Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
LGBT – Marshomme https://marshomme.com Thu, 22 Jul 2021 07:01:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png LGBT – Marshomme https://marshomme.com 32 32 “รู้ตัวว่าไม่ได้เซ็กซี่อะไรเลย รู้แค่ว่าผมเป็นคนบ้านๆ ซื่อๆ” MR. CHARMING ‘เด่นคุณ งามเนตร’ https://marshomme.com/interview/531283/ Fri, 14 Aug 2020 07:47:00 +0000

บรรดาลิสต์นักแสดงที่หุ่นเซี้ยะที่เห็นแล้วน่าเจี๊ยะ ก็มีชื่อ ‘คุณ-เด่นคุณ งามเนตร’ นักแสดงจากช่อง 3 นี่แหละ ที่ติดโผอยู่ด้วย (เพราะเวลาฮีถอดเสื้อทีไร จะได้เสียงกรี๊ดทุกที) คุณเด่นคุณเข้าวงการบันเทิงมาก็นานหลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ‘ฮักนะสารคาม’ ของผู้กำกับ ‘กอล์ฟ-ธัญญ์วารินสุขะพิสิษฐ์’ จากนั้นก็อยู่ยาวมาเกือบ10 ปีเห็นจะได้ แม้จะยังไม่ได้เป็นพระเอกเต็มตัวสักที แต่ละครหลายๆ เรื่องที่เขาแสดงก็ทำให้คุณเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่ม LGBT ที่คุณเคยสร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยเช่นกัน

 
‘ทุ่งเสน่หา’ ละครเรื่องล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง

ละครเรื่องล่าสุด ‘ทุ่งเสน่หา’ เป็นละครที่เรียกได้ว่ามีพล็อตเรื่องแนวใหม่ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คาแร็กเตอร์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ด้วยกาลเวลา ด้วยระยะเวลา
ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีมิติมากขึ้น และกระแสตอบรับค่อนข้างน่าพึงพอใจครับเป็นละครที่หลายๆ ท่านชื่นชอบในตัวละคร ทั้งมิ่งขวัญ และผมได้แสดงความสามารถพิเศษเยอะแยะมากมายอย่างเช่นร้องเพลง ได้เกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรกด้วย ได้ทำอะไรใหม่ๆ แบบคนในยุคสมัย 2515 ครับ

 
เป็นละครพีเรียดย้อนยุคนิดหนึ่ง?

ใช่ครับ แต่ก็ไม่ถึงกับพีเรียดมากแค่ย้อนยุคไปไม่นานมากราวๆ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราครับเล่นละครแนวนี้มาน่าจะประมาณ 3-4 เรื่องมั้งครับไม่แน่ใจ อาจจะเพราะหน้าตาผมเหมาะกับละครพีเรียดหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะครับถามว่าชอบไหมชอบแทบทุกเรื่องนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราจะเข้าใจมันมากแค่ไหนมากกว่า ถ้าสมมุติว่าช่วงเวลาที่เรากำลังไปเรียนมาแล้วได้ความรู้ใหม่ๆ มาเราก็อยากเอามาใช้  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นละครพีเรียดหรือว่าละครมันก็สนุกถ้าเราเข้าใจตัวละคร


เข้าวงการมากี่ปีแล้ว ยังเรียนการแสดงอยู่ด้วยตลอดเวลา?

ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ เข้าวงการหลายปีมาแล้วครับ ตอนแรกยอมรับเลยว่าผมทำงานไม่ดีเลย คือผมถามตัวเองว่าทำไม แต่เข้าใจว่ามันเหมือนกับเราเข้ามาวงการง่ายเกินไป ซึ่งการเข้ามาครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะว่ารูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตา ที่ทำให้เราได้เข้ามาสู่วงการ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลยครับ ผมควรมีความรู้มากกว่านี้ ซึ่งทำอย่างไรให้มีความรู้ หนึ่งเราต้องชอบก่อน


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเข้ามาได้เพราะว่ารูปร่างหน้าตา

ผมว่ามันเป็นทางนั้นมากกว่า เพราะว่าเราไม่ได้มีความสามารถ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องละคร มันเป็นสิ่งที่พลาดแต่เราก็ดีใจที่เราแก้ไขมันได้ คือก่อนที่จะเข้าวงการ เราชอบอย่างอื่นมากกว่าที่จะเล่นละคร ถ้าเราทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบมันก็ทำได้ไม่ดีใช่ไหม อย่างเราไม่รู้จักละครเลยว่ามันคืออะไร เราไม่รู้จักว่าแอ็กติ้งคืออะไร และจริงๆ หลายๆ คนก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแอ็กติ้งคืออะไรใช่มั้ยครับ แล้วทีนี้พอถึงจุดหนึ่งเรามาเรียน เราโดนคนว่าเราก็มีแรงกดดัน ตอนที่เราเรียนเราก็ยังไม่ได้ชอบนะ แต่พอเรียนเข้าใจ มันสนุก พอสนุกก็เริ่มชอบ เหมือนเราเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรีนี่แหละ เราต้องเรียนก่อนให้เรารู้ พอเราสนุก เราสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ ใช้เป็น เราจะเริ่มชอบ

 
ทำไมตอนนั้นถึงคิดว่าคนที่เขาคอมเมนต์เรา จนทำให้เรารู้สึกว่าเราพลาดหรือว่าแอ็กติ้งเราไม่ดี หรือเรารู้สึก guilty จนต้องไปเรียนการแสดงต่อ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะด้านการแสดงของเรา

ผมเป็นคนค่อนข้างที่จะไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนะ อย่างน้อยเรามีสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว สิ่งที่เราหวังไว้ก็ไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดง เราไม่ได้คิดไว้ตอนนั้น เราคิดว่าเราอาจจะไปทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ ณ จุดหนึ่งผมกลับคิดว่าเราเกิดมาแล้ว เราได้ทำตรงนี้แล้วซึ่งมันท้าทาย สุดท้ายก็ลุย เรียนไป 2 ปี ครั้งแรกก่อนหน้านี้เคยเรียนครับแต่ไม่เก๊ต ไม่สนุก โดนครูไล่ออกจากห้องบ้าง และทีนี้เราเรียนเราก็ตั้งใจ ค่อยๆ เรียนรู้ไป พอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ ทำงานง่ายขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเราเริ่มชอบแล้ว เวลาทำงานง่ายขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าดีเลย เพราะว่าล่าสุดดูละครตัวเองก็เจอจุดบอดค่อนข้างเยอะมาก ในใจคิดว่าถ้าเรื่องไหนเปิดก่อนตอนนี้ได้เปรียบเลย เพราะว่าผมศึกษามาเพิ่มแล้ว


เข้าวงการมาด้วยการแสดงภาพยนตร์ ซึ่งสกิลในด้านการโปรดักชั่นหรือแอ็กติ้งมันต่างกับละครพอสมควร รู้สึกอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วไม่ต่างนะ แต่ ณ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าแอ็กติ้งเป็นศูนย์นะ แต่ติดลบเข้าไปอีกยิ่งเล่นไม่ได้เลย เหมือนจับมาวางปั๊บ! เล่นเลย เพราะว่าภาษาพูด รูปร่างหน้าตาแบบบ้านนอกและก็ความซื่อ ความบ้านนอก มันตรงคาแร็กเตอร์ เลยรอดมาได้ แต่ถ้าถามตัวเองผมว่าตอนนั้นติดลบเป็นล้านเลย ในความสามารถติดลบ และค่อยๆ ติดลบน้อยลงมาเรื่อยๆ

 
เราคิดไปเองหรือเปล่าผู้ชมหรือคนอื่นอาจจะไม่ได้มองอย่างนั้นก็ได้

อาจจะเป็นไปได้ครับแต่มุมมองเรา เรารู้สึกว่ามันดีได้กว่านี้ ณ ตอนนั้นนะครับ ตอนนี้ด้วยมันไม่ได้มีที่สิ้นสุดครับ ขอโทษนะครับก็ย้อนไปที่บอกว่าละครกับภาพยนตร์มันแตกต่างกัน ผมว่าไม่แตกต่างนะ
มันต่างกันแค่วิธีการทำ หรือวิธีการถ่ายทำ สุดท้ายแล้วมันก็คือโลกอีกใบของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรืออื่นๆ ทุกๆ อย่างเกี่ยวกับการแอ็กติ้งเหมือนกันครับ


ตอนนั้นไปเล่น ‘ฮักนะสารคาม’ ได้อย่างไร

ตอนนั้นเรียนมัธยมที่จังหวัดอุบลราชธานี พี่เขามาทำการแคสต์นักแสดงแทบทุกโรงเรียนในภาคอีสาน เพื่อที่จะหานักแสดงมาเล่นคาแร็กเตอร์นี้ ครูเขาประกาศหน้าเสาธงว่าให้แต่ละห้องส่งเด็กในห้องที่หน้าตาดีที่สุดมา ซึ่งห้องผมเป็นห้องนักดนตรี ไม่ค่อยมีคนหน้าตาดี ผมเลยถูกส่งไป ซึ่งพวกผมก็เป็นพวกชิลล์ จำได้เลยวันนั้นใส่เสื้อขาดและกางเกงยีนส์สไตล์แบบเซอร์ๆ สมัยก่อนคือเซอร์มาก เสื้อขาด กางเกงขาด แต่พอผมไปถึงที่แคสต์ทุกคนแต่งตัวดูดีหมด เสื้อเชิ้ต ซึ่งปกติผมไม่เคยเห็นเด็กอีสานแต่งกันเลย มันดูแปลกตามาก ณ จุดนั้น ทุกคนแปลกตาไปเลย แต่กลับกลายเป็นผมต่างหากที่แปลกตา แต่มันดันไปตรงกับคาแร็กเตอร์ที่เขากำลังหาอยู่ เขาก็เลยบอกเอาคนนี้เลย

 
ผู้กำกับไม่แคสต์แบบให้ลองแอ็กติ้งบทหรือ

ไม่เลยครับ แต่พอแคสต์ได้แล้วพี่กอล์ฟผู้กำกับให้ไปใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ไม่ได้มีการเรียนแอ็กติ้งจริงจัง เพียงแต่ให้ไปใช้ชีวิตอย่างนั้น ให้ไปอยู่ทุ่งนา อย่างที่ผมบอกนะครับว่า สุดท้ายแล้วเขาปรับคาแร็กเตอร์เราเอง ไม่ใช่ไปเรียนแอ็กติ้ง เพราะว่าตอนนั้นไม่มีเวลาเรียน ก็เลยเอาผมไปสิงสถิตอยู่สถานที่จริง โลเกชั่นจริงเลย ซึ่งผมแฮปปี้เพราะว่ามันไม่ต้องไปโรงเรียน


พอต้องมาเล่นละครที่เขาพยายามปรับบทให้ดูเข้ากับเราในหลายๆ มุม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปไหม

เล่นละครเรื่องแรกฟีลมันเปลี่ยนไปไหม ต้องบอกก่อนว่าตอนอายุ 16 เล่นหนังเรื่องแรก คือคุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ให้มาสุงสิงที่นี่เท่าไร เพราะต้องกลับไปเรียน เรียนไปเรื่อยๆ จนแบบว่าผมรู้สึกว่าชอบชีวิตทำงาน ทำไมเราต้องเรียนอยู่อย่างนั้น และมีวันหนึ่งผมกับทางโรงเรียนส่งนักดนตรีมาเล่นดนตรีที่โรงแรม Kempinski ที่สยามนะครับ คือก่อนหน้านั้นช่วงที่ถ่ายมีผู้จัดการหลายคนติดต่อเราไว้ เราก็เฮ้ย! ในเมื่อมีโอกาส พอถึงตอนจะกลับผมตัดสินใจไม่ขึ้นรถและก็นั่งบ๊ายบายเพื่อน เราก็อยู่นี่ และติดต่อไปหาพี่เซ้งที่เป็นเพื่อนพี่เอ ศุภชัยบอกว่า ผมพร้อมแล้วนะ ผมอยู่กรุงเทพฯ แล้ว คราวนี้ไปบ้านพี่เอ พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงเรียนแอ็กติ้งบ้านพี่เอ บอกแม่เดี๋ยวจะกลับไปตอนเปิดเทอม


