Warning: Cannot modify header information - headers already sent by (output started at /var/www/marshomme.com/wp-content/plugins/wp_mgr_id/wp_mgr_id.php:1) in /var/www/marshomme.com/wp-includes/feed-rss2.php on line 8
SEX – Marshomme https://marshomme.com Thu, 14 Apr 2022 19:42:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.2.20 https://marshomme.com/wp-content/uploads/2019/10/logo2_icon-90x90.png SEX – Marshomme https://marshomme.com 32 32 “กิโกะ” ร้องไห้กลาง Live เหตุต้องถ่ายฉากการมี SEX ในภาพยนตร์ Ride or Die อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ https://marshomme.com/uncategorized/532316/ Thu, 14 Apr 2022 19:42:00 +0000
          ตกอกตกใจไม่น้อย เมื่อนักแสดงและนางแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่น “กิโกะ มิซูฮาระ” ได้ออกมาระบายถึงความอัดอั้นท่ามกลางการ Live ทางอินสตราแกรมของตัวเอง ในกรณีที่เธอขอไม่ร่วมซีนกับนักแสดงชาย ที่ไม่ยอมปิดส่วนลับในการถ่ายทำฉากการใกล้ชิดและการมี sex ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ Ride or Die: : อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ


           แม้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จะถูกสตรีมมิ่งทาง Netflix ไปเมื่อปีที่แล้ว สำนักข่าว Shūkan Bunshun ของญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวว่า ต้นสายปลายเหตุเกิดจาก การที่ กิโกะ ไปขอร้องให้ “อุเมคาวะ ฮารุโอะ” ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ ขอให้นักแสดงชายปิดส่วนลับระหว่างถ่ายทำฉากใกล้ชิดหรือฉากมีเพศสัมพันธ์ในเรื่อง แต่กลับถูกปฏิเสธคำขอจากโปรดิวเซอร์คนดังกล่าว พร้อมกับค่อนคอดเธอถึงความไม่เป็นมืออาชีพในการแสดง ทำให้ กิโกะ ต้องจำใจยอมถ่ายฉากดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางทีมงานนับสิบ โดยที่ไม่ได้มีการปกปิดของลับของนักแสดงชายแต่อย่างใดตลอดการถ่ายทำฉากนั้น


         และไม่นาน กิโกะ ก็ได้ลง Story พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในทางอ้อม โดยที่ไม่ได้มีการระบุถึงรายละเอียดว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องใด ก่อนที่จะมาเปิดเผยใน Live ผ่าน Instagram เมื่อวาน (13 เมษายน) ช่วงเวลาประมาณ 5 โมง ตามเวลาญี่ปุ่น โดยเธอได้เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า

         “เสียใจมากกับวงการบันเทิงญี่ปุ่นที่ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ ก่อนที่เธอจะปิดLiveก็ได้บอกกับผู้ชมทุกคนว่า เธอจะพยายามข้ามผ่านเหตุการณ์นี้ แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ได้”


          ย้อนกลับมาที่โปรดิวเซอร์ คนที่ปฏิเสธคำขอของ กิโกะ ก็มีวีรกรรมมาไม่น้อย โดยตามข่าวยังระบุอีกว่า เคยมีพฤติกรรมขอให้นักแสดงถ่ายภาพเปลือยส่งให้เขาแบบชัดๆ หากอยากที่จะแสดงในภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้าง นัยว่าอยากเป็นนักแสดลงก็ต้องส่งมาให้ QC กันก่อน ส่วนใครที่อยากรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นยังไง สามารถเข้าไปดูได้ทาง Netflix ซึ่งสตรีมมิ่งตั้งแต่ เมษายน ปีที่แล้ว


         นอกจากนี้ เรื่องราวของ กิโกะ ก็ยังถูกแพร่หลายไปยังหลายประเทศ และทำให้กระแสMetooถูกกลับมาพูดถึงในอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลกอีกครั้ง (#Metooเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ จนกระทั่งลุกลามกลายเป็นไวรัลไฟลามทุ่งในโลกโชเชียลมีเดีย)

