โดยเบญจกาย
จั่วหัวแบบนี้ เบญจกายไม่ได้จะแต่งนิยายวายให้อ่านนะคะ แต่หลังจากที่เงียบหายไปยาวนาน เพราะไม่มีเก้งกวางท่านใดเจียดคิวมาให้สัมภาษณ์ ถือโอกาสใช้เวลาว่างช่วงกักตัว หลังจากดูน้องพรฮับจนเมื่อยมือ เสิร์จหาข้อมูลอื่นๆ ดูบ้างว่า ชาว LGBT บ้านอื่นเมืองอื่น ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากน้อยแค่ไหน แม้จะไม่ได้มีข้อมูลที่ชัดเจนนัก แต่เรื่องราวต่างๆที่อิรุงตุนังกับเกย์ ก็มีเรื่องให้เบ้ปาก และมีเรื่องราวน่ารักๆ ที่น่าหยิบมาทำซีรีส์มากๆ ค่ะ
เอาเรื่องที่ชวนให้เบ้ปาก มองบนกันก่อนนะคะ แม้โลกจะเจริญก้าวหน้ามาถึงยุคดิจิทัลแล้วก็เถอะ แต่ก็มิวายมีวิวาทะบ้าๆ บอๆ ระหว่างพวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรง
เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อ ‘ริชาร์ดเวเบอร์’ ทนายความและเกย์นักเคลื่อนไหวทางสังคม ชาวนิวยอร์ก วัย 57 ปี ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคโควิด-19 การเสียชีวิตจะด้วยโรคระบาดแบบนี้หรือด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเกย์หรือมนุษย์ทั่วไปก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความเสียใจใช่มั้ยคะ
แต่นายริค ไวล์ส เจ้าของเว็บไซต์ TruNews กลับแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า โดยกล่าวถึงการเสียชีวิตของริชาร์ดเวเบอร์ ว่าเป็นคำตัดสินของพระเจ้า!!!
“เขาเป็นทนายอาวุโสของ LGBT เนติบัณฑิตยสภาแห่งนิวยอร์ก นักกฎหมายที่เคยฟ้องร้องโบสถ์, ทนายความที่เคยฟ้องกระทรวง ทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการบูรณาการการใช้ห้องน้ำ เพื่ออนุญาตให้ ‘ผู้ชาย’ ใช้ห้องน้ำร่วมกับเด็กๆ แต่วันนี้ทนายความอาวุโสของพวกเขาได้ชีวิตที่นครนิวยอร์กด้วยเชื้อไวรัสโคโรนา นี่คือคำตัดสินของพระเจ้า ผมเพียงต้องการจะบอกพวกคุณว่า อย่ายืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์” ไวล์สกล่าว
ค่ะ พลันที่ประโยคนี้โดนเผยแพร่ออกไป ปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้ามก็ตามมาทันที เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือไวรัสโคโรนาไม่เคยเลือกเพศ ชนชั้น เชื้อชาติ ฐานะ เลยแม้แต่น้อย มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้สามารถตายได้ด้วยโรคโควิด-19 กันทั้งนั้น และข้อเท็จจริงที่มีทั่วไปก็คือคนเคร่งศาสนาก็เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเช่นกัน จนกลายเป็นที่มาของประโยค
“หากเอชไอวีเป็นการลงโทษเกย์ของพระเจ้าแล้ว เชื้อไวรัสโคโรนาคือการลงโทษคริสเตียนอนุรักษนิยมจากพระเจ้าเช่นกัน”
อันนี้คือวิวาทะที่พวกเกย์สุดโต่งกับพวกคริสเตียนหัวรุนแรงในยุโรปกับอเมริกา เขาวีนใส่กันนะคะ ไทยแลนด์ไม่เกี่ยว
ทุกครั้งที่มันเกิดการระบาดของโรคระบาดพวกนี้ทีไร เราจะได้ยินวิวาทะพวกนี้เสมอ ตอนที่เอชไอวีระบาดหนักในยุค 90 ก็เช่นกัน ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ LBGT ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกาก็ได้รับข้อกล่าวหานี้ไปเต็มๆ แต่ให้บังเอิญที่การระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ มันดันไปจู่โจมที่ศูนย์กลางของศาสนาใหญ่ๆ ได้แก่ กรุงโรม ศูนย์กลางของคาทอลิก, เอเธนส์ ศูนย์กลางของกรีกออร์โธดอกซ์, มอสโก ศูนย์กลางของออร์ทอดอกซ์ รัสเซีย ลอนดอน ศูนย์กลางของพวกแองลิกัน, เยรูซาเล็ม ศูนย์กลางแห่งศรัทธาของชาวยิวและซอลท์เลคซิตี้ซึ่งศูนย์กลางของพวกมอร์มอน
ฝั่งเกย์เสรีนิยมที่ซานฟรานซิสโก ก็ออกมาตอกกลับในเรื่องนี้ทันที โดยเปรียบเทียบว่า ความพิโรธของพระเจ้าในการส่งไวรัสโคโรนามาปราบมนุษย์โลกดูบ้างว่าเป็นอย่างไร ในซานฟรานซิสโกมีผู้ป่วยไม่ถึง 1,000 รายและมีผู้เสียชีวิต 12 ราย ในขณะที่เมืองสำคัญๆทุกแห่งของศูนย์กลางของศาสนาหลักๆ ของโลก ศาสนาที่ ณ จุดหนึ่งเคยเลือกปฏิบัติต่อชุมชน LGBT กลับมีอัตราการติดเชื้อไวรัสและเสียชีวิตมากกว่าซานฟรานซิสโก ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ฉะนั้น คำพูดของริค ไวล์ส จึงดูจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก นี่คือสิ่งที่เกย์เสรีนิยมสุดโต่งฝั่งซานฟรานซิสโกสรุปมา ความจริงที่ควรจะเป็นในเวลานี้ก็คือเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หยุดสร้างความเกลียดชังด้วยสร้างวาทกรรมต่างๆ นานา และหยุดโทษคนอื่นโดยไม่สำเหนียกมองตัวเองเลยสักนิด
