Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
Netflix – Marshomme https://marshomme.com Tue, 19 Apr 2022 14:05:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png Netflix – Marshomme https://marshomme.com 32 32 “กิโกะ” ร้องไห้กลาง Live เหตุต้องถ่ายฉากการมี SEX ในภาพยนตร์ Ride or Die อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ https://marshomme.com/uncategorized/532316/ Thu, 14 Apr 2022 19:42:00 +0000
          ตกอกตกใจไม่น้อย เมื่อนักแสดงและนางแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่น “กิโกะ มิซูฮาระ” ได้ออกมาระบายถึงความอัดอั้นท่ามกลางการ Live ทางอินสตราแกรมของตัวเอง ในกรณีที่เธอขอไม่ร่วมซีนกับนักแสดงชาย ที่ไม่ยอมปิดส่วนลับในการถ่ายทำฉากการใกล้ชิดและการมี sex ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ Ride or Die: : อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ


           แม้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จะถูกสตรีมมิ่งทาง Netflix ไปเมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าว Shūkan Bunshun ของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวว่า ต้นสายปลายเหตุเกิดจาก การที่ กิโกะ ไปขอร้องให้ “อุเมคาวะ ฮารุโอะ” ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ ขอให้นักแสดงชายปิดส่วนลับระหว่างถ่ายทำฉากใกล้ชิดหรือฉากมีเพศสัมพันธ์ในเรื่อง แต่กลับถูกปฏิเสธคำขอจากโปรดิวเซอร์คนดังกล่าว พร้อมกับค่อนคอดเธอถึงความไม่เป็นมืออาชีพในการแสดง ทำให้ กิโกะ ต้องจำใจยอมถ่ายฉากดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางทีมงานนับสิบ โดยที่ไม่ได้มีการปกปิดของลับของนักแสดงชายแต่อย่างใดตลอดการถ่ายทำฉากนั้น


         และไม่นาน กิโกะ ก็ได้ลง Story พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในทางอ้อม โดยที่ไม่ได้มีการระบุถึงรายละเอียดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องใด ก่อนที่จะมาเปิดเผยใน Live ผ่าน Instagram เมื่อวาน (13 เมษายน) ช่วงเวลาประมาณ 5 โมง ตามเวลาญี่ปุ่น โดยเธอได้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า

         “เสียใจมากกับวงการบันเทิงญี่ปุ่นที่ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ ก่อนที่เธอจะปิดLiveก็ได้บอกกับผู้ชมทุกคนว่า เธอจะพยายามข้ามผ่านเหตุการณ์นี้ แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ได้”


          ย้อนกลับมาที่โปรดิวเซอร์ คนที่ปฏิเสธคำขอของ กิโกะ ก็มีวีรกรรมมาไม่น้อย โดยตามข่าวยังระบุอีกว่า เคยมีพฤติกรรมขอให้นักแสดงถ่ายภาพเปลือยส่งให้เขาแบบชัดๆ หากอยากที่จะแสดงในภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้าง นัยว่าอยากเป็นนักแสดลงก็ต้องส่งมาให้ QC กันก่อน ส่วนใครที่อยากรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นยังไง สามารถเข้าไปดูได้ทาง Netflix ซึ่งสตรีมมิ่งตั้งแต่ เมษายน ปีที่แล้ว


         นอกจากนี้ เรื่องราวของ กิโกะ ก็ยังถูกแพร่หลายไปยังหลายประเทศ และทำให้กระแสMetooถูกกลับมาพูดถึงในอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลกอีกครั้ง (#Metooเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ จนกระทั่งลุกลามกลายเป็นไวรัลไฟลามทุ่งในโลกโชเชียลมีเดีย)

ข้อมูลจาก: FB : Hoyayo Japan
https://www.facebook.com/HoyayoJapan

photo : IG i_am_kiko

]]>
เหลือไว้เพียงผลงาน อาลัย ‘บีม ปภังกร’ นักแสดงนำจากซีรีส์ไทยเรื่องแรกของ Netflix https://marshomme.com/interview/529822/ Wed, 23 Mar 2022 14:35:00 +0000

           ตกใจไม่น้อย เมื่อทราบข่าวการจากไปกะทันหันของ ‘บีม ปภังกร’ หนึ่งในนักแสดงมากฝีมือ   ที่เคยร่วมงานถ่ายแฟชั่น E photobook กับ mars homme เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของบีม กับบทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่บีมเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับเรา….


          แม้ซีรีส์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ทั้งหลายจะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยอดวิวของทุกแพลตฟอร์มกลับมาทะลุเป้าแบบไม่เหนือความคาดหมาย เพราะโรคระบาดนั่นไง ที่ทำให้เราไปไหนมาไหนไม่ได้ จำต้องหาความบันเทิงเสพชิลล์ๆ แก้เครียดไปวันๆ

           หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ฮิตมากๆ ก็คงต้องยกให้เน็ตฟลิกซ์แหละ ที่มีทั้งหนังและซีรีส์เด็ดๆ จากทั่วโลกให้ชมชนิดที่เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่หนึ่งออจินัลซีรีส์ของค่ายนี้ที่น่าจับตามองมากที่สุด คงต้องยกให้ #เคว้ง เพราะนอกจากเป็นซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix แล้ว เรายังได้พิสูจน์ฝีมือการผลิตและการแสดงของคนไทยล้วนๆ ทั้งนักแสดงและผู้กำกับอีกด้วย

            หนึ่งในนักแสดงนำที่โดดเด่นมากจากซีรีส์เคว้ง ก็คือ ‘บีม-ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์’ ที่ได้รับคำชมอย่างมากมาย เรามีคำถามหลายข้อที่อยากจะฟังคำตอบจากปากหนุ่มคนนี้ชัดๆ


feedback จากเคว้งที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

         ส่วนตัวผมมองว่าค่อนข้างโอเคนะครับ มีทั้งติทั้งชม ชมเราก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้ตัวเองนะครับ แต่ว่าส่วนคำติ ผมเก็บมาพัฒนาตัวเอง แล้วอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่อันไหนที่อ่านแล้วเรามองว่าเอออันนี้มันจริง เรานำมาปรับปรุงพัฒนาในอนาคตได้

ที่ติเขาติเรื่องอะไร

         ส่วนใหญ่คือด้วยตัวบทครับ ผมว่ารู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้เฉลยให้เคลียร์ แล้วยังไม่ได้เฉลยให้จบซะทีเดียว คนเลยสงสัยกัน

