เราจดจำภาพถ่ายของ ‘แอ๊ะ–ชาติฉกาจ ไวกวี’ ได้ตั้งแต่ผลงานภาพถ่ายชุด ‘YOUTH’ ความดิบเถื่อนและเกรี้ยวกราดในงานของเขา ที่ส่งผ่านรูปเด็กวัยรุ่นชายที่ถือถุงน้ำอัดลมพร้อมชูนิ้วกลางยังติดอยู่ในความทรงจำของเราให้จำเขาได้มาถึงวันนี้
แต่วินาทีที่เราได้คุยกับเขาอีกครั้งหลังเวลาผ่านมา 10 กว่าปี น่าแปลกใจที่เราสังเกตได้ว่าเขาดูมีท่าทีสงบ ผ่อนคลาย แต่ยังคงมั่นใจในตัวเองอยู่ในทุกอิริยาบถ “ดูเหมือนเป็นนิวชาติฉกาจเลยนะครับ” เราเอ่ยแซว เขาหัวเราะตอบรับ พร้อมชวนเราเข้าไปนั่งคุยในสตูดิโอถ่ายฟิล์มกระจกส่วนตัวของเขา เรานั่งคุยกันหลายเรื่องไล่ไปตั้งแต่พระเครื่อง (พี่แอ๊ะคนจริงบอกว่าพอโตขึ้นไม่เช็กของกันที่เสื้อผ้ารองเท้ากันแล้ว คนจริงขอดูพระกัน) เรื่องไลฟ์เฟซบุ๊กของพี่เสกโลโซ มาจนถึงเรื่องราวในชีวิตที่ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดมาเป็นตัวเองทุกวันนี้ ทั้งเรื่องเล่ามันๆ ในการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับคนรักกล้องฟิล์มอย่าง Airlab ที่เกิดมาจากการถูกหลอก แบรนด์แฟชั่นของคนจริงอย่าง Truly ที่สร้างมาจาก Failed Folder ในคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงนิยามความเรียลที่แท้จริงของชีวิตผู้ชายที่ชื่อแอ๊ะในวันนี้
“สมัยก่อนผมก็เป็นเหมือนกับเด็กเห่อหมอยเหมือนคนวัยผมทั่วๆ ไป (หัวเราะ) โชว์ห้าว โชว์ซ่า โชว์วิพากษ์ทุกอย่างไปหมด แต่ว่าตัวเองก็ไม่ทำ”
ดูจากผลงานชุดหลังๆ และท่าทีการแสดงออกต่อสิ่งต่างๆ คุณดูเกรี้ยวกราดน้อยลงมากๆ เป็นเพราะอะไร
น่าจะมาจากวัยมั้งฮะ เรามาจากจุดที่ติดลบมากๆ แล้ววันหนึ่งตอนอายุ 30 ต้นๆ เรามีอาชีพการงานดี มีเงิน ก็ทำให้เรารู้สึกมั่นใจ ทำอะไรก็จะตรงๆ ห่ามๆ ผมว่าทุกอย่างมากับวัย วันนี้ผมเชื่อว่าผมเป็นชาติฉกาจคนเดิมคนนั้นเป๊ะเลยนะ แต่ความเกรี้ยวกราดมันเปลี่ยนไปอยู่ข้างในตัวเรามากกว่า มันไม่ใช่การแสดงออกแบบสมัยก่อนแล้ว สมัยก่อนผมก็เป็นเหมือนกับเด็กเห่อหมอยเหมือนคนวัยผมทั่วๆ ไป (หัวเราะ) โชว์ห้าว โชว์ซ่า โชว์วิพากษ์ทุกอย่างไปหมด แต่ว่าตัวเองก็ไม่ทำแต่ตอนนี้ไอ้ความเกรี้ยวกราดเหล่านั้นมันอยู่ข้างใน ตอนนี้ภายนอกผมดูเป็นคนปกติมากๆ และผมเชื่อแล้วว่าไอ้ความพิเศษ ไอ้ความเจ๋งจริงๆ มันอยู่ในตัวคนธรรมดานี่แหละ คนรอบตัวของผมที่เป็นคนเจ๋งๆ ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น
คือทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามสังคม ตอนนั้นผมก็อยู่ในสังคมที่ทุกคนพยายามจะโชว์ว่าตัวเองเหนือปกติ ตัวเองมีของแปลกกว่าปกติ ฟังเพลงแปลกกว่าปกติ แต่ตอนนี้ผมกลับมองว่าคนธรรมดาที่เราไม่เคยให้ค่าในชีวิตแม่งโคตรเจ๋งเลย หมอชาวบ้าน คนรักษาสัตว์ คนทำอาหาร ตอนนี้ผมอินเรื่องพวกนี้มากกว่า
