Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
แฟชั่น – Marshomme https://marshomme.com Thu, 22 Jul 2021 07:01:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png แฟชั่น – Marshomme https://marshomme.com 32 32 ครั้งแรกกับการขึ้นปก E Photobook ของ “เก้า-นพเก้า” พระเอกพระเอกซีรีส์วาย จากเรื่อง “นับสิบจะจูบ” https://marshomme.com/fashion/531780/ Mon, 29 Mar 2021 07:43:00 +0000

ที่แรกกับการขึ้นปกแมกกาซีนออนไลน์ของหนุ่ม เก้า-นพเก้า เดชาพัฒนคุณ พระเอกซีรีส์วายจากเรื่อง “นับสิบจะจูบ” เต็มอิ่มไปกับแฟชั่นเซ็ทถึง 100 กว่าหน้า ดุกันให้ฟิน ให้จุใจ แถมยังมีคลิปสัมภาษณ์และเบื้องหลังแฟชั่นแบบ Uncencor ของน้องเก้า นอกจากนี้ในยังมีเนื้อหาในเล่มให้อ่านกันเต็มอิ่มพ่วงมาด้วยคลิปต่างๆ


แฟน “นับสิบ” ไม่ควรพลาดกับE Photobookสามารถดาวน์โหลดได้แล้ววันทางช่องทางต่อไปนี้

MEB :
https://www.mebmarket.com/index.php?fbclid=IwAR02-b-Fn1yQ5dxeM5HNHqe_ZqEZTP0MIzOsypZVRoTjZH5K-Y2IRvLT92w&page_no=1

OOKBEE :
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/24031655-fd39-4e66-976f-840579f18515/mars-homme-magazine-online-kao?fbclid=IwAR3nhtTxtYCFAMQSzg2xiQ3uswO0Pltqz1TIEjAYN_0rugEgiZSkoDpRmTk

]]>
อัญเชิญพุทธคุณลงเสื้อ เมื่อ Supreme X หลวงพ่อคูณ https://marshomme.com/fashion/531676/ Tue, 16 Feb 2021 09:34:00 +0000
ต้องมีแล้วละ เมื่อแบรนด์สตรีทแฟชั่นอย่าง Supreme นำความศรัทธาและแฟชั่นมารวมกัน ด้วยการนำเอาพุทธคุณมาอยู่ในรูปของเสื้อเชิ้ต Blessings Ripstop Shirt ลายcamo ที่มียันต์หลวงพ่อคูณขนาดใหญ่ ปักอยู่ด้านหลังเสื้อเป็นการผสานระหว่างสายแฟชั่นและสายมูฯ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวความสนุกเริ่มต้นตั้งแต่ความกล้าหาญของแบรนด์ที่กล้า collab กับความเชื่อนี่ละ

ว่ากันว่าเสื้อรุ่นนี้จะมีให้เห็นในคอลเลคชั่น Spring Summer 2021 นี้แล้ว และไม่ใช่ fake news เพราะคอลเลคชั่นนี้มีการโพสบนเว็ปไซต์ www.supremenewyork.com แล้ว ส่วนเรื่องราคายังไม่มีการเปิดเผย แต่ที่คาดเดาไม่ยากคือเสื้อรุ่นนี้จะกลายเป็น rare item และในอนาคตราคาก้าวกระโดดแน่ๆ

Credit : www.supremenewyork.com

]]>
สายแฟและคนเล่นกล้องฟิลม์ต้องจัด “Balenciaga Film Camera” https://marshomme.com/fashion/531637/ Fri, 22 Jan 2021 08:11:00 +0000
มีใครให้มากกว่านี้ไม เมื่อแบรนด์แฟชั่นอย่าง Balenciaga ออกมาผลิตกล้องฟิลม์ในนามของแบรนด์ตัวเองเชื่อเถอะ!ว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ส่วนความเก๋เปรี้ยวจะขีดสุดแค่ไหนเรารีวิวให้ดู

สาวกแบรนด์ Balenciaga และคนรักกล้องฟิลม์ไม่ควรพลาดเริ่มตั้งแต่บอดี้ของกล้องกันเลย ความ Luxury เริ่มตั้งแต่ปรากฎชื่อแบรนด์ Balenciaga บนตัวกล้องและที่เลนส์ทุกครั้งที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายก็มีความเป็นสายแฟแล้ว มาพร้อมกับเลนส์ระยะ 38-80 mm F 2.8

ส่วนหน้าปัดมีการตั้งค่าเป็นแบบดิจิทัลที่ผสานความเป็นกล้องวินเทจกับกล้องรุ่นใหม่ที่เป็นแบบดิจิทัลรวมกันกล้องรุ่นนี้เป็นผลงานของดีไซน์เนอร์ชาวเกาหลี Dongjae Koo

เก๋สุดตรงช่องใส่ฟิลม์ที่โชว์ม้วนฟิลม์ขนาด 35 mm ISO 400 สีนีออนสุดจี๊ด มีให้เลือกถึง5 สีเหลือง ชมพู น้ำเงิน เขียว และสีม่วงส่วนสีของกล้องผลิตมาแค่ 2 สีคลาสสิค คือสีขาวและสีดำ

สำหรับเงินในกระเป๋าใครที่ร้อนรุ่มอยากเปย์หนักอดใจไว้สักนิด ทางแบรนด์ยังไม่เผยให้รู้ถึงราคาว่าจะแน่นแค่ไหนรวมทั้งยังไม่บอกวันเวลาที่จะวางจำหน่ายก็เช่นกัน…

]]>
‘นิค วูสเตอร์’ สปอร์ต สูงวัย เน็ตไอดอลในโลกโซเชียล https://marshomme.com/scoop/531531/ Mon, 16 Nov 2020 09:52:00 +0000

ชายสูงวัยที่ปรากฏตัวตามสื่อแฟชั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ชื่อว่าเป็นไอคอนแห่งสตรีท สไตล์มีภาพลักษณ์การแต่งกายที่เป็นแบบเฉพาะตัว มีความเท่ เนี้ยบ และที่โดดเด่นกว่าสิ่งอื่นใดนั่นคือ เส้นผมและหนวดเคราสีดอกเลาของเขา


“ความจริงผมเป็นแค่ชายแก่ธรรมดาๆ ที่สวมกางเกงเหมือนใครอื่นเขาแต่ผมอาจจะโชคดีหน่อยตรงที่กางเกงของผมเลือกใส่ดูมีสไตล์กว่าของคนอื่น” เขาเคยบอกกับสื่อ


นิคเคลสันวูสเตอร์ (Nickelson Wooster) หรือชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ‘นิค’ เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี 1960 ที่เมืองซาลินารัฐแคนซัส ในครอบครัวชนชั้นกลาง ที่พ่อแม่พร่ำสอนเสมอว่าถ้าเขาปรารถนาจะได้อะไรก็ให้ทำงานหาเงิน แล้วซื้อสิ่งของที่ต้องการด้วยตนเองนิคลุ่มหลงในแฟชั่นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ตอนอายุ 16 เขาเริ่มทำงานในร้านขายเสื้อผ้ากระทั่งได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแคนซัสในปี 1978 เขาเลือกเรียนด้านสื่อสารมวลชนและการโฆษณา


ภายหลังเรียนจบในปี 1982 วูสเตอร์ก็โยกย้ายไปนครนิวยอร์กเข้าทำงานในบริษัทโฆษณา ต่อมาเขาเปลี่ยนงานไปเป็นพนักงานขายโฆษณาที่นิวยอร์กแมกกาซีน แต่ก็ถูกไล่ออกเพราะบริษัทพบว่าเขาติดยา

“ตอนที่ผมย้ายมานิวยอร์กมันเป็นเพียงแค่ความคิดอยากเอาตัวรอดเท่านั้นเอง ผมเป็นเกย์ ที่โตมาในยุค 70 ซึ่งมันไม่ง่ายสักเท่าไหร่นิวยอร์กเป็นเมืองที่หยิบยื่นโอกาสให้ผมใช้ชีวิตอยู่ได้แบบไม่ต้องรู้สึกกดดัน”


วูสเตอร์ค้นพบงานใหม่เป็นพนักงานฝ่ายจัดซื้อของห้างดัง เริ่มจาก Barneys สาขานิวยอร์ก ต่อมาย้ายไปอยู่สาขาของ Bergdorf Goodman ในวัย 35 เขาสามารถเลิกยาได้สำเร็จก่อนพลิกเปลี่ยนชีวิตไปทำงานด้านการค้าปลีกกับแบรนด์ Calvin Klein จากนั้นไป Polo Ralph Lauren และก้าวขึ้นเป็นประธานบริษัทของแบรนด์ John Bartlett ห้าปีหลังจากนั้นเขาก็ออกมาก่อตั้ง Wooster Consultancy บริษัทเอเจนซีของตนเอง ในวัย 40


“พ่อของผมกับภรรยาของเขายังไม่เข้าใจเลยว่างานที่บริษัทของผมทำอะไรบ้างผมต้องอธิบายให้พวกเขาฟังว่าหน้าที่หลักๆ ของผมมีอยู่สามอย่าง คือผมออกแบบผลิตภัณฑ์โดยทำงานร่วมกันกับแบรนด์ผมให้คำปรึกษาแก่บริษัทต่างๆ ในส่วนของไลฟ์สไตล์และผมนำเสนอมันด้วยตัวเองในฐานะแอมบาสเดอร์”