เตรียมไว้ซีซั่น 2 ไหมเพราะกระแสซีซั่นแรกค่อนข้างดี

          ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหรือเปล่าครับ เขาบอกว่าต้องรอทาง Netflix แจ้งอย่างเป็นทางการมาก่อน ส่วนเรื่องกระแสค่อนข้างโอเคอยู่ครับ ทาง Netflix เขาค่อนข้างพอใจ

ทำไมถึงได้มาแคสต์เล่นซีรีส์เรื่องนี้

         มาแบบงู ๆ ปลา ๆ มากเลยครับ คืออยู่ๆ พี่เขาเรียกเข้ามาแคสต์ เราไปแคสต์แบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรเลย เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยว่าเป็น Netflix ครับผม


คือไม่ได้ให้รายละเอียดเลยว่า แสดงเรื่องอะไร แนวไหน รับบทเป็นใคร ใช่มั้ย

         คือตัวที่แคสต์ก็เป็นตัวที่ชื่อคราม แค่นั้น รู้แค่ว่าชื่อคราม เป็นลูกชาวประมง เด็กใต้ ชาวเกาะ อะไรประมาณนี้ครับ แค่นี้ นอกนั้น ไม่รู้อะไรเลย สงสัยที่เขาเลือกผมเพราะหน้าตาเข้มๆ คมๆ เหมือนเด็กใต้มั้งครับ

จริงๆ บีมเป็นคนกรุงเทพฯ หรือคนใต้

         คนกรุงเทพฯ ครับ แต่มีคนถามผมเยอะมากว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ยิ่งเล่นเรื่องนี้เสร็จ มีคนมาถาม เต็มเลยว่าเป็นคนใต้หรือเปล่า ไม่ใช่ครับนะครับ คนกรุงเทพฯ เกิดที่นี่

บีมเข้าวงการมานานหรือยัง

        ตั้งแต่ 16 ครับ ตอนนี้ 24 ก็ปีที่ 8 แล้วครับ


ตอนนั้นที่เข้ามาวงการเริ่มจากน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ใช่มั้ย

       ใช่ครับ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ครับ มีเปิดเป็นออดิชั่นครับ รับน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์แก๊งใหม่ เราก็เข้าไปประกวด มันเป็นประกวดครับ พอเราประกวดเสร็จเราก็ต้องเก็บตัวแป๊บหนึ่ง แล้วมีแข่งรอบสุดท้าย กว่าจะเลือกประมาณเดือนหนึ่งได้ครับผม

ใครชวนไปแคสต์

         ตอนนั้นคุณแม่เป็นคนผลักดันครับ พอแม่เห็นประกาศว่ามีรับน้องแก๊งใหม่ เขาบอกผมให้ลองไปดู อยากให้ลูกกล้าแสดงออกประมาณนี้ครับ คือแม่ผมจะชอบให้ผมอยากจะไปทำอะไรพวกนี้ ไปประกวด ลองไปดูนู่นดูนี่ตั้งนานแล้ว คือเขาอยากให้ผมกล้าแสดงออก แล้วเราก็ไม่เคยไปสักที่ แต่อันนี้เราก็ว่าเราลองไปดู

แล้วที่ไปเล่นหนัง Water Boyy ล่ะ

        Water Boyy เนี่ยเล่นอยู่ในระหว่างที่เล่นช่วงน้องใหม่ไปประมาณ 2 ปี แล้ว แล้วก็มี Water Boyy เข้ามาครับผม ตอนนั้นผมเห็นว่าบทมันน่าสนใจดี ก็เลยลองไปเล่นแค่นั้นเลยครับ ไม่ได้คิดอะไรมากหลังจาก Water Boyy ก็มีน้องใหม่ถ่ายมาเรื่อยๆ ครับ แล้วผมก็มีละครช่อง 3 มิสเตอร์เมอร์แมนบ้าง มี Project S The Series ของนาดาวครับ ตอน Spike ครับ ที่เป็นตอนของนักวอลเลย์บอล แล้วก็มีซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งชื่อเรื่องรักหลับครับ ออนแอร์ทางช่อง 3 SD ครับ

ตอนนี้กำลังถ่ายอะไรอยู่

         ตอนนี้ก็มีถ่ายซีรีส์อยู่เรื่องหนึ่งครับ แต่ว่าช่องทางออนแอร์ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นทางไหนเป็นซีรีส์เกี่ยวกับการแข่งเปียโนประมาณนี้ครับ เรื่องราวมันก็จะมีปัญหากันในระหว่างการแข่งประมาณนี้ครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมขออุบไว้ก่อนดีกว่า


อยู่วงการนี้มาหลายปี รู้สึกพอใจในจุดที่เราอยู่ตอนนี้ไหม

        พอใจไหม ผมว่าตอนนี้มันก็โอเคอยู่นะครับ เพราะถือว่าเราได้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ครับ อาจจะยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างอะไร แต่ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้น ผมอยากพัฒนาตัวเองให้มันดีพร้อมที่จะไปอยู่ตรงนั้นในวันที่โอกาสเข้ามาจริงๆ มากกว่าครับ แล้วตอนนี้ผมมองว่ามันเป็นช่วงที่เรากำลังพัฒนาตัวเองให้ฝีมือเก่งๆ กว่านี้ก่อนครับ

ผลงานที่เคยมีมาชอบบทไหนมากที่สุด

ตัวน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ผมก็ชอบนะครับ ตัวที่ผมเล่นชื่อปราบภัย เคว้งนี่ผมก็ชอบ

บทครามกับบีมนี่ต่างกันมากน้อยแค่ไหน

ช่วงแรกๆ ต่างกันเยอะมากในการแบบจูนอิน เขาเรียกว่าอะไร outer ของเรา เราเป็นคนแบบไม่ค่อยใจเย็นครับ เป็นคนทำอะไรรีบๆ ลุกลี้ลุกลน เป็นไฮเปอร์ แต่ว่าตัวครามเขาจะนิ่งๆ ใจเย็นๆ ชิลล์ๆ เป็นชาวเกาะด้วย ดูสุขุมกว่าใช้เวลาจูนอยู่สักพักหนึ่งนะครับ มีพี่จินผู้กำกับช่วย แล้วเวลาเราอยู่กอง ไม่ใช่อยู่กองเดียว ตอนที่ถ่ายทำเราต้องย้ายตัวเองไปอยู่เกาะนานๆ ครับ มันช่วยเราตรงนี้ด้วย ระหว่างนั้นเราก็พยายามทำให้ใจเย็นและนิ่งให้มันมากขึ้นตลอดครับ