ความเรียลของชีวิตจริงๆ คืออะไร วัยรุ่นสมัยก่อนยันสมัยนี้ก็ยังชอบเอาคำนี้มาบลัฟกันเหลือเกิน
ความเรียลของชีวิตคือการกล้าบอกคนอื่นว่าฉันเป็นคนธรรมดานี่แหละ การที่จะกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้แสดงว่าเขาต้องผ่านการตกตะกอน ผ่านอัตตา ผ่านความเข้มแข็ง ผ่านปัญญามาเยอะมาก การที่บอกคนอื่นได้ว่าฉันไม่ต้องการความพิเศษอะไรอีกต่อไปแล้ว ฉันเป็นคนธรรมดาที่อยากเกิดและตายไปกับธรรมชาติ
คือเราก็ยังเจอคนมาบอกว่าผลงานนี้เรียล เพลงนี้เรียล แต่ผมว่าไม่มีอะไรเรียลบนโลกนี้หรอก คนที่แต่งตัวบอกว่าเรียลสุดก็คือคนที่ก๊อปมาเนียนสุดหรือเปล่าวะ แค่มีเงินมากกว่าคนอื่น ได้ของมาก่อนคนอื่นเท่านั้นเอง คนที่พูดถึงความเรียลอยู่ตลอดเวลาแสดว่าตัวเขาไม่ได้จริงเลย เขาเลยต้องเอาคำนี้มาโปะๆ เต็มตัวเพื่อให้คนเชื่อในคำนั้นมากกว่าตัวเขาเชื่อในคำนั้นเองความแท้จริงที่พิเศษคือการคงอยู่ในความธรรมดา คือการระงับ กลั้นใจไม่บอกอะไรใครว่าเราพิเศษ
อะไรที่ทำให้คุณเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้
คนรอบข้าง ผมว่าคนที่ยังไม่ได้เปลี่ยน อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มาใส่ใจคนรอบข้างจริงๆ เขาอาจจะสนใจคนรอบนอกมากกว่า เช่น ทำแบบนี้แล้วได้ไลก์เยอะ โพสต์แบบนี้แล้วมีคนชื่นชม ถ้าทำแบบนี้ต่อให้ตัวเองไม่ชอบแต่ก็จะเป็นที่ยอมรับนะ เพื่อที่จะได้คงความเป็นฉันไว้ เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนั้น ต้องกเฬวรากโชว์เพื่อให้คนมาเฮใส่ผม คอยดูว่าวันนี้ผมจะเล่นเรื่องอะไร พี่แอ๊ะแม่งจะไปกวาดใครวะ จนวันหนึ่งก็มีเด็กขึ้นมากวาดผมบ้าง (หัวเราะ) คือผมไม่อยากพูดว่าทุกอย่างมันเป็นกรรม แต่ทุกอย่างมันมีเหตุผลในการทำให้เราเปลี่ยนไป
ผมก็ไม่อยากเชื่อนะ ว่าสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนมาถึงทุกวันนี้มันมาจากแค่แฟน แม่ แล้วก็หมา3 อย่างนี้ผมอยากมีเวลาให้แม่มากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าแม่จะตายวันไหน ผมอยากดูแลก่อนที่แม่จะเป็นอะไรไป เพราะรางวัลทั้งหมดในชีวิต หรือว่าการสรรเสริญคงไม่สามารถกู้สิ่งที่สูญเสียไปได้ กับแฟน เขากับผมเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมา (Airlab)เขาเป็นคนบอกผมเองว่าจะมัวแต่ไปสร้างงานให้คนอื่นทำไม ทำให้ตัวเองสิไหนๆ เรามีโอกาสขนาดนี้แล้ว มันเปลี่ยนวิธีคิดผมไปเลย ทุกวันนี้ผมรับงานน้อยลง เลือกงานที่ไม่ต้อง Pitching กับเลือกงานที่เราถนัด สมัยก่อนเราเคยทำงานที่เราไม่ถนัดแล้วมันเสีย มันทำร้ายเราเต็มไปหมดเลย เสียเพื่อน เสียเงิน เสียจริต เสียลูกค้า แต่พอทำที่ถนัดแม่งมีแต่คนชอบ แล้วทุกวันนี้ผมแค่ทำงาน มีเงิน และมีเวลาพาหมาไปว่ายน้ำ ผมรู้สึกว่านี่คือที่สุดของผมแล้ว