เล่นละครมาหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง คาแร็กเตอร์ไหนที่เรารู้สึกว่าเราชอบมันมากที่สุด

ที่เล่นมาเท่าที่ดู ชอบสุดก็คือทุ่งเสน่หานั่นแหละครับ มันเป็นละครที่ถ่ายทำในช่วงที่เรียนแอ็กติ้งพอดี มันเลยได้ใช้สิ่งที่เรียนมาเยอะที่สุดแต่ละครที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดก็คือกรงกรรม น่าแปลกใจมากจริงๆ ว่าทำไม กลับไปนั่งดูอีกครั้งคือมันอาจจะไม่ได้ดีหมายถึงว่าเล่นเก่ง แต่เวลาดูแววตาเขา เวลาดูความรู้สึกเขาอย่างนี้ รู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะตัวละครแรงกว่าก็ได้ ตัวละครเขาอาจจะแรงกว่าตัวทุ่งเสน่หา

 
ไม่คิดที่จะเทิร์นตัวเองไปเป็นนักดนตรี หรือเป็นโปรดิวเซอร์หรือ 

ผมเห็นภาพแล้วว่ามันยังเป็นไปไม่ได้ ผมจะค่อยๆ ทำ คือผมมองว่าด้วยภาพลักษณ์ของผม ถ้าสมมุติไปทำผมว่าคนจะไม่เชื่อ ต้องมีอะไรที่ค่อนข้างข้ามขั้นนั้นไปก่อน อาจจะทำอะไรสักพักหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ ก่อน ให้คนเชื่อก่อน ขนาดผมออกกำลังกาย ผมฟิตเนสหุ่นขนาดนี้ ผมยังไม่เคยลงโซเชียลเลยว่าผมเล่นฟิตเนสผมไม่ค่อยได้ลงโซเชียลว่าผมทำอะไรบ้าง คืออย่างน้อยลงโซเชียลก็จะลงแบบถอดเสื้อไปเลย เอาจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นความขี้เกียจของผมก็ได้นะ ที่ไม่ได้ลงตัวเองออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่เราออกกำลังกายโหด เราแทบไม่ได้ลงดนตรีเลย


ทุกวันนี้ดูแลตัวเองอย่างไร แบ่งเวลาอย่างไร ให้น้ำหนักกับส่วนไหนมากเป็นพิเศษ

ออกกำลังกายทุกวันครับ เพราะผมเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วนสำคัญ แม้กระทั่งนิ้วก้อยก็สำคัญมากครับ สำคัญอย่างไรรู้ไหมครับ เห็นมันแค่นี้มันมีความสามารถทำให้คนอีกคนหนึ่งไม่ผิดคำพูดได้ อย่างที่ผมบอกผมคุยกับแขน เพราะว่าแขนเขาเป็นส่วนหนึ่งนะ เราไม่ใช่เจ้าของเขานะบางครั้ง เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เขามีชีวิต เวลากล้ามเนื้อเขากระตุกเราก็ถามเขาเจ็บไหม เขาสบายดีไหม เขาโอเคไหมเวลาเราจะเล่นฟิตเนสทีหนึ่งมันหนักมาก ผมต้องขอโทษเขาก่อน ขอนะ พรุ่งนี้ต้องถ่ายแบบ
 

คิดว่าตัวเองเป็นคนเซ็กซี่ไหม หรือมีเสน่ห์ตรงไหนบ้างที่ทำให้แฟนคลับหรือแฟนละครชอบเรา

ความตรงๆ ความซื่อมั้งครับอันนี้ไม่รู้จริงๆ แต่บางทีก็ชอบหลงตัวเอง บางทีชอบคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ แต่ตามความเป็นจริงแล้วเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เซ็กซี่หรืออะไรเลย ผมรู้แค่ว่าเราเป็นคนบ้านๆ ซื่อๆ บ้านนอก


รู้สึกอย่างไรเวลาเรามีบทต้องถอดเสื้อบ่อยๆ แล้วทำให้ผู้ชมติดภาพความเซ็กซี่ของเรา 

ผมเพิ่งคิดได้นะ คือมันกลายเป็นว่าที่ผมถอดเสื้อลงไอจี เพราะว่าผมไม่มีอะไรที่จะโชว์เขา ทั้งที่จริงๆ มี คือผมรู้สึกว่ามันง่าย ก็แค่ถอด คุณเล่นกล้ามมา คุณทำมาลำบาก คุณแค่ถอดเสื้อและก็ถ่ายรูปมันง่าย แต่จริงๆ ผมว่าผมมีอะไรที่ดีกว่านั้น เพิ่งคิดได้นะ ต่อจากนี้คงอาจจะได้ถอดเสื้อน้อยลง


วันหนึ่งที่เราโตขึ้น อายุมากขึ้นกว่านี้ เราจะผันตัวเองไปทำอะไรต่อ

มันมีช่วงหนึ่งที่ผมเคยรู้สึกว่าผมวิ่งตามเงิน วิ่งตามชื่อเสียง พูดง่ายๆ ผมรู้สึกว่าการวิ่งตามเงินแรงผลักดันมันสูงจริงๆ นะ เพราะเราต้องการเงิน แต่เราหลับหูหลับตาวิ่งเพราะว่าเรามองเห็นแต่เงิน เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าผมเอาตรงนี้ดีกว่า ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดดีกว่า หยุดเรื่องเงิน ถ้าเราคิดถึงแต่เรื่องเงินนะมันจะทำทุกอย่างพังหมด เราจะไม่มองอย่างอื่นเลย เราจะโฟกัสแค่เงิน ซึ่งมันไม่ใช่อาชีพเราอาชีพเราไม่ใช่อาชีพหาเงิน อาชีพเรามันเป็นอาชีพเกี่ยวกับมนุษย์นะ พวกคนที่รวยๆ เขามีอาชีพหาเงิน ก็คือเขาศึกษาแล้วว่าช่องทางเงินมาจากไหน เขาหาเงินอย่างไร เงินมันหมุนอย่างไร เขาศึกษามา แต่เราไม่ใช่ เราไปวิ่งตามเงินก็เท่ากับทุกอย่างมันพังหมด ผมเลยไม่ได้มองว่าอนาคตจะต้องหาเงินทางไหนอีก รู้สึกว่าเอาปัจจุบันดีที่สุด เอาตรงนี้ เรียนแอ็กติ้งไปเรื่อยๆ ตัวเองจะทำได้ดีขึ้นหรือไม่ได้ดีขึ้น มันแล้วแต่บุญแต่กรรม


พูดถึงงานละครเรื่องใหม่ที่ถ่ายเสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ออนแอร์บ้าง

สัญญารัก สัญญาลวง เป็นละครแฟนตาซีเกี่ยวกับข้ามภพข้ามชาติในยุคทวารวดี ถ่ายนานแล้ว เป็นเรื่องของพระธาตุนาดูนที่อยู่มหาสารคาม เรื่องสัญญาที่เคยให้ไว้ แล้วก็มีการมาทวงคำสัญญาต่างๆ เป็นละครที่มีเวทมนตร์ มี CG ต่างๆ เป็น animation ครับ

 
อยากกลับไปเล่นหนังอีกครั้งหนึ่งไหม

อยากครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมอยากทำอะไรที่มันไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างเดิมๆ ละครเดิมๆ อยากเล่นหนังมากๆ


Text by Takeshi West

กดดาวน์โหลดได้ที่ :

https://www.mebmarket.com/ebook-132658-Mars-Homme-Magazine-Online-Denkhun-Ngamnet
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/75f0efe1-7878-482b-bd93-1490c49f26dc/denkhun

]]>
Lockdown Story เกย์ โรคระบาด และอาการตกหลุมรัก https://marshomme.com/lifestyle/529764/ Thu, 30 Apr 2020 16:43:00 +0000
โดยเบญจกาย


จั่วหัวแบบนี้ เบญจกายไม่ได้จะแต่งนิยายวายให้อ่านนะคะ แต่หลังจากที่เงียบหายไปยาวนาน เพราะไม่มีเก้งกวางท่านใดเจียดคิวมาให้สัมภาษณ์ ถือโอกาสใช้เวลาว่างช่วงกักตัว หลังจากดูน้องพรฮับจนเมื่อยมือ เสิร์จหาข้อมูลอื่นๆ ดูบ้างว่า ชาว LGBT บ้านอื่นเมืองอื่น ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากน้อยแค่ไหน แม้จะไม่ได้มีข้อมูลที่ชัดเจนนัก แต่เรื่องราวต่างๆที่อิรุงตุนังกับเกย์ ก็มีเรื่องให้เบ้ปาก และมีเรื่องราวน่ารักๆ ที่น่าหยิบมาทำซีรีส์มากๆ ค่ะ


เอาเรื่องที่ชวนให้เบ้ปาก มองบนกันก่อนนะคะ แม้โลกจะเจริญก้าวหน้ามาถึงยุคดิจิทัลแล้วก็เถอะ แต่ก็มิวายมีวิวาทะบ้าๆ บอๆ ระหว่างพวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรง


เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อ ‘ริชาร์ดเวเบอร์’ ทนายความและเกย์นักเคลื่อนไหวทางสังคม ชาวนิวยอร์ก วัย 57 ปี ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคโควิด-19 การเสียชีวิตจะด้วยโรคระบาดแบบนี้หรือด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเกย์หรือมนุษย์ทั่วไปก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความเสียใจใช่มั้ยคะ

แต่นายริค ไวล์ส เจ้าของเว็บไซต์ TruNews กลับแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า โดยกล่าวถึงการเสียชีวิตของริชาร์ดเวเบอร์ ว่าเป็นคำตัดสินของพระเจ้า!!!

“เขาเป็นทนายอาวุโสของ LGBT เนติบัณฑิตยสภาแห่งนิวยอร์ก นักกฎหมายที่เคยฟ้องร้องโบสถ์, ทนายความที่เคยฟ้องกระทรวง ทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการบูรณาการการใช้ห้องน้ำ เพื่ออนุญาตให้ ‘ผู้ชาย’ ใช้ห้องน้ำร่วมกับเด็กๆ แต่วันนี้ทนายความอาวุโสของพวกเขาได้ชีวิตที่นครนิวยอร์กด้วยเชื้อไวรัสโคโรนา นี่คือคำตัดสินของพระเจ้า ผมเพียงต้องการจะบอกพวกคุณว่า อย่ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์” ไวล์สกล่าว

ค่ะ พลันที่ประโยคนี้โดนเผยแพร่ออกไป ปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้ามก็ตามมาทันที เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือไวรัสโคโรนาไม่เคยเลือกเพศ ชนชั้น เชื้อชาติ ฐานะ เลยแม้แต่น้อย มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้สามารถตายได้ด้วยโรคโควิด-19 กันทั้งนั้น และข้อเท็จจริงที่มีทั่วไปก็คือคนเคร่งศาสนาก็เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเช่นกัน จนกลายเป็นที่มาของประโยค

“หากเอชไอวีเป็นการลงโทษเกย์ของพระเจ้าแล้ว เชื้อไวรัสโคโรนาคือการลงโทษคริสเตียนอนุรักษนิยมจากพระเจ้าเช่นกัน”

อันนี้คือวิวาทะที่พวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรงในยุโรปกับอเมริกา เขาวีนใส่กันนะคะ ไทยแลนด์ไม่เกี่ยว

ทุกครั้งที่มันเกิดการระบาดของโรคระบาดพวกนี้ทีไร เราจะได้ยินวิวาทะพวกนี้เสมอ ตอนที่เอชไอวีระบาดหนักในยุค 90 ก็เช่นกัน ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ LBGT ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกาก็ได้รับข้อกล่าวหานี้ไปเต็มๆ แต่ให้บังเอิญที่การระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ มันดันไปจู่โจมที่ศูนย์กลางของศาสนาใหญ่ๆ ได้แก่ กรุงโรม ศูนย์กลางของคาทอลิก, เอเธนส์ ศูนย์กลางของกรีกออร์โธดอกซ์, มอสโก ศูนย์กลางของออร์ทอดอกซ์ รัสเซีย ลอนดอน ศูนย์กลางของพวกแองลิกัน, เยรูซาเล็ม ศูนย์กลางแห่งศรัทธาของชาวยิวและซอลท์เลคซิตี้ซึ่งศูนย์กลางของพวกมอร์มอน