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนไฮเปอร์

         ผมอยู่ไม่ค่อยสุขครับ แล้วเวลาผมทำอะไรผมทำเร็วๆ ผมไม่ได้แบบทำช้าๆ เวลาทำช้าๆ แล้วผมอึดอัด แต่พอหลังจากผมเล่นเคว้งมา ผมรู้สึกว่าผมเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะอยู่ เปลี่ยนไปในเรื่องของความใจเย็น นิ่งลง วิธีคิดก็ค่อนข้างเปลี่ยนเยอะ

ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงบีมจะเป็นอะไร

         นั่นสินะ ผมคิดอยู่ตลอด อาจจะยังเพิ่งเรียนจบ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เพราะตอนก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง มันก็ยังไม่ใช่เป็นช่วงที่เราคิดได้ว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะไปเรียนสายไหน จบมาทำอะไร นึกไม่ออกเลยเหมือนกันครับ

ถ้าสมมุติว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว เราอยากทำอะไรต่อ

         ผมอยากทำธุรกิจ แต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าผมต้องการจะทำอะไร ณ ตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ คือผมอยากทำธุรกิจ อยากขายของ อยากลองดูสิ่งที่เราไม่เคยทำเหมือนกันครับ

ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบ้างมั้ย

           เล่นกีฬาครับ ผมเตะบอล ต่อยมวย ฟิตเนสบ้าง เอาหมดเลยครับ ผมชอบเล่นกีฬามาก แต่ว่าพิลาทิสเหมือนที่แม่ผมสอนอยู่เนี่ย ผมว่ามันไม่ใช่ทางของผมเท่าไร เรื่องดูแลตัวเอง ผมไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนั้นครับ ผมตามใจตัวเองเรื่องกิน แต่ว่าผมจะออกกำลังกายอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นมันก็จะแล้วแต่ช่วงเวลาครับ ช่วงไหนออกกำลังเยอะ หุ่นจะดี มันก็จะมีอารมณ์อยากไปออกกำลังกายเยอะ ช่วงไหนที่ขี้เกียจๆ มันก็จะเผละหน่อย


อยู่วงการมาหลายปี มีงานหรือบทบาทอะไรที่เรายังไม่เคยรับ และมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาส เราอยากจะไป challenge ตัวเองกับสิ่งนั้นบ้าง

          นึกไม่ออกเลยครับตอนนี้ สมมุติถ้าเข้ามาอย่างนี้ แล้วเราเห็นแล้วว่า เฮ้ยน่าลอง ผมก็คงโอเคครับ แต่หนังผมอยากเล่นอีกนะ เพราะเล่นมาเรื่องเดียว อยากลองอีกเหมือนกัน อ๋อ ผมนึกออกแล้ว ผมอยากเล่นหนังแบบชีวประวัติแบบต่อยมวย อันนี้ผมอยากเล่นมาก อยากเล่นหนังต่อยมวย แบบว่าเป็นชีวประวัติที่แบบนายขนมต้มอะไรอย่างนี้ครับ อันนี้อยากเล่นมาก

ประเมินผลงานตัวเองที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

            มันควรจะดีกว่านี้ครับ แต่ ณ ตอนที่เราได้ทำ เราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่สมรรถภาพเราสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้มันก็เป็นเรื่องของการที่เราไปพัฒนาตัวเอง ระหว่างที่เราไม่ได้รับงาน ไม่ได้ทำงาน ที่ทำให้เราได้ไปทำงานครั้งหน้า มันอยู่ในสภาพที่พร้อมและฟิตกว่านี้ เวลาเรามองย้อนกลับมาดูงานอีก เราจะได้ไม่แบบเสียดายว่า เฮ้ย ตรงนี้เราน่าจะดีกว่านี้ ทุกครั้งเราก็ทำไปเต็มที่เท่าที่เราทำได้ที่สุด และพยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ หรือว่าจริงๆ แล้วจนถึงวันหนึ่งที่ผมแก่มากๆ ผมก็อาจจะยังไม่พอใจในผลงานตัวเองก็เป็นไปได้ครับ ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมมองว่าจริงๆ แล้วมันก็มีอะไรให้พัฒนาขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ

ดาวน์โหลด E Photobook และบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม รวมไปถึงเบื้องหลังคลิปวิดีโอของ ‘บีม ปภังกร’ ได้เร็วๆ นี้

https://www.mebmarket.com/ebook-124286-Mars-Homme-Magazine-Online-BEAM


https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/2f044a59-0536-49d5-b979-b67c0028fc99/mars-homme-magazine-online-beam

Text :  Takeshi West

]]>
Demon Slayer : Kimetsu no Yaiba ดาบพิฆาตอสูร การ์ตูนอันดับ 1 ของญี่ปุ่น https://marshomme.com/scoop/532182/ Thu, 11 Nov 2021 01:12:00 +0000
          ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba) เป็นผลงานการเขียนของ Koyoharu Gotōge เป็นการ์ตูนซีรี่ส์ยาวเรื่องแรกที่เขียนลงในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ โชเน็นจัมป์ ในปี 2016 โดยการ์ตูนเรื่องนี้ พัฒนามาจากการ์ตูนสั้น (One Shot) เรื่อง Kagarigari ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อปี 2013 โดยในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะสามารถแซงหน้าการ์ตูนอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอย่าง Onepiece ไปได้


         ดาบพิฆาตอสูร เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างนักล่าอสูร และเหล่าอสูรที่ออกทำร้ายผุ้คนในยุคไทโช โดยฝั่งอสูรนั้นนำโดย คิบุทสึจิ มุซัน ซึ่งเลือดของมุซันนั้นมีความสามารถในการเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้เป็นอสูรได้ โดยหนึ่งในเหยื่อของมุซันนั้นก็คือ เนซึโกะ น้องสาวของทันจิโร่ ตัวเอกของเรื่อง ทว่าเนซึโกะนั้นแม้จะได้รับเลือดของมุซันไป แต่กลับต่อต้านไม่คุ้มคลั่งทำร้ายมนุษย์ ทันจิโร่จึงเข้ามาปกป้องเนซึโกะและเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปในฐานะนักล่าอสูรเพื่อที่จะจัดการกับมุซันและหาหนทางที่จะทำให้เนซึโกะกลับมาเป็นมนุษย์