สิ่งที่เสียดายที่สุดตอนที่ยังคิดไม่ได้คืออะไร
ผมเสียดายเวลา ผมไม่กล้าไปเปรียบเทียบกับความสุขของคนอื่นนะ เพราะคนอื่นอาจจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นก็ได้ไง ผมมีเพื่อนผมที่เขามาหาที่นี่แล้วเขาบอกว่าเขาอิจฉาผม คุยกันไปแล้วเขาก็ร้องไห้ ชีวิตเขายังต้องวิ่งวุ่นอยู่ในลูปเดิม ยังต้องมานั่งเขียนบทหนังบทโฆษณาที่ใช้เวลาเป็นปี แล้วแลกกับคำสรรเสริญแค่วินาทีเดียว แต่สิ่งที่เขาเสียคือเขาเสียครอบครัว เสียความจริงหลังบ้าน เพื่อไปเอาความจริงในสังคม ผมรู้สึกว่าผมจะไม่มีวันเป็นคนที่ใช้ชีวิตน่าเศร้าแบบนั้นอีกแล้ว และผมก็คิดว่าตอนนี้ผมได้มันกลับมาแล้ว
“ผมว่าถ้าทุกคนหันมาสนใจ Failed Folder ของตัวเอง ทุกคนจะตรัสรู้ได้ในแบบของตัวเอง”
เหมือนกับที่คุณเคยเกือบแลกความสำเร็จที่ว่ากับโรคมะเร็งเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า
ใช่ครับ จริงๆ โรคมะเร็งไม่ได้เป็นเรื่องเท่ ที่ควรเอามาอวดอะไรเลย ตอนนั้นผมมีบัตรเครดิตที่มีสิทธิพิเศษให้ เป็นสิทธิตรวจร่างกายแบบไฮโซขั้นสุด ผมก็เสียดายเลยไปตรวจเล่นๆ ให้มันหมด เพราะขี้งก สรุปหมอก็บอกว่าเจอเชื้อมะเร็งขั้นที่ 1 เราก็หัวโล่งไปเลยอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นที่คิดก็คือมันมาจากการทำงานหนัก ไอ้ความเท่ที่ทุกคนเห็นว่าเรามีชีวิตที่เจ๋งมาก ก็แลกมากับสุขภาพ
ผมเลยเริ่มมาศึกษาว่าจะทำยังไงดีวะ ก็เริ่มวิ่งตอนเช้าซึ่งก็พกกล้องไปด้วยเพื่อให้เรามีความสุขหน่อย เริ่มกินผักดูเรื่องโภชนาการ กินน้ำผลไม้ เริ่มนอนเร็ว มันมาเปลี่ยนชีวิตจริงๆ ตรงที่เราเริ่มนอนเร็วนี่แหละ พอนอนเร็วเราก็เลยไม่สามารถทำงานที่นอนดึกได้ งานไหนที่ลูกค้าจะเยอะๆ หรือเป็นงานที่ต้องนอนดึกก็เริ่มไม่รับ การเปลี่ยนแปลงมันมาพร้อมกันเป็นระบบนิเวศ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี พอไปตรวจอีกทีโดยใช้บัตรอันเดิมผลสรุปผมก็หาย หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนที่ดูแลสุขภาพขึ้นเยอะเลย
คุณเคยเล่าว่าแบรนด์ Truly ของคุณสร้างมาจาก Failed Folder ในคอมพิวเตอร์ที่ลูกค้าไม่เอา แล้วในแง่ชีวิตล่ะ มนุษย์ควรเรียนรู้จากความ Failed แค่ไหน
