กวาดสายตามองนักแสดงหนุ่มๆ สายเซ็กซี่ สยบใจสาวๆ ทุกประเภททุกครั้งที่เขา ‘ถอดเสื้อ’ ณ โมเมนต์นี้ คงต้องยกให้ชื่อ ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลจากซีรีส์ ‘3 Will Be Free สามเราต้องรอด’ทางช่อง one 31 แซงโค้งขึ้นมายืนหนึ่งเหนือนักแสดงวัยรุ่นชายทุกคนที่มีอยู่ในตอนนี้


อันที่จริง จอสฉายแววความเซ็กซี่มาตั้งแต่สมัยเข้าวงการด้วยการเป็นพิธีกรรายการ ‘ดูมันดิ’ รายการท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีพิธีกร 5 หนุ่มรสแซ่บๆ ลองย้อนกลับไปดูเทปเก่าๆ สิ เอะอะถอดเสื้อตลอดเวลา และหลายๆ อีพีก็ทำเอาน้ำหมากป้าแก่เลอะเสื้อไปหมด

“ตอนแรกทำเพจดูมันดิกับพี่ๆ ครับ เป็นเพจท่องเที่ยว แกล้งคน ทำคลิปตลกๆ ออนไลน์ ทั้ง YouTube และ Facebook แล้วตัวเราก็มีคนตามมากขึ้นใน Instagram ครับ จนวันหนึ่งพี่โจ้ (ทิชากร เหรียญทอง) ผู้กำกับของ Trasher อยากให้เรามาออดิชั่นบทบทหนึ่งใน Friend Zone ซีรีส์ เป็นนักแสดงรับเชิญ เป็นแฟนเก่าของแพรวา ก็เลยได้มาลองออดิชั่นดูครับ สุดท้าย เขาถามผมว่าอยากเซ็นสัญญากับ GMM ไหม อยากเล่นละครไหม สรุปได้รับเชิญสองเรื่องคือ Friend Zone ซีรีส์ และ Wolf เกมล่าเธอ ส่วนเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้รับบทหลักครับ”


งานพิธีกรสนุกไหม “สนุกครับ” จอสตอบ “แต่ถามว่ามันเชิงพิธีกรเต็มตัวไหมก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ เราไม่ได้พูดตามสคริปต์จ๋า มันเป็นแค่เพจท่องเที่ยวเหมือนเป็นกึ่ง vlog กึ่งรายการเรียลลิตี้ ที่พวกเราไปแข่งทำนู่นทำนี่กัน หาชาเลนจ์ ไปทำในสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทยแล้วก็ต่างประเทศครับ และถ้ามีคอนเทนต์ที่เราเห็นว่าสนุกๆ เราก็ทำครับผม แต่การออนมันจะไม่ได้ฟิกซ์ว่าอาทิตย์ละเทป จะออนตามคอนเทนต์ที่มีครับ ดูมันดินี่เริ่มทำตอนเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ปี 3 ครับ ถ้าจำไม่ผิด”

ก่อนเรียนนิเทศ เรียนอะไรมาก่อน มีคนเมาท์ว่าจอสเป็นลูกครึ่งปักษ์ใต้ “ไม่ครึ่งนะครับ เป็นคนใต้ล้วน ทั้งคุณพ่อคุณแม่เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราชครับ ผมก็เกิดที่นั่น โตที่นั่นจนถึง 12 ปี จึงได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สายไหมครับ ตอน 12 เข้า ม.2 เรียนได้ปีหนึ่งก็ได้ทุนนักกีฬาครับ ไปอยู่โรงเรียน Traill International School เป็นโรงเรียนนานาชาติที่รามคำแหงครับ ตอนอายุ 15 ปี แต่พ่อแม่ผมไม่ได้ย้ายมาด้วยนะครับ ท่านยังทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน พ่อผมส่งมาเรียนกรุงเทพฯ เพราะมองว่าการศึกษาและสภาพแวดล้อมน่าจะดีกว่า เขาก็เลยส่งมาอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมากๆ ของคุณพ่อ แล้วเขาก็เอ็นดูเราอยู่แล้ว เพราะเขาไม่มีลูก แต่ตอนย้ายเรียนอินเตอร์ก็มาอยู่หอข้างๆ โรงเรียนคนเดียวครับ” จอสกล่าว