         ดาบพิฆาตอสูรนั้นจะเป็นการ์ตูนแนวสูตรสำเร็จของจัมป์ที่เน้นไปที่การพัฒนาของตัวเอกจากคนไร้ฝีมือไปเป็นคนที่เก่งขึ้นและปราบปีศาจที่ร้ายกาจไปเรื่อยๆ ได้พบปะกับพวกพ้องที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นมิตรภาพที่น่าจดจำ แต่ก็มีจุดที่การ์ตูนเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่น คือ การที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะตัวละครที่ได้รับความนิยม ตัวละครหลักที่เหมือนเป็นหนึ่งในตัวเอก มีโอกาสที่จะตายตอนไหนก็ได้ เพราะการต่อสู้ระหว่างนักล่าอสูรกับอสูรนั้น ชัยชนะขึ้นอยู่กับไหวพริบเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทำให้นี่เป็นจุดหนึ่งที่นักอ่านหรือคนดูต้องลุ้นทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ขึ้น เพราะไม่ใช่ว่าฝ่ายพระเอกจะเป็นผู้ชนะเสมอไป และเมื่อถึงเวลาที่ตัวละครที่เราผูกพันต้องล้มหายตายจาก มันก็ส่งผลต่อจิตใจคนอ่านหรือคนดูอยู่พอควรเลยทีเดียว


        แม้ตัวหนังสือการ์ตูนจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่จุดที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ดังเป็นพลุแตกจริงๆ ก็มาจากอนิเมะที่เริ่มออกอากาศในปี 2019 ที่ได้สตูดิโอ Ufotable มาเป็นผู้สร้าง โดยสตูดิโอนี้มีชื่อเสียงในการทำงานที่มีคุณภาพสูง และปกติจะรับงานซีรี่ส์มากสุดปีละ1เรื่องเท่านั้น ซึ่งในตอนแรก ก็ไม่มีใครคาดไม่ถึงว่าตัวอนิเมจะดังขนาดนี้ เพราะโดยปกติ อนิเมจากจัมป์มักจะเน้นการเลือกเวลาออกอากาศทางทีวีในช่วงเวลาไพร์มไทม์ที่เข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย แต่ดาบพิฆาตอสูรแรกเริ่มนั้นออกอากาศในรอบดึก (23.30น.) ซึ่งแน่นอนว่า นั่นไม่ใช่เวลาที่เด็กละครอบครัวเขาดูกัน แต่ด้วยคุณภาพของตัวอนิเมะที่ทำออกมาได้ดีมาก กระแสจากโซเชียล รวมถึงการออกอากาศผ่านทางสตรีมมิ่งเช่นNetflixก็ทำให้อนิเมเรื่องนี้ ได้รับการพูดถึงในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


        จนถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ดาบพิฆาตอสูร เป็นการ์ตูนที่ เข้าถึงคนหมู่มากและก้าวเข้าสู่ทำเนียบการ์ตูนระดับตำนานตามรุ่นพี่อย่าง ดราก้อนบอล , วันพีซ ,นารูโตะ ไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งตัวต้นฉบับหนังสือการ์ตูนที่ตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นจัมป์นั้นได้จบสมบูรณ์ลงไปตั้งแต่กลางปี 2020 โดยที่เนื้อเรื่องของการ์ตูนได้จบลงตามความตั้งใจของอาจารย์โคโยฮารุจริงๆ ไม่ได้ลากเรื่องให้ยาวขึ้นตามเรตติ้งที่พุ่งกระฉูด ซึ่งเรื่องแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก เพราะโดยปกติหากการ์ตูนเรื่องไหนขายดี จัมป์จะไม่มีวันให้ยอมจบแบบง่ายๆแน่นอน จะต้องมีการขึ้นภาคใหม่ ยืดเรื่องออกไปให้ขายได้นานที่สุด กลับกันหากเรื่องไหนเรตติ้งไม่ดีก็จะถูกตัดจบโดยพลัน


        แต่สำหรับคนที่ดูอนิเมะนั้นก็ไม่ต้องห่วง เพราะเรื่องราวที่นำมาสร้างไปในซีซันแรกนั้น แทบจะเป็นแค่บทนำเรื่องเท่านั้น เนื้อเรื่องทั้งหมดจริงๆน่าจะแบ่งทำอนิเมะได้ไม่ต่ำกว่า 5 ซีซัน ไม่นับภาคแยกย่อยที่จะไปทำหนังโรงได้อีก ซึ่งในตอนนี้ อนิเมะซีซัน 2 ก็ได้ออกฉายทางสตรีมมิ่งแล้ว ในไทยเองก็หาดูได้จากหลายช่องทาง สำหรับผมสะดวกสุดก็ดูจาก Netflix นี่แหละ โดยฉายชนญี่ปุ่นสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แต่ต้องบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องซีซัน 2 เจ็ดตอนแรกนั้นเป็นการเอาเนื้อหาจากหนังโรงภาครถไฟนิรันดร์มาตัดต่อใหม่โดยเพิ่มรายละเอียดเข้าไปมากขึ้น ซึ่งคนที่ดูหนังมาแล้วก็อาจจะต้องอดทนรอกันอีกสักนิดเพื่อจะได้ดูเนื้อเรื่องช่วงต่อไปของดาบพิฆาตอสูรนี้


Text : STEP HEN

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก

-Netflix
-powerupmag

]]>
“Young Royals” เกย์ซินเดอเรลล่า 2021? https://marshomme.com/scoop/532068/ Fri, 13 Aug 2021 02:27:00 +0000
        พล็อตเรื่องแนว #ซินเดอเรลล่า หรือรักต่างชนชั้นระหว่างเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กับสามัญชนผู้ต่ำต้อยที่โชคชะตาก็พาให้เขาทั้งคู่มาเจอกัน ยังคงคลาสสิกและถูกนำมาใช้บ่อยๆ เพียงแต่เรื่องราวที่ถูกดัดแปลงตามยุคสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องมีรองเท้าแก้ว แม่เลี้ยงใจร้าย และงานเต้นรำอันหรูหราเสมอไป


        ล่าสุด Netflix มีซีรีส์ใหม่ “Young Royals” ที่นำเสนอเรื่องราวของราชวงศ์สวีเดนรุ่นใหม่ ที่พ่วงมาด้วยเรื่องราวความรักครั้งแรก เพศวิถี หน้าที่ในครอบครัว ภาระผูกพันทางสังคม ชนชั้น และการตระหนักรู้ในตนเอง นับเป็นความกล้าที่จะผนวกเรื่องราวทั้งหมดนี้ในซีรีส์วัยรุ่น โดยเฉพาะการเล่นประเด็นการเป็นคนหลากหลายทางเพศในราชวงศ์ชั้นสูง (ฝรั่งคงไม่ซีเรียสนักหรอกกับประเด็นนี้ เพราะเขาพูดเรื่องสิทธิ และความเท่าเทียมกันมานานแล้ว นั่นคือยุโรป แต่ประเด็นเดียวกันนี้คงไม่เหมาะกับราชวงศ์ในเอเชียหรือที่อื่นๆ เพราะบริบททางสังคมและวัฒนธรรมมันต่างกันมาก ฉะนั้นก่อนจะชื่นชมหรือยกยอปอปั้นจนเกินจริง ก็ควรพิจารณาสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ประกอบด้วย)