ข้อมูลจาก: FB : Hoyayo Japan
https://www.facebook.com/HoyayoJapan

photo : IG i_am_kiko

]]>
เซ็กซ์ สถิติ และพฤติกรรม ‘นักรักของโลก’ https://marshomme.com/scoop/531850/ Sun, 09 May 2021 16:25:00 +0000
หนังสือพิมพ์หัวสีและนิตยสารแนวไลฟ์สไตล์ในต่างประเทศมักจะขยันทำแบบสำรวจ เพื่อเสาะหาว่าใครคือผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดของโลก หรือนักรักยอดเยี่ยม-ยอดแย่ของโลก พอๆ กับนิตยสารแนวเศรษฐกิจอย่าง Forbes ที่ขยันจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลกในแต่ละปี

https://www.pexels.com
หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตถุงยางรายใหญ่อย่างDurexซึ่งแต่ละปีมักจะมีรายงานGlobalSex Surveyเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับเทรนด์ของเซ็กซ์ในโลกกว้าง ประชากรของประเทศไหนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่อไหร่ มีคู่นอนกันกี่คน ฯลฯ แม้คำถามจะปะปนเรื่องถุงยางอนามัยเพื่อส่งเสริมการขายไปด้วยก็ตาม แต่ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย

ที่ตรงนี้เราพยายามรวบรวมข้อมูลที่เป็นสถิติในหลากแง่มุมเกี่ยวกับผู้ชายเชื้อชาติต่างๆ ครอบคลุมถึงเรื่องเซ็กซ์ และพฤติกรรมที่ชวนให้อยากรู้ อย่างเช่น…

https://www.pexels.com
ผู้ชายเซ็กซี่และเร้าใจที่สุดในโลก

MissTravelเว็บไซต์หาคู่เคยทำแบบสอบถามยูสเซอร์เพศหญิงจำนวน110,000ราย เพื่อหาคำตอบว่าผู้ชายประเทศไหนเป็นคู่เดตที่เร้าใจที่สุด

คำตอบล่าสุดและน่าประหลาดใจของเมื่อ5ปีก่อน อันดับหนึ่งคือ ไอร์แลนด์ ผู้ชายหนวดเคราสีแดงที่พร้อมจะเปื้อนฟองเบียร์กินเนสส์ตลอดเวลานั่นเอง บรรดาสาวๆ เทใจให้โดยเฉพาะในเรื่อง‘กิจกรรม’

อันดับสองตกเป็นของ ออสเตรเลีย เหตุผลระบุว่า ต้องไปดูเวลาหนุ่มๆ เล่นเซิร์ฟแถวหาดบอนได แล้วจะรู้ว่าหนุ่มดาวน์อันเดอร์นั้นดึงดูดใจแค่ไหน นอกจากนั้น หนุ่มออสซียังรู้วิธีการชงกาแฟรสชาติดี

อันดับสามได้แก่ ปากีสถาน หนุ่มโซนเอเชียชาติเดียวที่ติดโผ และทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเสียด้วย อาจเพราะความคมคายและเสน่ห์ของรูปร่างหน้าตา ทำให้สาวๆ ลุ่มหลงติดใจได้ไม่ยาก

ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สก็อตแลนด์ อิตาลี ไนจีเรีย เดนมาร์ก และสเปน ตามลำดับ

https://www.pexels.com
นักรักยอดเยี่ยม และยอดแย่ของโลก

LELOแบรนด์ผู้ผลิตเซ็กซ์ทอยชั้นนำ จัดทำกรณีศึกษาด้วยการสำรวจความเห็นของผู้เข้าร่วม35,000คน เพื่อหาแชมป์นักรักว่าเป็นใครจากที่ไหนบ้าง

เริ่มจากหัวข้อจำนวนคู่นอน55เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบคำถามจากประเทศต่างๆ ให้คำตอบว่ามีคู่นอนเฉลี่ย1-8คน ชาติที่นำหน้าในเรื่องคู่นอนเป็นของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้ตอบคำถาม26 เปอร์เซ็นต์สารภาพว่าเคยผ่านคู่นอนมาแล้ว20คน ตามมาติดๆ คือ กรีซ จำนวน25เปอร์เซ็นต์ และอังกฤษ ที่หนึ่งในห้าเคยมีคู่ขามาแล้วมากกว่า20คน ส่วนญี่ปุ่นเป็นชาติรั้งท้ายในการสำรวจ ด้วยสถิติครึ่งหนึ่งของประชากรเคยมีคู่นอนสูงสุดเพียง8คนเท่านั้น

