ทำไมหลายเรื่องจึง“แป้ก” ?
เรื่องนี้หาคำตอบไม่ยาก เพราะเนื้อหามันวนอยู่ในอ่างไงล่ะ แต่เราก็ได้เห็นความตั้งใจของนักเขียนหลายๆ คน รวมทั้งผู้ผลิตที่มีความพยายามในการหาแนวทางการนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ แต่ซีรีส์ที่‘แหวก’และ‘แหกขนบ’วาย(ที่เน้นโมเมนต์จิ้นๆ ฟินๆ)ไปไกลสุดกู่ ณ เพลานี้ คงต้องยกนิ้วให้ “รักเดียว”ซิตคอมวายเรื่องแรกจากช่องวัน31ที่เพิ่งจะออนแอร์เมื่อเร็วๆ นี้ ทำเอาสาววายตะลึงตึงโป๊ะไปตามๆ กัน เพราะมันฮาเกินกว่าจะเก็บไปฟินน่ะสิคะ แม่จ๋า
คู่พระเอก-นายเอกหน้าใหม่ “เอิร์ท-ธนกฤต ตาละโสภณ” และ “วิน-ทรงสิน ใจพันธุ์” ดูจะเคมีเข้ากันไปดี และไปได้สวยกับแนวทางซิตคอมที่ต้องปล่อยมุกเรียกเสียงฮาอยู่เรื่อยๆ(งานถนัดของช่องนี้เลยทีเดียว ดูผลงานเก่าๆ อย่างเป็นต่อ,บางรักซอย9และเสือ เก้ง ชะนี ก็เชื่อขนมกินได้)เอิร์ท-ธนกฤต อาจจะไม่ใช่หน้าใหม่ซะทีเดียว เพราะเคยมีผลงานออกมาบ้างจากซีรีส์และงานโฆษณา ส่วนวิน-ทรงสิน นั้นใหม่เอี่อมอ่องถอดด้านมาเลี่ยมทอง เพราะเปิดซิงที่นี่เป็นที่แรก
กว่าจะมาลงตัวกันที่คู่นำซิตคอม“รักเดียว”เอิร์ท–วินทำอะไรกันมาก่อน
เอิร์ท: ของเอิร์ทเริ่มจากการแคสต์งานโฆษณา เดินแบบ และมีโอกาสได้ไปเล่นละครบ้าง แต่ไม่ได้เป็นตัวเมนหรือตัวหลักครับ พอดีมีผู้ใหญ่เห็นผมจากทางโฆษณาว่าหน่วยก้านดี เลยเรียกเรามาคุยกับผู้ใหญ่ทางช่องวัน จนสุดท้ายก็ได้มาเจอซิตคอมรักเดียว ที่มีโอกาสได้เล่นเป็นตัวเมนครับ รู้สึกตื่นเต้น และตกใจมากที่รู้ผลว่าแสดงได้ซิตคอมเรื่องนี้
วิน: วินเป็นคนเชียงใหม่ เคยเป็นนายแบบ ถ่ายแบบ และเคยประกวดมาหลายเวทีครับ จากเชียงใหม่ก็มากรุงเทพฯ เลยครับ คือมีผู้ใหญ่ทางช่องวันเขาติดต่อไปว่า อยากให้ลองมาแคสต์ซิตคอมเรื่องนี้ดู ผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีนะ เลยตัดสินใจลองมาแคสต์ ได้มาเจอกับพี่ ๆ ที่มาแคสต์ด้วยกันหลาย ๆ คน มาเจอกับพี่ ๆ ทีมงาน ผู้กำกับ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าได้หรือเปล่า ช่วงรอคำตอบนานมากกกกกก ตื่นเต้นมาก ๆ
วินเป็นคนเหนือ ตอนที่รู้ว่าจะต้องมาแสดงซิตคอม ปรับวิธีการพูดนานไหม
วินเป็นคนใช้ภาษาเหนือมา 19 ปี พอปีที่ 20 ย้ายมากรุงเทพฯ เราก็ต้องขยันพูดมาก ๆ พอมาอยู่ตรงนี้ใช้เวลาปรับนานมากครับ 3-4 เดือน ทางช่องส่งให้ไปเรียนกับครูภาษาไทย เพื่อปรับการพูดครับ กว่าจะพูดวรรณยุกต์ สระ ร เรือ ล ลิง ได้ชัดนี่ อู้หู ลำบากเหมือนกัน ผมเลยตั้งใจปรับเปลี่ยนการพูดจนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน หลัง ๆ มานี่เริ่มไม่มีคอมเมนต์เรื่องการพูดเหน่อ หรือว่าพูดเสียงขึ้นจมูกแล้ว
พอรู้ว่าต้องมาเล่นซิตคอม และเป็นซิทคอมวายด้วย ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
เอิร์ท: ผมรู้สึกว่าเป็นเหมือนงานงานหนึ่งที่รู้สึกว่าอยากทำนะ รู้สึกว่ามันท้าทายกับอาชีพนักแสดงเหมือนกัน ในการที่เข้ามาเล่นซิตคอมวาย เพราะปกติจะต้องมีนางเอกพระเอกใช่ไหมครับ แต่วายจะเปลี่ยนเป็นนายเอกแทนซึ่งท้าทายความสามารถของนักแสดงนะครับ แล้วก็ต้องทำการบ้านกันเยอะเหมือนกัน
วิน : ผมคิดว่ามันเป็นความท้าทายจริง ๆ แหละ แต่มันปนกับความสนุกที่น่าสนใจนะ อยากลองเล่น เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทยด้วย ผมคิดไว้ในหัวว่ามันต้องสนุก ต้องมีความฮาทุกอีพี
เอิร์ท : ความซิตคอม ความสนุกต้องมาแน่นอน แล้วยิ่งมาเจอพี่นก(จิรศักดิ์ โย้จิ๋ว)ผู้กำกับ เสือ ชะนี เก้ง และเป็นต่อ ที่เราดูตั้งแต่เด็ก ได้สัมผัสกับซิตคอมพวกนี้ตั้งแต่เด็กด้วยแล้ว ทำให้รู้สึกว่าซิตคอมรักเดียว มันต้องออกมาครบรสแน่นอน
คาแรกเตอร์ในรักเดียวเป็นอย่างไร
เอิร์ท : คาแรกเตอร์ของเอิร์ทน่ะ จริง ๆ ไม่ได้เป็นคนตลก แต่จะมีกิมมิกในความที่นิ่งของบทรัก ซึ่งจะแตกต่างกับบทเดียว ตรงความนิ่งตรงนี่แหละที่จะทำออกมาฮา และเป็นความคอนทราสต์กับเดียวนะ