แล้วทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงเลือกเรียนนิเทศศาสตร์

“ให้พูดตามตรงเลยนะ” จอสเกริ่น “ตอนแรกคือทางครอบครัวอยากให้เข้าจุฬาฯ มากๆ ที่ผ่านมาไม่มีญาติๆ เคยเข้าจุฬาฯ มาก่อน เขาเลยรู้สึกว่ามันเป็นบิ๊กดีลสำหรับเขา ตอนแรกผมอยากจะเข้า BBA บริหารธุรกิจครับ บัญชี แต่ว่าผมก็รู้สึกว่าเรายังไม่รู้เลยเราชอบอะไร ส่วนนิเทศตอนนั้น เอาตรงๆ ผมไม่ได้รู้มากว่านิเทศต้องทำอะไรบ้าง พอคิดถึงนิเทศก็คือทำหนังแล้วเราไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น แต่ว่าเรายื่นไป 3 คณะ ยื่นเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ ยื่นนิเทศอินเตอร์ แล้วก็ยื่นบัญชีหรือว่าบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์ไปหมดเลยของจุฬาฯ ของที่อื่นคือไม่ได้ยื่นเลยครับ เพราะว่าอยากเข้าแค่จุฬาฯ แต่ดันติดแค่ตัวเดียว ถือโชคดีมากๆ เพราะว่าพอเราเข้ามาแล้ว เรารู้สึกว่าเราชอบที่สุดแล้ว เหมาะกับเราที่สุด เพราะเห็นเพื่อนที่เรียนบริหารอินเตอร์ เรียนเศรษฐศาสตร์ แล้วดูเครียด ไม่ใช่ตัวเราเลย”

แมสคอมคือเส้นทางสู่ออนไลน์หรือเปล่า “ก็ส่วนหนึ่งครับ” จอสตอบ “เหมือนตอนนั้นเรื่องโซเชียลมีเดียเริ่มมาแล้ว YouTube พวก Instagram เริ่มมาใหม่ๆ ตอนนั้น Facebook จะบูมมากกว่า แต่ว่า Instagram ก็เพิ่งเริ่มมา แล้วเราก็ได้เห็นเพื่อนๆ ที่เขาเป็นดารา เด็กนิเทศก็มีดาราบ้าง มีเน็ตไอดอลบ้าง เราก็เห็นเขา แล้วพอเราได้มาทำเพจเอง เรารู้สึกว่าเพิ่งได้รู้จัก แต่พอได้เรียนพวก Online Marketing ด้วย ผมเก็ตทันทีว่ามันคืออะไร เพราะว่าในช่วงนั้นมันเป็นช่วง transition ระหว่าง Offline Marketing กับ Digital Marketing ด้วย เป็นช่วงที่กำลังหนักจะเทไปทาง Digital Marketing มากขึ้น ถือว่าช่วยให้เราปรับตัวได้เร็ว”


ถือว่าได้เลือกเรียนที่ลงตัวกับตัวเรา “ก็ไม่ทุกวิชาครับ แต่คลาสที่ไม่นึกว่าจะมาชอบแต่กลับชอบมากก็คือคลาสที่ได้เรียนมิวสิคัลคลาสหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้มาสายการแสดงเลย แต่ดันมาชอบคลาสนี้มากๆ เพราะว่ามันได้ทำงาน ทำละครเวที ได้ร้องเพลง ซึ่งเราไม่เคยร้องมาก่อน แล้วได้พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเราชอบมาก ก็เป็นคลาสที่ชอบมากๆ เลย ส่วนเรื่องแบบ Ad กับ Marketing เราก็พอได้ครับ แต่ไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น เราชอบ Public speaking เราชอบการพูด การได้แบบไป presentation เราจะเป็นสายพูดมากกว่าสายเขียน เพราะฉะนั้นงานในคลาสคือเราจะเป็นสาย present เลยรู้สึกว่าเรารู้ว่าเราเป็นคนชอบพูด”