สำหรับเรื่องบนเตียง นักรักที่เด็ดดวงสุดมาจาก กรีซ ลำดับถัดมาคือ อิตาลี และบราซิล

ดูสอดคล้องกันกับผลสำรวจของเว็บไซต์วิจัยตลาด onepoll.com ที่สอบถามความเห็นจากผู้หญิงจำนวน15,000คน และได้คำตอบแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ชายแถบทางใต้คือที่สุด ประเทศที่ติดอันดับท็อป10 ได้แก่ สเปน บราซิล อิตาลี ฝรั่งเศส แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก และแคนาดา

ส่วนตำแหน่งนักรักยอดแย่ ได้แก่ เยอรมนี ด้วยเหตุผลว่าพวกเขามีกลิ่นตัวแรง ผู้ชายอังกฤษมักกะสันหลังยาวกับเรื่องเซ็กซ์ สวีเดนออกแนวลุกลี้ลุกลน ฮอลแลนด์มักแสดงตัวเป็นใหญ่ อเมริกาไม่มีรสชาติ กรีกมีความซ้ำซากเกินไป ตุรกีหน่อมแน้มไปหน่อย และรัสเซียก็ขนเยอะมาก

https://www.pexels.com
ผู้ชายขี้หลี และขี้นอกใจ

เว็บไซต์ค้นหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวMomondoรวมผลสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ชายชาติต่างๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินทางท่องเที่ยว โดยการซักไซ้นักเดินทางจาก 14 ประเทศ พบว่า ผู้ชายจากตุรกีคว้าแชมป์‘ขาเฟลิร์ต’ หรือขี้หลี หนุ่มเติร์ก 37 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าเคยซิ่วสาวๆ ทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันและสาวท้องถิ่น

หนุ่มขี้หลีอันดับสองมาจากอิตาลี (34 เปอร์เซ็นต์) ตามมาด้วยนอร์เวย์ (33 เปอร์เซ็นต์) และเป็นที่น่าประหลาดใจ เพราะปกติหนุ่มนอร์เวเจียนมักนิ่งเงียบเหมือนแสงเหนือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเงียบๆ กินเรียบเหมือนกัน

ที่เหลือเป็นหนุ่มจากเนเธอร์แลนด์ (30 เปอร์เซ็นต์) สหราชอังกฤษและโปรตุเกส (ประเทศละ 29 เปอร์เซ็นต์) รัสเซีย สวีเดน เยอรมนี (ประเทศละ 28เปอร์เซ็นต์) เดนมาร์ก (26 เปอร์เซ็นต์) สเปน และฝรั่งเศส (ประเทศละ 24 เปอร์เซ็นต์) ฟินแลนด์ (22 เปอร์เซ็นต์) และสหรัฐอเมริกา (20 เปอร์เซ็นต์)

และประเทศที่ติดอันดับผู้ชายนอกใจนั้น ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ จาก 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบคำถาม ตามมาด้วยประเทศในกลุ่มอเมริกาใต้อย่าง โคลอมเบีย (51 เปอร์เซ็นต์) บราซิล (46 เปอร์เซ็นต์) และชิลี (45 เปอร์เซ็นต์)

ใครที่ได้สามีที่มาจากเบลเยียม และออสเตรเลียก็ขอแสดงความยินดี เพราะหนุ่มๆ จากสองประเทศนี้มีเปอร์เซ็นต์นอกใจอยู่รั้งท้าย

https://www.pexels.com
ผู้ชายกับคลิปโป๊

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ผู้ชายโสด ผู้ชายมีแฟน หรือผู้ชายแต่งงานแล้ว ล้วนชอบดูคลิปโป๊ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ของเว็บไซต์ die-liebesfibel.de  ให้ความเห็นว่า สำหรับผู้ชายแล้ว คลิปโป๊เป็นเสมือนโลกจินตนาการที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับระดับชั้นความสัมพันธ์

มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า การที่ผู้ชายดูคลิปโป๊แล้วช่วยตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รับเต็มอิ่มจากคู่นอน ผู้ชายบางคนสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองวันละสามครั้ง แต่ก็ยังมีเซ็กซ์กับคู่ขาของเขาได้…เข้าใจตรงกันนะ

คราวนี้มาดูพฤติกรรมการดูคลิปโป๊ของบรรดาผู้ชายกัน จากสถิติของ netzsieger.de ระบุว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของการสืบหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บโป๊ และมีการสืบหาถึง 68 ล้านครั้งต่อวัน 43 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตให้ความสนใจดูเว็บโป๊เหล่านั้น และ 70 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลเกี่ยวกับเว็บโป๊มักถูกถามหาในช่วงวันธรรมดาระหว่างเวลา 9 ถึง 17 นาฬิกา