วิน : ถ้ารักกับเดียวเจอกันมันจะมีความฮาอยู่ในนั้น เพราะว่าสองคนนี้จะเป็นตัวกัดกันตลอด ผมจะเป็นคนที่กัดเขาตลอด แล้วเขาจะเป็นคนรับ บางทีถ้าเขามีแผนของเขา เขาก็จะเอาคืน เพื่อจะทำให้ผมเสียหน้า หรือว่าทำให้ผมอับอายให้เพื่อน ๆ ผมล้อผม เพราะว่าคาแรกเตอร์ของเดียวจะเป็นคนที่ขี้โวยวาย จะเป็นคนที่มั่นใจในงานของตัวเอง เวลาเอาไปเสนอเขา เขาบอกงานนี้ยังไม่ดี ถ้ามันไม่ดี ต้องอธิบายว่าเพราะอะไรถึงไม่ดี ถ้ามันถูกคือจะแก้ แต่ถ้าไม่ถูกคือไม่แก้
เอิร์ท : คือฝั่งคาแรกเตอร์เดียวเขาจะมีเหตุและผลของเขาเยอะมากเลยครับ แต่รักนี่เขาจะมีความเป็นหัวหน้างาน ซึ่งเขาก็มีเหตุผลกับเขาน่ะแหละ แต่เขาจะไม่มีรายละเอียด เขาจะเป็นผู้ชายที่ตงฉิน ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่คนนี้จะดีเทลเยอะกว่า
คาแรกเตอร์ในซิตคอมกับเราตัวจริง ๆ ต่างกันมากมั้ย
เอิร์ท : คาแรกเตอร์ของรักกับเอิร์ท เอิร์ทรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึง โดยความที่จริง ๆ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนเยอะเท่าไร เป็นคนโลกส่วนตัวสูงครับ
วิน : ใช่พี่เขาเงียบ ๆ ตอนผมเจอครั้งแรกเขายังไม่ค่อยคุยเลย แต่ผมอ่ะ‘เฮ้ยพี่’ผมจะเป็นคนที่เสียงดังตลอด พี่เขาจะบอกพูดเบา ๆ ก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เขาจะเป็นคนที่เวลาเจอผม เหมือนผมคุยกับเขาอะไรสักอย่างผมก็จะตะโกนอยู่นั่นน่ะ พี่เขาก็จะต้องคอยบอกว่าเบาๆ เสียงลงหน่อย มาคุยกับผม ผมก็ไม่รู้สึกเหงาน่ะ หลัง ๆ มาพี่เขาเริ่มติดผมแล้วนะครับ ติดนิสัยไปแล้ว(หัวเราะ)
เอิร์ท : ติดความเสียงดังจากมันนี่แหละครับ
วินเป็นคนช่างพูดหรือหรือพูดมาก
วิน : ใช่ครับ พูดมาก เพราะว่าผมเป็นคนที่อยู่เงียบมากๆ ไม่ได้ ถ้าจะอยู่กันหลาย ๆ คน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่ตะโกนแหกปากเสียงดัง นั่นแหละครับ คาแรกเตอร์นี้มีความคล้ายคลึงผมมาก มันไม่ใช่แค่ คนที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ในแบบมั่นใจเกินเบอร์ ที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะให้แก้ไขอะไร ไม่ฟังใครสักอย่าง แต่ผมก็ทำการบ้านเพิ่มนะ ลองไปคุยกับพี่ ๆ หลาย ๆ คนว่า พี่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองหรือเปล่า พี่เป็นคนที่เรียนเก่งแบบนี้แล้วพี่มั่นใจหรือเปล่า หลาย ๆ คนก็มาช่วยแชร์ประสบการณ์นี้ พอทำการบ้านกับตัวละครมากๆ เข้า มันก็เออพอเข้าใจความรู้สึกนี้เหมือนกัน
ปกติความ‘วาย’นี่มันจะต้องเล่นเรื่องโมเมนต์ และความเข้าขากันของนักแสดง ครั้งแรกที่มาเจอกันปุ๊บ ใช้เวลาจูนกันนานไหม กว่าที่เคมีจะลงตัวกัน
เอิร์ท :ไม่นานครับ
วิน : ต้องเรียกว่าจูนหรือเปล่า พอเดินมาเจอกันก็‘เฮ้ย’ใส่กัน อย่างนี้เลย
เอิร์ท : มันไม่ต้องจูนอะไรเยอะ สำหรับเราเจอกันครั้งแรก สนิทกันเลยครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน อยู่ดี ๆ สนิทกันเฉยแล้วพอไปเรียนแอ็กติ้งก็เริ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันเยอะขึ้น คลาสแอ็กติ้งช่วยละลายพฤติกรรม แล้วก็ได้ไปฟิตเนสด้วยกันอีก มันก็เลยเหมือนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน
วิน : เพราะว่ามันเดินทางด้วยกันบ่อยไงครับ เดินทางไปเรียนผมจะติดรถพี่เอิร์ทไป ตอนกลับพี่เอิร์ทก็กลับมาส่งคอนโดอย่างนี้ มันทำให้เราสนิทกันไวขึ้นครับ
งานวายชิ้นแรก เราเคยดูซีรีส์วายมาก่อนไหม
เอิร์ท : ซีรีส์วายผมยังไม่มีโอกาสได้ดูเป็นเรื่องเป็นราว เห็นผ่าน ๆ บ้าง ก็รู้สึกว่านักแสดงทุกคนมีความตั้งใจที่จะทำงานของแต่ละเรื่องให้ออกมาดีที่สุด รวมถึงตัวเอิร์ทกับวินด้วยครับ มันไม่ได้เกี่ยวว่าต้องเป็นซีรีส์วายแล้วเราจะเล่นไม่ได้ ไม่ใช่เลย ยิ่งอยากเล่นเข้าไปอีก มันเป็นความท้าทายอีกบทเรียนหนึ่งที่เราต้องเล่นร่วมกัน
วิน :ใช่ครับ