ฝั่งเกย์เสรีนิยมที่ซานฟรานซิสโก ก็ออกมาตอกกลับในเรื่องนี้ทันที โดยเปรียบเทียบว่า ความพิโรธของพระเจ้าในการส่งไวรัสโคโรนามาปราบมนุษย์โลกดูบ้างว่าเป็นอย่างไร ในซานฟรานซิสโกมีผู้ป่วยไม่ถึง 1,000 รายและมีผู้เสียชีวิต 12 ราย ในขณะที่เมืองสำคัญๆทุกแห่งของศูนย์กลางของศาสนาหลักๆ ของโลก ศาสนาที่ ณ จุดหนึ่งเคยเลือกปฏิบัติต่อชุมชน LGBT กลับมีอัตราการติดเชื้อไวรัสและเสียชีวิตมากกว่าซานฟรานซิสโก ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ฉะนั้น คำพูดของริค ไวล์ส จึงดูจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก นี่คือสิ่งที่เกย์เสรีนิยมสุดโต่งฝั่งซานฟรานซิสโกสรุปมา ความจริงที่ควรจะเป็นในเวลานี้ก็คือเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หยุดสร้างความเกลียดชังด้วยสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา และหยุดโทษคนอื่นโดยไม่สำเหนียกมองตัวเองเลยสักนิด

ชอบบทสรุปนี้จัง เพราะในขณะที่คนในยุโรปและอเมริกายังเหยียดเพศกันอยู่ บ้านเรากลับเอาโรคระบาดมาสร้างประเด็นทางการเมืองได้ไม่หยุดหย่อน แต่จะมีคนไทยชังชาติสำนึกมั้ยคะ…

ฟังเรื่องเหวี่ยงวีนแล้ว กลับมาที่เรื่องน่ารักๆ บ้างนะคะ ในทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นบนโลกมักจะตามมาด้วยเลิฟสะตอรี่เสมอ แล้วหลายเรื่องจะถูกแต่งขึ้นภายหลัง แต่เรื่องนี้เรื่องจริงๆ ค่ะ และบอกได้เลยใครที่กำลังหาพล็อตทำซีรีส์ เรื่องนี้ปังสุด


แล้วความรักท่ามกลางโรคระบาดใหญ่เป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นในลอนดอน เมื่อนายแอรอน ฮุสเซย์ โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัว ถึงเรื่องความรักของเขาช่วงกักตัว ที่บังเอิ๊ญบังเอิญมากค่ะแม่ เรื่องมีอยู่ว่า นายแอรอน ฮุสเซย์ และนายรี้ดแบดแมน เกย์ชาวอังกฤษ ที่อาศัยอยู่ในลอนดอนทั้งคู่ ได้ออกเดตกันมาไม่กี่วัน ก่อนที่คนส่วนใหญ่ของโลกจะต้องเข้าสู่โหมดล็อกดาวน์เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน

จะเรียกว่า เจอกันไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ (ส่วนจะได้เสียกันมาก่อนหรือไม่ อันนี้เบญไม่ทราบนะคะ อาจจะแค่ภายนอกก็ได้ใครจะรู้ อิอิ) ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคู่กิ๊กนั่นเอง แต่จู่ๆ วันหนึ่ง รูมเมตของรี้ด ก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ เพราะดันไปอิรุงตุงนังกับคนที่ติดเชื้อไปก่อนหน้านี้ รี้ดแม้จะยังไม่ติดเชื้อ แต่สถานการณ์ก็ถูกบังคับให้เขาต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนหนึ่ง เพื่อหาที่พักชั่วคราว และก็ได้บ้านของแอรอนนี่แหละที่เป็นที่พักใจค่ะ

เรื่องมันน่าจะจบง่ายๆ เนอะ แค่มาอาศัยไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับห้องตัวเอง แต่ดันมาเจอประกาศของท่านนายกผู้แสนจะน่าเบื่อของชาวอังกฤษหลายๆ คน นายบอริ่ง จอห์นสัน อุ๊บส์ ผิดค่ะ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดันประกาศล็อกดาวน์ลอนดอนทันที ทำให้ทั้งคู่ออกจากห้องไม่ได้ (หุยยย ป้าไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้น)


“เขามาขออยู่ 2-3 วัน เพื่อปกป้องตัวเองและดูว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูมเมตของเขา” แอรอนกล่าว หลังจากนั้นในวันถัดมา “นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ก็ประกาศล็อกดาวน์เด็ดขาด เราออกไปไหนไม่ได้ทั้งวันและมันก็สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะอยู่ต่อไปจนกว่านายบอริสจะยกเลิกคำสั่ง”

“เมื่อคุณถูกขังอยู่ในบ้านกับใครสักคนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มันจะช่วยเร่งให้คุณทำความรู้จักกันเร็วขึ้น ในขั้นตอนนี้ โชคดีที่เราไม่ได้มีพฤติกรรมที่รบกวนซึ่งกันและกันมากจนเกินไป” แอรอนกล่าว

นั่นล่ะค่ะ เมื่อไม่มีอะไรจะทำนอกจากต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชม. ก็ทำให้รู้จักกันและกันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดทั้งสองก็กลายเป็นแฟนกัน


“แม้มันจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ฉันมีความสุขมาก ที่นี่เราเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา เพราะเราสามารถเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง โดยไม่มีคนนอกมารบกวน” รี้ดกล่าว

เรื่องราวล็อกดาวน์สะดุดรักก็จบลงแต่เพียงแค่นี้ก่อน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไร โปรดไปแต่งเรื่องเอาเองตามอัธยาศัย หรือไม่ก็รอให้ปลดล็อกดาวน์ในลอนดอนเมื่อไหร่จะติดต่อขอสัมภาษณ์พวกนาง

เรียบเรียงข้อมูลจาก
https://www.pride.com/lovesex/2020/4/15/these-two-men-had-go-lockdown-together-now-theyre-boyfriends
https://www.lgbtqnation.com/2020/04/hiv-gods-punishment-gays-coronavirus-gods-punishment-christians/?fbclid=IwAR0CQaBi9_YwY2VulWN9VOZ-KvcQTN9N12zfL0OnmSciZcaCiTVA9WTFGjk#.Xpfbus5uJmQ.facebook

]]>
คุยเรื่อง LGBT ในพื้นที่การเมือง กับ ‘กฤษฏิ์ เพียรมุ่งสัมพันธ์’ https://marshomme.com/lifestyle/486437/ Wed, 25 Mar 2020 19:06:00 +0000 โดย เบญจกาย


เมื่อพื้นที่ทางการเมืองเปิดกว้างให้กลุ่มคนหลากหลายทางเพศเข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันก็เกิดเป็นเหรียญสองด้านด้วยเช่นกันค่ะ ถ้าฝ่ายการเมือง (ใครหนอ?) นำเสรีภาพมาใช้จนเกินงาม แทนที่จะช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ มันจะกลายเป็นบูมเมอแรงกลับมาฟันคอตัวเองได้ง่ายๆ เช่นกัน ต้องไม่ลืมนะคะว่าภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนั้น มีทั้งคนที่สนับสนุนและคนต่อต้าน ฉะนั้น จะดีจะชั่ว นอกจากตัวเราจะทำด้วยตัวเราเองแล้ว มันก็มีกระจกคอยสะท้อนกลับมาเช่นกัน

พูดถึงฝ่ายการเมือง ก็มีประเด็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากค่ะ โดยเฉพาะการปรับตัวของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ ที่หลายๆ คนตราหน้าว่าเป็นเสมือนพรรค (เวรี่) คอนเซอร์เวทีฟอันดับหนึ่งของประเทศไทย ทั้งกลัวการเปลี่ยนแปลง และมักจะอยู่ในเซฟโซนของตัวเองเสมอ แต่วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์มาแนวใหม่ด้วยการตั้งคณะกรรมการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยมี ‘กฤษฏิ์ เพียรมุ่งสัมพันธ์’ รองอันดับหนึ่งมิสเตอร์เกย์ เวิลด์ ไทยแลนด์ ปีล่าสุด มาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการชุดดังกล่าว


ทำไมถึงตัดสินใจมาร่วมงานดูแลเรื่องความหลากหลายทางเพศกับพรรคประชาธิปัตย์

จริงๆ ต้องบอกว่าหลังจากที่ประกวดเสร็จ ทางพรรคได้ติดต่อเข้ามาถามว่า สนใจที่จะเข้ามาร่วมรณรงค์กับทางพรรคไหม ตอนนั้นต้องบอกว่าหลังจากที่เข้าประกวดนะครับ ผมได้มีส่วนร่วม ได้รับฟังเกี่ยวกับปัญหาที่มีการกดทับกลุ่ม LGBT ของบ้านเราค่อนข้างมาก ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับ LGBT ซึ่งเราควรจะเข้ามาทำในระดับของนโยบาย ในส่วนของการผลักดันกฎหมายหรือนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ LGBT บ้านเราครับ

ตอนที่คุยกับทางทีมประชาธิปัตย์ ได้คุยถึงเงื่อนไขในการทำงานหรือไม่ว่าเรามีอิสระแค่ไหน เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างมีภาพที่คอนเซอร์เวทีฟมากในสังคมไทย

ณ เบื้องต้น ผมมีการได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานที่ออกล่าสุดของทางพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขามีการเปิดตัวว่าเขาให้ความใส่ใจที่จะรณรงค์เกี่ยวกับกลุ่ม LGBT ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขามีการจัดงานเกี่ยวกับเรื่องของความหลากหลายทางเพศ และในเรื่องของการให้สิทธิ์เท่าเทียมกัน ซึ่งผมคิดว่าถ้าเขาต้องการจะเปิดตัวว่าเขาสามารถรับกลุ่มเหล่านี้ได้ ผมก็สามารถที่จะเข้าร่วมกับทางพรรคได้ครับ

นโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับ LGBT มันค่อนข้างกว้างมาก ทั้งเรื่องแต่งงาน เรื่องการเหยียดเพศ เรื่องเปลี่ยนกฎหมายคำนำหน้า ฯลฯ ตอนนี้ทางพรรคได้จัดลำดับไว้หรือไม่ว่า เรื่องไหนที่เราจะเข้าไปช่วยผลักดันมากที่สุด

ตอนนี้หลังจากที่มีการประชุม สทพ. (คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ) ครั้งที่ผ่านมา ที่ท่านจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ นั่งเป็นประธานในการประชุม ได้ให้แนวทางการทำงานตั้งแต่ในส่วนที่ต้องออกเป็นกฎหมาย หรือที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ประเด็นหลักๆ จะเป็นเกี่ยวข้องกับการยอมรับตัวตน เพราะเขามองว่าถ้าทางรัฐบาลหรือทางองค์กรใหญ่ๆ ต่างๆ เมื่อมีการยอมรับตัวตนของกลุ่ม LGBT แล้ว มันจะเป็นการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น อย่างเช่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้กฎหมาย ท่านจุรินทร์มีคำแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหน่วยงานรัฐบาลเองก็ตาม หรือในส่วนของภาคเอกชน อยากจะให้มาจับมือร่วมกัน อย่างเช่นการใช้ห้องน้ำเพศกลางที่ไม่ต้องระบุเพศ หรือการแต่งกายได้ตามเพศสภาพที่คุณเป็น ซึ่งผมมองว่าถ้ามันมีการยอมรับในส่วนขององค์กรใหญ่ๆ ต่อไปในส่วนของในภูมิภาคหรือภาคส่วนอื่นๆ ก็จะมีการยอมรับเช่นกัน หรือกระทั่งถ้ามีการใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า CGEO (Chief Gender Equality Officer)ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในส่วนของหน่วยงาน เอามาประเมินเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลความเท่าเทียมระหว่างเพศในองค์กรต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชนก็ตามครับ