แต่แล้ววูสเตอร์ก็ประสบปัญหาด้านการเงินเสียก่อนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดอีกครั้ง เขาโยกย้ายจากนิวยอร์กไปไมอามีทำงานกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ก่อนโยกย้ายอีกครั้งไปลอส แองเจลิส ล้มเหลวอยู่สอง-สามครั้งกระทั่งในปี 2005 เขาก็ได้ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการค้าของแบรนด์ Rozae Nichols สองปีต่อมาเขาย้ายไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟเซอร์วิสของแบรนด์ Splendid/Ella Moss


ปี 2010 วูสเตอร์ได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายแฟชั่นสุภาพบุรุษของห้าง Neiman Marcus แต่เขาทำงานที่นั่นได้เพียงปีครึ่งก็ต้องถูกปลดออกเหตุเพราะบทสัมภาษณ์ที่ตรงเกินไปของเขากับนิตยสาร GQ ตำแหน่งงานประจำสุดท้ายของเขาคือรองประธานอาวุโสของ JCPenney ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่ถึง 840 สาขาใน 49 รัฐของอเมริกา


ช่วงปี 2015 นิค วูสเตอร์มีชื่อเสียงโดดเด่นในโลกออนไลน์ เป็นเน็ตไอดอลเมื่อตอนอายุเลข 5 เขาชอบเล่น Tumblr ซึ่งเป็นบริการไมโครบลอกกิง รวมทั้ง The Fancy และ Pinterest เขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจถึง “การปรับเปลี่ยนมุมมองของสิ่งที่ตาเห็น” นอกจากนั้นเขายังค้นพบฟีดในทวิตเตอร์รวมทั้งข้อความใน Tumblr ของเขาว่าบรรดาผู้ชายทั้งหลายไม่เพียงแต่สนใจในเรื่องสไตล์เท่านั้น หากยังต้องการรู้จริงๆ ว่าพวกเขาจะหาซื้อมันได้อย่างไร และในราคาที่ดีด้วย


การเรียนรู้ความเป็นไปในโลกโซเชียลยังทำให้เขาเข้าใจในงานที่เขาทำมากขึ้นด้วยมันทำให้เขารู้ว่าทุกคนในโลกออนไลน์ชอบการซื้อขายทุกคนปรารถนาจะรู้สึกว่าตนเองสามารถซื้อของได้ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด “มองย้อนมาที่ตัวผมเองถ้าผมสามารถเสนอมุมมองที่อัปเกรดให้กับลูกค้าในราคาที่พวกเขาพอใจได้ผมคิดว่าเราก็จะวินกันทั้งสองฝ่าย”

วูสเตอร์กลายมาเป็นที่รู้จักของชาวเน็ตจากภาพลักษณ์ที่มีสไตล์ของเขาเสื้อแจ็กเก็ตสั่งตัด หนวดเครา และแขนที่มีรอยสัพร้อมบรรยายภาพตนเองเป็น ‘เด็กจากแคนซัส’


เขาพูดถึงรอยสักที่มักมีคนถามถึงบ่อยครั้งว่า “ผมสักก็เพราะผมชอบมันเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษและไม่เกี่ยวกับเทรนด์แฟชั่น ตรงกันข้าม ผมชอบเวลาที่ผมสวมแจ็กเก็ต สวมกางเกงแล้วแอบคิดเอาเองว่าไม่มีใครรู้หรอกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในร่มผ้า”

ปัจจุบันในวัย 60 วูสเตอร์ยังคงดูแลร่างกายอย่างดี ตื่นนอนปกติตอนตีห้า ไดเอตเรื่องอาหารการกินเขาชอบเมนูอาหารที่ปรุด้วยน้ำมันมะกอก และออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยการขี่จักรยานเล่นคาร์ดิโอ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาโปรด


“ฟังดูตลกนะ ตอนที่ผมอายุยี่สิบแปด ผมรู้สึกคล้ายกับว่าผมรู้ไปเสียทุกเรื่องแต่พออายุย่างเข้าเลขห้า ผมบอกได้เลยว่า ผมแทบไม่รู้อะไรเลย” เขาเคยกล่าวเมื่อวัย 52 ครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ

นิค วูสเตอร์ไม่เคยสมรส และไม่มีบุตร


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
‘ไอซ์’ ภาณุวัฒน์ เปรมมณีนันท์ ชายที่มาพร้อมกับความสุขุม และเงียบงัน https://marshomme.com/interview/531240/ Fri, 24 Jul 2020 06:51:00 +0000

นอกจากความสูงเกินมาตรฐานชายไทยแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลา อ่อนใส แถมเส้นผมนุ่มสลวยปล่อยยาวยังดูเซอร์และสะดุดตาอีกด้วย

‘ไอซ์’ ภาณุวัฒน์ เปรมมณีนันท์ เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด แต่มีเหตุให้ต้องโยกย้ายมาเป็นพลเมืองพัทยาตอนอยู่ ป.หนึ่ง ตอนนี้อายุ 24 ปี กลายเป็นนายแบบและนักแสดงที่เคยผ่านตาใครๆ มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจากโฆษณา Coke งานเดินแบบแฟชั่นโชว์แฟชั่น วีค งานบอลของช่อง 3 เมื่อปีกลาย หรือตัวละครโรคจิตในซีรีส์ ‘Social Death Vote’ ทางช่อง 28 ทุกวันนี้เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่งดวงใหม่ในสังกัดของช่อง 3 และอยู่ในความดูแลของ JSL

ไอซ์ยังเป็นนักศึกษาปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณาประชาสัมพันธ์ยุคดิจิตอล มหาวิทยาลัยศรีปทุม แต่ยังแบ่งเวลามารับงานแสดง ซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดกล้องถ่ายละครถึงสองเรื่อง ‘วาสนารัก’ (จากบทประพันธ์ของจุฬามณี) ทางช่อง 33 และ ‘เก็บแผ่นดิน’ ละครรีเมคของค่ายเป่า จิน จง


ไอซ์เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างไร

เริ่มจากความคิดที่อยากจะแบ่งเบาภาระของที่บ้านครับ ตอนอยู่ ม.5 ผมส่งอีเมลถึงพี่ปิ๊ก (ฌานฉลาด ทวีทรัพย์) ตอนนั้นเขียนบอกพี่เขาว่าผมอยากเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และบอกด้วยว่า ถ้าพี่ไม่เลือกผม กรุณาตอบกลับด้วยนะครับ ผมจะได้ไปหาที่อื่น (ยิ้ม) พี่ปิ๊กตอบรับ และให้คนติดต่อเรียกตัวผมไปคุย

ผมก็นั่งรถจากพัทยาเข้ามากรุงเทพฯ คนเดียวเลย มาคุยกับพี่เขา หลังจากนั้นเขาก็พาไปเข้าคลาสแอ็กติ้ง ฝึกบุคลิกภาพ เพื่อให้พร้อมกับการทำงานในวงการ

ตอนนั้นรู้ตัวหรือยังว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องเลยครับ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออกด้วย แม้กระทั่งมองหน้าผู้หญิงผมยังไม่กล้าเลย (ยิ้ม) หลังจากที่ทำลายกำแพงเรื่องแอ็กติ้งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ขี้อายมากๆ


งานแรกที่ได้รับเป็นงานอะไร

เป็นงานโฆษณาครับ โฆษณา Coke หลังจากนั้นก็เป็นถ่ายแบบ เดินแบบเสียส่วนใหญ่ ก่อนที่จะมาเล่นซีรีส์ ‘Social Death Vote’ เรื่องแรก ก็ไปแคสต์ก่อน แล้วผู้ใหญ่เห็นว่าดูภาพรวมแล้วบทน่าจะเหมาะกับตัวผม คือบทคนโรคจิต หรือคนที่มีความกดดันในตัวเองสูง ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยพูด

เรื่องแรกที่ว่ายากและกดดันแล้ว ตอนนี้เพิ่งเปิดกล้องอีกสองเรื่องไล่เลี่ยกัน คิดว่าจะยากกว่าไหม

ยากครับ มันกดดัน เวลาที่ได้รับโอกาสหรือบทดีๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่า ทำอย่างไรก็ได้อย่าให้ต้องเสียโอกาสที่ดีๆ นั้นไป ผมต้องศึกษาบท ทำการบ้าน ซื้อหนังสือมาอ่าน นิยายเล่มหนาอยู่ครับ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยอ่านหนังสือเกินสิบหน้ามั้งครับ แต่นี่ห้าร้อยกว่าหน้า สองเล่ม แต่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองเหมือนกันนะครับ ที่พร้อมและกล้าที่จะพัฒนาตัวเอง

สำหรับเรื่อง ‘เก็บแผ่นดิน’ ผมทำการบ้านด้วยการไปดูงานเก่าที่พี่กัปตัน (ภูธเนศ หงส์มานพ) เคยเล่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่กัปตันสอนผมหลายอย่างมาก และค่อนข้างจริงจังกับงานกำกับ และมีความคาดหวังมาก