ควรเรียนรู้อย่างยิ่งเลยมันสำคัญกับมนุษย์มากๆ Failed Folder คือสิ่งที่ผิดหวังหรือเป็นปัญหา ถ้าเราหลีกปัญหาทั้งหมดมันก็คือขี้แพ้ ทำงานไม่ชอบก็ลาออก ทำผิดก็ลาออก ไปนั่งด่าคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ก็เพราะ Failed Folder นะ ก็เพราะการไปบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้รู้ว่าเจ็บไปก็ไม่ได้อะไร หิวไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยเจอทางสายกลาง การเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ตึงไม่หย่อน มันเกิดประโยชน์ ผมว่าถ้าทุกคนหันมาสนใจ Failed Folder ของตัวเอง ทุกคนจะตรัสรู้ได้ในแบบของตัวเอง
เล่าถึงไอเดียเริ่มต้นของ Airlab กับฟิล์มกระจกบ้างตอนนั้นทำไมถึงมาสนใจอะไรแบบนี้
ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเลยครับ Airlab เกิดจากความผิดพลาดด้วยซ้ำ Airlab เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวที่ผมอยากมีแล็บของตัวเอง เพื่อทดลองซุ่มทำงานอะไรของเรา เพราะจริงๆ แล้วลูกค้าหลักของผมเป็นต่างชาติ ไม่ได้อยู่ในไทย แล้วเผอิญผมก็ไปเจอคนที่เขามีของเกี่ยวกับกล้องฟิล์มเก็บไว้ เขาก็มายุให้เปิดร้าน ตอนนั้นสรุปก็โดนฟันหัวแบะ เขามาทิ้งไข่ทิ้งขี้เอาไว้ สร้างศัตรูเพิ่มไว้ให้เราอีก
คือเราเป็นช่างภาพของเราอยู่ดีๆ แต่ Airlab มันเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการถ่ายภาพเป็นคนละวงการกัน มันคือการต้องไปดีลกับซัพพลายเออร์ขายน้ำยา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดทำให้เราเจอปัญหาฟิล์มหายอะไรต่างๆ ซึ่งสุดท้ายปัญหาพวกนี้มันทำให้เกิดธุรกิจที่น่ารักขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วผมต้องขอบคุณพี่คนที่สร้างปัญหาคนนั้นนะ ผมเห็นคนนั่งด่าพี่คนเดิมเนี่ย เพราะแล็บล้างฟิล์มอื่นๆ ก็โดนเหมือนผมอีก แต่ผมรู้สึกว่าไม่รู้จะด่าไปทำไม เขาทำให้ผมเจออะไรบางอย่างต่างหาก ทุกวันนี้เวลาเจออะไรร้ายๆ ผมแม่งโคตรคิดบวกเลย ไม่ได้คิดบวกเพราะว่ามันดูหล่อ แต่มันเป็นเรื่องจริง ทุกวันนี้สิ่งที่ไอ้พี่คนนั้นทำ มันสร้างธุรกิจไว้ให้ผม และก็สร้างเงินให้ผมทุกเดือนเดือนละหลายแสนบาทโดยที่ผมไม่ต้องออกไปก้มหัวของานใคร ผมต้องขอบคุณเขาที่เขามาวางยาผม (หัวเราะ)
แล้วที่ไปขุดศาสตร์โบราณอย่างฟิล์มกระจกขึ้นมาทำล่ะ