        Young Royals เล่าเรื่องราวของเจ้าชายแห่งราชวงศ์สวีเดนผู้ดื้อรั้นอย่าง “วิลเฮล์ม” หรือที่เพื่อนๆ เรียก “วิลเล” ที่ไปก่อเรื่องก่อราวในผับจนกระฉ่อนไปทั่วโซเชียลมีเดีย สร้างความอับอายไปทั่ว แน่ละ หม่อมแม่ หรือสมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน จำต้องย้ายลูกชายคนรองตัวแสบมาอยู่ในโรงเรียนประจำ Hillerska อันทรงเกียรติ ที่มีแต่บรรดาลูกหลานอีลิตเป็นส่วนใหญ่


        นั่นก็จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตวิลเล เพราะที่นี่เองที่เขาได้พบรักกับ “ไซมอน” หนุ่มสามัญชนที่มีแนวคิดสังคมนิยมจ๋ามากๆ นักเรียนแสนธรรมดาผู้นี้ เข้ามาเรียนในเรียนในโรงเรียนที่มีแต่ลูกหลานคนในสังคมชนชั้นสูง ลูกหลานตระกูลใหญ่โตในประเทศนี้ ได้อย่างไรนั้น ในซีรีส์ยังไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ เพียงแค่ฉายภาพ “ไซมอน” ไว้เฉยๆ ว่า มาจากครอบครัวคนชั้นกลางที่ค่อนไปทางเกือบจน พ่อแม่แยกทางกัน เขาอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาวที่ชื่อ “ซาร่า” ซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน และเป็นนักเรียนแบบไป-กลับ ต่างจากบรรดาลูกเจ็ตเซ็ตเตอร์ทั้งหลายที่ได้นอนในห้องส่วนตัวเก๋ๆ มีห้องน้ำในตัว พร้อมทีวี โต๊ะอ่านหนังสือ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน


        เรื่องราวที่เกิดขึ้น Hillerska แห่งนี้ ยังเชื่อมโยงกับกลุ่มตัวละครในโรงเรียนประจำ ทั้งลูกพี่ลูกน้องคนที่สองของราชวงศ์สวีเดน, เฟลิซสาวน้องผิวสีที่พยายามดิ้นรนเพื่อเป็นลูกสาวที่สมบูรณ์แบบตามที่แม่ของเธอกดดันให้เธอเป็น, ซาร่า น้องสาวของซีม่อน ผู้ปรารถนาให้เธอเป็นเหมือนเพื่อนที่ร่ำรวยและมีเกียรติมากขึ้น


        เรื่องราวความรักครั้งแรกของวิลเฮล์มและไซมอน เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่วิลเลเข้ามาโรงเรียน ซึ่งแน่นอน บุคคลระดับราชวงศ์มาเรียนก็ต้องต้อนรับกันให้สมพระเกียรติเจ้าชายหน่อย อีริค พี่ชายของวิลเล และเป็นมกุฎราชกุมารของสวีเดน เป็นคนมาส่งน้องชายด้วยตัวเอง ความประทับใจในตัวไซม่อน บวกกับการเป็นคนที่ชัดเจนในเรื่องแนวคิดสังคมนิยมที่ปฏิเสธชนชั้น การกล้าเถียงกับเพื่อนอีลิตและครูในชั้นเรียนเรื่อง “ภาษีและการเลี่ยงภาษีของคนรวย” เป็นสิ่งที่เจ้าชายทรงปิ๊งในทันที


        ความรักที่ก่อตั้งทีละน้อย ตามมาด้วยความขัดแย้งที่ต้องเลือกระหว่าง “ตัวเอง” กับ “หน้าที่ของตัวเอง” เมื่อจู่ๆ วิลเล ได้รับโทรศัพท์จากสำนักพระราชวัง เพื่อแจ้งข่าวการสิ้นพระชมน์ของมกุฎราชกุมารอีริค พี่ชายของเขา สถานะของวิลเลเปลี่ยนไปในช่วงข้ามคืน เขาถูกเลื่อนลำดับขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารคนต่อไปในทันที แน่นอนว่าสถานะนี้มี “หน้าที่” ที่หนักอึ้งรออยู่ในฐานะ ว่าที่กษัตริย์ของสวีเดนในอนาคต ความโกรธและความสับสนที่ค่อยๆ เผาผลาญจิตใจก็ปรากฏขึ้น
 
        วิลเลใช้เวลาครึ่งแรกของซีรีส์เพื่อปฏิเสธแรงดึงดูดของเขาที่มีต่อไซม่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหมกมุ่นอยู่กับเขา ทั้งสายตาที่จ้องมองมาก การเสี่ยงที่จะสัมผัสนิ้วก้อยที่เป็นความลับ ทำให้เขาใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบเท่าที่เขาสามารถจะทำได้ เรื่องราวในซีรีส์ จบลงด้วยเหตุบางอย่างที่ทำให้วิลเลต้องตัดสินใจ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้ใจตัวเองเช่นกันว่า เขารักไซม่อนไปแล้ว


        ในซีซั่นถัดไป ความขัดแย้งที่ถูกสร้างเอาไว้ในซีซั่นแรกจะเป็นอย่างไรต่อนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว ข้อดีที่ทำได้สมจริงของ Young Royals นอกจากเรื่องประเด็นเกย์ระหว่างชนชั้นแล้ว คงต้องยกให้การแคสต์ติ้งนักแสดงที่ดูเหมือนเด็กมัธยมอีกด้วย เพราะนอกจากรูปร่างหน้าตาจะสมวัยกันทุกคนแล้ว ทุกคนยังมีสิว ซึ่งการแต่งหน้าในซีรีส์ก็ช่วยทำให้ทุกคนมันดูสมจริงมากขึ้น ดูเป็นวัยรุ่นที่ไม่ประดิษฐ์ (ถ้าขืนเป็นซีรีส์ไทยนะ ทุกคนจะหน้าเนียนหมดจ้า) อีกเรื่องที่น่าชื่นชมคงต้องยกให้ซาวด์แทร็กของซีรีส์ที่มีคอลเลคชันเพลงป๊อป / ฮิปฮอป / อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตในยุโรปเป็นหลัก ซาวด์แทร็กร่วมสมัยแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรรยากาศของโรงเรียนประจำและการสำรวจอุดมคติดั้งเดิมที่ว่าด้วยชนชั้นทางสังคมและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และนั่นเป็นสิ่งที่ช่วยขยายความเข้มงวดของสถาบันที่มีอายุหลายศตวรรษและวิธีที่เยาวชนในปัจจุบันต่อสู้ เคลื่อนไหวต่อต้าน หรือกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ที่ตั้งขึ้นโดยพวกเขามากขึ้น