แล้วเราจะเข้าไปช่วยผลักดันให้มันได้เป็นรูปธรรมจริงแค่ไหน

การประชุมที่ผ่านมาต้องบอกว่า ค่อนข้างเป็นเกียรติมากที่ผมได้เข้าไปร่วมรับฟังเกี่ยวกับการแก้ไขเนื้อหาในส่วนของกฎหมาย ต้องเรียกว่าปรับปรุงให้มันดีขึ้นดีกว่านะครับ ทีนี้ผมก็มีการเสนอในเรื่องเกี่ยวกับว่า การร้องเรียนว่าทำไมที่ผ่านมาการร้องเรียนมันถึงเป็นไปได้ช้า และจำนวนผู้ร้องเรียนมีเคสที่ค่อนข้างน้อย เพราะผมมองว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมันก้าวหน้ามากขึ้นไป ดังนั้นเราควรจะทำให้ผู้ร้องเรียนสามารถเข้าถึงหน่วยงานรัฐบาลได้ง่ายขึ้น ก็เลยเสนอในเรื่องของการทำแอพพลิเคชั่นร้องเรียนขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ท่านก็ได้รับฟัง แล้วท่านได้บอกเกี่ยวกับหัวหน้าของกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ ว่า ให้นำไปปรับปรุงแล้วให้นำมาเสนอในวาระการประชุมต่อไป

ตอนนี้บรรดา พ.ร.บ. สำคัญ 2 ตัว ก็คือเรื่องของกฎหมายแต่งงานกับเปลี่ยนคำนำหน้าที่เข้าไปในขั้นกฤษฎีกาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายแต่งงาน คิดว่ามันจะเป็นรูปธรรมไหมในมุมมองของเรา

มุมมองของผมคิดว่าต้องบอกว่ามันน่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะอย่างล่าสุดในส่วนของพระราชบัญญัติคู่ชีวิต ซึ่งมีการผ่านในชั้นของกระบวนการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว และมีการเพิ่มเติมในส่วนของสิทธิ์บางอย่างที่เราควรจะได้ เช่น ในเรื่องของสิทธิ์การรับรองบุตรบุญธรรม หรือสิทธิ์ในการเซ็นในการยินยอมรักษาโรค หรือสิทธิ์ในการแบ่งทรัพย์สินมรดก ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับการแต่งงานของชายหญิงปัจจุบันครับ ผมมองว่าในอนาคตอันใกล้เราน่าจะได้ในส่วนของพระราชบัญญัติคู่ชีวิตออกมาครับ

แต่ปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือในสังคมไทย LGBT แตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งไม่ชอบคำว่าคู่ชีวิต หรือ civil partnership เขาต้องการที่จะใช้คำว่า same sex marriage หรือกฎหมายแต่งงาน ในเรื่องนี้เราจะอธิบายสังคมอย่างไรว่า จริงๆ แล้วมันจำเป็นจะต้องถึงขั้นนั้นไหม

ตรงนี้ต้องขอบคุณ พี่แดนนี่ (กิตตินันท์ ธรมธัช) นายกสมาคมฟ้าสีรุ้งนะครับ ครั้งที่แล้วที่เราไปรัฐสภา ได้ถกประเด็นนี้เช่นกันว่า ทำไมเราจะต้องให้กล่อง 2 กล่องนี้ มันค่อนข้างแตกต่างกัน ระหว่างกฎหมายคู่ชีวิตของ LGBT กับกฎหมายสมรสเท่าเทียมของชายหญิง ถ้าเกิดคุณจับ 2 กล่องนี้มาเท่ากัน นั่นแสดงว่าทำไมกลุ่ม LGBT ถึงแตกต่างจากชายหญิงล่ะ ดังนั้น ความสำคัญหรือสิทธิประโยชน์ในเรื่องของ civil partnership หรือ same sex marriage มันจะลดหลั่นไม่เท่ากัน เพราะจริงๆ ในประเทศไทยก็เช่นกันนะครับ ถ้าเกิดว่าคู่ชายหญิงปกติ ถ้าคุณเป็นเจ้าสัวที่มีเงินค่อนข้างมหาศาล แต่งงานกับหญิงธรรมดาคนหนึ่ง เขาจะมีเรียกว่าสัญญาฉบับหนึ่งที่ว่าเราแต่งงานกันได้นะ แต่จะยกทรัพย์สินให้แค่ไหนกับคนคนนี้ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเทคโอเวอร์ทั้งหมด ซึ่งผมมองว่ามันเป็นสิทธิ์ให้เลือกมากกว่า เราจะต้องพยายามแบ่งให้ออกให้ชัดเจนว่า civil partnership คุณได้สิทธิ์แค่ไหน same sex marriage ได้สิทธิ์แค่ไหน แต่เราต้องพยายามดึงทั้ง 2 กลุ่มนี้ ให้สามารถใช้กฎหมายร่วมกันได้ LGBT ก็สามารถใช้กฎหมายในส่วนของ same sex marriage ได้ แล้วsame sex marriage ก็สามารถใช้ civil partnership ได้ ทีนี้กฎหมายมันจะล้อไปด้วยกันได้ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเกิดคุณให้สิทธิ์เท่าเทียมกันทั้งสอง แล้วทำไมคุณถึงต้องแยกมันด้วยล่ะ นั่นแสดงว่าคุณไม่เหมือนกันเหรอ ทั้งๆ ที่ทุกคนคือมนุษย์เหมือนกันใช่ไหมครับ


แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นลิเบอรัล เขาก็อ้างว่าถ้า Civil Partnership เปรียบเหมือนโทรเลข แต่ปัจจุบันเขาใช้โทรศัพท์มือถือกันแล้ว ทำไมเราต้องไปเริ่มต้นที่เป็นโทรเลขก่อน ไม่กระโจนมาที่โทรศัพท์มือถือ ทำไมต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่

อย่างนั้นมันจะกลับไปที่ผมอธิบายเมื่อสักครู่ ซึ่งจริงๆ แล้ว 2 กล่องนี้ ถ้ามันมีกฎหมายขึ้นมา มันควรจะแยกกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทีนี้ในส่วนของที่เป็น same sex marriage ทางรัฐบาลก็ควรจะให้ LGBT สามารถมีสิทธิ์มาใช้ร่วมกันด้วย ซึ่งน่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินนโยบายหรือการผลักดันขั้นต่อไป แต่ในเบื้องต้นผมมองว่าการที่เขามี 2 กล่อง แล้วให้สิทธิ์ความไม่เท่าเทียมกันน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องในปัจจุบันแล้วครับว่า เพราะถ้าเกิดคุณมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทำไมคุณต้องแยกกฎหมายเป็น 2 ฉบับ ถ้าเกิดคุณให้สิทธิ์ความเท่าเทียมคุณก็ใช้กฎหมายฉบับเดียวก็ได้ คุณไม่ต้องแยกครับ

มาที่เรื่อง พ.ร.บ. ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล สำหรับ 9 กลุ่มอัตลักษณ์เปราะบางกันบ้างดีกว่า ช่วยเล่าให้หน่อยว่ามันคือกฎหมายอะไร

จริงๆ กฎหมายตัวนี้ เขาเรียกว่า พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล สำหรับ 9 กลุ่มอัตลักษณ์เปราะบาง ซึ่ง LGBT หรือว่ากระทั่งกลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV จัดอยู่ในกลุ่ม 9 อัตลักษณ์เปราะบางด้วย เพราะว่าเขามองว่าในกลุ่มของ 9 อัตลักษณ์เปราะบาง จะถูกเหยียดหรือถูกกระทำจากสังคมที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างกฎหมายนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการให้สิทธิ์กับเขา ถ้าเกิดว่าเขาถูกกระทำที่ไม่เป็นธรรม เขาสามารถร้องเรียนได้ ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าตอนนี้ในไทยเรามีพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศอยู่ฉบับหนึ่ง ซึ่งเสร็จในปี พ.ศ. 2558 แล้วใช่ไหมครับ ซึ่งตรงนี้เราสามารถยื่นเรื่องได้ว่าเราถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมอย่างไรกับ วลพ. (คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ) แล้วเขาก็จะมีการพิจารณาอย่างที่ผมบอกเมื่อการประชุม สทพ. ที่ผ่านมานะครับ

เอาเข้าจริงในทางปฏิบัติมันจะ practical ไหม

practical ขนาดไหน ต้องบอกว่าประชาชนทั่วไปหรือ LGBT เอง ผมว่าหลายคนยังไม่รู้ว่าเรามีสิทธิ์ตรงนี้ เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์ของเราได้ ซึ่งมันคงจะต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจครับ ทั้งสังคมเองแล้วก็ตัว LGBT เองว่า ถ้าเกิดคุณถูกกระทำหรือคุณถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม คุณสามารถร้องเรียนได้ที่ไหนและสิทธิ์อะไรบ้างที่คุณจะได้รับ มันก็จะกลับมาในส่วนของเรื่องของการศึกษาและให้ความรู้ครับ ซึ่งในเรื่องของสิทธิ์ อย่างที่ผมบอกไปว่า LGBT บ้านเราไม่ค่อยแคร์เรื่องสิทธิมนุษยชนสักเท่าไร เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ถูกกระทำอย่างรุนแรง หรือเราไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรง ดังนั้นเราจะรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต่อชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะได้รับ ถ้าทุกคนมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันครับ


ด้วยความที่บ้านเมืองเราเปิดกว้างมานานแล้วในเรื่องของ LGBT แม้ว่าคุณจะเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนอาจจะมีรังเกียจมาก แต่ไม่ถึงขนาดไปบูลลี่เหมือนในเมืองนอก ซึ่งเรากลับไม่มองข้อดีในเรื่องนี้ เราพยายามจะไปทำให้เหมือนฝรั่ง คิดว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

จะแก้ปัญหาอย่างไร ตรงนี้มันคือการแก้ไข mindset ครับ ผมว่าเรามีการถกกันมาพักหนึ่งเช่นกันว่า การที่เราจะลดการเหยียดการตีตรากับกลุ่ม LGBT แบบนี้ เราจะทำได้อย่างไร ซึ่งตอนนี้ที่เราแก้ปัญหาอยู่มันเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ แต่จริงๆ เราควรจะต้องแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ แต่การแก้ไขต้นเหตุ ในเรื่อง Perception หรือ Attitude ที่เขามองกลุ่ม LGBT ว่าจริงๆ แล้วบางคนเขาอาจจะไม่อยากเปิดตัว หรือบางคนเขาอยากจะเปิดตัว นั่นมันเป็นสิทธิ์ของเขา สิทธิ์ของครอบครัวของเขา ซึ่งตรงนี้เราต้องยอมรับสิทธิ์ร่วมกัน แต่เราจะต้องทำความเข้าใจกับสังคมว่า คนกลุ่มนี้เขาเป็นอะไร แล้วเขาเป็นอย่างไร ถ้าทุกคนมีการยอมรับอัตลักษณ์ที่มีความแตกต่างร่วมกันได้ ผมว่าปัญหาจะไม่เกิด แต่ทีนี้มันต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไขและเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราก็ต้องให้ความรู้ความเข้าใจและมีการพูดคุยกัน เราจะไม่สามารถบอกได้ว่า ถ้าฉันเปิดตัวขึ้นมาว่าเราเป็น LGBT เราจะมีความสุข หรือฉันปิดตัวฉันจะมีความสุข ทุกคนควรจะเคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกันครับ

ใน Process ของการรณรงค์เพื่อเปลี่ยน Mindset หรือสร้าง Attitude ใหม่ ในเมืองนอก นอกจากให้ความรู้ที่เป็นเชิงวิชาการ แล้วก็ยังมีการจัดงาน Pride เพื่อที่จะให้ทุกคนได้แสดงอัตลักษณ์ แต่ปัญหาของเมืองไทยคือ community ของ LGBT ไม่แข็งแรงเลย ในฐานะที่เราเข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้แล้ว คิดถึงปัญหาหรือไม่ แล้วคิดว่าในอนาคตเราจะทำอย่างไรให้เกย์ community ในเมืองไทยแข็งแรงขึ้น