ก็กดดันเป็นธรรมดาครับ พี่กัปตันกำกับเองด้วย ยิ่งเขาเคยเล่นบท ‘มินทะดา’ มาก่อน แล้วผมมารับบทนี้ต่อจากเขา กดดันมากๆ ครับ แต่ผมก็บอกพี่เขานะครับว่า มีอะไรสอนผมได้ตลอด


ตอนนี้รับรู้ด้วยตัวเองหรือยังว่าการแสดงเป็นเรื่องยากหรือง่าย

ความจริงตอนแรกผมคิดว่ายาก คงทำไม่ได้ แต่พอได้เริ่มสัมผัส ได้ลองทำงานจริงๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด แค่เราสนุกกับมัน เราแข่งกับตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งกับใคร แล้วพยายามศึกษาข้อมูล ค้นคว้าทุกอย่าง อย่างเช่น บทคนโรคจิตที่ผมเคยเล่น ผมก็ต้องไปศึกษาอาการของโรคนี้ จนเข้าใจว่า ถึงแม้เขาจะโรคจิต แต่ข้างในเขาก็มีหัวใจ


นอกจากงานแสดงแล้ว ไอซ์ยังเล่นดนตรีด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ผมเป็นมือเบสวง The Fins (ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน นอกจากไอซ์แล้วยังมีแฟรงค์กี้ วีรภัฎ-กีตาร์ นินิว ศุภฤกษ์-กีตาร์ และสมิธ ภาสวิชญ์-ร้องนำและคีย์บอร์ด) แต่ตอนนี้ต้องเบรกงานดนตรีไว้ก่อนครับ เพราะสมาชิกวงแต่ละคนเล่นละครกันหมด ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง

คือเราไม่อยากจะโฟกัสงานสองอย่างพร้อมๆ กัน เพราะเรายังใหม่กันอยู่ ผมเองยังอยากโฟกัสที่งานละครเป็นหลัก เพราะถ้าทำคู่กันไป งานอาจจะเสียได้ ก็เลยคิดว่า เราแยกกันสักพักดีกว่า แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยกลับมารวมตัวกันอีกก็ได้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา

เพราะยังมีแฟนคลับอยู่

ใช่ครับ ก็มีแฟนคลับที่คอยติดตามวงเราอยู่ เคยมีผลงานเพลงเดียวคือ ‘แหม’


ไอซ์แบ่งเวลาเรื่องงานกับเรื่องเรียนอย่างไร

ผมพยายามจัดเวลาช่วงเช้าให้กับการเรียนครับ แต่ถ้าขาดเรียนหรือเรียนไม่ทันเพราะติดงาน ผมจะเข้าไปคุยกับอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ก็ช่วยเหลือครับ

เป็นนักแสดงมีสิทธิพิเศษไหม

ไม่มีครับ ผมก็ต้องทำงานส่งตามเวลา เหมือนนักศึกษาทั่วไป มีเพื่อนน่ารักคอยช่วยเหลือ

จะเรียนจบตามเวลาที่กำหนดไว้หรือเปล่า

ปีหน้าผมก็จบแล้วละครับ (หัวเราะ) ความจริงผมเรียนช้ากว่ากำหนดมาปีหนึ่งครับ เพราะว่าผมไปอยู่ญี่ปุ่นมาครึ่งปีด้วย

ทำไมถึงเลือกเรียนด้านโฆษณา

ความจริงผมคิดจะเลือกเรียนภาพยนตร์ดิจิตอล พอดีผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เห็นการคิดโฆษณาให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของที่นั่น ผมชอบความคิดสร้างสรรค์ของเขาครับ ก็เลยทำให้ผมอยากศึกษาด้านโฆษณา

อันนี้คิดเผื่ออนาคตด้วยไหม

ครับ ผมชอบดูอะไรที่มันสร้างสรรค์ครับ อย่างเช่น บิลบอร์ดโฆษณาต่างๆ หรือโฆษณาทางทีวี


มีงานโฆษณาของญี่ปุ่นอะไรบ้างที่ไอซ์รู้สึกว่ามันโดน

ส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณาเช่น ดื่มนมเพื่อเพิ่มกำลังและสุขภาพ ครีเอทีฟเขาจะคิดมุขอะไรที่ตลกๆ หรือดราม่าไปเลย แล้วปิดท้ายด้วยโฆษณาสินค้า

เป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 3 แต่อยู่ในความดูแลของ JSL มีกฎเหล็กอะไรให้ต้องปฏิบัติไหม

ไม่มีครับ เพียงแต่เขาจะคอยสอนให้ดูแลตัวเอง ให้ดูแลภาพลักษณ์ตัวเอง

เข้ามาทำงานในวงการแล้ว ไอซ์มีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับวงการบันเทิง

ผมว่าเหมือนเราต้องพร้อมอยู่เสมอครับ เช่น สมัยนี้เราไปออกงานโชว์ตัว จะไปยืนเฉยๆ ก็ไม่ได้ เราต้องมีความสามารถ อย่างผมนี่เมื่อก่อนไม่กล้าที่จะร้องเพลง ผมไม่ชอบเลย อายที่จะร้องเพลง แต่เดี๋ยวนี้ผมต้องพยายามร้องเพลงให้ได้ ต้องเต้นให้ได้ ผมต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง จะอายไม่ได้อีกแล้ว มาขนาดนี้แล้ว ถ้าอะไรที่มันไม่นอกเหนือจากขอบเขตที่เราทำได้ ผมก็จะทำ


มีความน่าอึดอัดอะไรบ้างไหมในวงการ

คงเป็นเรื่องของการดูแลภาพลักษณ์มั้งครับ ผมไม่แน่ใจนะ แต่ต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน เรื่องการแต่งตัวก็ถือว่ามีส่วน เราจะใส่กางเกงบ็อกเซอร์ไปเดินซื้อของก็ดูไม่ดี ใช่มั้ยครับ

เรื่องการแต่งตัว ตอนแรกก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล พอผมได้ไปออกงานบ่อยขึ้น ได้ไปเดินแบบถ่ายแบบมากขึ้น ผมก็เริ่มมีเทสต์ของตัวเอง พอจะรู้ว่าแฟชั่นคืออะไร เดี๋ยวนี้สามารถศึกษาได้ทางอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองก็พอครับ

กลับบ้านที่พัทยาบ่อยไหม

ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าวันไหนว่างจริงๆ ไม่มีงานก็จะกลับบ้าน

พัทยามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง

ทะเลมั้งครับ เซ็นทรัล พัทยาบีช ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่าเขาฮิตเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ถามว่าผมคุ้นเคยกับพัทยาไหม ผมก็คุ้นเคยนะครับ ตอนเด็กๆ ผมก็เที่ยวตามเพื่อนไปเรื่อยๆ ขับรถแว้นกัน (หัวเราะ) สมัยเรียนน่ะครับ ผมชอบตามเพื่อนมากกว่า


เรื่องความรักล่ะ ตอนนี้มีหรือยัง

ตอนนี้มีคนคุยแล้วครับ ไม่มีอะไรปิดบัง คุยอย่างเดียวครับ

คาดหวังอะไรกับความรักบ้างไหม

ฮืมม์ คาดหวังเยอะไปมันก็จะเสียใจหนักเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนผมคาดหวัง ก็เจ็บทุกครั้งครับ

ถ้าสมมุติว่ามาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างงานกับความรัก ไอซ์จะเลือกอะไร

ผมเลือกเอางานก่อนครับ คือผมยังเด็ก กำลังเริ่มที่จะมีงาน ผมคงต้องเลือกทางนี้ก่อน ส่วนความรักจะมีเมื่อไหร่ก็ได้ ผมว่างานสำคัญกว่า ตอนนี้นะครับ

ทุกวันนี้ไอซ์มีความสุขกับอะไรบ้าง

ผมแฮปปี้ที่สามารถแบ่งเบาภาระของที่บ้านได้ และแฮปปี้ที่คนเริ่มรู้จักผมมากขึ้น แฮปปี้ที่ผมเริ่มพัฒนามากขึ้น จากที่แต่ก่อนไม่ค่อยมีความกล้า เป็นเด็กขี้อาย

ความคาดหวังในอนาคตล่ะ อยากได้อยากมีอยากเป็นอะไร

ผมไม่อยากคาดหวังอะไรมาก นอกจากจะทำงานที่ทำอยู่ให้ออกมาดีที่สุด อยากให้คนจดจำงานแสดงของผมได้ อย่างเช่น ผมรับบทมินทะดา เวลาออกไปไหนมาไหน ผมก็อยากจะให้คนจำและเรียกผมเป็น ‘มินทะดา’ แทนชื่อของผม อะไรแบบนี้ครับ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์
 