เด็กนิเทศเขาชอบทำกิจกรรม ตอนเรียนทำกิจกรรมบ้างหรือเปล่า “ผมทำตอนเทอม 1 อย่างเดียวครับ แต่พอเราได้ทำเกือบทุกอย่างแล้ว เรารู้สึกว่าเราเริ่มเฟดๆ ออกมา เพราะตอนนั้นคือคลั่งฟิตเนสมาก เข้าแต่ฟิตเนสอย่างเดียวเลย เพราะว่าถ้าอยู่ในคณะคือมันต้องทำงานจนดึก แล้วมันรบกวนเวลาฟิตเนสเรา”

ไม่ชอบการแสดงแต่พอมาเริ่มเข้าสู่โหมดการแสดงต้องปรับตัวมากไหม “เยอะครับ”(หัวเราะ) จอสตอบ “ถามว่าเยอะไหมก็ไม่ได้มากขนาดนั้นนะ แต่ว่าต้องปรับตัวในระดับหนึ่ง เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบเซ็ตอะไรไว้ก่อน จะมีคนวางแพลนวาง Schedule ตลอดเวลา ทำให้เราเป็นคนที่ทำตามแผน วางแผนในชีวิตเราในหลายๆ เรื่อง แต่ว่าในเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องของศิลปะ มันเป็นการปล่อยตัวเองให้ฟรี แล้วก็อินไปกับโมเมนต์นั้นๆ ซึ่งผมว่าสำหรับตัวผมในตอนนั้นแล้วก็ตอนนี้ เป็นอะไรที่ชาเลนจ์มากๆ ที่การที่จะเป็นคาแรกเตอร์ที่เราไม่รู้จักอะไรเลย มันต้องลืมเกือบทุกอย่างครับ แล้วทำตัวให้ relax ให้ได้มากที่สุด คือผมเป็นคนที่ชอบกดดันตัวเอง หมายถึงว่าถ้าเป็นเรื่องในด้านกีฬาหรือว่าเรื่องการเรียน ถ้าเราออกกำลังกายทุกวัน มันจะเก่งขึ้น มันจะดีขึ้น มันจะมีกราฟที่ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ถ้าเราใส่เวิร์กไปเท่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้มันก็จะประมาณเท่านี้ แต่การแสดงมันไม่เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นงานศิลปะ มันต้องใช้อารมณ์ ซึ่งมันเกี่ยวกับตัวเราเลย ถ้าเราไม่ relax การที่กดดันตัวเอง บางทีมันก็ไม่เวิร์ก”


นี่ถือว่าเราต้องมาเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่หมด “ใช่ครับ ในการแสดงนี่ใช่เลย เพราะว่าจนถึงตอนนี้ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ พยายามจับจุดอะไรที่มันเวิร์กกับเรา เราก็ไปฟัง podcast ไปเรียนเพิ่ม แต่โชคดีครับที่ 2 เรื่องแรก บทน้อยมาก แค่ตัวละครที่มาโผล่เป็นสีสันของตัวละครตัวหลักตัวหนึ่ง ถามว่าตอนนั้นเข้ากล้องครั้งแรกของ Friend Zone ซีรีส์ โอ้โฮพูดติดๆ ขัดๆ ลนมาก ไม่เคยเจอประสบการณ์ในกองถ่ายมาก่อน ไม่เคยมาอยู่ข้างหน้าเลย เคยไปทำงานกับเขาบ้าง แต่ก็ไปดูเบื้องหลัง แล้วเราก็ไม่ได้อินอะไรอยู่แล้ว พอไปทำงานจริงๆ มันตื่นเต้น แต่พอไปดูผลงานปุ๊บ เขาตัดต่อมา เขาก็ช่วยเรา มันออกมาโอเค เรารู้สึกว่า เฮ้ย เจ๋งดี เออเราได้ไปอยู่ที่เราเคยดูคนอื่นเขา อะไรอย่างนี้ครับ ก็ตื่นเต้น แล้วพอเรื่องที่ 2 คือ Wolf ได้ไปพูดบทภาษาอังกฤษด้วย เป็นบาร์เทนเดอร์ เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ยเออมันสนุกแล้ว อะไรอย่างนี้ ถ้าเราทำได้มันสนุกแล้ว” จอสกล่าว