ผมต้องมองว่า ที่เขาไม่มีส่วนร่วมหรือที่เรามองว่ามันไม่แข็งแรงเท่ากับต่างประเทศ มันมี 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือการถูกกระทำ การเหยียดหรือการบูลลี่ของเราไม่รุนแรงเท่าเมืองนอก เพราะการที่เราจะออกมาเรียกร้องสิทธิ์ นั่นคือเราถูกกระทำ ถูกเหยียดอย่างรุนแรง หรือมีการฆ่ากัน อย่างเคสที่ Stonewall Inn ในอเมริกา เหตุการณ์นั้นจุดประกายให้พวกเขาต้องออกมาเรียกร้องสิทธิ์ว่า ทำไมถึงทำกับเขาราวกับว่าเขาไม่ใช่คน ประเด็นพวกนี้มันเป็นประเด็นเปราะบาง ผมมองว่าเราต้องมีการเข้าไปแสดงตัวตน แล้วก็บอกให้เขาเห็นว่า สิทธิ์พวกนี้มันเกี่ยวข้องกับปากท้องเขาอย่างไร มันเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตเขาอย่างไร มันสามารถพัฒนาสังคมและบ้านเมืองได้อย่างไร ถ้าเกิดเขาเข้าใจในสิทธิ์ตรงนี้ครับ ผมว่าการเรียกร้องต่อไปมันจะง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เขาจะรู้สึกว่า ฉันยังทำงานได้เหมือนเดิม ทำไมฉันต้องไปเรียกร้องสิทธิ์ด้วย ทำไมฉันจะไปเดินงาน Gay Pride ด้วย ซึ่งตรงนี้ถ้าเรามีการกระตุ้น อย่างน้อยก็มีตัวผมเองได้ออกมาพูด แต่เราคนเดียวคงไม่สามารถทำได้ เราหวังว่าเราทุกคนจะเข้าใจในการตระหนักรู้ถึงสิทธิตรงนี้ แล้วออกมาร่วมกัน ต่อไปพอเรามี 1 คน ก็จะเพิ่มเป็น 2 คน 3 คน เพิ่มไปเรื่อยๆ แต่มันต้องเริ่มมีคนกล้าที่จะออกมาคุย พูดถึงเรื่องนี้ก่อนครับ


ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ ตอนที่เราเข้ามาประกวด หรือแม้กระทั่งเข้ามาจอยงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ทางออฟฟิศมี feedback อะไรไหม

เป็น Regional Sales Manager ครับผม ที่ทำงานค่อนข้างสนับสนุนครับ ต้องบอกว่าเจ้านายของผม ณ วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ ซึ่งที่นี่เป็นบริษัทแรกเลยนะครับที่มีการถามว่าคุณเป็น LGBT หรือเปล่า ก่อนที่จะเข้ามาทำงาน ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงสิทธิเราเกินไปหรือเปล่า ปกติผมไม่เคยเจอการสัมภาษณ์แบบนี้ แต่ผมก็ยอมรับตัวตนว่าผมเป็นครับพี่ แต่ผมก็คิดว่าผมสามารถทำงานได้ไม่แพ้ผู้ชายหรือผู้หญิงทั่วไป ซึ่งในสมัยนั้น เราอาจจะมองว่า LGBT ค่อนข้างที่จะเกรี้ยวกราด ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้แต่เจ้านายก็บอกว่า “ไม่ พี่ไม่ได้รู้สึกอะไร พี่แค่รู้สึกว่าเราควรจะเป็นในสิ่งที่เราเป็น ถ้าเรามีการยอมรับตัวเองแล้ว เราจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถเราได้อย่างเต็มที่ เราจะไม่ถูกปิดกั้นเอาไว้ เราจะสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้หมด” ครับ

ตอนที่เราไปประกวดทางออฟฟิศเขาว่าอย่างไรบ้าง

ออฟฟิศบอกว่าทำให้เต็มที่นะ แล้วเขาก็สนับสนุนครับ เพราะเขามองว่ามันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราน่าจะไม่เคยเจอมาก่อน แล้วผมก็บอกว่าผมอยากจะลองพิสูจน์ตัวเองด้วยว่า ตัวผมมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเวทีนี้เป็นแรกในชีวิตเหมือนกัน

กลับมาที่อัตลักษณ์ทั้ง 9 หมู่ มีเรื่องผู้ติดเชื้อด้วย

อย่างที่บอกตอนแรก ถ้าเกิดว่าเรามองกลับไปในส่วนของขจัดการเลือกปฏิบัตินะครับ หน่วยงานบางหน่วยงานเขามองว่า การเลือกปฏิบัติมันมีหลายเหตุผล ดังนั้นเขาก็เลยสร้างตัวชี้วัดที่เรียกว่า CGEO Chief Gender Equality Officer ซึ่งตรงนี้หัวหน้าแต่ละหน่วยงานต้องมีการเรียนรู้ เพื่อประเมินว่า เขามีความเป็นธรรมในการดูแลลูกน้องเขาที่เป็นเพศทางเลือกอย่างไรบ้างครับผม ทีนี้ในส่วนของการเลือกปฏิบัติ มันก็จะมีในส่วนของที่เป็น LGBT เอง หรือเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งในส่วนนี้ งานบางงานเขาจะสามารถทำได้ แต่จริงๆ แล้วในส่วนของการรณรงค์ของผม มันไม่ใช่เกี่ยวกับแค่การ prevention อย่างเดียว มันจะมีส่วนของการ treatment ด้วย ผมอยากจะให้ทางรัฐเข้ามาสนับสนุนเกี่ยวกับการออกผลตรวจเชื้อให้เป็น normal กับ abnormal แทนที่จะออกเป็น negative หรือ positive เพราะถ้าเกิดออกผลตรวจเชื้อแบบนั้นเขาจะถูกตีตราจากสังคม ซึ่งการออกผลเชื้อแบบนี้เป็นการลดการตีตราอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในสังคม และจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้ออยากจะเข้ามาตรวจเลือดและรู้ผลเลือดตัวเอง พอเขารู้ผลเลือดเราจะสามารถทำการบำบัดรักษาเขาได้

พอพูดถึงการ treatment ของผู้ติดเชื้อ ผมก็มีแคมเปญหนึ่งที่ทำตอนที่ประกวด Mister Gay World Thailand ครับผม เกี่ยวกับเรื่องของการใช้เวชสำอางรักษาบาดแผล เขาเรียกว่า ริ้วรอยของผู้ติดเชื้อใช่ไหมครับ ซึ่งตรงนี้ถ้าเกิดว่าริ้วรอยเขาลดลงเนี่ย มันก็จะเป็นการลดการตีตราจากสังคมได้ส่วนหนึ่ง เพราะต่อให้ผลเลือดคุณเป็นปกติ หลังจากที่คุณเทคยาจน U=U เรียบร้อยแล้ว คือว่าไม่ตรวจพบเชื้อในกระแสเลือด เท่ากับไม่ส่งต่อ แต่ถ้าเกิดว่าคุณยังมีริ้วรอยหรือว่ารอยแผลเป็นบนผิวหนัง คนก็จะเริ่มตีตราคุณว่า คุณเป็นใช่ไหมครับ ซึ่งตรงนี้มันก็จะเป็นการ treatment อีกอย่างหนึ่งด้วยครับ


เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องกฎหมายรับรองเพศสภาพไปอยู่นิดหนึ่ง มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่า มีคนโจมตีกฎหมายฉบับนี้ว่า สมมุติว่าเราไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งสวยมาก และอยากจะแต่งงานกัน แต่มารู้ทีหลังว่าเป็น transgender แต่ใช้คำว่านางสาว มันจะเข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่ ก็เลยมีกลุ่มที่แอนตี้กฎหมาย พ.ร.บ. นี้ว่าไม่ควรจะรับรองเพศสภาพ

รับรองเพศสภาพหรือเปลี่ยนคำนำหน้านาม ต้องบอกว่าขอแยกเป็น 2 ประเด็น ในส่วนของตัวผู้ที่เป็นกลุ่มทรานส์เอง เมื่อเขามีการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพเขาแล้ว ดังนั้นเวลาทรีตหรือปฏิบัติกับเขาก็ควรจะเป็นเพศใหม่ที่เขาได้รับ อย่างเช่นถ้าเกิดเราเปลี่ยนเป็นผู้หญิงใช่ไหมครับ เวลาเรามีการเข้าหวอดหรือว่าการรักษาผู้ป่วย เขาก็ต้องการรักษาอย่างผู้ป่วยเพศหญิง การใช้ห้องน้ำหรือการใช้ห้องพยาบาลต่างๆ ก็ต้องเป็นอย่างผู้ป่วยเพศหญิง แต่บางโรงพยาบาลจะยึดถือตามเพศสภาพเดิมที่เขาเคยเป็น ซึ่งมันไม่ดีต่อกลุ่มที่แปลงเพศไปแล้ว หรือแม้กระทั่งเวลาคุณเดินทางไปต่างประเทศ ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง เขาจะตรวจเช็กตามคำนำหน้านามของคุณ ถ้าเกิดคุณเป็นชาย เขาก็จะตรวจตามความเป็นชายของคุณ ซึ่งบางคนที่ผ่านการแปลงเพศเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาเป็นผู้หญิง เขาจะต้องไม่รู้สึกสะดวกสบายใจในการที่จะถูกตรวจค้นอย่างเพศชายใช่ไหมครับ ตอนนี้มีบางประเทศที่เขาให้ไม่ขอระบุเพศว่าเป็นเมลหรือฟีเมล ให้กาช่อง x ไปเลย คุณมีเพศ x ที่ไม่ระบุเพศว่าคุณเป็นแบบไหน ซึ่งอันนี้ผมว่ามันเป็นการเปิดกว้างทางสังคมที่มากขึ้นครับ

เราควรจะต้องทำอย่างนั้น ก่อนที่จะมี พ.ร.บ. รับรองเพศสภาพหรือเปล่า

จริงๆ ผมว่ามันทำคู่กันไปได้ เพราะจะเป็นกฎหมายมันมีขั้นตอนกระบวนการค่อนข้างนาน กว่าจะแก้ไขตัวบทกฎหมายได้ แต่อะไรที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายสามารถแก้ไขได้เลย อามิ แบบฟอร์มการกรอกหรือการตรวจทางสรีรวิทยา ส่วนเรื่องของการหลอกลวงหรือไม่หลอกลวงที่พูดเมื่อสักครู่นี้ ผมมองว่าการที่มีคนคนหนึ่งไปหลอกคนคนหนึ่งให้แต่งงาน ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายเมื่อความจริงมันปรากฏ ชีวิตคู่เขาไปไม่รอด แต่เราไม่ควรจะเอาตัวอย่างตัวอย่างเดียวมาเป็นการตัดสินคนทรานส์ทั้งหมดว่า เขาคือกลุ่มที่หลอกลวง ถูกใช่ไหมครับ ดังนั้นผมว่าสุดท้ายแล้วเวลาถ้าเกิดเราจะแต่งงานกัน หรือว่าเรามีความรักกัน สิ่งที่สำคัญคือการไม่ปิดบัง ความบริสุทธิ์ใจที่มีต่อคู่ชีวิตของคุณ ซึ่งคุณจะอยู่กับการหลอกลวงหรือปิดบังไปได้นานแค่ไหน ผมว่ามันคือการเปิดเผยความจริง การที่คุณจะแต่งงานกับใครสักคนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อใจและความไว้ใจกันครับ

ถามตรงๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาจับกลุ่ม LGBT เพราะว่าเห็นว่าพรรคอนาคตใหม่เขามุ่งประเด็นนี้ แล้วทำให้ได้คะแนนเสียงท่วมท้นหรือไม่

