามาในเพลงให้ได้ฟังกัน ก่อนจะตัดสินว่า ‘บิ๊ก D GERRARD’ คือศิลปินแร็ปอย่างที่ใครหลายๆ คนบอกไว้หรือไม่นั้น ไปทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเขากันก่อน

ชีวิตวัยเด็กของ D GERRARD เป็นยังไง

เอาจริงๆ ชีวิตวัยเด็กของผมมันไม่ค่อยสนุกนัก ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดธรรมดาๆ ที่ชอบอยู่กับตัวเอง ชอบอ่านหนังสือ เพราะผมเข้าหาคนไม่เก่ง แล้วก็ไม่ได้มีเพื่อนมากเท่าไหร่ ก็มีหนังสือนี่ล่ะที่เป็นเพื่อน ถ้าพูดถึงหนังสือการ์ตูนเรื่องดังๆ มา ผมว่าผมรู้จักหมด ไม่ว่าจะเซนต์เซย์ย่า ดราก้อนบอล ผมตามอ่านครบ เพราะจะได้มีอะไรไปคุยกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนบ้าง แล้วมีอีกช่วงที่ผมติดเกมออนไลน์มาก ช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่แฮปปี้มากที่สุดช่วงหนึ่งเลยนะ เล่นเกม เก็บเลเวล สนุกกับเพื่อนในเกม ผมเลยรู้สึกอินกับมันมากเป็นพิเศษ

แล้วดนตรีล่ะ เริ่มสนใจได้ยังไง

ตอนม.ต้น ผมอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียน ทำกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ทั้งขับเสภา ร้องเพลงไทยเดิม พยายามทำความเข้าใจและคลุกคลีกับดนตรีทุกประเภทเลย มันสนุกดีนะเวลาที่เราได้รู้จักกับดนตรีหลายๆ แบบ ได้ฟังเพลงหลายๆ แนว

มาเริ่มจริงจังกับดนตรีตอนไหน

ประมาณม.ปลายครับ ด้วยความที่ผมไม่ชอบเรียนเลขเอาซะเลย แล้วบังเอิญได้ดูหนังเรื่อง Season Change เลยได้รู้ว่ามีโรงเรียนที่สอนดนตรีอย่างเดียวด้วย ตอนนั้นคิดว่าอยากลองใช้ชีวิตแบบในหนังดู เลยสอบเข้าดุริยางคศิลป์ มหิดลครับ โฟกัสเรื่องดนตรีเต็มๆ ไปเลย แล้วเลือกเรียนเอกขับร้องดนตรีคลาสสิก เพราะอาจารย์บอกว่า มันเป็นพื้นฐานของการร้องแทบทุกแบบ ถ้าเกิดรู้วิธีการร้องเพลงคลาสสิก รู้วิธีการใช้ลม จะรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง ส่วนไมเนอร์ผมเรียนเป่าแซ็กโซโฟน ช่วงชีวิตตอนนั้นคือซ้อมอย่างเดียวเลย เหมือนหาตัวเองว่าเราชอบดนตรีแบบไหน แล้วทำให้ได้ฟังดนตรีเยอะขึ้นด้วย

เอาจริงๆ แล้วช่วงแรกผมค่อนข้างแอนตี้การฟังเพลงลูกทุ่งมากนะ ผมเป็นคนพัทลุง ที่นั่นมีทั้งคนฟังเพลงลูกทุ่ง และเพื่อชีวิต พอลองฟังมันก็เหมือนฟังไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าเขาฟังอะไรกัน อาจจะเหมือนที่คนฟังลูกทุ่งบางคนฟังเพลงแร็ปไม่เข้าใจ ซึ่งเอาจริงๆ กำแพงทั้งหมดนี้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ เลย ถ้าเราเปิดใจ ปรับทัศนคติใหม่ ฟังแล้วคิดตามว่ามันเป็นเพลงแนวไหน ทำไมคนชอบฟังกันจัง พอคิดแบบนี้แล้วทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น ยิ่งพอมาคิดว่า ทำไมทีเพลงสากลที่ไม่เข้าใจภาษา เรายังเสพเพลงพวกนี้ได้เลย ทำไมเพลงที่เข้าใจภาษาจะฟังไม่ได้ จุดนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่า ดนตรีมันเป็นไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่มันอยู่ที่องค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้ง Groove อารมณ์เพลง และความรู้สึก เวลาที่เราฟังเพลงละตินแล้วรู้สึกสนุก มันก็เป็นเรื่องของ Groove อะไรประมาณนี้ครับ ช่วงนั้นผมฝึกสกิลล์มาเรื่อยๆ แต่พอเรียนจบมันก็มีจุดที่ทำให้ผมรู้สึกเคว้ง