#YoungRoyals
#netflix

]]>
5 เรื่องราวชวนอินจากซีรีส์เกาหลีสุดโรแมนติกบน Netflix https://marshomme.com/scoop/531881/ Fri, 04 Jun 2021 08:48:00 +0000
อยู่บ้านกันนานๆ ไล่เรียงซีรีส์จนแทบจะทุกเรื่องแล้วเชื่อว่าหลายคนอาจจะมีตันๆ อยากดูเรื่องใหม่ๆ กันแล้ว mars homme มีหนังรักโรแมนติกจากฟากเกาหลีมาแนะนำกันตั้งแต่ความรักแบบเรียลๆ ของวัยผู้ใหญ่โรแมนติกแบบหวานใสในรั้วมหาวิทยาลัย จนไปถึงความเข้มข้นของการชิงรักหักสวาท ใน 5 เรื่องราวจากเกาหลีสุดโรแมนติกบน Netflix ในเดือนมิถุนายนนี้


Nevertheless

รีส์ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดัง เล่าเรื่องราวความรักของสองนักศึกษา นาบี (ฮันโซฮี) และ แจออน (ซงคัง) ผู้ซึ่งเหนื่อยล้าจากบาดแผลความรักในอดีต แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างกลับทำให้ทั้งสองดึงดูดเข้าหากัน นาบิ ผู้ไม่เชื่อในความรักแต่อยากลองคบหามีความรักอยางจริงจัง ในขณะที่ แจออนมองว่าการคบหาจริงจังนั้นเป็นภาระ และอยากแค่หาคนคุยเล่นไปเรื่อยๆ Nevertheless จะพาเราไปร่วมลุ้นว่าทั้งสองที่มีมุมมองความรักต่างกันสุดขั้วนี้จะสามารถเปิดใจเข้าหากันได้สำเร็จหรือไม่


Love (ft. Marriage and Divorce) รัก แต่ง เลิก ซีซั่น 2

เรื่องราวของเพื่อนร่วมงานในสถานีวิทยุที่ต่างคนต่างต้องรับมือกับสามีที่นอกใจ แม้ทั้งสามจะมีความแตกต่างทั้งอายุและบริบทในแต่ละความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่พวกเธอทั้งสามคนนี้ต้องเผชิญเหมือนกัน นั่นก็คือชีวิตคู่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม การเปิดเผยและคลายปมความลับใหม่ในซีซั่น 2 ชวนลุ้นไปพร้อมกับตัวละครที่ต้องรับมือกับผลของการกระทำที่ผ่านมา บอกเลยว่าถ้าเป็นสายเสพดราม่าหนักๆ


So Not Worth It วัยใสๆ หัวใจสุดเปิ่น

สัมผัสชีวิตเด็กหอในประเทศเกาหลี ที่การันตี ความบันเทิงแบบสุดเหวี่ยง กับซิทคอมที่เสิร์ฟความรักแบบพอดีๆ เป็นเรื่องราวของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยนานาชาติ ที่กำลังเดินทางสู่วัยผู้ใหญ่ ความรักวัยใส และมิตรภาพในหมู่เพื่อน So Not Worth It รวบรวมทั้งทัพนักแสดงดาวรุ่ง ไอดอล K-pop ไว้เพียบ


Hospital Playlist เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ ซีซั่น 2

แค่ซีซั่นแรกก็ติดงอมแงมไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ซีซั่น 2 มาให้อดนอนกันอีกแล้ว สำหรับซีรีส์สุดอบอุ่นที่ทุกคนรอคอย กลุ่มเพื่อนชาวแพทย์ทั้งห้ากลับมาอีกครั้ง ในเส้นทางมิตรภาพที่ยาวนาน 20 ปี เรื่องราวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่นทั้งจากมุมชีวิตการทำงานในโรงพยาบาลและมุมอื่นๆ ของตัวละครหลักทั้งห้า


Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว

ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของคู่รัก จาง ฮยอก (จางกียอง) และ จอง ดาอึน (แชซูบิน) กับบททดสอบความสัมพันธ์ครั้งใหญ่ หลังจาง ฮยอกได้งานใหม่ที่ทำให้ต้องห่างไกลกัน ความสัมพันธ์ทางไกลครั้งนี้ยิ่งทวีความท้าทายมากขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ฮัน โบยอง (จองซูจอง / คริสตัล) ที่มีทีท่าสนใจจาง ฮยอกอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์รักสามเส้าสุดซับซ้อนนี้ จะทำให้สามคนได้ลิ้มรสชาติความรักทั้งที่ทั้งหวานและเปรี้ยวได้ในเวลาเดียวกัน

Source : Netflix

]]>
‘มิเคลเล มอร์โรเน’ มาเฟียหนุ่มเซ็กซี่ ร้อนซ่าที่สุดในโมเมนต์นี้! https://marshomme.com/scoop/529932/ Fri, 03 Jul 2020 14:33:00 +0000
ด้วยความสูง 187 เซนติเมตร น้ำหนัก 80 กิโลกรัม สัดส่วน 39-32-17 แถมบทบาทหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่โหด-ขรึม-เข้ม ส่งให้เขากลายเป็นดาราหนุ่มฮอตในชั่วพริบตา ในภาพยนตร์เรื่อง ‘365 Days’ (365 DNI) ของ Netflix ที่กระแสตอบรับแรงจัดในทุกประเทศทั่วโลก