จริงๆ ผมมองว่าไม่น่าจะใช่ทั้งหมดนะ เอาจริงๆ คือตอนนี้ถ้าคุณพูดตัวเลขของสถิติ คุณสามารถการันตีได้ไหมว่า ตอนนี้ประชากรของประเทศไทย 60 กว่าล้านคน เป็น LGBT กี่คน คุณยังไม่สามารถ proportion ได้เลยว่าเขามี 1 ล้าน 2 ล้าน หรือจริงๆ แล้วเขามีน้อยกว่านั้น ซึ่งการที่คุณมาเปิดตัวยอมรับ คุณไม่รู้หรอกว่าตัวเลขที่คุณจะได้รับกลับมาคือเท่าไหร่ แต่ผมมองว่ามันเป็นวิสัยทัศน์มากกว่า มันเป็นการเปิดกว้างของท่านหัวหน้าพรรคที่มองว่าสังคมมันไปถึงไหนแล้ว เรามีการยอมรับที่มากขึ้น มันเป็นการเปิด Vision มากกว่า ให้เรารู้สึกว่าเรามีการเปิดกว้างทางสังคม คนทุกคนคือมนุษย์อย่างเท่าเทียมครับ


ส่วนตัวเราเปิดตัวมานานหรือยัง ชีวิตวัยเด็ก ครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วชีวิตวัยเด็กผมค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาสักเท่าไรนัก ผมมาจากครอบครัวในจังหวัดสุรินทร์ แล้วเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ และก็ทำงานที่นี่ ตอนเด็กผมไม่ได้เดินไปบอกว่าคุณพ่อครับ แม่ครับ ผมเป็นเกย์นะครับ แต่ว่ามันอาศัยการอยู่ร่วมกันและเข้าใจกันมากกว่า สุดท้ายเขาเข้าใจว่าถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็นก็ดำเนินชีวิตต่อไป ถ้าเราไม่ได้คดโกงใคร เราทำงานสัมมาอาชีพสุจริตอย่างนี้ครับ เราก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติครับ

หมายถึงว่ามีการพูดคุยกันในครอบครัวเพื่อเปิดตัว หรือว่าพ่อแม่เขารับรู้ได้เอง

เข้าใจไปโดยปริยายมากกว่า เพราะว่าจริงๆ ผมมาจากครอบครัวคนจีน ที่ค่อนข้างจะ sensitive มากกับเรื่องพวกนี้ และสังคมต่างจังหวัดด้วย ในยุคของผม คนที่เป็นเกย์เขาจะไม่ได้รับการยอมรับมากในสังคม จะค่อนข้างถูกเหยียดและถูกล้อเลียน เราจึงต้องมีการปิดตัวเองไว้ แต่พอยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มีการเปิดตัวมากขึ้น สังคมมีการยอมรับมากขึ้นเกี่ยวกับกลุ่ม LGBT ครับ พอมีข่าวสารมากขึ้น เขาก็เริ่มรู้ว่าอ๋อลูกเราเป็นเกย์นะ

คิดอย่างไรกับการที่สมัยก่อน mindset ของคนไทยจะคิดว่า เกย์คือคนที่จะต้องตุ้งติ้งและออกสาว แต่ในสังคมปัจจุบันเฉดสีของเกย์เองก็มีหลายแบบ มีตั้งแต่ออกสาวไปจนถึงแมนมากๆ

จริงๆ ผมมองว่ามันไม่เกี่ยวกับความตุ้งติ้งนะครับ ผมว่าจริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นชุดแนวคิดเรื่องปิตาธิปไตยมากกว่าที่มองบุรุษเป็นใหญ่ในสังคม ดังนั้นเขาจะรู้สึกว่าในโลกนี้มันมีแค่เพศหญิงและเพศชาย การที่คุณทำอะไรที่นอกกรอบ นั่นแสดงว่าคุณกำลังแตกต่าง คุณกำลังผิดปกติจากสังคมครับ มันคือโครงสร้างที่ถูกกดทับมาตั้งแต่ต้น เขาก็เลยมีการล้อเลียนเชิงเหยียดว่าเป็นตัวประหลาด ซึ่งผมมองว่าถ้าเรามีการทำความเข้าใจ สร้างความเข้าใจใหม่ให้กับพวกเขา การเหยียดพวกนี้มันก็จะน้อยลงครับ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะตุ้งติ้งหรือไม่ตุ้งติ้ง เพราะถ้าเกิดคุณแค่ชอบผู้ชาย ต่อให้คุณเป็นผู้ชายด้วยกัน ต่อให้คุณไม่ออกกิริยาสาวใดเลย คุณก็โดนเหยียดอยู่ดี อย่างเช่นคำว่าสายเหลือง ซึ่งผมว่าก็ต้องมีการแก้ mindset กันใหม่

]]>
Please, please Mister Gay World ‘ภัทรพล ใจเย็น’ https://marshomme.com/lifestyle/408552/ Thu, 27 Feb 2020 16:49:00 +0000

หลังการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เราได้เห็น ‘ภาพเสมือนจะก้าวหน้า’ ค่ะ! เพราะมีผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเข้าไปทำหน้าที่หลายท่าน โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เคลมตัวเองว่า ‘หัวก้าวหน้าสุดๆ’ ล้ำไปไกลถึงอนาคตใหม่เบื้องหน้า

แต่ขอโทษนะคะ บรรดาผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ทำหน้าที่ได้ไม่ถึงปี อิชั้นก็ได้เห็นธาตุแท้อันสะท้อนทั้งความ ‘กระแดะแอนด์กลวง’ ของพวกเขาเหล่านั้น เพราะนอกจากความพยายามเสียเหลือเกินที่จะแต่งตัวสวยไปวันๆ (ที่หลายท่านมองว่า ‘ไม่รู้จักกาลเทศะ’ ซะมากกว่า) และโชว์ศักยภาพแบบจัดง่าว จนกลายเป็นประเด็น ‘ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์’ ที่ทำให้ภาพลักษณ์กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ดำดิ่ง ติดลบเสียยิ่งกว่าหุ้นที่โดนพิษไวรัสโคโรนา

กาลก็เลยมาถึงจุดที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องมานั่งขบคิดกันว่า การมีผู้แทนราษฎรจากกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนั้นจะช่วยผลักดันสิทธิ์และกฎหมายต่างๆ ที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศพึงสมควรจะได้รับ หรือเข้าไปทำลายภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ให้ดูแย่ไปมากกว่าเดิม

เอาล่ะ ไม่ต้องไปฝากความหวังใดกับผู้แทนราษฎรกลุ่มคนหลากหลายทางเพศหรอกค่ะ นั่นมัน mission impossible เอาเป็นว่า กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ช่วยตัวเองเถอะนะคะ ในวันนี้เราได้ผู้ชนะเลิศการประกวด Mr. Gay world Thailand 2020 แล้ว และผู้ที่ได้รับมงนี้ นอกจากจะต้องเป็นตัวแทนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศของประเทศไทยไปประกวดที่แอฟริกาใต้แล้ว ยังจะต้องเป็นหัวหอกในการผลักดันประเด็นต่างๆ ทางสังคมในเรื่องต่างๆ ด้วย โดยเจ้าของรางวัล Mr. Gay world Thailand 2020 ล่าสุดได้แก่ ‘โก้-ภัทรพล ใจเย็น’ ที่มีประวัติน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ


โก้เข้ามาสมัครประกวด Mr. Gay world ได้อย่างไร ได้ข่าวสารมาจากไหน หรือว่ามีอะไรที่ทำให้สนใจเข้าประกวดครั้งนี้

เริ่มต้นเลย ผมเห็นเขาประกาศรับสมัครครับ แล้วโก้เคยดูในส่วนของการประกวดไลฟ์สดของปีที่แล้ว โก้มองว่าเวทีนี้เป็นเวทีที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ LGBT แล้วก็สังคมได้ครับ เลยเริ่มฟิตหุ่น พัฒนาความรู้ แล้วก็เข้ามาสมัครประกวดที่นี่ เพราะอย่างน้อย โก้อาจจะเป็นกระบอกเสียงให้ LGBT แล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับการประกวดในครั้งนี้ได้ครับ

คาดหวังอะไรบ้างตั้งแต่เข้ามาประกวดจนถึงวันที่ประกาศรางวัลชนะเลิศ

ไม่คาดหวังครับ เพราะว่าในวันที่ประกวด ตอนแรกเวทีนี้เขาเน้นจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคมแล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดี การประกวดในแต่ละช่วงก็จะมีแคมเปญแต่ละแคมเปญ ซึ่งผู้เข้าประกวดทุกคนเขามีความสามารถและมีความแตกต่างเฉพาะไปเลย เลยคิดว่าใครก็ได้ครับใน 30-31คนนี้ ซึ่งเรามองแล้วเราคิดว่าเราทำให้เต็มที่ครับ


ในการประกวดทุกปีจะต้องมีการเสนอแคมเปญที่ผู้เข้าประกวดอยากจะทำ เรานำเสนอเรื่องอะไร มีความน่าสนใจอย่างไร?

แคมเปญของโก้ชื่อ Love and Learn (in Yourself) คือบังคับเข้าใจตัวของเรา แล้วก็สามารถคิดบวกแบบ Positive Thinking ซึ่งโครงการของโก้จะเป็นโครงการที่อยากให้เน้นความเข้าใจในสังคม เริ่มจากตัวเราก่อน คือถ้าเกิดเราเข้าใจคนอื่นแต่เราไม่เข้าใจตัวเราเอง ไม่มีการยอมรับตัวเอง เราก็จะไม่สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เหมือนอย่างข่าวล่าสุดที่เด็ก ม.1 เขาไล่ยิงเพื่อนร่วมห้อง โก้ว่าตรงนี้มันต้องเริ่มจากความเข้าใจในตัวเขาก่อน และความเข้าใจในสิ่งรอบข้าง ซึ่งเมื่อรู้จักตัวเรา และครอบครัวเข้าใจ โก้เชื่อว่ามันจะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

วันนี้เราวางสเต็ปไว้หรือยังว่า แผน 1 2 3 ที่เราจะทำในอนาคตจะเริ่มอย่างไรบ้าง

อย่างแรกเลยคือ โก้จะเริ่มเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมก่อน จากเมื่อก่อนโก้อาจจะมีการเที่ยวเตร่กินเหล้า เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มองว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง แต่ ณ วันนี้ พอโก้มาอยู่ตรงนี้ โก้อยากจะเป็นแบบอย่างแล้วก็เป็นกระบอกเสียงให้ครับว่า เราสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง เหมือนกับเพศสภาพทั่วๆ ไป โดยที่เราเริ่มจากช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสก่อน ถ้าเป็นไปได้ โก้อยากจะเน้นในส่วนของ LGBT เป็นหลัก ซึ่งโครงการของโก้ต่อไป โก้มองว่าถ้าโก้มีโอกาสหรือว่ามีเม็ดเงินที่ support จริงๆ โก้ก็จะสามารถต่อยอดไปช่วยเหลือเด็กที่เขาด้อยการศึกษาให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาในการศึกษาต่อไปครับ


ถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง โก้เปิดตัวมานานหรือยัง ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอย่างไร

แม่โก้เขารู้จากคนอื่น แม่บอกว่าแม่เลี้ยงได้แต่ตัว แต่หัวใจเลี้ยงไม่ได้ ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร ขอให้เป็นคนดีแค่นั้นเอง ซึ่งชีวิตสมัยก่อนโก้ปากกัดตีนถีบ ต้องสู้ชีวิต ต่อสู้หลายๆ อย่าง มันทำให้โก้คิดว่าถ้าเกิดโก้ได้ทำงานที่ดีๆ แล้ว โก้ได้มีโอกาสช่วยเหลือพ่อแม่แล้ว นั่นคือสิ่งแรกที่โก้ต้องทำ หลังจากนั้นโก้จะทำอะไรเพื่อสังคม แล้วก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้ เหมือนกับที่โก้เคยได้โอกาสจากคนรอบข้างจนโก้มีทุกวันนี้ครับ นั่นคือความตั้งใจ

จากพาร์ตครอบครัวที่พ่อแม่เข้าใจเรา เพื่อนในโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้าง