เกร็งไหมถ้าแฟนคลับจะคาดหวังความมุ้งมิ้ง ให้ได้ไปฟินกันต่อทั้งในซีรีส์และนอกจอ
วิน : ผมว่ามันถูกอยู่แล้วนะครับที่แฟนคลับจะคาดหวังน่ะ คือถ้าเราไม่อยากเกร็ง เราต้องทำงานตัวนี้ออกมาให้ดีที่สุด
เอิร์ท : มีอยู่แล้วครับ ในเหตุการณ์ต่างๆ ของเรื่องนี้ แต่มันจะแตกต่างตรงที่เป็นซิตคอมบวกซีรีส์ครับ
วิน : มันจะมีโมเมนต์ อย่างนี้ครับ มันจะมีโมเมนต์ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แบบมีหน้าใกล้กันนิดหนึ่ง พอแบบเฮ้ยมองทำไมน่ะ
เอิร์ท : อาจจะมีมากกว่านั้นนะ
วิน : ใช่ ๆ มีมากกว่านั้นอีก อยากจะให้ไปลองติดตามดู มันจะมีโมเมนต์แบบที่ทุกคนจะพยายามจิกหมอนทีละนิด อึ๊ย ๆ
เอิร์ท : แต่จริง ๆ แล้วผมรู้สึกว่าอย่างซิตคอมรักเดียว อยากให้คนดูติดตามพัฒนาการของตัวละครของเรา จะเห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนติดตามทุกอีพี เพราะว่ามีทั้งปี
สิ่งหนึ่งที่สาววายต้องอยากรู้แน่เลย คือใครเป็นเคะเป็นเมะ
เอิร์ท : ผมเป็นพระเอก วินเป็นนายเอก
วิน : อยากให้ไปในดูซิตคอม แล้วลองไปตีความกันเองว่า มันจะออกมาแบบไหน เพราะว่าในคาแรกเตอร์คือเป็นผู้ชายทั้งสองคน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย จนมาเจอกัน
ถ่ายทำไปหลายอีพีแล้ว ซีนไหนที่ยากที่สุด ถึงเนื้อถึงตัวมั้ย
เอิร์ท : ซีนที่ยากที่สุด ไม่มีครับ จริง ๆ มันมีแหละ แต่มันไม่ได้ยากขนาดนั้น มีตอนแรก ๆ น่ะครับ ตอนแรก ๆ ที่
วิน : กว่ามันจะจูนกันแต่ละคนได้ และที่มันเป็นอีพีแรกที่แบบทุกคนได้เข้ามารวมซีนเดียวกัน จะจูนกันลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าตัวผมเองก็เกร็ง เวลาเจอกับรุ่นพี่ นักแสดงอาวุโสอย่าง น้าโย่ง พี่นุ้ย พี่เอม พี่แอมแปร์ ครับ มันตื่นเต้นน่ะ เราต้องมาเล่นจับมือถือแขนกัน ตอนแรกก็คิดว่ามันยาก แต่พอหลัง ๆ เล่นไป เริ่มให้เราผ่อนคลายขึ้น แล้วก็สนุกกว่าเดิม
จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง?
เอิร์ท : จูบแรกในซิตคอมมีหรือยัง อันนี้ต้องติดตามในซิตคอมรักเดียวนะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าผู้กำกับอย่างพี่นกนี่ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน
วิน : การันตีจากเป็นต่อและเสือ ชะนี เก้ง
อยากให้สองคนพูดถึงกันและกันว่า ในตัวของแต่ละคนนี่เราชอบอะไรมากที่สุด
เอิร์ท : ชอบน้องเป็นเด็กน่ารักนะครับ ถึงจะเสียงดังก็ตาม แต่เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครเลย น้องอาจจะเคยเกเร จากที่เคยคุยเฮ้ยผมเด็กเกเรนะ แต่น้องเป็นเด็กน่ารักมาก ๆ ก็อัธยาศัยดีครับ ใช่ครับ อัธยาศัยดีหรือเปล่าล่ะ(หัวเราะ)
วิน : ส่วนพี่เอิร์ท จริง ๆ ตอนแรกผมกลัวพี่เอิร์ทนะ ตอนที่แคสต์ด้วยกันแรก ๆ น่ะ แคสต์ผ่านzoom ตอนนั้นพี่เขาผมยาวไง ผมยาวเป็นโจรเลยครับ ผมอยากให้พี่เอิร์ทตอนผมยาวมากๆ เขาดูน่ากลัวมากน่ะ แต่พอมาแคสต์ด้วยกัน มารู้จักกัน พี่เขาเป็นคนน่ารักครับ เป็นคนที่เงียบ ๆ ไม่ค่อยคุยเล่นกับใครมาก
เอิร์ท : แต่ตอนนี้ก็ไม่เงียบแล้ว
วิน : ใช่ หลัง ๆ มาไม่เงียบแล้ว ติดนิสัยผมไป แล้วเวลาผมมีอะไรก็จะปรึกษาพี่เขา พี่เขาเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลยรู้สึกว่าเวลาผมปรึกษาอะไรพี่เขาน่ะ มันรู้สึกปลอดภัย แล้วเราคุยได้ทุกเรื่อง
ถ้าไม่ได้ทำงาน ชีวิตวันๆ อะไรบ้าง
เอิร์ท : เวลาว่างของเอิร์ทจะออกกำลังกาย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง เป็นคนชอบร้องเพลงครับ ก่อนเกิดโควิด ผมจะชอบทำสองสิ่งนี้พอ ๆ กัน สมมติว่าออกกำลังกายตอนช่วงเย็น และจะมาเล่นกีตาร์ผ่อนคลายตอนช่วงดึก ๆ
วิน : ส่วนผมเป็นเด็กกลางแดดครับ ชอบเตะบอลออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ชีวิตจะมีแต่ออกกำลังกาย หรือไม่ก็ขับรถเที่ยวดอยชมธรรมชาติ เพราะว่าแถวบ้านผมน่ะจะมีแต่ดอย ผมก็จะมีมอเตอร์ไซค์เล็ก ๆ คันหนึ่งขับไปแถวป่า ไปสวน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กลางแดด