กดดาวน์โหลดได้ที่ :

https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/f558895e-c749-42a9-99ae-ccb83f7a4264/mars-homme-magazine-online-ice

https://www.mebmarket.com/ebook-129891-Mars-Homme-Magazine-Online-Ice-Panuwat

]]>
บัปติสต์ เจียบิโคนี ของเล่นชิ้นโปรดของ ‘ไคเซอร์ คาร์ล’ https://marshomme.com/scoop/531234/ Wed, 22 Jul 2020 10:20:00 +0000

“หลังจากเจอคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์แล้ว ชีวิตผมเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ มันไม่ใช่ชีวิตที่ผมเคยเป็นแบบก่อนหน้า ผมเคยทำงานเป็นช่างยนต์ในโรงงานประกอบเฮลิคอปเตอร์ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแฟชั่นเลย แต่พอมาทำงานอาชีพนายแบบผมก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โชคดีที่ผมเป็นชอบเปิดหูเปิดตา ชอบเก็บเกี่ยวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผมมีความสุขในโลกแฟชั่นจริงๆ เพราะผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิต ได้ทำความรู้จักผู้คน สถานที่ อย่างที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน”


บัปติสต์ เจียบิโคนีเคยให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อสิบปีก่อน ระหว่างถ่ายแบบเปลือยให้กับปฏิทินปิเรลลี และมีคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์รับหน้าที่เป็นช่างภาพ ในช่วงเวลานั้นเจียบิโคนีกำลังเป็นนายแบบค่าตัวสูงสุด แซงหน้ามาร์คัส เชงเคนเบิร์กที่ครองตำแหน่งมานานถึงสามทศวรรษ

ราวหนึ่งปีหลังจากคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์เสียชีวิต เจียบิโคนีก็ได้ฤกษ์ออกหนังสือ ใช้ชื่อเล่มว่า ‘Karl et moi’ (คาร์ลและผม) เขียนเล่าถึงความทรงจำตลอดระยะเวลาสิบปีของความสัมพันธ์…ฉันมิตร อุทิศให้กับดีไซเนอร์ผู้ยิ่งใหญ่และความใจกว้างของเขา


จากหนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์หันมาดื่มแอลกอฮอล์เมื่อช่วงห้าปีสุดท้ายของชีวิต (นอกเหนือจาก Coca Cola Light) เขาเสพติดละคร ‘Scènes de ménages’ อย่างงอมแงม (Household Scenes เป็นซีรีส์น้ำเน่าของฝรั่งเศส) และได้รับ iPhone เครื่องแรกเป็นของขวัญจากเจียบิโคนี (หลังจากปฏิเสธอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคฯ มาโดยตลอด)

“คาร์ลทำอะไรสิบอย่างในเวลาเดียวกัน” นายแบบหนุ่มเปิดเผย ระหว่างที่ลาเกอร์เฟลด์ยังครองตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับห้องเสื้อ Chanel พร้อมทั้งเผยจุดอ่อนของลาเกอร์เฟลด์ด้วยว่า มันคือความตรงต่อเวลา-ประสาคนเยอรมัน ที่คนรอบข้างมักสร้างความหงุดหงิดให้เขาสม่ำเสมอ และมื้อกลางวัน ที่มักต้องถูกเลื่อนไปหลังเสร็จงาน ในความเห็นของเจียบิโคนี แม้ลาเกอร์เฟลด์จะชอบชีวิตในฝรั่งเศสก็จริง ทว่าตั้งแต่เกิดจนตายเขาก็ยังเป็นคนสัญชาติเยอรมัน

หนังสือเล่มนี้เป็นที่วิพากษณ์วิจารณ์กันว่า คนในสังคมจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวส่วนตัวเหล่านี้หรือไม่ แต่อย่างไรเสีย สำหรับแฟนคลับของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์แล้ว มันก็เป็นหนังสือที่มีคุณค่าเล่มหนึ่ง


อีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เกี่ยวกับ ‘ชูเป็ตต์’ แมวสายพันธุ์พม่าสีขาวตัวโปรดของลาเกอร์เฟลด์นั้น ความจริงแล้วเป็นของเจียบิโคนี ที่เขานำไปฝากลาเกอร์เฟลด์เลี้ยงระหว่างเดินทางไปพักร้อน แม้ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงสักเท่าไร แต่ลาเกอร์เฟลด์ก็ตกหลุมรักชูเป็ตต์เข้าจนได้ เจียบิโคนีเห็นอย่างนั้นจึงยอมยกแมวของตนให้ไป


บัปติสต์ เจียบิโคนี เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 ที่เมืองมาริญาน พื้นเพของครอบครัวมาจากเกาะคอร์สิกา ใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในแคว้นโอต-คอร์ส ก่อนจะโยกย้ายไปมาร์เซย์

เขาเริ่มงานในอุตสาหกรรมบริการอาหาร หลังจากนั้นเข้าฝึกอบรมงานช่างยนต์สายการบิน แล้วได้งานที่ Eurocopter โรงงานประกอบและศูนย์ซ่อมเฮลิคอปเตอร์ ต้นปี 2007 มีแมวมองไปเจอเขาในสปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง ชักชวนให้เขาเข้าสังกัดโมเดลลิงของช่างภาพท้องถิ่นคนหนึ่งในมาร์เซย์ แต่ไม่เคยได้รับงาน กระทั่งในปีถัดมาเขาได้เซ็นสัญญากับ DNA Model Management ของนิวยอร์ก


เจียบิโคนีพบเจอคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ช่วงที่ถ่ายแคมเปญแว่นตากันแดด หลังจากนั้นถูกลาเกอร์เฟลด์จองตัวทำงาน และพาติดสอยห้อยตามแทบไม่ห่าง เป็นนายแบบคนโปรดที่ลาเกอร์เฟลด์ดันอย่างออกหน้า ในปี 2009 เจียบิโคนีกลายเป็นนายแบบปกนิตยสารชื่อดังอย่าง Vogue, V Man, Wallpaper, Elle, Purple Fashion, V Magazine, Harper’s Bazaar และ Marie Claire นอกจากนั้นยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ต่างๆ อาทิ Chanel, Karl Lagerfeld, Giorgio Armani, Fendi, Baldessarini และ Just Cavalli รวมถึงร่วมเป็นแบบให้กับคอลเล็กชันต่างๆ ของ Chanel บนแคตวอล์ก ทั้งที่ Chanel ออกแบบเสื้อผ้าสตรีเป็นหลัก แต่บ่อยครั้งมักเห็นเจียบิโคนีบนแคตวอล์กนำเสนอเสื้อผ้าสตรี

“บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนบัปติสต์เป็นลูกบุญธรรมคนหนึ่ง เหมือนทายาท” คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์เคยบอกสื่อ ตัวเขาเองไม่มีลูก จึงฟูมฟักนายแบบหนุ่มประหนึ่งลูกของตนเอง “ผมต้องถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับคนรุ่นหลังบ้าง แล้วทำไมจะให้เขาไม่ได้ล่ะ” และเขามองว่าบัปติสต์เป็นลูกชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว


ในช่วงเวลานั้นดูเหมือนลาเกอร์เฟลด์จะมีนายแบบหนุ่มในทุกลมหายใจ – ลาเกอร์เฟลด์จะถ่ายบาร์บี้ ก็ต้องมีบัปติสต์เป็น ‘เคน’ เจอร์รี ฮอลล์จะเป็นแบบโฆษณาให้กับ Chanel ก็ต้องมีบัปติสต์อยู่ในภาพด้วย งานโอต-กูตูร์ในปารีส Chanel นำเสนอชุดเจ้าสาว บัปติสต์ก็ต้องเดินเป็นเจ้าบ่าวควบคู่ไปด้วย

เว็บไซต์ Models.com บันทึกชื่อบัปติสต์ เจียบิโคนีเป็นนายแบบอันดับหนึ่งของ Top 50 Best Models ต่อเนื่องถึงสองปี ในปี 2011 ผลงานปฏิทินปิเรลลีซึ่งมีภาพเปลือยของเจียบิโคนีก็ปรากฏออกมา คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ทำหน้าที่เป็นช่างภาพ แปลงนายแบบคนโปรดของตนเป็นเทพอพอลโล และนาร์ซิสซัส


ในปีเดียวกันนั้น ลาเกอร์เฟลด์ยังดันนายแบบหนุ่มเป็นนักร้อง เปิดตัวซิงเกิล ‘Showtime’ พร้อมวิดีโอ เดือนมกราคมปี 2012 ซิงเกิล ‘One Night in Paradise’ เปิดตัวตามออกมา ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม ‘Oxygen’

ปี 2012 บัปติสต์ เบียจิโคนีในวัย 22 กลายเป็นประเด็นข่าวเมื่อปฏิเสธมาดอนนา-ซูเปอร์สตาร์สาวสูงวัย “ผมพบเธอในนิวยอร์ก คนในทีมของเธอเข้ามาถามว่าผมอยากจะไปนั่งที่โต๊ะของเธอหรือเปล่า ผมตอบไปว่า-ไม่” เจียบิโคนีเล่าให้สื่อฟัง “ใครจะมายืนต่อคิวยาวก็มาเถอะ ผมไม่อยากได้มาดอนนาที่จะมาคอยเลี้ยงดู ผมไม่ใช่ของเล่น”