สมัยที่โก้เรียนค่อนข้างจะโดนกดดัน โดนบูลลี่ โดนกลั่นแกล้งบ้างเช่นเอาชอล์คมาเขียนที่โต๊ะ ต่างๆ นานา แต่พอเรากลับถึงบ้านเราก็ลืมแล้ว เพราะโก้เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว แล้วโก้เชื่อว่าการที่เรามองบวกในชีวิตครับ แล้วเราเอาความเสียใจตรงนี้มาพัฒนาเป็นแรงกระตุ้นในการทำอะไรหลายๆ อย่างจะทำให้เราเห็นคุณค่า แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ และเราจะภูมิใจในตัวเราครับ

เข้ามหาวิทยาลัย เราเลือกเรียนสาขาอะไร
คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของการเรียนบริหารมันจะเป็นอะไรที่ต่างคนต่างเรียนตาม Sector ของแต่ละคน จะมีกลุ่มเพื่อนหลากหลายมากขึ้น ทุกคนต่างทำงาน certificate ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยมาสุงสิงเหมือนสมัยมัธยมครับ


ปัจจุบันทำงานอะไรในแง่ของความเป็น LGBT ควรจะต้องปรับตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจปี 2020

ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัทเอกชนครับ ดูแลเรื่องการลงทุน เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนครับ จะให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุนต่างๆ ครับ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็น LGBT นะครับ เป็นใครก็ได้ครับในสังคม อาจจะต้องระวังการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นครับ อย่างตอนนี้รัฐบาลเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการใช้จ่าย อาจจะต้องมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังครับ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ระยะยาวในการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยนะครับ

มาถึงจุดที่เราเป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่จะต้องออกไปประกวดในเวทีโลก เราเตรียมความพร้อมของเราแค่ไหน

เหลือเวลาประมาณ 4-5 เดือน ตอนนี้เริ่มไปเรียนภาษาเพิ่ม หาความรู้เพิ่มมากขึ้นว่า LGBT ตอนนี้ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง ต่างประเทศมีอะไรบ้าง แล้วก็ฝึกบุคลิกภาพการเดิน เริ่มหาชุดประจำชาติ หาในส่วนของสปอนเซอร์เพื่อจะ support ในเวทีโลกต่อไปครับ


ในระดับนานาชาติ ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสวรรค์ของ LGBT ใครๆ ก็มาเที่ยว แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีเว็บไซต์หนึ่งจัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหลายๆ ด้าน ถ้าสมมุติว่าเราโดนถามประเด็นนี้บนเวทีโลกจะอธิบายอย่างไร

ผมคิดว่านโยบายเหล่านี้ในเมืองไทย อยู่ในช่วงที่ยังไม่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือสร้างความเข้าใจตัวเรา แล้วก็สร้างความยอมรับให้เพิ่มมากขึ้น ต้องยอมรับครับว่าชายจริงหญิงแท้ เขาก็มีปัญหาหลายๆ อย่างเข้ามา สิ่งที่เราทำได้ก็คือเราทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นแบบอย่าง และสร้างความเข้าใจระหว่าง LGBT ด้วยกันเอง นั่นคือเราต้องจับมือร่วมกัน แล้วพัฒนาหรือว่าทำนโยบายอะไรก็ได้ครับให้เห็นว่า เรามีคุณค่าและสามารถทำอะไรได้ในสังคม แล้วโก้เชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เสียงเราแข็งขึ้น หรือว่ามีสิทธิเพิ่มมากขึ้น นโยบายต่างๆ จะได้รับการอนุมัติแล้วก็ตามมาครับ

อยากฝากอะไรไปถึงคนที่สนใจจะประกวด Mr. Gay world ปีหน้าบ้าง

อย่างแรกนะครับ เตรียมความพร้อม เพราะว่ามันเป็นการแข่งขันที่ต้องต่อสู้กับคนรอบข้างอย่างหนักเลยครับ เพราะฉะนั้นทำจิตใจให้แข็งแรง สองตั้งใจเลยครับ แล้วคิดเลยว่าเราจะทำอะไรเพื่อสังคม แล้วโก้เชื่อว่าการที่เราเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม แล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร นั่นคือประสบการณ์ที่คุณจะหาซื้อที่ไหนไม่ได้ครับ

]]>
“บริการคืองานของเรา” ณัชชากฤฒ เดือนแจ่ม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านสาวประเภทสอง https://marshomme.com/lifestyle/1065/ Fri, 02 Nov 2018 10:59:00 +0000 Text : เบญจกาย

ห่างหายไปพักใหญ่ๆ เบญจกาย ยังไม่หายไปจากโลกนี้นะคะ แค่ปลีกวิเวกไปจิกแรงงานต่างด้าวแถวสมุทรปราการมาค่ะ อุ๊บส์ ไม่ใช่เพื่อการนั้นนะคะ อย่าคิดมากแค่ออกไปทำวิจัยเรื่องความเป็นอยู่ว่าแรงงานต่างด้าวอยู่กันสบายดีมั้ย เผื่อมีอะไรที่เบญจะช่วยได้บ้าง ระหว่างที่ขับรถตระเวนเข้าตรอกซอกซอย สายตาก็ไปพบกะเทยสาวแต่งชุดข้าราชการเดินพบปะประชาชนอยู่ในย่านหมู่ 9 ตำบลบางปูใหม่ ในใจก็ อ๊ะ คสช. ให้เดินหาเสียงแล้วหรือ? แต่ไหนๆ ก็มาบุกถึงถิ่นนางแล้ว ก็ต้องคุยกับนางสักนิด ชะรอยว่ามาบุกถ้ำเสือ ถ้าไม่ซูฮกเจ้าถิ่น อาจจะโดนตบเอาง่ายๆ

สาวหน้าฉ่ำ ตัวท้วมๆ สมส่วน ท่านนี้คือ ‘เปรมม่า’ (หรือเปรม ตามชื่อที่บ้าน) ‘ณัชชากฤฒ เดือนแจ่ม’ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ค่ะคุณขา กะเทยเมืองไทยนี่เก่งนะคะ อยู่ได้ทุกอาชีพ อย่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คอยดูแลชุมชนต่างๆ ก็มีจำนวนไม่น้อยทั่วประเทศไทย จะเรียกได้ว่างานขับเคลื่อนชุมชนไทยนี่กะเทยก็เป็นหัวจักรสำคัญมิใช่น้อย ดิฉันเอ่ยปากทักทายแนะนำตัวและเชื้อเชิญขอสัมภาษณ์เธออย่างเป็นทางการ ซึ่งเธอก็ยินดีที่จะแนะนำตัวให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกัน แถมคุยไปคุยมา เธอยังมีชีวิตหลายๆ ด้านที่น่าสนใจอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

Q : เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมากี่ปีแล้ว ช่วยเล่าที่มาหน่อยค่ะ
A : เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมา 4 ปีแล้วค่ะ ตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นข้าราชการนะคะ มาจากการเลือกตั้ง ตอนแรกเนี่ย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาทำงานด้านนี้ เพราะก่อนหน้านี้ เปรมทำงานบริษัทเอกชนอยู่ที่ภูเก็ต เป็นผู้จัดการภาคใต้ ดูแลภาคใต้ทั้งหมด คือบริษัทที่เคยทำเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ตทั่วภาคใต้ ก็เลยต้องดีลงานกับเขาไปทั่ว คราวนี้พอทำงานไปได้สักพักใหญ่ๆ มีความรู้สึกว่า เรากลับบ้านมาหาพ่อแม่ดีกว่า ก็เลยพักงาน ทีนี้ตอนช่วงพักงานได้ทำอาชีพส่วนตัวด้วย ค้าขายพวกน้ำหอมบนอินเทอร์เน็ต มันก็ใช่ว่าจะขายดีมาก แต่ขายได้เรื่อยๆ เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หยุดการทำงานบริษัทเอกชนไปเลยค่ะจากนั้นหนึ่งปี มีผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านมาขอให้ร่วมทีมเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และลงแข่งในการรับเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน เพราะผู้ใหญ่บ้านคนเก่าหมดวาระไป จำต้องมีการเปิดแข่งขันด้วยการเลือกตั้งใหม่ ทีมผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เราก็ปรึกษากันนะ ว่าอยากจะมาพัฒนาสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้านของเรา อยากทำอะไรบ้าง เลยตัดสินใจลงแข่งขัน แล้วก็ได้รับการเลือกตั้งชนะคะแนนเสียงมาค่ะ

Q : ตอนที่เราเสนอตัวลงสมัครเข้าทีมเนี่ย ทุกคน รวมทั้งลูกบ้านรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นกะเทย
A : รู้ค่ะ รู้ว่าเป็นกะเทยหรือว่าสาวสองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะจริงๆ ในชุมชนเราก็อยู่กันมา เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนกันเองทั้งนั้นล่ะค่ะ ในแง่การทำงานที่ผ่านมาการเป็นกะเทยหรือว่าสาวสอง ไม่มีปัญหาเลยนะ มิหนำซ้ำคนแถวนี้ชอบด้วยค่ะ ทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชน คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา เพราะเราเข้ากับคนอื่นได้ง่าย พูดคุยง่าย แล้วเราก็ช่วยเหลือเขาได้ทุกเรื่องในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง ทั้งเรื่องการสาธารณสุขต่างๆ น้ำ ไฟ ท่อตัน หรือไม่ก็เป็นในส่วน อสม. เราต้องดูด้วยนะคะ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ส่วนเรื่องความมั่นคงก็มีบ้าง จากการตรวจพื้นที่ เราก็พบว่ามีเรื่องยาเสพติดอยู่บ้าง ต้องประสานงานกับฝ่ายปกครองด้วย ตำรวจ ปลัดอำเภอ ต้องประสานสิบทิศค่ะ

Q : ที่ผ่านมา 4 ปี มีปัญหาอะไรที่หนักอกบ้างไหมคะ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลประชาชน
A : ปัญหาหนักอกนี่ น่าจะมีแค่อย่างเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ หรือว่าจะสู้กับปัญหานี้ให้ได้ นั่นก็คือเรื่อง ‘งานเยอะ’บางทีเนี่ยได้พักผ่อนแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง เพราะงานมันต่อเนื่องกัน บางทีลูกบ้านเสียชีวิตเราต้องไปดูแล ต่อด้วยทำโครงการอื่นๆ พอจะเสร็จปุ๊บ อ้าว! ต้องไปดูงูเข้าบ้านนั้นต่อตะกวดเข้าบ้านนี้บ้าง บางทีก็มีฟ้าผ่า งานมันติดๆๆ กัน เป็นเรื่องปัญหาของภายในชุมชนเนี่ยล่ะค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเราจะได้พักผ่อนน้อย เราก็แฮปปี้ เพราะเราตั้งใจมาทำในส่วนนี้ คิดอย่างเดียวว่า เรามีโอกาสได้ทำบุญได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ

Q : การที่เขตนี้่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทำให้มีแรงงานต่างชาติเข้ามาอยู่มากพอสมควร เรื่องนี้เราต้องไปช่วยดูแลด้วยหรือเปล่า
A : แรงงานต่างชาติในพื้นที่ ถ้าในบางปู หมู่ 9 ที่ดูแลอยู่เนี่ยนะคะ ต้องบอกว่าเยอะมากๆ เพราะว่าเป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่หน้าที่ของเรา ไม่ต้องดูแลพวกเขาโดยตรง แต่เท่าที่ผ่านมาพวกเขาก็อยู่ร่วมกันกับคนไทยได้ดีนะคะ แต่ต้องเคารพกฎหมายไทย ห้ามยุ่งกับเรื่องยาเสพติด ห้ามมึนเมาวิวาท แล้วด้วยความทที่เราเป็นคนเอเชียเหมือนกัน เวลาถึงเทศกาลสำคัญๆ อย่างลอยกระทง เข้าพรรษา พวกเขาก็อยู่ร่วมกันด้วยดี อย่างชาวพม่านี่ต้องชมเขานะคะว่าชอบทำบุญมาก ทำบ่อยกว่าคนไทยอีกนะคะ