มิเคลเล มอร์โรเน ดาราหนุ่มอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1990 ที่เมืองเมเลญาโน ในแคว้นลอมบาร์ดี ทางตอนเหนือของอิตาลี มีแม่เป็นผู้เลี้ยงดู แต่ไม่มีข้อมูลเปิดเผยเกี่ยวกับผู้เป็นพ่อ มอร์โรเนเรียนจบไฮสคูลที่ถิ่นฐานบ้านเกิดแล้วก็มาเรียนต่อด้านการแสดงที่มหาวิทยาลัย Teatro Fraschini di Pavia ในเมืองปาเวีย แคว้นลอมบาร์ดี จนจบหลักสูตร ก่อนไปเริ่มงานแสดงละครเวที สลับกับบทบาทในรายการโชว์ต่างๆ ทางทีวี และเริ่มได้บทเล็กๆ ในหนังอิตาเลียนเรื่องแรกคือ ‘Medici’ เมื่อปี 2016 จึงค่อยมีชื่อบันทึกลงทำเนียบนักแสดง


และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตการแสดงมาถึงเมื่อเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ Netflix ในภาพยนตร์เรื่อง ‘365 Days’ นี่ละ

มิเคลเล มอร์โรเน รับบท ‘ดอน มัสซิโม ทอร์ริเซลลี’ หัวหน้าแก๊งมาเฟียซิซิลี ที่ลักพาตัว ‘ลอรา’ (รับบทโดยแอนนา มาเรีย ซีคลุคกา) หญิงที่เขาหมายปอง และให้เวลาเธอ 365 วันเพื่อทำให้เธอตกหลุมรักเขาให้ได้

สองผู้กำกับฯ บาร์บารา บิอาโลวาส และโทมัสซ์ มันเดส ดัดแปลงบทหนังจากนิยายไตรภาค ‘365 DNI’ ของบลังกา ลิปินสกา-นักเขียนหญิงชาวโปลิช มีความต่อเนื่องและชวนให้ติดตามจนนักวิจารณ์นำไปเปรียบเทียบกับ ‘Fifty Shades of Grey’ ของอี.แอล. เจมส์-นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นนิยายไตรภาคเหมือนกัน

นับตั้งแต่ Netflix ปล่อยหนังเรื่อง ‘365 Days’ ออกมาตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ในโปแลนด์ และในหลายประเทศจนถึงเดือนมิถุนายน ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ติดท็อป 10 ในชาร์ตสตรีมมิงของทุกประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งในเมืองไทย ทั้งๆ ที่นักแสดงในเรื่องแทบไม่เป็นที่รู้จัก รวมถึงนักวิจารณ์ยังหยิบยกเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศมาเป็นประเด็น และแปะป้ายว่ามันเป็นหนังต้านกระแส #MeToo


แต่ดูเหมือนมิเคลเล มอร์โรเนจะอยู่เหนือข้อตำหนิทั้งหลายทั้งปวง นอกจากจะได้ตำแหน่งดาวรุ่งของ Netflix แล้ว เว็บไซต์ Oprahmag.com ยังตั้งฉายาเขาว่าเป็น ‘โนอาห์ เซนติเนโอแห่งปี 2020’ นายแบบและนักแสดงหนุ่มอเมริกันที่เคยโด่งดังจากซีรีส์ ‘The Fosters’ (2015) อีกด้วย

มอร์โรเนจึงกลายเป็นที่จับตามอง สื่อแทบทุกค่ายต้องหันมารายงานเกี่ยวกับเขา ทั้งเรื่องงานแสดงไปจนถึงเรื่องส่วนตัว

“สถานภาพโสด” เป็นคำตอบที่แฟนคลับอยากได้ยิน และฟังแล้วฟิน เขาเคยแต่งงานกับรูบา ซาเดห์-นักออกแบบแฟชั่นชาวเลบานีส เมื่อปี 2014 มีลูกชายด้วยกันสองคน ชื่อมาร์คูโด และบราโด มอร์โรเน แต่เพิ่งหย่าร้างกันเมื่อปี 2018 ซาเดห์ย้ายไปร่วมงานในคอนเซ็ปต์สโตร์ ‘Le Paradis des Fous’ กับเอลี ซาบ-ดีไซเนอร์สัญชาติเดียวกันกับเธอ

ส่วนมอร์โรเน หลังจากหย่าร้างก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า เขาเคยเล่าผ่านอินสตาแกรมของเขาว่า เขาแทบหันหลังให้กับทุกอย่าง ไม่คิดอยากจะกลับไปทำงานเป็นนักแสดงอีกเลย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องไปทำงานเป็นคนสวนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพราะเงินเริ่มร่อยหรอ


ทุกวันนี้เขายังทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดี เป็น ‘สุดยอดคุณพ่อ’ ในหลายภาพที่อดีตภรรยาของเขามักโพสต์ลงอินสตาแกรม และข้อมูลอื่นๆ ที่แฟนคลับสนใจอยากรู้ จนสื่อต้องไปขุดคุ้ยมาให้ อาทิ

นอกจากเป็นนักแสดงที่มีความสามารถแล้ว มอร์โรเนยังเป็นนักร้อง มือกีตาร์ และนักแต่งเพลง รวมถึงคิดประโยคคำพูดต่างๆ ที่สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเขาเอง เขาชอบใส่ต่างหู เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าเกี่ยวกับ ‘นางเงือก’ เขาชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
เขาติดบุหรี่ เขาอยู่ภายใต้สังกัด ‘Take off Artist Management’ @takeoffartistmanagement เขาชอบสะสมนาฬิกาหรู และมีเป็นคอลเล็กชั่น เขาเป็นคนรักสัตว์ และชอบขี่ม้า ฯลฯ


มิเคลเล มอร์โรเนยังมีผลงานแสดงจากปี 2019 เป็นบทประกอบในหนังเรื่อง ‘Bar Giuseppe’ (Bar Joseph) ของผู้กำกับฯ กุยลิโอ บาเซ รวมถึงงานปรากฏตัวตามรายการโชว์ต่างๆ ทางทีวี

และงานเพลงอัลบั้ม ‘Dark Room’ ของเขาที่ปล่อยออกมาในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา แฟนคลับต้องย้อนกลับไปสตรีม ‘365 Days’ ดูอีกรอบเพื่อฟังให้ชัดๆ เขาหยิบมาใช้เป็นเพลงประกอบในเรื่องถึงสี่เพลง ‘Hard for Me’ เป็นเพลงตอนเปิดเรื่อง ‘Watch Me Burn’ ในฉากอาบน้ำ ‘Dark Room’ เป็นเพลงแบ็กกราวนฺด์ และ ‘Feel It’ เปิดในช่วงขึ้นเครดิตตอนท้ายของหนัง ผลงานเพลงของเขาติดชาร์ตท็อป 10 ในอเมริกาในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาด้วย