ข้อมูลสถิติจาก Pornhub เว็บโป๊ชื่อดัง แสดงสัญชาติของผู้ใช้เว็บประจำปี 2019 ผู้เข้าชมเพศชายอันดับต้นๆ คือ สหราชอาณาจักร (72 เปอร์เซ็นต์) ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ (71 เปอร์เซ็นต์) สหรัฐอเมริกา อิตาลี (70 เปอร์เซ็นต์) ยูเครน (69 เปอร์เซ็นต์) ฝรั่งเศส สเปน แคนาดา (68 เปอร์เซ็นต์) อินเดีย (67 เปอร์เซ็นต์) สวีเดน ออสเตรเลีย โปแลนด์ และไทย (65 เปอร์เซ็นต์) เม็กซิโก อาร์เจนตินา (64 เปอร์เซ็นต์) บราซิล และฟิลิปปินส์ (61 เปอร์เซ็นต์) ตามลำดับ

https://www.pexels.com
ผู้ชายอินเดียหมกมุ่นกับเครื่องเพศของตนเอง?

QUARTZ India ทำการสำรวจผู้ชายอินเดีย พบว่า ผู้ชาย 65 เปอร์เซ็นต์รู้สึกโอเคกับขนาดองคชาติของพวกเขา ในขณะที่16เปอร์เซ็นต์รู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ

80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายอินเดียสารภาพว่า พวกเขาสนใจมองอวัยวะเพศของตนเองทุกวัน แต่3.5เปอร์เซ็นต์ไม่เคยคิดใส่ใจกับมันเลย

และผู้ชายอินเดีย 53 เปอร์เซ็นต์ชอบเปรียบเทียบขนาดองคชาติของตนเองกับผู้ชายคนอื่น

มหินทระ วัตสา-นักเพศวิทยาที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ซึ่งเคยเป็นคอลัมนิสต์ตอบคำถามเรื่องเพศให้หนังสือพิมพ์ เขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อตะวันตก กล่าวถึงปัญหาและความกังวลของวัยรุ่นชายในอินเดียหลักๆ คือ เรื่องการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และขนาดของอวัยวะเพศ

“จู๋ของผมจะหดไหม ถ้าผมช่วยตัวเองมากไป” เป็นคำถามที่มหินทระมักพบเจอบ่อย และคำตอบของเขาในฐานะที่ปรึกษาคือ “ลิ้นของเธอจะหดไหมล่ะ เวลาเธอพูดเยอะไป”

เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์
PHOTO : https://www.pexels.com

]]>
พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ ‘SEX’ AND ‘CIA’ https://marshomme.com/lifestyle/529923/ Tue, 23 Jun 2020 15:35:00 +0000
คนไทยรู้จักย่าน ‘พัฒน์พงศ์’ บนถนนสีลมเป็นอย่างดี แต่ภาพลักษณ์ที่คนไทยจดจำต่อย่านนี้ พูดกันตรงๆ ก็คือ ‘ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก’ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ‘เซ็กซ์’ ซึ่งอัศจรรย์ใจถึงขนาดที่คนดังระดับโลก ยังต้องหาโอกาสมาชมด้วยตาตัวเอง “โอ้แม่เจ้า เธอใช้ ‘จิมิ’ เป่าลูกดอกได้อย่างไร ไอไม่อยากจะเชื่อเลย”

แต่เบื้องหลังการกำเนิดของพื้นที่พัฒน์พงศ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมร้อยปี ผ่านกระบวนการขับเคลื่อนทางสังคมที่มี ‘ซีไอเอ (Central Intelligence Agency)’ ของอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องกับย่านนี้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และได้เปลี่ยนพื้นที่ที่ทันสมัยที่สุดในพระนคร ให้กลายเป็นแหล่งโลกีย์ที่สุดของกรุงเทพมหานคร

ซีไอเอเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับพัฒน์พงศ์เป็นเรื่องที่ควรย้อนอดีตไปศึกษาให้จัดเจน ผ่านพิพิธภัณฑ์ใหม่ในย่านนี้ที่ชื่อ ‘พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์’ ที่ก่อตั้งโดยนายไมเคิล เมสเนอร์ (Mr.Michael Messner) ฝรั่งชาวออสเตรีย ที่เติบโตมาในบ้านที่คุณพ่อเป็นศิลปินและเคยดูแลพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดมาก่อน แต่โชคชะตาพาเขามาที่ประเทศไทยและได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวไทย


ไมเคิลตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ เริ่มธุรกิจจากร้านอาหารในย่านพัฒน์พงศ์ เมื่อเวลาผ่านไปเขาได้สัมผัสประสบการณ์จากลูกค้าขาประจำย่านนี้ล้วนมีเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา และมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเป็นทหารผ่านศึกจากช่วงสงครามเวียดนาม บ้างเป็นสายสืบให้กับ CIA บ้าง เป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นละแวกนี้ เขาจึงมีไอเดียริเริ่มที่จะสะสมร่องรอยประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 100 ปี รวมถึงเกร็ดความรู้ ความเป็นมา เบื้องหลังแสงสีและความเย้ายวนใจของถนนพัฒน์พงศ์อันเป็นย่านบันเทิงยามราตรีเก่าแก่ และมีชื่อเสียง ที่มีความผูกพันในเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างชาวไทยกับชาวอเมริกัน


พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์มีพื้นที่ 300 ตารางเมตร จัดแสดงเอกสารและสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยสงครามเย็น (Cold War) ระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อันมีสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และจีนเป็นแกนนำ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่การเริ่มต้นเป็นพื้นที่สังสรรค์ของสายลับ CIA มาสู่แหล่งท่องเที่ยวย่านโคมแดงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึงดารา นักร้องชื่อดังระดับโลก ซึ่งพิพิธภัณฑ์มุ่งเน้นให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ และนำเสนอแง่มุมอันลึกลับของพัฒน์พงศ์อย่างนุ่มนวล ผ่านเทคนิคต่างๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม มีการนำระบบแสง สี เสียง พร้อมสร้างความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม ด้วยการนำแท็บเล็ตขึ้นมาส่องภาพเงาบนผนังเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมของผู้คนในอดีตที่เคยเข้ามาในพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านที่จัดจ้านและน่าค้นหามากที่สุดย่านหนึ่งของกรุงเทพฯ


ก่อนจะมาเป็นพัฒน์พงศ์ในวันนี้ ต้องย้อนเวลาสู่อดีตกันหน่อย

พัฒน์พงศ์เริ่มต้นที่เจ้าของที่ดิน นายตุ้น แซ่ผู่ ชาวจีนไหหลำ ผู้อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาตั้งรกรากที่ประเทศไทย ความขยัน อดทนทำงานหนัก และได้แต่งงานกับภรรยาชาวไทย จนเจริญก้าวหน้า ร่ำรวย และต่อมาได้รับสัมปทานทำเหมืองดินขาว ที่ต่อมากลายเป็นบริษัทปูนซีเมนต์ไทยในปัจจุบัน หลังจากนั้นไม่นาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้ทรงโปรดเกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น ‘หลวงพัฒน์พงศ์พานิช’

ปี พ.ศ. 2470 หลวงพัฒน์พงศ์พานิชได้ซื้อที่ดินจำนวน 17 ไร่ เป็นทรัพย์สินของตัวเอง ในราคา 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาที่ดินผืนนี้มีถนนตัดผ่านสองด้าน แนวคู่ขนาน คือถนนสีลม และถนนสุรวงศ์ จึงทำให้ที่สวนกล้วยพร้อมบ้านพักไม้สักค่อยๆ เปลี่ยนโฉมและพัฒนาขึ้นตามลำดับ หนึ่งในหัวจักรสำคัญก็คือลูกชายคนที่ 4 จากลูกทั้งหมด 7 คนของหลวงพัฒน์พงศ์พานิช หรือนายอุดม พัฒน์พงศ์พานิช ที่เดินทางกลับจากไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวกรองกลางของรัฐบาลสหรัฐ (CIA) เพื่อทำหน้าที่ต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2