Q : ไลฟ์สไตล์ของคนบางปูเป็นอย่างไรบ้าง
A : ไลฟ์สไตล์ของคนบางปู ถ้าคนพื้นที่จะไม่อะไรมากนะคะ จะคล้ายๆ กับสังคมเมืองทั่วไป เพียงแต่ที่นี่จะมีธรรมชาติสไตล์บางปู เช่น ทะเลบางปู ตอนเย็นๆ จะมีคนออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพเยอะ ส่วนในวันปกติก็จะไปทำงานกัน จะเป็นในออฟฟิศหรือว่าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือบางส่วนก็ไปทำงานในกรุงเทพฯ นะคะ คล้ายๆ กับสังคมเมืองทั่วไปค่ะ

Q : ในชุมชนของเรามีคนที่เป็นกะเทยเยอะไหม
A : ในชุมชนมีเพศที่สามค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ส่วนมากจะทำงานโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ประชากรในหมู่ 9 จะมีอยู่ประมาณ 3,000 คน แต่มีประชากรแฝงประมาณ 30,000-40,000 คน ซึ่งมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาทำงานที่สมุทรปราการคนเหล่านั้นก็มีทุกเพศนะคะ บางทีเนี่ยเจอหนุ่มสาวหน้าตาดี แต่เขาไม่ได้เป็นเพศชายเพศหญิง ทักผิดก็มีนะคะ

Q : การที่เราเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่เป็นเพศที่สาม เขาได้มาขอความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาอะไรจากเราบ้างไหม
A : เรื่องขอความช่วยเหลือของลูกบ้านเพศที่สามตอนนี้ยังไม่เคยเจอนะคะ เพราะว่าเชื่อว่าแต่ละคนเขาก็จะมีวิธีการจัดการเรื่องส่วนตัวได้ค่ะ แล้วส่วนใหญ่จะมีไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของตัวเอง แต่ถามว่าพอเจอหน้ากันคุยไหม ก็ทักทายกันปกติ

Q : การที่เราเป็นกะเทย เวลาต้องไปติดต่องานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยเฉพาะการเข้าหาผู้ใหญ่ในตำแหน่งสูงๆ มีอุปสรรคอะไรบ้างไหม
A : ที่ผ่านมาไม่ได้พบปัญหานะคะ ตอนเข้ามาแรกๆ ก็จะมีกังวลนิดหนึ่งว่าเราจะเอาภาพลักษณ์ไหนดี แต่งหญิงมั้ย หรือแต่งแมนดี เขาจะดูถูกหรือเหยียดเพศกันไหม แต่พอมาทำไปได้สักพักต้องบอกเลยว่าผิดคาด ที่นี่มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสสูงมาก ทุกคนเลย ทุกหน่วยงานนะคะ แล้วทุกคนพูดจาดีน่ารัก ให้ความช่วยเหลือเราดี คอยชี้แนะแนะนำเราดีมาก เราต้องบอกว่าขอบคุณผู้ใหญ่ทุกภาคส่วนของบางปู แล้วก็ในอำเภอเมืองมากเลยค่ะว่า ทุกท่านนิสัยดีและน่ารัก แล้วเป็นกันเองดีมากค่ะ

Q : อยากจะถามเรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวนิดหนึ่ง นอกจากจะเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแล้วยังมีงานอดิเรกอื่นๆ ที่เราสนใจอะไรบ้าง
A : งานอดิเรกของเปรมนะคะ ถ้าว่างก็จะเล่นอินเทอร์เน็ต เข้าเว็บ เล่นทวิตเตอร์ แต่ว่าส่วนมากเป็นคนชอบดูซีรีส์วาย ก็เลยทำเพจเพื่อสาววายค่ะ ชื่อ Y Relation รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับซีรีส์วาย ซึ่งเป็นเรื่องความรักของผู้ชายกับผู้ชายนะคะ ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มค่อนข้างเยอะทีเดียว

Q : การเป็นกะเทยแล้วไปดูซีรีส์ที่เป็นสาววาย เรารู้สึกอย่างไรที่แบบสาววายมาชอบซีรีส์เกย์
A : หมายถึงว่า ผู้หญิงที่มาชอบซีรีส์ที่เป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันน่าจะถูกใจผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าผู้หญิงก็ต้องชอบผู้ชายหล่ออยู่แล้ว แล้วผู้ชายหล่อสองคนนี้มาคุยกัน น่ารักใส่กัน มาจีบกัน สาววายเขาคงจะชอบนะคะ ก็เลยติดกลายเป็นภาพลักษณ์ของตัวเขาไปว่า เขาชอบผู้ชายจิ้นกัน

Q : มันเป็นเทรนด์ หรือว่าจริงๆ แล้วมันมีอะไรที่ตอบสนองความต้องการลึกๆ ของสาววายหรือเปล่า ในการที่ชอบให้ผู้ชาย 2 คนมาได้เสียกัน
A :เป็น coming out ของสาวๆ ในยุคนี้ เพราะว่าในยุคก่อนเนี่ย แม้จะมีบ้างแต่ไม่เยอะ แต่ว่าพอประเทศไทยมีซีรีส์วายเรื่องแรกและเรื่องที่สองตามมา มันตอบโจทย์สาวๆ เลยมีชอบมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว เปรมเชื่อว่าผู้หญิงที่ชอบซีรีส์วายเนี่ย เขาชอบกันมานานแล้ว ทีนี้ก็เลยมีการจับกลุ่มรวมตัว ถ้ามีซีรีส์เรื่องไหนที่เป็นชายชายคู่กันก็จะมีแฟนคลับเยอะแฟนคลับบ้าน นี่ล่ะค่ะเป็นสาววาย แล้วก็ติดตามซีรีส์วายในของแต่ละเรื่องค่ะ

Q : ตอนนี้คอมมิวนิตี้ของสาววายที่เราดูแลอยู่ ประมาณกี่คน
A : ชื่อกลุ่ม We love Y Thai นะคะ ในกลุ่มจะอยู่ใน Facebook นะคะ ไปหาดูได้ ก็อยู่ที่ 100,000 คนแล้วค่ะ

Q : แล้วในแพลตฟอร์มอื่นๆอย่างในทวิตเตอร์ล่ะ
A : ในทวิตเตอร์นะคะ ตอนนี้ก็มีผู้ติดตามยังไม่เยอะมากนะคะ ประมาณ 3,000 คน แล้วก็มีไลน์กลุ่มนะคะ ซึ่งเราก็กระจายกัน มีแอดมินท่านอื่นด้วย และมีไลน์กลุ่มอยู่ประมาณ 3 กลุ่มค่ะ กลุ่มละ 500 คน

Q : สัดส่วนของสมาชิกเป็นชะนีกี่คน และเป็นกะเทยจริงๆ ที่เป็นเกย์ประมาณเท่าไร
A : เคยเข้าไปดูในข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มนะคะ สมาชิกของกลุ่ม We love Y Thai ส่วนมากเป็นผู้หญิงวัยรุ่น 11-15 ปี เยอะหน่อย 15-20 ปี จะรองลงมา ส่วนผู้ชายที่เป็นผู้ชายแท้ๆ อาจจะมีแค่ไม่ถึง 10 คน หรือไม่ก็ไม่เกิน 1% เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นผู้ชายที่เป็นเกย์หรือว่าเป็นไบอะไรต่างๆ ค่ะ

Q : ซีรีส์วายมันจะไปได้อีกไกลไหมในความคิดของเรา
A : ตอนนี้ เทรนด์ซีรีส์วายค่อนข้างออกมาเยอะ และแข่งกันเยอะมาก เพราะฉะนั้นถ้าทางต้นสังกัด หรือทางผู้กำกับทำซีรีส์วายที่มีเนื้อหาเข้มข้น ไม่ได้ออกแนวเหมือนยุคแรกคือจิ้นกัน หรือว่ามีเนื้อหาที่เป็นชายชาย แต่ตอนนี้ต้องแข่งกันด้วยเนื้อหา แล้วก็การตัดต่อลำดับภาพค่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่ายังไปได้อีกไกลนะคะ ถ้าผลงานวายออกมาแล้วมีคุณภาพ ก็จะมีคน support อยู่เรื่อยๆ

Q : มีเกย์บางคนรู้สึกอารมณ์เสียเวลาที่ดูซีรีส์วาย เพราะว่าฉากเลิฟซีนก็ไม่ถึงใจ ในฐานะที่เราดูแลเรื่องคอนเทนต์สาววายอยู่ เรามีความคิดเห็นอย่างไร
A : เกย์บางคนจะไม่ชอบซีรีส์วายค่ะ เพราะว่าบางทีจะมีฉากที่ไม่สมจริงใช่ไหมคะ จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่าซีรีส์วายคือการมโนหรือว่ามโนภาพไปเองของสาววาย เพราะฉะนั้นการมโน จะมโนอะไรก็ได้ จะให้น่ารักฟรุ้งฟริ้งไปเท่าไรก็ได้ บางทีมันจะไม่เรียล หรือไม่จริงนะคะ หรือบางทีมันอาจจะเกินจริง แล้วถ้าคนเป็นเกย์ดูเนี่ย จะไม่ชอบเพราะมันไม่สมจริง ในชีวิตจริงของเกย์มันจะไม่ใช่วาย ส่วนในซีรีส์มันจะโอเวอร์เกินจริงอยู่แล้ว มันจะไม่เหมือนกับชีวิตเกย์จริงๆ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ถ้าซีรีส์เรื่องไหนมโนได้มากหรือทำได้มากก็อาจจะถูกใจ แต่ว่าถ้าซีรีส์เรื่องนั้นเนี่ยทำได้น้อยก็อาจจะไม่ถูกใจเกย์ก็ได้นะคะ

Q : ในฐานะที่เราดูแลพื้นที่ ถ้าจะให้แนะนำสถานที่เที่ยว สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักบางปูได้ไปลองสัมผัสดูบ้าง เราจะแนะนำอะไรบ้าง
A : สถานที่เที่ยวของอำเภอเมือง ตำบลบางปู หรืออำเภอบางปู หลักๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของตำบลบางปูเลยก็คือ สถานตากอากาศบางปู ซึ่งที่นั่นตอนเย็นๆ จะมีนกนางนวลจำนวนมาก แล้วก็มีสะพานที่ทอดยาวออกไปในทะเล มีร้านอาหาร ที่สามารถไปรับประทานอาหาร กินลมชมวิวค่ะ ในบรรยากาศตอนเย็นๆ นักท่องเที่ยวจะชอบมาก ต่อมาก็คือเมืองโบราณสมุทรปราการ ซึ่งค่อนข้างที่จะใหญ่โต แล้วขึ้นชื่ออยู่แล้ว มีทั้งกองถ่ายละครซีรีส์หนังของไทยและของต่างชาติมาใช้เสมอ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคนไทยด้วย อีกที่หนึ่งคือ ช้างเอราวัณ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมชื่นชอบเหมือนกัน ส่วนวัดดังๆ ได้แก่ วัดท่านพ่อลี หรือว่าวัดอโศการาม เป็นวัดที่ชาวบ้านมากราบไหว้กันเยอะมาก มากันไกลๆ ก็มีนะคะ เพราะว่าวัดนี้สงบร่มรื่น

Q : ปกติเวลาเราไปทำงานนี่เราแต่งหน้าไปทำงานทุกวันหรือมั้ย
A : แต่งหน้าทุกวันเลยค่ะ แต่ถ้าอยู่ในหมู่บ้านจะไม่ค่อยได้แต่ง เพราะถ้าสมมุติว่าไปจับงู จับตะกวด หรือไม่ก็ปีนเสาไฟ ทุบท่อ ไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือว่าเวลาทำความสะอาด ตัดกิ่งไม้ ดูแลความเรียบร้อยของนักเรียนนักศึกษา หรือว่ามีเหตุตีกัน หรือเกิดเรื่องตายอะไรอย่างนี้ เอาง่ายๆ ว่างานในหมู่บ้านจะไม่ค่อยแต่งหน้า แต่ถ้าออกมานอกหมู่บ้านเมื่อไร ไม่ว่าจะไปอำเภอ ไปตำบล ไป สน. หรือว่าไป อบต. อบจ. ไปอนามัย เขตอะไรต่างๆ อย่างนี้ค่ะ จะแต่งหน้านะคะ ในลุคนี้ตลอด

ขอขอบคุณสำนักงานเทศบาลตำบลบางปู ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ
www.bangpoocity.com


]]>