วินเคยเป็นสายประกวดมาก่อน เอิร์ทก็เป็นนายแบบมาก่อน มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรให้หุ่นเป๊ะตลอดเวลา
เอิร์ท : ของเอิร์ทช่วงแรกคือคุมอาหาร แล้วก็ออกกำลังกายโดยการโดดเชือกทุกวันเลย เพราะว่าจริง ๆ น่ะผมไม่ค่อยชอบเข้าฟิตเนส แต่ชอบbody weightมากกว่า พวกดึงข้อหรือวิดพื้น จะดึงข้อวันละ100 วิดพื้นวันละ 100 แล้วก็คุมอาหารบ้างแต่ไม่เคร่งขนาดนั้นน่ะครับ
วิน : โอ้โฮ ถ้าเล่าถึงการออกกำลังกายของผมนะครับ ผมจะเป็นคนที่ออกกำลังกายหนักมาก เคยใช้ชีวิตอยู่ในยิม 15 วันๆ ละประมาณ 16 ชั่วโมง เพราะฟิตเนสแถวบ้านผมเปิด 24 ชั่วโมงครับ ผมจะเป็นคนที่ติดยิมมาก ช่วงก่อนที่มี passion ว่าจะต้องประกวด ก็จะคุมอาหารด้วย ยกน้ำหนักด้วย เคยเล่นที 15 วันไม่พัก จนผมโทรมมากๆ เหนื่อยมาก ๆ ครับ
คนที่เล่นฟิตเนสบ่อย ๆ แล้วหุ่นดี เขาจะมีส่วนหนึ่งของร่างกายที่เขารู้สึกภูมิใจมาก ส่วนนั้นคือ?
วิน : ถ้าเป็นพื้นฐานของผู้ชายผมว่า‘หน้าอก’ครับ
เอิร์ท : หน้าอกเหมือนกัน
วิน : ใช่ หน้าอกกับแขน เพราะว่าถ้าหน้าอกเราดี แขนเราก็จะเดินยืดนิดหนึ่ง ปกติน่ะคนที่เริ่มเล่นฟิตเนสใหม่ ๆ เขาจะเล่นแต่แขน เขาคิดว่าถ้าแขนใหญ่ก็คือหุ่นดีแล้ว
เอิร์ท : จริง ๆ ก็ไม่ได้ผิดนะ
วิน : ใช่ ไม่ได้ผิด แล้วแต่ความชอบของคนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าหน้าอก แต่ส่วนตัวผมจริง ๆ ผมภูมิใจในซิกแพคตัวเองนะ เพราะเป็นสิ่งที่กว่าจะขึ้นน่ะลำบากมาก และก็ดูแลยากมาก ๆ
เอิร์ท : แต่อย่าถามถึงซิกแพคตอนนี้นะ หายเกลี้ยง
วิน: ใช่ครับ ช่วงนี้โควิดไม่ได้เข้ายิมครับเลย
คาดหวังกับซิทคอมเรื่องแรกอย่างไรบ้าง
เอิร์ท : คาดหวังมากครับ คาดหวังว่าจะทำให้ตัวเองแสดงแต่ละตอนให้ดีขึ้น ๆ ผมก็เลยขยันทำการบ้านมากขึ้น คนที่มีประสบการณ์น่ะครับว่า พี่ ผมไม่เข้าใจมันต้องเข้าถึงบทบาทนี้อย่างไร เพราะในชีวิตจริงเราไม่ได้มีความเป็นบอสขนาดนั้นเหมือนรักน่ะครับ แต่คุณรักจะมีความเป็นบอส มีความนิ่งในแบบของเขา ซึ่งผมรู้สึกว่าในความเป็นรัก ผมมองว่าเขาเหมือนเป็นสิงโตซึ่งล่าเหยื่อ แต่ว่าไม่ได้ล่าเหยื่อแบบตะครุบ แต่เขาจะใช้สายตามองว่าเออมาเมื่อไรโดนแน่
วิน : ล่าเหยื่อนี่คืออะไร หมายถึงผมเป็นเหยื่อเหรอ
เอิร์ท : ใช่แล้วล่ะ ก็ประมาณนี้ครับ จะกดดันเรื่องการทำการบ้านมากกว่ากับการแสดง แต่ไม่อยากจะกดดันมาก เพราะจะทำให้การแสดงที่ออกมาจะดูเครียด แล้วคนดูจะไม่สนุก
วิน : ส่วนของผมคาดหวังไหม มาก ๆ ครับ ผมอยากให้ทุกคนดูแล้วฟินไปด้วยกัน เพราะว่าทุกคนตั้งใจมาก พี่ ๆ ทีมงาน พี่ ๆ ผู้กำกับ ทีมเขียนบท หรือว่าทุกคน พี่ ๆ นักแสดงทุกคน และพวกผมสองคนก็เหมือนกัน พยายามให้มันออกมาดีที่สุด เพราะเราคาดหวังว่าอยากจะให้ทุกคนน่ะเขาติดตามเราไปตลอด รักเรา หลงรักรักและเดียว เราอยากให้ตัวละครตัวนี้อยู่กับทุกคนนาน ๆ ครับ
เมื่อกี้เห็นพูดถึงเรื่องร้องเพลง อยากจะออกsingleของตัวเองบ้างมั้ย
เอิร์ท : อยากมาก เอาจริง ๆ นะ ได้ก็ดี ผมอยากออกsingleของตัวเองๆ เพราะจริง ๆ ผมชอบร้องเพลงและอยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง
วิน : ถ้าสมมติได้ก็ดี ผมคิดว่าผมอยากจะมีโมเมนต์ที่เปิดคอมแล้วนั่งฟังเพลงตัวเองน่ะ
เอิร์ท : แล้วยิ่งมีคนร้องตามได้ด้วยนะ
วิน : ใช่ ๆ อยากจะมีคนร้องตามเพลงของเรา ถ้าอนาคตมีได้ก็ยินดีนะครับ
สุดท้ายฝากความฟินของรักเดียวหน่อย
เอิร์ท : ผมบอกเลยว่าพี่ ๆ แฟนคลับทุกคนที่เป็นสาววายนะครับ เตรียมจิ้นกับซิตคอมรักเดียวนะครับ เป็นซิตคอมวายเรื่องแรกของประเทศไทย ผมบอกเลยว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะว่าจะมีความสนุก ความมัน ความแซ่บ ความซ่า ในซิทคอมเรื่องนี้นะครับ รักเดียวนะครับ แน่นอน
Text by Takeshi West
ซิตคอม “รักเดียว”
ออกอากาศทางช่องONE31
ทุกวันอาทิตย์ เวลา22.15น.