เล่าเรื่องราวความเคว้งในครั้งนั้นให้ฟังหน่อย

หลังจากเรียนจบม.ปลาย ผมต้องมาคิดว่าจะไปต่อทางไหนดี ตอนนั้นคุณพ่อมองว่า ดนตรีเป็นอะไรที่ใช้ในชีวิตประจำวันยาก หมายถึงหาเงินยาก ทำธุรกิจยาก แล้วที่บ้านผมเองก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลอย จิวเวลรี่ ผมเลยต้องตามใจที่บ้าน เรียนอะไรที่มันสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้ เลยสอบเข้าไปเรียนธรณีวิทยา ที่จุฬาฯ ครับ การเรียนที่นั่นมันได้ความรู้เยอะมากเลยนะ มันทำให้ผมได้รู้ว่า นี่คือการเรียนจริงๆ แต่มันก็เคว้งมากในเวลาเดียวกัน เหมือนกับว่าไม่มีใครที่พอจะคุยกันรู้เรื่อง หรืออยู่ด้วยได้เลย ผมทั้งกดดันและเครียดสุดๆ จนตัดสินใจเปลี่ยนไปเรียนการตลาดที่ม.กรุงเทพแทน พอเปลี่ยนคณะ เปลี่ยนมหาวิทยาลัย เพื่อนที่เจอก็เปลี่ยนไป ตรงนี้มันทำให้ผมได้เก็บข้อมูล และทำความเข้าใจว่าคนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ซึ่งมันประยุกต์มาเป็นเพลงของเราได้ด้วย เอาเข้าจริงแล้วตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะทำอะไร รู้อย่างเดียวเลยว่าอยากเป็นศิลปิน แต่ขั้นตอนจะทำยังไงให้เป็นศิลปินได้เนี่ย ไม่รู้เลย ถ้าได้ออกโทรทัศน์ ร้องเพลงเฉยๆ ก็คงเป็นนักร้องธรรมดาคนหนึ่ง

“สำหรับผม ผมอยากเป็นศิลปินที่เป็นทั้งนักร้อง และนักแต่งเพลงอยู่ในคนเดียวกัน การถ่ายทอดเพลงผ่านประสบการณ์จริงของเรามันดูจริงกว่า แล้วมันก็เท่กว่ามาก”

เพลงแรกของ D GERRARD

โห…เพลงแรกของผมนี่เด็กมากครับ ม.ต้นเลย ผมประกวดวงดนตรีในงานวันแม่ เข้ารอบ 3 ทีมสุดท้าย ก็เลยเอาวะ ลองเขียนเพลงเองดู ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงเขียนยังไง แต่มีครูคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับผมว่า เขียนเพลงมันไม่ยากหรอก มันก็เหมือนเขียนเรียงความนั่นแหละ ถ้าเขียนเรียงความเป็นก็น่าจะเขียนเพลงได้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยครับว่า เขียนให้มันพอฟังได้ก็พอ คอร์ดเพลงก็ลองตีๆ ดูจากที่เรารู้ ลองหาเมโลดี้ไปใส่ แต่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนเพลงเองจริงๆ จังๆ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วนี้เองครับ

ความยากของการแต่งเพลงคืออะไร

ผมว่าการเขียนเพลงให้จบเนี่ย ยากนะครับ คนส่วนใหญ่พอเริ่มเขียนแล้วมักจะจบไม่ลง เพราะไม่รู้จะหาความสมบูรณ์แบบให้กับเพลงยังไง หรือบางครั้งอาจคิดมากไปจนงานไม่เสร็จ มัวแต่กังวลว่าอยากให้งานมันออกมาดีขึ้นไปอีก แต่อย่าลืมนะครับว่า ถ้าแต่งไม่เสร็จ ก็ไม่มีใครได้ฟังเพลงของเรานะ