ส่วน ‘365 Days’ ภาคถัดไป แม้ยังไม่มีคำตอบจาก Netflix ว่าจะสร้างต่ออีกหรือไม่ และเมื่อไหร่ แต่ล่าสุดมอร์โรเนได้ให้คำตอบเรื่องนี้กับสื่อเมื่อคราวไปปรากฏตัวที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ช่วงปลายเดือนมิถุนายนว่า มีภาคต่อแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าการถ่ายทำจะเริ่มกันเมื่อไหร่ เพราะสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย

แต่ที่แน่ๆ มิเคลเล มอร์โรเนยังมีบทบาทการแสดงใน ‘The Trail’ ซีรีส์ความยาวแปดตอนของ Netflix ที่ถ่ายทำไปเมื่อปีที่แล้ว

ใครรักหลงคลั่งไคล้เขาละก็ อย่าลืมติดตามละกัน


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์

]]>
จากเกมดังสู่ซีรีส์ The Witcher โปรเจ็กต์ยักษ์ของ Netflix https://marshomme.com/scoop/1059/ Wed, 07 Nov 2018 15:46:00 +0000
Netflix เผยชื่อนักแสดงนำในซีรีส์เรื่องใหม่ The Witcher ได้นักแสดงหนุ่ม Henry Cavill จากบทบาท Superman ในภาพยนตร์ Man of Steel, Batman v Superman ที่สลัดลุคฮีโร่ผ้าคลุมสีแดงมาเป็นฮีโร่เหนือมนุษย์มือปราบอสูรร้ายอย่าง Geralt ในซีรีส์ The Witcher ที่โด่งดังจากเกม CD Project

The Witcher เป็นนิยายชื่อดังจากประเทศโปแลนด์ โดยนักเขียน Andrzej Sapkowski ที่จะมาช่วยให้คำปรึกษาด้าน Creative โดยมี Sean Daniel ผู้สร้าง The Mummy และ Jason Brown มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง รวมไปถึง Platige Image S.A. ที่จะมาช่วยในเรื่องของ Visual Effects อีกทั้งได้รับความร่วมมือจาก Tomas Baginski ผู้กำกับ intro Video ของ The Witcher ทั้ง 3 ภาค ที่จะมาสมทบช่วยการกำกับซีรีส์เรื่องนี้อีกด้วย

Geralt ถือเป็นตัวละครเอกที่สำคัญในเรื่อง The Witcher ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม มีดวงตาที่คล้ายกับสัตว์ป่าสามารถมองเห็นได้ในที่มืด มีความสามารถใช้เวทมนตร์และการใช้ดาบ โดยเหล่า Witcher ฝึกหัดจะได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ส่งผลต่อระบบประสาท ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการพัฒนา เพิ่มความแข็งแกร่งกับร่างกาย Geralt คือคนเดียวที่สามารถผ่านการทดสอบนี้ เขาจึงได้รับสารพิษที่ปรุงขึ้นพิเศษ ขณะเดียวกันการทดลองนี้ได้ส่งผลให้เส้นผมกลายเป็นสีขาวและสีผิวจาง จึงได้รับฉายาว่าหมาป่าสีขาว

การสร้างซีรีส์ชุด The Witcher บน Netflix จะเน้นเรื่องราวในนิยายเป็นหลัก ผู้กำกับหญิงอย่าง Lauren S. Hissrich ได้เปิดเผยข้อมูลว่าทาง Twitter ส่วนตัวว่า The Witcher ซีซั่นแรกจะมีทั้งหมด 8 ตอน จะฉายในช่วงปี 2019 และมีไม่ต่ำกว่า 3 ซีซั่น ในส่วนของการถ่ายทำเป็นในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นสถานที่ตามแบบฉบับของเกม ทั้งนี้แฟนคลับหลายคนได้คาดเดาว่าน่าจะได้ชมในช่วงปี 2020 เพราะในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้นโปรเจ็กต์และแคสติ้งตัวนักแสดง แน่นอนว่าหลายคนคงตั้งตารอว่าใครจะได้มารับบทหมาป่าสีขาวอย่าง Geralt ซึ่งก่อนหน้านี้พระเอกมาดเท่อย่าง Henry Cavill ได้เคยเปรยๆ ไว้ว่าอยากรับบท Geralt ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฝันของเขาจะเป็นจริง เมื่อมีรายงานมาว่าเขาได้รับบทพระเอกแสดงนำอย่างเป็นทางการ แฟนคลับต่างก็พากันดีใจที่จะได้ชมผลงานและหุ่นล่ำๆ ของพระเอกคนนี้

หลังจากได้ตัวนักแสดงที่จะรับบท Geralt ไม่นานก็เกิดกระแสดราม่าสำหรับการแคสติ้งตัวละครตัวต่อไปอย่าง Ciri เป็นหนึ่งในตัวละครเด่นของซีรีส์ ที่มีข่าวว่าอาจเป็นตัวละครผิวสีหรือชนกลุ่มน้อย จากต้นฉบับแล้ว Ciri เป็นสัญชาติโปแลนด์ผิวขาว อายุ 13-14 ปี จึงไม่สมเหตุสมผลที่ตัวละครจะเป็นคนชาติอื่น ตอนนี้ได้นักแสดงหลักของซีรีส์ครบแล้ว นั่นรวมไปถึงบท Ciri และ Yennefer สองตัวละครหลักที่ได้ Freya Allen รับบทเป็น Ciri และ Anya Chalotra จะรับบทเป็น Yennefer แต่ก็ไม่พ้นมีกระแสถึงการมารับบทบาทของทั้งสองสาวนี้ว่ายังหน้าใหม่เมื่อเทียบกับ Henry Caville

นอกจากนี้ Lauren S. Hissrich ได้บอกถึงการคัดเลือกตัวนักแสดงว่า บุคลิกต้องเข้ากับบทบาทนั้นจริงๆ ต้องมีความสามารถ เป็นมืออาชีพเหมาะสมกับบทตัวละคร ส่วนนักแสดงที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว ได้แก่ Jodhi May ที่จะมารับบทเป็นราชินิ Calanthe ของเมือง Cintra, Björn Hlynur Haraldsson ที่รับบทเป็นสามีของราชินี และตัวละครสมทบอื่นๆ อีกมากมาย

นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับแฟนๆ ที่จะได้รับชมซีรีส์ที่สร้างขึ้นมาจากเกมดังยอดนิยมเร็วๆ นี้ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติพันธุ์ วัฒนธรรม เพศ และสีผิว เมื่อชมซีรีส์เรื่องนี้จนจบ แน่นอนว่าผู้ชมหลายคนคงได้ประโยชน์มากกว่าการชมเพื่อความสนุกสนาน


]]>