เมื่ออุดมกลับมาประเทศไทยหลังจากสงครามโลกยุติลงไปแล้ว อุดมเข้ามาพัฒนาที่ดินของครอบครัว โดยเริ่มจากการตัดถนนผ่านที่ดินของตัวเอง ซึ่งแม้จะได้รับการคัดค้านจากครอบครัว เพราะตามหลักฮวงจุ้ยที่ถือว่าการตัดถนนผ่านที่ของตัวเองเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ แต่นายอุดมกลับโต้แย้งว่าถ้าจะทำการค้าต้องทำแบบนี้ ทั้งยังสร้างอาคารพาณิชย์รูปแบบที่ทันสมัยเพื่อทำเป็นร้านต่าง ๆ และตั้งชื่อว่า ‘ซอยพัฒน์พงศ์’ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ด้วยความที่มีเพื่อนพ้องที่เป็น CIA จำนวนมากมาย เขาจึงเชิญชวนให้มิตรสหายเข้ามาทำธุรกิจในพัฒน์พงศ์ แต่เบื้องลึกที่ลึกกว่าการทำธุรกิจก็คือ ย่านนี้เป็นเซฟเฮ้าส์ของสำนักงานลับของซีไอเอในช่วงสงครามเวียดนาม ที่ใช้เป็นที่กบดาน เชื่อมประสานระหว่างอเมริกา-ไทย และเป็นจุดศูนย์กลางสั่งงานสงครามในเวียดนาม กัมพูชา และลาว เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์

ในช่วงเวลานั้น จะกล่าวว่าย่านพัฒน์พงศ์ ‘เจริญสุด’ ในกรุงเทพมหานครก็ไม่ผิดนัก เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างชาติ ทั้งบริษัทน้ำมัน และสายการบินจากทั่วโลก เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในย่านนี้อย่างครบถ้วน จนทำให้พัฒน์พงศ์กลายเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น


จุดเปลี่ยนของพัฒน์พงศ์เกิดขึ้นในช่วงกลางยุค 70s ที่บริษัทต่างชาติเริ่มทยอยย้ายออกจากพื้นที่ไปตั้งสำนักงานที่อื่นๆ และพื้นที่ย่านนี้ถูกแทนที่ด้วยไนท์คลับต่างๆ ไนท์คลับเหล่านี้เอง กลายเป็นแหล่งแฮงก์เอ้าต์ของบรรดาซีไอเอทั้งหลาย แต่แล้ววันหนึ่ง หญิงสาวที่กำลังร่าเริงกับเสียงเพลงและเพลิดเพลินไปกับรสสุราที่จิบมาแต่หัวค่ำ ก็ทำให้เธอขึ้นไปเต้นบนเวทีอย่างเมามันส์ตำรวจสันติบาลได้เข้ามาห้าม โดยแจ้งแก่เจ้าของบาร์ว่า ‘ผิดกฎหมายไทย’ แต่เจ้าของบาร์ผู้ช่ำชองกฎหมายพอสมควรได้โต้แย้งว่า กฎหมายไทยห้ามการเต้นรำเป็นคู่ แต่เธอผู้นั้นเต้นเพียงคนเดียว จะผิดกฎหมายไทยได้อย่างไร ตำรวจไทยทำอะไรไม่ได้ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย

วันต่อมา เจ้าของบาร์ได้จ้างผู้หญิงมาเต้นแบบเดี่ยวๆ หลายสิบคน จนกลายเป็นจุดกำเนิดของบาร์อะโกโก้แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นภาพลักษณ์ของย่านพัฒน์พงศ์ ก็เป็นเหมือนที่เรารู้สึก จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น World's most famous red-light districts

ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของย่านพัฒน์พงศ์ถูกย่อมาไว้ในที่นี้ พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์แห่งนี้ อยากให้ทุกท่านไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่มีจุดกำเนิด ณ ที่นี่ โดยเฉพาะตัวละครผู้พันวอลเตอร์ อี. เคิร์ตซ์ในภาพยนตร์เรื่อง Apocalypse Now ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ที่ได้แรงบันดาลมาจาก โทนี โพ (Tony Poe) นายพลจอมตัดหู ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ และเคยอาศัยในย่านพัฒน์พงศ์มาแล้ว


พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์

ค่าเข้าชม 350 บาทต่อท่าน (ไม่รวมเครื่องดื่มอื่นๆ ที่บาร์ของพิพิธภัณฑ์)
โปรโมชั่นซื้อบัตรเข้าชม 1 ใบ แถม 1 ใบ พร้อมรับเครื่องดื่มชา กาแฟ ฟรี
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 20.00 น. ที่พัฒน์พงศ์ซอย 2 (ตรงข้าม Food Land)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/patpongmusuem

]]>