อะไรทำให้ตัดสินใจมาแข่งขัน The X-Factor

ช่วงนั้นผมทำเพลงมาได้สักพักแล้วครับ ปล่อยเพลงในยูทูบช่องของตัวเองมาได้สัก 7-8 เพลง กำลังอยู่ในช่วงท้อมากเลย ตั้งใจทำเพลงเอง ทำเอ็มวีเอง ทำทุกอย่างเอง แล้วผลที่ได้คือมันไม่มีคนฟัง ยอดวิวมันน้อย เลยต้องมานั่งคิดว่าเราจะทำยังไงดี ตอนนั้นตั้งลิมิตกับตัวเองไว้ว่า ภายในปีนี้ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน หรือทำธุรกิจอะไรสักอย่าง

คนรอบๆ ตัวผมบอกว่า เพลงผมมันไม่แย่นะ มันฟังได้ แต่มันติดอยู่ที่จะทำยังไงให้ทุกคนได้ฟัง เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ลองประกวดดู มันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เข้าไปแข่ง The X-Factor ผมก็ใช้เพลงตัวเองนี่แหละ จะได้สื่อถึงความเป็นตัวเราได้มากที่สุด อยากทำอะไรบางอย่างให้คนได้เห็น ได้ลองฟังเพลงของผม ได้ท้าทายตัวเอง และเซอร์ไพรส์คนที่บ้านด้วย

“คนที่บ้านมักพูดกับผมว่า ร้องเพลงอยู่แต่ในบ้าน แล้วใครเขาจะมาได้ยินเพลงของเราล่ะ”

แสดงว่า The X-Factor คือจุดเปลี่ยนให้ D GERRARD กลับมามีพลังทำเพลงอีกครั้ง

ใช่ครับ เวทีถือเป็นอีเวนต์สำคัญในชีวิตผมเลย มันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมาก มันทำให้ผมได้ทำอะไรที่มากกว่าตื่นนอน กินข้าว ตอนนั้นผมอินกับมันมาก แต่ไม่ได้คิดว่ามันเปลี่ยนชีวิตอะไรขนาดนั้น แค่คิดว่าได้ร้องเพลงที่ตัวเองมั่นใจว่าดีให้คนอื่นๆ ได้ฟัง ให้ทุกคนได้ตัดสินว่า สรุปแล้วเพลงของผมมันดีจริงหรือเปล่า

นิยามแนวเพลงของ D GERRARD

ผมเป็นคนชอบฟังเพลงหลายแนวมาก เลยมองว่าไม่ว่าจะเพลงแนวไหน มันก็อยู่ด้วยกันได้หมด ถ้าส่วนผสมมันลงตัว ผมเลยเอาสิ่งที่ผมชอบมาใส่ในเพลง ให้มันเกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ผมมีพื้นฐานของเพลงเป็นการร้องสไตล์ R&B ที่ผมชอบ ส่วนที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นฮิปฮอป เพราะจังหวะกลองมันชวนให้เป็นแบบนั้น แถมยังมีท่อนแร็ปอยู่ในเพลงอีก ถ้าใครที่เคยฟังเพลงของผมจะรู้ว่าบางเพลงผมก็ใส่โอเปร่าลงไปด้วย

“การทำเพลงมันก็เหมือนการทำอาหารจานหนึ่ง เพลงของผมเปรียบเสมือนอาหารฟิวชั่น ที่ผมใส่ส่วนผสมเป็นสิ่งที่ผมชอบลงไปในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่เลี่ยนและลงตัวในแบบของเรา”

การศิลปินในยุคนี้กับยุคก่อน คิดว่ามันยากและง่ายยังไงบ้าง

ผมว่ายุคก่อนเป็นยากนะ น่าจะยากกว่าเยอะเลยด้วย เพราะมันไม่มีช่องทางให้โปรโมตมากนัก มีแค่สื่อกระแสหลัก เวลาจะฟังเพลงแต่ละทีต้องซื้อเทป หรือฟังวิทยุเท่านั้น จะได้เป็นศิลปินแต่ละทีก็ต้องมีค่ายเพลงมาติดต่อ เอาไปปั้น แต่ทุกวันนี้มีอินเทอร์เน็ต ใครๆ ก็เข้าถึงเพลงได้ ศิลปินสมัยนี้ก็ปั้นตัวเองได้

“ผมมองว่ายุคนี้ใครๆ ก็ปั้นตัวเองให้เป็นศิลปินได้ แต่จะยืนระยะได้นานแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ศิลปินในยุคก่อนเป็นยาก แต่เป็นแล้วเป็นยาวเลย”