ฟิล์มกระจกมันเกิดมาจากการที่คิดว่าทำไมเมืองไทยไม่มีคนทำวะ มันยากตรงไหนวะ ทำไมโรงเรียนไม่มีสอน ครูบางคนก็ไม่รู้ แล้วผมก็เป็นคนที่ขี้เบื่อ สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดคือเบื่อตัวเองคนเดิม ผมแค่อยากเห็นตัวเองคนใหม่ทุกวัน นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยลองทำขึ้นมาจนสำเร็จ พอสำเร็จแล้วเราก็คิดกับมันต่อว่าสำเร็จเท่านี้คงไม่พอ เก่งคนเดียวมันไม่สนุกหรอก เราต้องแบ่งปัน ผมไม่ค่อยอินกับการที่คนมองคนทำอะไรแบบเดียวกันว่าเป็นคู่แข่ง ผมมองแบบฝรั่งว่ามันเป็นคู่ค้า เหมือนวัดเส้าหลินกับบู๊ตึ้ง มันก็จะสนุกเพราะแต่ละคนก็จะมีอาวุธลับคนละแบบ
พอถ่ายฟิล์มกระจกมาหลายปีแบบนี้เริ่มเบื่ออีกแล้วหรือยัง
ผมเบื่อในบางขั้นตอน แต่ว่าผมยังมีความสุขและความตื่นเต้นอยู่ทุกครั้งที่ถ่ายภาพคนนะ ผมจะบอกลูกค้าทุกครั้งว่าฟิล์มกระจกมันไม่ใช่การถ่ายภาพนะ ไม่ใช่การที่วันหนึ่งคุณกดชัตเตอร์ได้เป็นพันรูปแล้วมานั่งเลือก มันถ่ายได้แค่ช็อตเดียว แล้วช็อตนี้มันจะกลายเป็นมรดก ผมไม่ได้ให้รูปถ่ายคุณ ผมให้มรดกคุณ มันมีค่า แล้วความมหัศจรรย์ของมันทุกครั้ง คือเวลาที่ผมเทน้ำยาตัวสุดท้ายลงไปแล้วภาพลอยขึ้นมา ผมยังมีความสุขกับการเห็นแววตาของคนที่ผมถ่ายภาพให้เขาอยู่
เสน่ห์ของอาชีพช่างภาพสำหรับคุณคืออะไร
ผมว่าผมได้อภิสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่มากจากคนคนหนึ่ง ได้เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาวีไอพีของชีวิตเขา ผมไม่อยากเชื่อว่าเราได้รับจองคิวถ่ายภาพจากเจ้าของ Guinness Book ที่เขานั่งรถจากโรงแรมมาถ่ายภาพแค่ 1 ชั่วโมงแล้วกลับบ้าน เพราะเขาบอกว่าเขาอยากได้รูปติดบ้านคือจะมีอาชีพไหนที่ได้ใช้เวลาส่วนตัวคุยเล่นกับคนระดับนั้นเท่ากับอาชีพผม แถมผมยังได้สั่งเขาด้วย (หัวเราะ) แล้วก็สิ่งที่เหนือกว่ารายได้ คือช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ผมถ่ายรูปคนระดับนั้นในห้องนี้ มันต่อยอดไปสู่งานอื่นๆ อีกมากมายโลกเรามันมีงานอื่นๆ นอกจากที่เราเห็นในโฆษณานะ ซึ่งผมได้รู้จากลูกค้าที่มาถ่ายภาพกับผมในห้องนี้เยอะมากตัวอย่างเช่นมีลูกค้าคนหนึ่งมาถ่ายฟิล์มกระจก แล้วเขาเป็นเจ้าของรีสอร์ตในต่างประเทศ เขาต้องการให้ผมบินไปถ่ายภาพรีสอร์ตเขาทั้งโครงการเลย รายได้จากงานนี้งานเดียว มากกว่าที่เคยได้ทั้งปีของสมัยก่อนอีก
คือผมเชื่อว่าการเจอคนดีๆ มันจะให้ปัญญาครับ เราได้ไปเจอคนที่เก่งด้านการลงทุน เจอเชฟที่เก่งเรื่องทำอาหาร เจอครูที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอนามัย เฮ้ย เราเจอมิตรสหายจากมวลพลังงานในห้องนี้ ผมรู้สึกว่าอาชีพผมแม่งมีแต่กำไรว่ะ นอกจากได้เงินเขาแล้วเราก็ยังได้ความรักของเขา ความปรารถนาดีของเขา มันดีมาก มันดีจริงๆ