แต่เขาเป็นของเล่นสำหรับคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ประโยคแบบนี้ลือกันหนาหูทั่ววงการ ทั้งด้วยน้ำเสียงขบขันและเย้ยหยัน กระทั่งลาเกอร์เฟลด์เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ซึ่งเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีฝังศพ แม้จะเป็นคนหนึ่งที่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับลาเกอร์เฟลด์มากที่สุดก็ตาม จนเมื่อผลงานหนังสือ ‘Karl et moi’ ปรากฏออกมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจียบิโคนีถึงมีโอกาสได้พูดแบบเปิดใจ

“ผมไม่เคยมีเรื่องเซ็กซ์กับลาเกอร์เฟลด์ในสมองเลย ตลอดสิบปีเราไม่เคยมีเรื่องอีโรติกหรือเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์แม้แต่น้อย”


ปริศนาเกี่ยวกับอายุของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ แม้แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีคำเฉลย “เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องอายุเลย” เจียบิโคนีซึ่งมักแวะเวียนไปที่อพาร์ตเมนต์ริมแม่น้ำเซนวันอาทิตย์ อพาร์ตเมนต์ที่พบศพของลาเกอร์เฟลด์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ตามข่าวระบุว่าเขาน่าจะเสียชีวิตในวัย 85 ปี แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกฝังไปพร้อมกับเขาในหลุมศพ

ทุกวันนี้บัปติสต์ เจียบิโคนียังใช้ชีวิตไปมาระหว่างปารีส ลอนดอน และมาร์เซย์ พร้อมกันนั้นยังก่อตั้งบริษัทเพื่อคัดสรรคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถ

Le Soir (The Evenin) หนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสของเบลเยียม ตั้งคำถามกับเขาแบบใคร่รู้ ลาเกอร์เฟลด์จะว่าอย่างไรถ้าเขายังมีชีวิตอยู่และต้องถูกกักตัวในปารีสตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 “ลาเกอร์เฟลด์คงจะผวา และบอกว่าฉันไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้” เจียบิโคนีตอบ

“แต่เขาก็คงจะขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียวกับแมวชูเป็ตต์นั่นละ”


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

อ้างอิง:

https://www.welt.de/lifestyle/article11478168/Baptiste-Giabiconi-der-Toyboy-von-Karl-Lagerfeld.html

https://www.vogue.de/mode/artikel/baptiste-giabiconi-buch-ueber-karl-lagerfeld

https://www.24hamburg.de/stars/hamburg-karl-lagerfeld-modeschoepfer-baptiste-giabiconi-muse-coronavirus-sars-cov-2-90001311.html

]]>
UTBillie Eilish x Takashi Murakami คอลเลคชั่นเสื้อยืดสุดพิเศษจากยูนิโคล่ https://marshomme.com/fashion/529848/ Mon, 08 Jun 2020 09:19:00 +0000

แบรนด์ยูนิโคล่เปิดตัวคอลเลคชั่นเสื้อยืด UT บิลลีอายลิชโดยทาคาชิมุราคามิ (Billie Eilish by Takashi Murakami) เป็นความร่วมมือครั้งพิเศษระหว่างบิลลีอายลิชสาวน้อยมหัศจรรย์ผู้สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลงป๊อปทั่วโลก และทาคาชิมุราคามิ ศิลปินร่วมสมัยชื่อดัง ปรากฏออกมาในคอลเลคชั่นพิเศษ

ไฮไลต์ของคอลเลคชั่นนี้อยู่ที่ลวดลายกราฟิกที่ผสมผสานบลอช (Blohsh) สัญลักษณ์ของอายลิชร่วมกับดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของมุราคามิ นอกจากนี้ยังมีลายภาพปะติดหรือภาพตัดแปะของอายลิช ภาพสเกตช์ที่ใช้ในมิวสิกวิดีโอของเธอ รวมถึงโลโก้บิลลี อายลิช ที่ออกแบบมาสำหรับเสื้อยืด UT โดยเฉพาะ


ในคอลเลคชั่นพิเศษนี้ มีทั้งเสื้อยืดสำหรับทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และของเด็ก มีด้วยกัน 6 ดีไซน์ ยังมีหมวกและหมวกแก็ปอย่างละ 2 สี ที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ใครเป็นแฟนของสองศิลปินอยากให้รีบกัน เพราะหมวกและหมวกแก๊ปเขาวางขายเฉพาะบนออนไลน์สโตร์ และเฉพาะสาขาเซ็นทรัลเวิล์ดเท่านั้น อ่านให้ดีๆ ก่อนไปซื้อกัน


ทำความรู้จักกับทาคาชิมุราคามิ

ทาคาชิมุราคามิ เกิดที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งและประธานของ Kaikai Kiki Co., Ltd. เป็นบริษัทรับสร้างสรรค์และบริหารจัดการด้านศิลปะ มุราคามิได้จัดนิทรรศการศิลปะหลายครั้งที่สถาบันศิลปะชั้นนำทั่วโลก และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากโปรเจ็กต์ชั้นนำมากมายที่ทำร่วมกับทั้งแบรนด์แฟชั่นหรูและสตรีทแวร์ รวมไปถึงการร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับนักดนตรีชื่อดัง มุราคามิยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และแอนิเมชั่นและในปี พ.ศ. 2562 ได้กำกับมิวสิกวิดีโอ You Should See Me in a Crown ของบิลลี อายลิช


บิลลี อายลิช

เปิดตัวอัลบั้มแรกด้วย WHEN WE ALL FALL ASLEEP, WHERE DO WE GO? ได้รางวัลดับเบิ้ลแพลตินัมในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 โดยอัลบั้มแห่งปีนี้ยังเปิดตัวในอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงติดชาร์ตในอีก 17 ประเทศทั่วโลก


ต่อมาอายลิชได้ส่งเพลง Bad Guy ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด Hot 100 และ Top 40 บนชาร์ตวิทยุ พร้อมคว้ารางวัลเพลงแห่งปีและการบันทึกเสียงแห่งปี สำหรับ WHEN WE ALL FALL ASLEEP, WHERE DO WE GO? ถือเป็นอัลบั้มที่เปิดตัวได้สูงสุดในปี 2562 และเป็นการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษของอเมริกาเหนือ (โดยนักร้องชาย, นักร้องหญิง และวง) โดยติดอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 เป็นเวลา 2 สัปดาห์นับจากเปิดตัว เพลงในอัลบั้ม WHEN WE ALL FALL ASLEEP, WHERE DO WE GO? เขียน โปรดิวซ์ และอัดเสียงทั้งหมดโดยบิลลี อายลิชและฟินเนียส (Finneas) พี่ชายของเธอ ที่ร่วมคว้ารางวัลแกรมมี่หลายสาขากลับบ้านไปพร้อมกัน ที่ไฮแลนด์ปาร์ค ลอสแอนเจลิส

ก่อนไปซื้อ สามารถเลือกชมคอลเลคชั่นเสื้อยืด UT Billie Eilish by Takashi Murakami ได้ที่เว็บไซต์
พิเศษ : www.uniqlo.com/th/store/campaign/ut-collection/billie-eilish-x-takashi-murakami.html

]]>
การเดินทางของแบรนด์ ISSUE 20 TH Anniversary https://marshomme.com/fashion/939/ Thu, 26 Sep 2019 17:26:00 +0000

กว่า 20 ปีของการเดินทางของแบรนด์ ISSUE คือการทำงานของ ‘โรจ-ภูภวิศ กฤตพลนารา’ ก่อให้เกิดเป็นแบรนด์ ISSUE และทีมงานไม่เคยหยุดคิดสร้างสรรค์ ดูเหมือนการเดินทางของแบรนด์ถูกพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณภาพและผลงานที่ไม่เคยหยุดที่จะขับเคลื่อน พัฒนา เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจเหล่านี้กับคนในสังคมรุ่นต่อไป จะไม่หยุดและไม่ยอมแพ้ที่จะสร้างผลงาน เพราะเชื่อมั่นว่าความสามารถของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด และจะพัฒนาขึ้นไปไม่หยุดยั้ง อันเป็นจุดแข็งของ ISSUE ที่มีการเรียนรู้และปรับตัวอย่างสม่ำเสมอ

20 ปีที่แล้ว ณ ร้านเล็กๆ ภายในสยามสแควร์ ซอย 3 จากแพสชั่นและความคิดสร้างสรรค์ของ ‘โรจ-ภูภวิศ กฤตพลนารา’ ที่หยิบเอาแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเนปาลครั้งแรกในชีวิต มาทำเป็นเสื้อผ้าที่มีความแตกต่างไม่เหมือนใคร บนฟอร์มและแพทเทิร์นง่ายๆ แต่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องดีเทลของผ้า สีสัน และเท็กซ์เจอร์ และสามารถถ่ายทอดกลิ่นอายของวัฒนธรรมจากการเดินทางจนแผ่อิทธิพล ISSUE ไปสู่ผู้รักแฟชั่นได้อย่างสวยงาม