ขอบคุณภาพประกอบซิตคอมจากช่องONE31
หนุ่มฮอตคนใหม่ของวงการ ณ ขณะนี้คงต้อยกให้กับ ตรี – ภรภัทร ศรีขจรเดชา นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลของช่อง ONE31 ที่กำลังมีผลงานปังๆ อย่างละครเรื่อง “เลดี้บานฉ่ำ” ที่แม้เรื่องราวหลักๆ จะโฟกัสไปที่แก๊งของสาวประเภทสอง แต่สำหรับบทบาทของตรีที่ต้องแสดงเป็นท็อปนั้น หนักหนาสาหัสเอาเรื่องไม่น้อย “ในเรื่องผมรับบทท็อป ที่มีพ่อเป็นสาวประเภทสองครับ ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง แต่จู่ๆ วันหนึ่งเรามารู้ว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง จึงทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด จากชีวิตที่มีครอบครัวที่ดี มีความอบอุ่น ก็กลายเป็นความแตกหักและเป็นปัญหาของท็อปในเวลาต่อมาครับ”
Q : ฟีดแบ็กจาก“เลดี้บานฉ่ำ” เป็นอย่างไรบ้างครับ
A : ดีมากเลยครับถือว่าต้องขอบคุณกำลังใจจากทุก ๆ คนนะครับที่ติดตามชมเรียกว่าให้กำลังใจผมเยอะมากเลยครับ
Q : เรื่องนี้ฟีลในด้านการแสดงต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือไม่ครับ
A : ต่างครับ ทั้งบรรยากาศ ผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีสาวประเภทสองรายล้อมตัวผมตลอดเวลา และด้วยความที่เป็นคอเมดี้เสียส่วนใหญ่ บวกกับดราม่าด้วยครับก็เลยทำให้เลดี้บานฉ่ำ ไม่เหมือนละครเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา
Q : ตรีอยู่วงการมากี่ปีแล้วและเข้าวงการมาได้อย่างไร
A : เรื่องปีนี่ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้านับจากละครที่แสดงมาทั้งหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ของผม ถามว่าตอนนั้นเข้าวงการมาได้อย่างไรเหรอครับ เรื่องมันค่อนข้างจะตลกนิดนึง คือจริงๆ ผมไม่ได้สนใจมาทำงานวงการนี้นะครับ แต่ที่มีโอกาสเข้าวงการมาได้ เพราะคุณพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำซึ่งเป็นร้านเดียวกับ พี่ต๋อนที่ดูแลผมอยู่ทุกวันนี้ พ่อผมก็เอารูปไปอวดเจ้าของร้าน ประมาณว่า ‘นี่ไงลูกชายผม’ พี่เจ้าของร้านซึ่งก็รู้จักกับพี่ต๋อนก็เลยเอารูปไปโชว์พอพี่เขาเห็นรูปก็เลยทาบทามให้เข้ามาที่ช่องวันครับ นี่คือสาเหตุครับ
Q : ไม่อยากเข้าวงการมาก่อน แล้วความฝันตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นอะไร
A : ตอนเด็ก ๆ สมัยเรียนมัธยมต้นอยากเป็นหมอครับ แต่พอมา ม.ปลาย ชีวิตเกเรมากครับ เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเกเรและเฮี้ยวครับก็เลยไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายในชีวิตสักเท่าไรครับ เหมือนแค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ครับ
Q : ตอนเข้าวงการนี่เรียนอยู่ ม.ปลาย หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
A : ตอนนั้นผมอยู่ปี 1 กำลังขึ้น ปี 2 ครับ แต่ผมเป็นเด็กซิ่วนะครับตอนแรกเรียนอยู่ที่เอแบคก่อน แล้วก็ซิ่วมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตคณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ครับ แต่ชีวิตผมโลดโผนนิดนึงนะครับเพราะก่อนเข้าเอแบคผมไปอยู่อังกฤษมาปีนึงครับ คือผมเนี่ยเป็นลูกคนเล็ก มีพี่อีก 2 คน แต่อายุเราห่างกันค่อนข้างมาก พี่คนโตอายุ 41 ครับ คนที่ 2 อายุ 38 ส่วนผมอายุจะ 26 ปี เป็นลูกหลงครับ ตอนเด็ก ๆ พี่คนที่สองจะเป็นพี่ชายที่ดุครับ ตีผม ตีสอน ดุ ว่า คอยตักเตือน คอยสอนการบ้าน ก็เหมือนวัยรุ่นสอนน้องแหละครับตีแบบยับเลยครับ เจ็บมากครับ ตอนนั้นผมโกรธมาก กะว่าพอโตขึ้นมาจะเอาคืนแต่พอเราโตมาจนถึงวันนี้ เราถึงเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำ เขาหวังดีกับเรา ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กติดเกมมาก ก็เลยโดนส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่อัสสัมศรีราชาพอไปอยู่โรงเรียนประจำแล้วก็ดีขึ้น จนเริ่มมีความฝันอยากเป็นหมอเพราะดูละครที่พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แสดง มันเป็น passion ให้ผมอยากเป็นหมอมาก