“ผมว่าทุกคนมีดวงตาที่เห็นคุณค่าต่างกัน อันนี้คือสิ่งที่เราทุกคนมี แต่เมื่อไหร่ที่เราเห็นคุณค่าตามคนอื่น อันนั้นความสุขมันจะไม่เกิด”
กระบวนการถ่ายฟิล์มกระจกสอนอะไรคุณบ้าง
มันทำให้ผมคิดว่าเราละเลยเรื่องแบบนี้มาได้ยังไงวะเนี่ย มันถูกทำมาจนจบแล้ว โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่แล้วคอมโพสที่เท่ที่สุดก็อยู่ในยุคที่ฟิล์มกระจกเพิ่งเกิด ผมรู้สึกแบบ เฮ้ย เรามัวไปหาของฉาบฉวย เราไปอินกับเรื่องข้างนอกที่มันมาฉาบหลอกๆ ดูปังๆ ฮิตง่ายๆ มีคนกดไลก์ได้ง่ายๆ เราเลยมัวทำอะไรที่มันง่ายเพื่อให้คนยอมรับกันเร็ว ความสำเร็จมันเป็นเรื่องสำเร็จรูปมากเลยทุกวันนี้
คุณมีกล้องที่แพงมาห้อย คุณอินบ็อกซ์ไปขอถ่ายรูปคนดังฟรีๆ แล้วเขาตกลง คุณเอารูปมาลงแล้วมีคนแชร์ คุณก็บอกว่าตัวเองเป็นช่างภาพ ความสำเร็จมันมาง่ายในยุคนี้ แต่ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะ อยู่ที่คุณรักษาความสำเร็จนั้นได้นานแค่ไหนมากกว่า ถ้าคุณมาแรงมาเร็วและรักษามันได้นานนั่นคือเรื่องที่ดี ผมไม่ได้บอกว่าความฉาบฉวยมันห่วย มันดี แต่การรักษามันเอาไว้หลังจากได้มานั่นแหละคือเกมของความฉาบฉวย
ยุคนี้เราใช้ชีวิตกันเร็วไปหรือเปล่าทำให้เห็นคุณค่าอะไรไม่ค่อยชัด
ผมเชื่อว่าทุกคนต้องบาลานซ์ความเร็วและความช้าให้สมดุล คือเร็วคุณต้องทำงานเร็ว เพราะเราก็ไม่อยากไปกินข้าวร้านที่ทำนานๆ หรือเราไม่อยากขึ้นรถที่ขับช้า แต่เราทำทุกอย่างให้มันเร็วเพื่อที่จะได้ปัจจัยหรือได้อะไรมา เพื่อที่จะทำทุกอย่างในชีวิตให้มันช้าป่ะ ผมเห็นตากล้องที่ถ่ายดิจิตอล ทำงานหาเงินมาได้ก็มาซื้อกล้องฟิล์มเพื่อที่จะมีความสุขกับมัน ผมเห็นมหาเศรษฐีสิ่งสุดท้ายที่เขาเก็บก็คือรถโบราณ ผมก็ถามว่าจะเก็บทำไม วิ่งก็ช้า เขาก็บอกว่ามันมีคุณค่า ผมว่าคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ความช้าหรอก แต่การที่เรามีเวลาอยู่กับอะไรช้าๆ แบบนี้ต่างหาก
ผมว่าทุกคนมีดวงตาที่เห็นคุณค่าต่างกัน อันนี้คือสิ่งที่เราทุกคนมี แต่เมื่อไหร่ที่เราเห็นคุณค่าตามคนอื่น อันนั้นความสุขมันจะไม่เกิด เมื่อเราโตขึ้นเราจะใช้เหตุผลเยอะขึ้นมาก เหตุผลที่ดีที่สุดในชีวิตผมตอนนี้คือตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต ชีวิตน้อยมากเลย เวลาไปงานหรือไปถ่ายสัมภาษณ์คนก็จะบอกว่า นี่คือช่างภาพแฟชั่นหรอ นี่เป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นเหรอ ผมบอกเลยว่าผมตอนนี้ไม่ต้องพิสูจน์แล้ว หัวผม ความคิดที่อยู่ข้างในของผมเป็นสิ่งที่แพงที่สุด ผมไม่ต้องมีเครื่องประดับมาประโคมตัวเพื่อให้คนเคารพอีกแล้ว ผมเป็นคนธรรมดาที่น้อยมากวันนี้