ปี 1999 แบรนด์ ISSUE ค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น เริ่มจากการทำไอเท็มเบสิกอย่างเสื้อยืดเพ้นท์ลายผลงานการวาดของ ‘โรจ–ภูภวิศ กฤตพลนารา’ ที่มีความถนัดในด้านศิลปะ Fine Art อยู่แล้ว กระทั่งวันหนึ่งเขาได้เดินทางไปยังประเทศเนปาล ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าหลังคาโลก ถือเป็นการปลุกแพสชั่นในตัวที่เขาอยากจะนำเสนอเรื่องราวการเดินทางผ่านเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง กลายเป็นคอลเลกชั่นแรกที่มีชื่อว่า ‘Never Give Up’ คอลเลกชั่นแรกได้แรงบันดาลใจมาจากคำสอนของท่านดาไลลามะ และถือเป็นคอลเลกชั่นสร้างชื่อเสียง ที่ทำให้สปอตไลท์ทุกดวงส่องมาที่แบรนด์น้องใหม่ไทยดีไซเนอร์ที่มีชื่อว่า ISSUE

DNA ของความเป็น ISSUE ที่ทุกคนนึกถึงก็คือ ลวดลายที่ไม่เหมือนใคร สีสันแปลกตา ที่ราวกับกำลังถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่าให้เข้ามาอยู่ในแฟชั่นที่คนเมืองสามารถเข้าถึงและสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างชุดมูมู่และคัฟทานที่กรุยกรายสไตล์ชนเผ่าที่มีรายละเอียดอยู่ที่เนื้อผ้า อาจจะเป็นผ้าทอเอง ปักประดับจากงานฝีมือ บ่งบอกรากเหง้าของวัฒนธรรมการแต่งกายของชนเผ่าที่อาจไม่มีพื้นฐานในเรื่องของแพทเทิร์นมากนัก แต่มีความครีเอทในการสร้างสรรค์ลวดลายที่ไม่เหมือนใคร







]]>
‘ติณห์ ตันโสภณ’ เครื่องแบบชุดนั้น ฉัน.ฝัง.ใจ! https://marshomme.com/lifestyle/945/ Fri, 20 Sep 2019 15:46:00 +0000

เข้าสู่เดือนกันยายนทีไร เบญช้อบชอบค่ะ จะได้แต่งตัวสวยๆ ไปร่วมงานแฟชั่นวีคย่านใจกลางเมือง อีเว้นต์ที่รวมคนสะตอๆ แกลมๆ ทั่วฟ้าเมืองไทย งานนี้สายตอและแฟชั่นนิสต้าไม่พลาดสักครั้ง พูดถึงแฟชั่นก็นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งไปชมงานธีสิสของบัณฑิตคณะสาขาการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มาหมาดๆ เมื่อไม่นานมานี้ค่ะ เห็นไอเดียและแนวคิดของโปรเจ็กต์ชื่อว่า POST-THESIS น่าสนใจดี จนต้องชวนมาคุยเป็นกิจจะลักษณะ ‘นะโม-ติณห์ ตันโสภณ’ เป็นเจ้าของผลงานชิ้นนั้น POST-THESIS คืออะไร และเกี่ยวข้องกับเครื่องแบบนักเรียนอย่างไร อ่านความคิดของเขากันค่ะ

Q : เล่าโปรเจ็กต์ POST-THESIS ให้ฟังหน่อย เท่าที่เห็นเหมือนจะ inspire มาจากเรื่องเครื่องแบบนักเรียน

A : มันเริ่มมาจาก Thesis นี่แหละ POST-THESIS แปลว่าหลังจาก Thesis คือผมอยากจะทำเป็นสินค้าขายให้กับคนทั่วไปเข้ามาดูได้ อยากจะสะท้อนว่า Thesis ที่ผมทำมันเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ก็เลยเอาเรื่องนี้มาพัฒนาต่อ ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องมีกฎอะไรตายตัว เราสามารถเอามาประยุกต์ให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นได้

Q : มีความเป็นมาอย่างไรถึงไปคลิกกับไอเดียนี้

A : ด้วยความที่ตัว Thesis ตอนแรกไม่ได้เริ่มจากชุดนักเรียน เพราะ Thesis มันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างจะกว้าง มีบริบทหลายๆ เรื่องที่เราคิด ตอนแรกอยากผมทำเรื่องระบบการศึกษาเกี่ยวกับคุณครูว่ามีอิทธิพลต่อเด็กอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นระหว่างเด็กกับครู พอรีเสิร์ชไปก็เจอบริบทที่อยู่ข้างใน นักเรียนมีความสำคัญมากในระบบการศึกษาโรงเรียนมีอะไรหลายอย่างที่เราสนใจ เราจึงหยิบมาเป็นเรื่องราวที่อยากจะนำเสนอ เรื่องที่เป็นปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน ทางครูเหมือนจะมองว่า เฮ้ย เด็กต้องแต่งตัวถูกระเบียบนะ จะได้ฝึกวินัยให้กับเด็ก มันก็กลายเป็นการสร้างอำนาจบางอย่างให้ครูในการข่มขู่เด็กในเชิงที่เด็กแต่งตัวไม่เรียบร้อย มีการทำโทษเด็ก แต่เด็กจะเอาไปใช้อะไรต่อได้ในอนาคตบ้าง เพราะท้ายที่สุดพอเด็กออกจากโรงเรียนปุ๊บ เด็กก็ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนแล้ว เรามานั่งดูว่า แล้วกฎระเบียบมันเกิดมาได้อย่างไร มันเริ่มมาจากคนที่ควบคุมการศึกษา ระบบการศึกษา หรือพวกผู้ใหญ่ คุณครูทั้งหลายแหล่ ทำให้เรามองในมุมมองที่ว่า ถ้าชุดนักเรียนไม่ได้เป็นตัวกลางในการควบคุมกฎระเบียบต่างๆ เด็กจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเลยมองว่าถ้าเราลองนำเสนอชุดนักเรียนที่สามารถจะตอบโจทย์กับโลกปัจจุบันได้คงจะดี


Q : ในมุมมองของน้อง มันเคยมีข่าวอยู่พักหนึ่งว่า มีคนกลุ่มหนึ่งแอนตี้การใส่ยูนิฟอร์ม จะให้ยกเลิก เพราะไปมองว่ามันคือการกดขี่ ในฐานะที่เป็นคนดีไซน์ คิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร

A : ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราน่าจะให้ความสำคัญ การแต่งกายปัจจุบัน ถ้าเราพูดถึงโรงเรียน ที่ไม่ใช่องค์กรอื่นนะ เรามองว่าโรงเรียนเราได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ถ้าเอาจริงๆ ชุดเครื่องแบบมีความสำคัญในเรื่องของกาลเทศะ เราต้องเรียนรู้ในส่วนนั้น แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราต้องบังคับว่า ถ้าเธอใส่กางเกงขาสั้นกว่าเข่าเกินไป เธอจะถูกทำโทษ ถ้าเธอผูกเนกไทเอียงสั้นเท่านี้ เธอจะถูกทำโทษ บางอย่างมันเกินไป ในมุมมองผมนะ ถ้าเราเปรียบเทียบกับโลกภายนอก การแต่งกายของเรามันไม่ได้มีแค่ชุดนักเรียนตามที่โรงเรียนเคยสอนเด็ก ครูจะคิดว่าเด็กที่อยู่ในโรงเรียนต้องแต่งชุดนักเรียนอย่างเดียว เขาจะไม่มองภาพอื่นว่าเด็กคนนี้เวลาเขาอยู่ข้างนอก เขาแต่งตัวอย่างไร เขาจะมองแค่ว่า เด็กต้องทำตามระเบียบโรงเรียน ซึ่งผมมองว่า การแต่งกายชุดนักเรียนในปัจจุบันเราต้องมานั่งคิดกันใหม่แล้วว่า มันสำคัญแค่ไหน

Q : แสดงว่าเครื่องแบบที่มีอยู่ไม่เหมาะสม?

A : บางอย่างถือว่าความเหมาะสมของชุดนักเรียนที่ใส่ มันไม่ได้เหมาะสมกับลักษณะหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศบ้านเรา เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย เด็กต้องใช้ชีวิตที่โรงเรียน ดังนั้น การใช้ชีวิตในโรงเรียนย่อมมีอุปสรรคหลายๆ อย่าง ทั้งอากาศร้อน เด็กต้องเดินไปเรียนกลางแดดไหม เราต้องคำนึงถึงว่า เนื้อผ้าสำคัญไหม การแต่งกายรูปแบบไหนที่สามารถทำให้เด็กรู้สึกใส่แล้ว โอเค สบาย ไม่อึดอัดจนเกินไป เพราะว่าด้วยความที่โรงเรียนไม่ใช่ค่ายทหาร เด็กจะต้องอย่างนี้ๆๆๆ เป๊ะๆๆๆ คือมันไม่ใช่ โรงเรียนในอุดมคติที่แท้จริง คือแหล่งปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้การใช้ชีวิต แล้วออกไปใช้ชีวิตที่เราเรียนรู้ต่อได้หลังจากเรียนจบ ชุดนักเรียนมันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกดดัน ความกักขังไอเดียเด็ก ทำให้เด็กไม่สามารถหลุดออกนอกกรอบได้


Q : แต่บางคนเขาก็อ้างว่าถ้าไม่มีเครื่องแบบมันจะเกิดความเหลื่อมล้ำทางฐานะ?