ชอบบทสรุปนี้จัง เพราะในขณะที่คนในยุโรปและอเมริกายังเหยียดเพศกันอยู่ บ้านเรากลับเอาโรคระบาดมาสร้างประเด็นทางการเมืองได้ไม่หยุดหย่อน แต่จะมีคนไทยชังชาติสำนึกมั้ยคะ…
ฟังเรื่องเหวี่ยงวีนแล้ว กลับมาที่เรื่องน่ารักๆ บ้างนะคะ ในทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นบนโลกมักจะตามมาด้วยเลิฟสะตอรี่เสมอ แล้วหลายเรื่องจะถูกแต่งขึ้นภายหลัง แต่เรื่องนี้เรื่องจริงๆ ค่ะ และบอกได้เลยใครที่กำลังหาพล็อตทำซีรีส์ เรื่องนี้ปังสุด
แล้วความรักท่ามกลางโรคระบาดใหญ่เป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นในลอนดอน เมื่อนายแอรอน ฮุสเซย์ โพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัว ถึงเรื่องความรักของเขาช่วงกักตัว ที่บังเอิ๊ญบังเอิญมากค่ะแม่ เรื่องมีอยู่ว่า นายแอรอน ฮุสเซย์ และนายรี้ดแบดแมน เกย์ชาวอังกฤษ ที่อาศัยอยู่ในลอนดอนทั้งคู่ ได้ออกเดตกันมาไม่กี่วัน ก่อนที่คนส่วนใหญ่ของโลกจะต้องเข้าสู่โหมดล็อกดาวน์เพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน
จะเรียกว่า เจอกันไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ (ส่วนจะได้เสียกันมาก่อนหรือไม่ อันนี้เบญไม่ทราบนะคะ อาจจะแค่ภายนอกก็ได้ใครจะรู้ อิอิ) ภาษาไทยเรียกว่าเป็นคู่กิ๊กนั่นเอง แต่จู่ๆ วันหนึ่ง รูมเมตของรี้ด ก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ เพราะดันไปอิรุงตุงนังกับคนที่ติดเชื้อไปก่อนหน้านี้ รี้ดแม้จะยังไม่ติดเชื้อ แต่สถานการณ์ก็ถูกบังคับให้เขาต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนหนึ่ง เพื่อหาที่พักชั่วคราว และก็ได้บ้านของแอรอนนี่แหละที่เป็นที่พักใจค่ะ
เรื่องมันน่าจะจบง่ายๆ เนอะ แค่มาอาศัยไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับห้องตัวเอง แต่ดันมาเจอประกาศของท่านนายกผู้แสนจะน่าเบื่อของชาวอังกฤษหลายๆ คน นายบอริ่ง จอห์นสัน อุ๊บส์ ผิดค่ะ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดันประกาศล็อกดาวน์ลอนดอนทันที ทำให้ทั้งคู่ออกจากห้องไม่ได้ (หุยยย ป้าไม่อยากจะคิดเลยค่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้น)
“เขามาขออยู่ 2-3 วัน เพื่อปกป้องตัวเองและดูว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูมเมตของเขา” แอรอนกล่าว หลังจากนั้นในวันถัดมา “นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ก็ประกาศล็อกดาวน์เด็ดขาด เราออกไปไหนไม่ได้ทั้งวันและมันก็สมเหตุสมผลสำหรับเขาที่จะอยู่ต่อไปจนกว่านายบอริสจะยกเลิกคำสั่ง”
“เมื่อคุณถูกขังอยู่ในบ้านกับใครสักคนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มันจะช่วยเร่งให้คุณทำความรู้จักกันเร็วขึ้น ในขั้นตอนนี้ โชคดีที่เราไม่ได้มีพฤติกรรมที่รบกวนซึ่งกันและกันมากจนเกินไป” แอรอนกล่าว
นั่นล่ะค่ะ เมื่อไม่มีอะไรจะทำนอกจากต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชม. ก็ทำให้รู้จักกันและกันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดทั้งสองก็กลายเป็นแฟนกัน
“แม้มันจะเป็นเรื่องแปลกๆ แต่ฉันมีความสุขมาก ที่นี่เราเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา เพราะเราสามารถเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง โดยไม่มีคนนอกมารบกวน” รี้ดกล่าว
เรื่องราวล็อกดาวน์สะดุดรักก็จบลงแต่เพียงแค่นี้ก่อน ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไร โปรดไปแต่งเรื่องเอาเองตามอัธยาศัย หรือไม่ก็รอให้ปลดล็อกดาวน์ในลอนดอนเมื่อไหร่จะติดต่อขอสัมภาษณ์พวกนาง
เรียบเรียงข้อมูลจาก
https://www.pride.com/lovesex/2020/4/15/these-two-men-had-go-lockdown-together-now-theyre-boyfriends
https://www.lgbtqnation.com/2020/04/hiv-gods-punishment-gays-coronavirus-gods-punishment-christians/?fbclid=IwAR0CQaBi9_YwY2VulWN9VOZ-KvcQTN9N12zfL0OnmSciZcaCiTVA9WTFGjk#.Xpfbus5uJmQ.facebook