แต่จู่ๆ วันหนึ่งคุณพ่อซึ่งเป็นศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนท่านอยากให้กลับมาเรียนที่นี่ครับ แต่มันก็มีช่วงแกปอยู่พักหนึ่งคือ ม.3-6 เราเริ่มใช้ชีวิตเสรี ด้วยคุณแม่ทำงานหนักไม่ได้ค่อยมีเวลาดูเราเท่าไร พี่ชายก็เริ่มทำงานของเขา เราก็เริ่มโตแล้วครับ ตอนนั้นก็เริ่มติดเพื่อน เจออะไรที่ไม่ดีมาบ้าง เป็นเด็กไม่ค่อยดีครับแล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจบอกคุณแม่ว่า คุณแม่ครับ ขอไปเรียนต่างประเทศได้ไหมตอนนั้นอยู่ ม.6 ไม่อยากอยู่กับสังคมตรงนี้เลยขอแม่ไปอยู่ที่อังกฤษปีหนึ่ง
Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับมาจากอังกฤษ
A : คิดถึงคุณแม่ คิดถึงบ้าน แต่ให้มองย้อนกลับไปน่าจะเรียนต่ออยู่ที่นั่นน่าดีกว่านะ (หัวเราะ) แต่ผมว่าที่ตัดสินใจกลับมามันก็คงเป็นโชคชะตาที่อยากให้เรากลับมากลับมาเราก็เรียนปกติ เรียนที่เอแบคครับ แล้วก็เจอพี่ต๋อนก่อนจะตัดสินใจซิ่วไปอยู่รังสิต เพราะคิดว่าจะเรียนเบาลงสุดท้ายก็เรียนหนักเหมือนเดิมเลย แต่ว่ามันบวกกับการที่เราเริ่มทำงานเราโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย มันก็ต้องแบ่งเวลา จัดสรรปันส่วนให้ดีครับ
Q : จากหมอ ทำไมถึงมาจบที่นิเทศได้
A : เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเรียนอะไรครับก็เลยคิดว่านิเทศน่าจะเหมาะกับเรามากกว่าครับและที่ผมเรียนมามันไม่ใช่เป็นแบบสื่อสารเฉพาะเจาะจงครับ จะเน้น Marketing Communication เสียมากกว่าครับ เป็นพวกการสื่อสารธุรกิจไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นฟิล์มหรือวิทยุโทรทัศน์ อะไรพวกนั้น
Q : พอมาเริ่มเข้าสู่วงการเนี่ยได้เล่นแสดงละครเรื่องแรกเลยหรือเปล่า หรือต้องไปเรียนการแสดงก่อน
A : ใช้เวลาอยู่ประมาณ 7 เดือนครับก่อนที่จะได้เล่นละครเรื่องแรก เล่นกับพี่บี้และพี่เอสเธอร์ครับชื่อเรื่อง เธอคือพรหมลิขิตครับ ตอนนั้นต้องเรียกว่ายังแสดงไม่เป็นเลยครับยังไม่เข้าใจ แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงเรารู้สึกว่าแค่ท่องบทมาให้ได้ ไม่ต้องพูดผิดแค่นั้นพอครับ
Q : เรื่องแรกถือว่าทำให้แฟนคลับเรารู้จักเราเลยหรือไม่
A : ยังไม่ได้ทำให้คนรู้จักครับเพราะบทยังไม่ได้โดดเด่นหรือฉายแววมาก มาเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็ตอนเรื่องที่ 2 ครับ แต่เรื่องที่ทำให้คนจำได้น่าจะเป็นเรื่องที่ 3 กับที่ 4 สงครามนักปั้น กับ ภาตุฆาต ครับ
Q : ตั้งแต่แสดงมาชอบคาแรกเตอร์จากละครเรื่องไหนมากที่สุด
A : ผมชอบเรื่องภาตุฆาตครับเพราะว่าเรามีออฟเจคทีฟที่ชัดเจน ตัวละครมีโกลที่ชัดเจนแต่ก็ไม่ต่างกับสงครามนักปั้นที่เรามีโกลที่ชัดเจนเหมือนกันสำหรับบทเราเลยรู้สึกว่าเราอินและเราเชื่อกับสิ่งที่เราทำบวกกับการที่เราเล่นเป็นทหาร มันเลยเห็นภาพที่ชัดครับ ตอนนั้นก็ตัดผมเกรียนด้วยแสดงกับเน๋ง แล้วก็มีพี่แหม่มคัทลียา เป็นคุณแม่ครับ
Q : แล้วพอมาสวมบทบาทเป็นท็อปในเลดี้บานฉ่ำนี่จูนอารมณ์นานไหม
A : มันค่อนข้างเป็นดราม่าครับ จริง ๆ ชีวิตผมก็ค่อนข้างจะดราม่าอยู่แล้ว เราเป็นคนเซนซิทีฟกับอะไรง่าย ๆ เลยจูนเข้าหาบทได้ไม่ได้ยากและก่อนหน้านั้นเราก็โดนเคี่ยวเข็ญจากผู้กำกับมาเยอะครับ ในเรื่องที่ 2 เจอกับพี่ปุ๊ย ผอูน จันทศิริ เป็นผู้กำกับ ผมก็โดนกดดันจนร้องไห้เลยตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจบท ไม่เข้าใจการแสดง ไม่เข้าใจในวิธีที่จะต้องแสดงออกมา
ไม่เข้าใจตัวละครจริง ๆ เลยถูกส่งไปเรียนเพิ่มบวกกับประสบการณ์ที่เราอยู่ในห้องเรียนบวกกับประสบการณ์ที่เราทำสนามจริงในสนามจริงมันทำให้เราสั่งสมประสบการณ์และแสดงออกมาได้ครับ
Q : ในชีวิตจริงสมมตินะว่าเราเจอกับเหตุการณ์มีพ่อเป็นสาวประเภทสอง เราจะทำอย่างไร
A : กับคุณพ่อแท้ใช่ไหมครับก็คงแสดงออกเหมือนกับที่ท็อปแสดงในเด็กอายุ 17 แต่เราบวกกับชีวิตจริงเราไม่ได้มันยากสำหรับผม เพราะว่าผมโตมาในครอบครัวที่คุณแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวครับ ซึ่งคุณพ่อก็เจอบ้าง คุณพ่อไม่ได้อยู่กับเราตลอดเหมือนในละคร แต่ซึ่งตัวละครท็อปเป็นครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งมันต่างกับตัวเรามากครับ ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจเพราะว่าทุกวันนี้เราผูกพันกับคุณแม่เสียมากกว่าคุณพ่อ ทำให้เราคลิกมากกว่าแต่พอเรามาเจอคุณพ่อที่กำลังแปลงเพศในละคร เราคิดว่าเรากำลังเสียคุณพ่อไปกลายเป็นเรากำลังเสียแม่ไป คุณพ่อที่จะเทิร์นเป็นผู้หญิงเป็นแม่ ซึ่งเราไม่อยากได้แบบนั้น จริง ๆ เขาก็มีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา
Q : อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ณ จุดนี้เรารู้สึกอย่างไรกับจุดที่เรายืนอยู่
A : ผมรู้สึกว่ามันดีกว่าทุก ๆ ปี เพราะมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ อาจจะไม่ได้โด่งดังแบบก้าวกระโดด แต่เราพอใจกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ผมรู้สึกว่ามันเป็น passion ของเราให้เราไดรฟ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าวันนี้มันยังไม่ดีสักวันมันต้องดีครับ
Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนสนใจแฟชั่นด้วยสไตล์ของเราเป็นอย่างไรบ้าง
A : ครับผม ตอนเด็ก ๆ เป็นคนเลือกใส่เสื้อผ้า เป็นคนเลือกเองตั้งแต่ ม.1-2 ม.1-6 ตอน ม.1-2 ใส่ขาสั้นที่เป็นยีนส์ขาด ๆ ใส่ดอกเตอร์มาร์ติน ไม่รู้เอาความมั่นใจอะไรมาจากไหน แล้วก็ใส่เสื้อมัดย้อมครับมันเป็นแนว ๆ อยู่ ไปเดินจตุจักร ก็ไปเลือกซื้อ Converse ซื้อเสื้อผ้ามือสองไปหลอกขายเพื่อนที่อัสสัมศรีก็มีครับส่วนสไตล์ของเรา ก็ไปเรื่อยครับ จริง ๆ ก็สตรีท บางทีก็วินเทจแล้วแต่วันนี้เราจะไปไหนครับ คือเราก็มีเสื้อผ้าหลาย ๆ แนวไว้ วินเทจก็มีสตรีทก็มี เรียบหรูก็มี ลักชัวรี่แบบแบรนด์เนมก็มีบ้างครับ
Q : กิจกรรมยามว่าง ถ้าไม่ได้ทำงานตรีจะ
A : ตอนนี้ฝึกร้องเพลงอยู่ครับเพิ่งเริ่มร้องเพลงได้ประมาณ 2-3 เดือน
Q : มีแผนจะออกซิงเกิ้ลสินะ
A : ไม่มีแผนครับ แต่ว่ามันต้องใช้ขึ้นคอนเสิร์ต Fantopia ครับก็เลยได้ฝึกร้องเพลงครับ ตอนแรกต้องเท้าความก่อนผมไม่ชอบแสดงออกผมไม่ชอบให้คนมาจับจ้อง ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น ไม่ชอบให้คนมาสนใจ อย่างในไอจีตอนแรกไม่เปิดไอจีพับบลิคนะ ล็อคไว้ ไม่ลงรูป ไม่อะไรทั้งนั้นครับ แต่ทุกวันนี้ต้องเปลี่ยนตัวเองหมดเลย แต่เราไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพราะว่าเราโตขึ้น เราต้องทำงาน เราไม่ต้องมีคำถามว่าเราต้องทำทำไม เราทำพอนะเราทำแล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้อึดอัดอะไร เราก็เลยทำ
Q : วันนี้ถ้าให้ประเมินการแสดงของเราให้กี่คะแนนดี
A : ถ้าจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนเรื่องแรกๆ ผมให้คะแนนอยู่ประมาณ 3 ตอนนี้ผมให้ 7 แล้วกัน ก็อาจจะไม่ได้เต็ม 10 แต่ว่าเรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาขึ้นครับกับการเล่นละคร
Q : พี่สนใจประเด็นหนึ่งที่ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยให้ใครมาจับจ้องมองเราจนถึงขนาดปิดไอจี เป็นคนที่มีสเปซส่วนตัวสูงสินะ
A : ผมไม่ใช่คนเปิด ขนาด Facebook หรือ Hi5 ก็ไม่ชอบ เพื่อนแอดมาใน Facebook ผมยังให้แค่เพื่อนเท่านั้นที่จะมาเป็นเพื่อนเราอีกอย่างผมไม่ชอบถ่ายรูปด้วย ชอบถ่ายคนอื่นมากกว่า แต่ไม่ชอบให้คนอื่นถ่ายเรา ถ้าจะถามว่าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไหมผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะบอกว่าผมมีโลกส่วนตัวสูงหรือไม่สูงอย่างไร ผมว่าตัวเองไม่สูง แต่คนอื่นเขาบอกว่าเธอน่ะโคตรมีสเปซสูงมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ บางทีไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ต้องให้คนอื่นมองครับ
Q : แล้วพอเราเข้าวงการต้องเล่นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพื่อเซิร์ฟกลุ่มแฟนคลับ ปรับตัวยากไหม
A : ปรับตัวยากมากครับต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างที่ผมบอกครับก็แบบมีปากมีเสียงกันนิดหน่อยว่าต้องเปลี่ยนตัวเองนะอาจจะไม่ถึงมีปากมีเสียงนะ แต่เป็นการสอนว่าเราก็ต้องทำครับ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงหรอกเพราะตอนนี้เราก็เข้าใจโลกมากขึ้นครับ เข้าใจว่าเราควรจะทำอะไร เพราะเราทำอะไรอยู่เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว เราเป็นคนของประชาชนทุกคนสามารถพูดถึงเราสื่อสารกับเราได้ครับ
Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปทำไมถึงไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเราล่ะ ไม่มั่นใจในตัวเอง?
A : ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่หล่อครับผมคิดอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พอตอนนี้เราเป็นพระเอกแล้วบางทียังคิดเวลาส่องกระจกว่านี่เหรอพระเอก นี่เหรอที่จะเป็นนักแสดง บางทีไม่มั่นใจในตัวเองด้วยครับมีความรู้สึกแบบนั้น ผมเคยคิดเสมอว่าพระเอกอาจจะต้อง Perfect เสียทุกอย่าง แต่ว่าบางทีมันไม่ต้อง Perfect ก็ได้ พอโตมาถ้ามันไม่ดีก็ไม่เป็นไร ตอนเด็ก ๆ ถ้าไม่ดีก็จะไม่ทำเลย แต่พอโตแล้ว จะคิดอีกแบบ ทำไปก่อนไหม แล้วสักวันมันอาจจะ Perfect ก็ได้
Q : เป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว ตอนนี้ดูแลตัวเองอย่างไรเข้าฟิตเนสบ้างมั้ย
A : ช่วงนี้ จริง ๆ เข้านะครับ แต่เมื่อก่อนเข้าหนักมาก ผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรก็จะทำแบบบ้าไปเลยครับเคยเข้าฟิตเนสที 7 วัน
กินเวย์กินตัวช่วยที่มันทำให้เราเล่นได้เยอะ แต่พักหลัง ๆ นี้พอเรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เราไม่ได้กิน เราไม่ได้เล่นไปเพื่อประกวดเราเล่นเพื่อ maintain สิ่งที่มันมีอยู่แล้วให้มันอยู่ได้นานที่สุดตอนนี้ก็เล่นมาประมาณ 7-8 ปี แล้วครับ ไม่ได้เล่นให้มันใหญ่เพราะเคยตัวใหญ่แบบ 80 โลมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมหนักแค่ 71 ครับ กำลังดี
Q : รักษารูปร่างได้ดีแบบนี้นี่เองเลยทำให้ในบทเรื่องนี้ฉากมีถอดเสื้อบ่อยๆ
A : ครับ มีทั้งถอดเสื้อ มีทั้งบู๊มีทั้งถอดเสื้อและบู๊ เสียน้ำตา หัวเราะ ลุย บากบั่นมากครับเรื่องนี้ บากบั่นจริงๆ ครับ ก็ตั้งแต่ถ่ายมาเรื่องนี้ก็หนักที่สุดแล้วครับ แต่ถ้าถามว่าอายไหมก็ไม่อายนะครับ มันอายไม่ได้ เพราะมันต้องทำครับ เราก็ต้องภูมิใจ เราต้องมั่นใจนิดหนึ่งครับเพื่อเราจะได้แสดงออกมาดี และบางทีเราอาจจะเป็น passion ให้คนอื่นที่อยากจะมีหุ่นที่ดีเหมือนเราก็ได้นะครับ
Q : วางเป้าหมายของตัวเองไว้ว่าอย่างไรว่าอีก 5 ปี ข้างหน้า หรือ 10 ปี ข้างหน้าเราอยากจะทำอะไรอยากจะไปอยู่ตรงจุดไหน
A : อยากอยู่ที่จุดไหนไม่เคยมองภาพไกลขนาดนั้นครับ อยากให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มากกว่าเราไม่ได้มีเป้าหมายว่าเราถึง เราอาจจะมีเป้าหมายว่าอายุเท่านี้เราอยากเป็นแบบนี้ แต่ว่าสำหรับหน้าที่การแสดงมันก็มีเป้าหมายไม่ได้จริง ๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปมันจะดีหรือไม่ดี มันจะได้หรือไม่ได้ ซึ่งถ้าเราคาดหวังมาก ๆ มันจะเป็นมีดมาทิ่มแทงเรามากกว่าเพราะถ้าวันหนึ่งที่เราผิดหวังแล้วเราเสียใจ มันอาจจะเสียใจมากกว่าคนอื่น ๆ เขาอะไรอย่างนี้ ไม่อยากทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า ก็ถ้ามันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปแล้วมันไม่ทำร้ายเรา มันน่าจะดีกว่าครับ
Q : ฝากผลงานล่าสุดหน่อยครับ
A : ก็ขอฝากละครเรื่องเลดี้บานฉ่ำด้วยนะครับทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางช่องวันนะครับ รับบทเป็นท็อปนะครับ ก็ฝากให้กำลังใจผมเยอะ ๆ นะครับ แล้วก็ฝากให้กำลังใจพี่นักแสดงท่านอื่นด้วยนะครับรับรองว่าทุกคนจะได้ทั้งเสียงหัวเราะน้ำตา รอยยิ้ม แล้วก็ความอบอุ่น ความข้อคิดดีๆ แน่นอนครับ ฝากด้วยนะครับ เลดี้บานฉ่ำครับ
]]>