A : ใช่ มีคนอ้างว่า ชุดนักเรียนเนี่ยมันทำเพื่อลดเรื่องของความเหลื่อมล้ำ แต่ถ้าเราศึกษาดี ๆ มันมีช่องโหว่ในเรื่องของการใช้ชีวิตในโรงเรียน เราไม่ได้มีชุดนักเรียนอย่างเดียวที่เราใส่ เรายังมีของที่เราใช้ ไม่ว่าจะเป็นกล่องดินสอ ยางลบ กระเป๋า เสื้อกันหนาว นาฬิกา ต่างหู บางโรงเรียนอาจจะให้ใส่ต่างหูได้ แต่ห้ามใส่แบบเวอร์ๆ รายละเอียดพวกนี้เด็กก็สามารถเห็นแล้วอิจฉากันได้อยู่แล้วนะ ตอนนี้มันเหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราควรจะสอนเด็กไหมว่าโอเค พื้นฐานของเราเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นเด็กคนนี้เขาอาจจะใส่ของมีราคามาได้นะ แล้วถ้าเราจะอยากได้ล่ะ อยากได้ไม่ผิดนะ แต่เราต้องสั่งสอนว่า การควบคุมอารมณ์คืออะไร ไม่ใช่ว่า เฮ้ยเราอยากได้เราไปขอพ่อแม่ซื้อในวัยที่อาจจะยังไม่เหมาะสม เราจะสั่งสอนเด็กอย่างไรให้ไม่ได้ไปตัดโอกาสเขาว่า ทุกคนห้ามใส่ เพราะในอนาคตเมื่อเด็กออกไปจากโรงเรียน การทำงานมันก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่แล้วในชีวิตเรา เด็กควรจะปรับตัวอย่างไร ต้องปรับตัวอย่างไรถึงจะรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับตัวเขา

Q : ประสบการณ์ส่วนตัว เคยมีอะไรที่ฝังใจกับเรื่องการใส่ยูนิฟอร์มไหม

A : ถ้าบอกแล้วจะตกใจ เพราะว่าผมเป็นคนที่เรียบร้อยมากเลย ผมจะไม่ค่อยทำผิดกฎอะไรเท่าไร จะทำตามกฎตลอด ด้วยความที่เราไม่อยากมีปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเราจะไม่ได้มีความคิดในเชิงขบถนะ เรามองว่า ณ โมเมนต์นั้น ณ เวลานั้น เราก็เห็นเพื่อนใส่กางเกงสั้นจู๋เลย แบบว่าสั้นมาก กระโปรงผู้หญิงนี่สั้นมาก เราก็มองว่าเราก็โอเค เด็กก็เรียนได้อยู่ เราไม่ได้หมายความว่าเฮ้ย เราเห็นตัวเด็กแต่งตัวอย่างนั้นแล้วเป็นเด็กเลว ทั้งๆ ที่การแต่งกายมันไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกลักษณะนิสัยเด็กเลย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิตใจอย่างเดียว คือคุณสั่งสอนเด็กอย่างไร ไม่ได้หมายความว่า สั่งสอนเด็กไม่ดี คือเท่ากับการแต่งกายไม่ดี ถ้าเราเปรียบเทียบกับยุคสมัยปัจจุบัน ผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแรด คือเขาอาจจะภูมิใจในร่างกายของเขา เขาเลยแต่งตัวเซ็กซี่ ตราบใดที่มันไม่อนาจาร เรามองว่ามันโอเค

Q : เป็นเด็กเรียบร้อยอยู่ในระเบียบ แล้วทำไมอยู่ๆ เลือกมาเรียนทางด้านแฟชั่นดีไซน์

A : ความจริงอยากเรียนแฟชั่นมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ตอนนั้น จุดกำเนิดที่ชอบแฟชั่นมันไม่ได้มาจากการไปอ่านแมกกาซีนนะ นะโมค่อนข้างเป็นเด็กเนิร์ดๆ ไม่ค่อยดี๊ด๊าร่าเริง ผมจะอยู่กับเกม เป็นเด็กติดเกม เดี๋ยวนี้ก็ยังเล่นอยู่ แต่ว่าเราชอบดูตัวละครในเกมที่เราสามารถแบบแต่งตัวนู่นนี่ได้ ตัวละครมีให้แต่งตัวสวยๆ ได้ เราก็รู้สึกว่าชอบแต่งตัว ถ้าเรามาใช้หลักการที่เราเล่นในเกมในชีวิตจริงมันจะมีอาชีพอะไรบ้างที่จะทำได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ว่ามันก็พัฒนามาเรื่อยๆ เช่นเราอาจจะเห็นโลกภายนอกมากขึ้น เห็นนิตยสารแฟชั่นมากขึ้น เริ่มสนใจในกระบวนการทำงานแฟชั่น สนุกดี เป็นการสร้างสรรค์ที่เรามองว่าสามารถเล่นอะไรได้อีกเยอะ มันเริ่มจากตรงนั้น

Q : การที่เราเริ่มหันมาชอบสนใจการแต่งตัวตั้งแต่ตอน ม.ต้น เป็นเพราะว่าตัวเราเป็น LGBT ด้วยหรือไม่

A : เราเป็น LGBT คนหนึ่งนะ แต่ว่าเราเป็น LGBT ที่ไม่ได้สังสรรค์ เข้างานสังสรรค์ปาร์ตี้ แต่เราก็เป็นคนที่ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองทางเพศด้วยแหละว่าเราจะเป็นเกย์ เราจะเป็นตุ๊ด เราจะเป็นกะเทย ใครจะเรียกเราอย่างไรก็ได้ มันก็มีบริบทของบ้านเราที่ยังมีภาพอย่างนี้อยู่

Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจที่จะเรียนแฟชั่นดีไซน์ ที่ม.กรุงเทพ

A : ตอนแรกที่ผมเลือก ม.กรุงเทพ เพราะเขาโทรเชิญให้เรียน ตอนแรกเราก็ไม่รู้เรา แต่โอเคน่าสนใจดีก็เลยลองไปดูงานของมหาวิทยาลัยฯ ก็ไม่ได้แย่มาก น่าจะสามารถพัฒนาการเรียนเรื่องแฟชั่น สามารถเรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจได้ เพราะว่าเห็นผลงานแฟชั่นของ ม.กรุงเทพแล้วน่าสนใจดีนะ

Q : ตอนนี้เรามีดีไซเนอร์หรือว่ามีคนที่เป็นไอดอลของเราไหม

A : ตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเสพดีไซเนอร์นะ ไม่ได้เจาะจงว่าเราชอบคนนี้ ติดคนนี้ เล่าตั้งแต่สมัยมัธยมเลยแล้วกัน ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราชอบ Alexander McQueen มาก เฮ้ย ผลงานเขาดูแบบล้ำมากๆ มีการเล่าเรื่องเป็น conceptมากๆ แต่เราไม่ต้องยึดติดขนาดนั้น เราก็ชอบไปเรื่อยๆไลฟ์สไตล์ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนที่มานั่งเจาะจงดีไซเนอร์ มันไม่จำเป็นว่าเราจะทำงานสายแฟชั่น แล้วเราจะต้องมีดีไซเนอร์ที่ชอบไหม มันไม่เกี่ยว เราชอบศิลปินคนอื่น แนวอื่นก็ได้นะ

Q : อยากจะถามถึง LGBTQ ซีนในมหาวิทยาลัยกับช่วงสมัยที่เรียนมัธยมที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

A : มันก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวเนื้อหา เรื่องของมุมมองในการใช้ชีวิต เราจะถูกบี้ว่าเราเป็นเด็กผู้หญิง เราก็จะอยู่กับแก๊งผู้หญิง ก็จะโดนพวกเพื่อนผู้ชายล้อเป็นตุ๊ดๆ โดนอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กเลย มันก็เหมือนเป็นปมของเรานิดหนึ่งในช่วงมัธยม มันทำให้เรารู้สึกว่า เราอึดอัด ณ จุดนั้น พอเรามองย้อนกลับไปจุดนั้นนะ พอเราเข้ามหาวิทยาลัยเรารู้สึกว่าเราปิด คนหลายๆ คนเพื่อนหลายๆ คน ที่เขามี personality หลากหลาย เรารู้สึกว่าเฮ้ย ทำไม เขาทำไปเพื่ออะไร ปิดกั้นตัวเองไปเพื่ออะไร เรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น เราไม่ได้ไปฆ่าคน เราก็มีความสุขของเราได้

Q : เมื่อกี้ที่นะโมบอกว่าไม่อยากจะไปฟิกซ์กับคำว่า LGBT เพื่อที่จะไปสเตอริโอไทป์ตัวเองว่า ฉันต้องเป็นอย่างนี้ และฉันต้องทำอย่างนี้ ณ ปัจจุบันมันก็มีกลุ่มหนึ่งที่ได้ชื่อว่า non-binary คือพยายามจะไม่ยึดติดกับเพศใดๆ เลย เรามองเรื่องพวกนี้อย่างไรบ้าง ในฐานะที่เป็นเด็กรุ่นใหม่