จุดสูงสุดของการทำเพลงของ D GERRARD

คนเรามันต้องมีฝันไปเรื่อยๆ ครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราทำได้แล้ว มันก็ควรจะฝันกันต่อ บางคนอาจจะพอใจแล้ว แต่ผมอยากลองไปต่อเรื่อยๆ นะ ทำไมเราไม่ลองไปอยู่ในจุดที่ทุกคนฝันอยากจะเป็นดู อยากรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไง ตอนนี้มีคนฟังเพลงของผมมากขึ้น คนไทยเริ่มเปิดใจฟังอะไรใหม่ๆ แล้ว มันก็สำเร็จไปจุดหนึ่ง แต่ผมยังอยากเห็นศิลปินไทยโด่งดังระดับโลก เช่นเดียวกับศิลปินระดับโลกคนอื่นๆ ที่ดังมากในไทย ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ ลิซ่า BLACKPINK ทุกคนดีใจที่คนไทยก้าวไปได้ไกล และผมอยากให้มีศิลปินไทยที่ไปสู่จุดนั้นได้อีก และผมอยากเป็นคนหนึ่งที่ทำให้คนต่างชาติได้เห็นความเจ๋งของคนไทย

โปรเจ็กต์ล่าสุดที่ทำกับค่ายเกาหลี เป็นยังไงบ้าง

โปรเจ็กต์นี้ผมทำร่วมกับ Brandnew Music ค่ายเพลงที่เกาหลีครับ ทำร่วมกับ 2 ศิลปิน ตอนนี้ปล่อยออกมา 2 เพลง คือ Come Back To Me กับ BUMKEY ศิลปิน R&B ที่อยู่ในวงการเพลงเกาหลีมานาน ส่วนอีกเพลงคือเพลง 24 hrsทำกับ KittiBที่เป็นแร็ปเปอร์ ยอมรับเลยว่ากังวลมาก กลัวภาษาจะเป็นอุปสรรค เพราะผมเองก็ไม่เคยเสพอะไรเกี่ยวกับเกาหลี พูดเกาหลีก็ไม่ได้ แต่อย่างที่ผมบอกว่าดนตรีคือภาษาสากล แค่เรารู้คอนเซ็ปต์ของงาน เข้าใจตรงกัน ปัญหาเรื่องภาษาก็ดรอปไปเลย เราเขียนเพลงในมุมมองของเรา เขาเขียนในมุมมองของเขา พอเอามาเรียบเรียงเข้าด้วยกันมันก็กลายเป็นความกลมกล่อมขึ้นมา ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุกมากๆ เลยครับ

D GERRARD กับความรัก มีมุมมองยังไงกับเรื่องนี้

สำหรับผมมันมีเรื่องสำคัญอยู่ประมาณ 3 ข้อ คือความเข้าใจ การกระทำ และความจริงใจ คือคนสองคนรักกัน มันต้องไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างต้องการ มันต้องมีการประนีประนอม เข้าใจซึ่งกันและกันให้มากๆ ซึ่งเข้าใจอย่างเดียวก็ไม่พออีก เพราะบางครั้งการกระทำของเรา มันก็ไม่ได้แสดงออกว่าเราเข้าใจ ความจริงใจที่มีให้กันก็สำคัญมาก ความรักที่ดีควรจะเปิดเผยและโปร่งใส ดังนั้นความรักมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาไว้ให้มันอยู่กับเราอย่างมีความสุขได้นาน ผมก็เลยยังไม่มีความรักในตอนนี้ครับ

ผู้หญิงสวยในสายตาของ D GERRARD ต้องเป็นแบบไหน

ถ้าเป็นเรื่องภาพลักษณ์ภายนอก คงต้องหน้าตาคมๆ แต่มีนิสัยน่ารัก เซ็กซี่มากแต่ไม่มีจริตเลยก็ไม่ได้นะ แต่ส่วนที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดเลยก็คือความฉลาด มีความสามารถ คุยกันสนุก คุยตลก เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้

ที่ผ่านมา ความรักให้อะไรกลับมาบ้าง

ก็ให้เพลงมาหลายเพลงเลยนะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ผมจะเขียนเพลงจากประสบการณ์ความรัก ตัวผมเองก็ผ่านมาหลายรูปแบบ หลายมุมมอง มันทำให้ผมรู้ว่าความรักมันไม่ได้สวยงามเสมอไป มีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องแย่ๆ มีความสุขก็ต้องมีความทุกข์ ทุกอย่างมันปะปนกันมา อยู่กับเราอย่างแนบเนียนจริงๆ

]]>