A : ผมมองว่าพวกเพศสภาพ หรือ non-binary หรืออะไรก็แล้วแต่นะ เราควรจะมองในเชิงที่ไม่ต้องไปจริงจังกับมันขนาดนั้น เราอยู่บนโลกนี้เราไม่ต้องไปจำกัดว่าเราอยู่จุดไหนก็ได้ อย่างการที่คุณบอกว่าคุณเป็น non-binary โอเค คุณเป็น non-binary ใช่ไหม แต่ว่ามันไม่ใช่จะต้องไปยืนยันว่าฉันคือ non-binary นะ เราอย่าไปติด label ตัวเองว่า ฉันเป็นแบบนี้ๆๆ คุณใช้ชีวิตปกติตามธรรมชาติไปเลย เวลาเราออกสู่สังคมเราก็ใช้ชีวิตตามปกติ เราชอบผู้ชายก็ได้ เราชอบผู้หญิงก็ได้ เราชอบเพศทุกเพศอะไรก็ได้ เพราะว่าคนยังยึดติดอยู่กับว่า คุณเป็นเพศนี้ต้องชอบเพศนี้นะ ทำไมต้องไปจำกัดมัน ในเมื่อคนเราอยู่บนโลกด้วยกัน การรักคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ผิด เรารักคนที่เด็กกว่าเราก็ไม่ผิด เรารักคนที่แก่กว่าเราก็ไม่ผิด ผมจึงมองว่าปัจจุบันทำไมคนถึงยังติดกับเรื่องเพศสภาพเดิมๆ อยู่

Q : ครอบครัวเป็นอย่างไรcome out หรือยัง

A : ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่มีโลกส่วนตัวสูง ต่างคนเขาก็ต่างมีโลกส่วนตัว คุณพ่อผมก็จะแบบหนึ่ง ชอบเล่นกีตาร์ในห้องเขาคนเดียว ไม่สนอะไรเลย เราก็ไม่ได้คุยกับคุณพ่อเยอะนะ แม่เราก็ทำงานเยอะ แม่เรากลับบ้านมาเขาก็พัก ไม่ได้เจอแม่ตลอด เราก็จะอยู่กับคุณยาย คุณยายเลี้ยงดูเรา เราเข้าใจคนในครอบครัวเรา เราไม่ได้บอกว่าพ่อเราไม่ได้อยู่กับเรา แม่เราไม่ค่อยอยู่บ้าน แล้วเราเป็นเด็กที่ไม่อบอุ่น มันไม่ใช่ เราเข้าใจในเรื่องของมุมมองของเขาว่า เขามีโลกส่วนตัวของเขา เราควรที่จะเคารพเขาในมุมมองนี้ และนี่คือสิ่งที่ครอบครัวผมมีข้อดีข้อหนึ่งคือต่างคนต่างเข้าใจกันว่า เรามีพื้นที่ส่วนตัวของเรา เราไม่ควรจะไปละเมิดเขา

Q : กลับมาที่ POST-THESIS ต่อไปจะดีเวลลอปมันไปอย่างไร จะสร้างเป็นแบรนด์ไหม

A : ณ ตอนนี้โพสต์ POST-THESIS ก็มีไอเดียหลายๆ อย่างที่ผมยังไม่เปิด แต่ว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ในอนาคตมันจะเป็นในรูปแบบไหน ขึ้นอยู่กับ passion ในการทำงาน เราไม่ได้หมายความว่า เราจะคิดไว้ก่อนว่าเราจะทำอย่างนี้ คือมันขึ้นอยู่กับ passion ว่า เรามีอารมณ์ทำอย่างนี้ เราอยากจะทำแบบนี้ โอเคอนาคตอาจจะอยากทำร้านก็ได้ หรือว่าเราอยากจะทำเฉพาะในโซเชียลต่อก็ได้ เพราะว่าเรามองว่าโซเชียลมันอาจจะสื่อสารกับคนได้มากกว่านะ หรือว่าได้คุยกับคนเยอะ

Q : มองวงการแฟชั่นไทยปัจจุบันอย่างไร

A : ถ้าพูดถึงแฟชั่นในมุมมองของเด็กที่เรียนแฟชั่น ผมมองว่าเพื่อนผมหลายๆ คนเริ่มมีไอเดียที่ใหม่ขึ้น แล้วก็หลุดออกไปจากกรอบเดิมๆ ได้มากขึ้น เด็กรุ่นใหม่จะชอบอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้มองแล้วรู้สึกว่า คิดได้ไง บางอย่างมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเรามาก เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก สิ่งรอบตัวเราก็สามารถทำให้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นได้ ถ้าเรามองในเรื่องของ passion ผมรู้สึกว่ามันยังไม่มีการขับเคลื่อน การให้ความสนใจของสภาพสังคมบ้านเรา มันไม่ได้ถูกปลูกฝังเหมือนต่างประเทศในเรื่องของแฟชั่นเป็นหลายๆ รูปแบบ ด้วยความที่ว่าคนไม่ได้เปิดรับไอเดีย ดังนั้นผมว่าปัจจุบันโอเคเด็กรุ่นใหม่นี่แหละเป็นตัวกลางที่จะทำให้แบบเราสามารถพัฒนาไปอีกขั้นได้ ไปในเชิงที่ให้คนในสังคมรอบๆ โลกมองเราว่า เด็กไทยก็ไม่ได้แพ้ชาติอื่น เราก็มีไอเดียที่เราพอจะไปสู้เขาได้

Q : เมื่อกี้ที่บอกว่าแฟชั่นบ้านเรามันดูค่อนข้างนิ่ง มันนิ่งเพราะว่านโยบายของรัฐไม่ขับเคลื่อน หรือมันนิ่งเพราะว่า creativity ของตัวดีไซเนอร์เองก็ไม่กล้าที่จะแบบฉีกแนวออกไป

A : ผมว่าเรื่อง creativity ปัจจุบันเริ่มมีเยอะแล้ว แต่ว่าปัญหาคือด้วยเหตุที่มันควรจะต้องมีการสนับสนุนต่อยอด ปัจจุบันเด็กทำ Thesis จบมาน่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ แต่ไม่ได้เอาไปพัฒนาต่อ เราไม่ได้พูดแค่แฟชั่น เราพูดถึงศิลปะ ความเป็นอาร์ตในบ้านเรามันมีข้อจำกัด ค่านิยมเก่าๆ ที่คนหลายๆ รุ่น คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่เขาไม่ได้เห็นโลกเยอะ แต่ค่อนข้างกีดกันว่าศิลปะจะต้องเป็นลายไทยพวกลายกนก ถ้าคุณไม่ทำลายกนก มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เลย มันเป็นการมองด้านเดียวที่ไม่เปิด ดังนั้น ในรุ่นต่อๆ ไปก็เลยมีมุมมองว่ามันควรจะเปิดกันได้แล้ว อย่าปิดกั้น การเปิดกว้างคือสิ่งที่สำคัญ


ขอบคุณสถานที่ : ร้านปลาร้า สนามบินน้ำ โดยตำยำแหลก นนทบุรี

]]>
ครั้งแรกกับการถ่ายแฟชั่นของ ‘ไป๋ ทากุล’ นายแบบสุดฮอตจากเมียนมาร์ https://marshomme.com/interview/947/ Tue, 17 Sep 2019 09:33:00 +0000

ฉุดกระแสความฮอตเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ สำหรับนายแบบจากเมียนมาร์ ‘ไป๋ ทากุล’ ที่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก การมาเยือนเมืองไทยครั้งนี้ของหนุ่มไป๋จะเป็นการถ่ายแฟชั่นครั้งแรกในเมืองไทยให้กับนิตยสารออนไลน์ Mars Homme กับแฟชั่นชุดว่ายน้ำ โชว์หุ่นลีนๆ และรอยสักเท่ๆ แล้วจะยังมี Live เบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นกันแบบเรียลไทม์ รวมไปถึงการ Live พูดคุยกับแฟนๆชาวไทยสดๆ ผ่าน Facebook Page: Mars Homme การถ่ายทำแฟชั่นจะมีขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป แฟนคลับของหนุ่ม ‘ไป๋ ทากุล’ ไม่ควรพลาด

“สวัสดีครับทุกคน ผมไป๋ ทากุล จากเมียนมาร์ผมจะทำการ Live สดการสัมภาษณ์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกกับ Mars Homme Magazine ผมตื่นเต้นมากและคิดว่าทุกคนก็คงจะเป็นเหมือนกัน อย่าลืมเข้ามาชมและร่วมสนุกด้วยกันนะครับ แล้วเจอกันน้าาา”

Mars Homme เว็บไซต์ที่จะพาไปทำความรู้จักและเข้าใจเรื่องราวของหนุ่มๆ จากทุกวงการ ชวนไปค้นหาไลฟ์สไตล์ที่ชอบในแบบที่ใช่และใกล้ตัวสนุกและเข้าถึงง่าย

]]>