จากรับเชิญ เดินไปเดินมาหล่อๆ พอต้องกระโดดขึ้นมาเป็นแสดงนำ ก็ต้องเผชิญกับความหนักหน่วงที่หนักอึ้งกว่า

“หนักกว่ามากครับ แต่มันเป็นงานที่ท้าทาย แล้วผมรู้สึกว่าในชีวิตผมไม่ได้เจออะไรที่มันชาเลนจ์บ่อยเท่าไรนัก แต่ว่านี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายเรา เป็นตัววัดความสามารถเรา แล้วเป็นทางเลือกใหม่ในด้านการแสดง เพราะฉะนั้นเราเลยเต็มที่กับมัน ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้ซีเรียสกับผลลัพธ์ขนาดนั้น แต่ว่าเราทำเต็มที่ เราสนุกกับมัน ผมโชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ คนในกองที่เขาทั้งให้กำลังใจ เขาสอนเราหลายๆ อย่างในการทำงาน ทำให้แบบประสบการณ์ที่มีอยู่ในช่วง 2-4 เดือนดีมากครับ ผมยังคิดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ”

นีโอกับตัวจอส ห่างไกลกันแค่ไหน หรือว่ามีความใกล้เคียงกันตรงไหนบ้าง

“ในตัวความใกล้เคียงครับ คือนีโอเนี่ยผมว่าต้องมีเสน่ห์ทั้งกายภาพแล้วก็นิสัย หมายความว่าต้องมีเสน่ห์การดึงดูดทางเพศทั้งสองเพศเลย ซึ่งผมรู้สึกว่าในชีวิตจริงก็เคยมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาชอบผมเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่าอันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับเขามองเห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องเวิร์กอะไรกับมันมากนัก แต่ในเรื่องนิสัยใจคอ ผมว่าเหมือนด้วยความที่เราเป็นคนที่เล่นออกกำลังกายมา เราสูง เราพอรู้อยู่ว่าเป็นคนหุ่นดีนะ หน้าตาเราก็ไม่ได้แย่ เราเลยรู้ว่าจุดแข็งเรามีอะไร จุดอ่อนเรามีอะไร จริงๆ ก็ไม่อยากพูดเต็มปากว่าบริหารเสน่ห์เป็น แต่พอรู้ว่าเคยจีบคนนู้นคนนั้นคนนี้มาก่อน คุยกับเพื่อนก็รู้ว่าตัวเองมีข้อดีอะไร สามารถเอาไปใช้ได้อย่างไร แต่นีโอจะดาร์กกว่านิดหนึ่ง หมายความว่าสามารถเอาสิ่งนี้ไปหลอกให้เขามาชอบเพื่อน ในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ผมว่ายุคนี้แล้ว เราเป็นคนที่ค่อนข้างเปิด หมายถึงว่ายอมรับในทุกอย่าง ในความฟรีของความรู้สึก แต่พอได้มารับบทนีโอเนี่ยมันสอนเรา แล้วผมว่านีโอให้อะไรผมมากกว่าที่ผมให้นีโอเสียอีก นีโอให้ความรู้สึกว่ามันไม่มีกฎเกณฑ์นะครับ เราเอาคอนเซ็ปต์นี้มาใช้กับชีวิตเราจริงๆ อะไรอย่างนี้ เพราะเรารู้สึกว่าการที่เราไปชอบคนนู้นคนนี้มันไม่จำเป็นว่าเราต้องให้คำจำกัดความมันว่าคืออะไร แค่เรารู้สึกอย่างไร เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกก็พอครับ”


ฉากที่เต้นเป็นสตริปเปอร์นี่ต้องฝึกนานไหม “ไม่นานครับ” จอสตอบทันที “ผมแกะท่า 2 ชั่วโมงเอง กับคุณครูที่มาสอน แล้วก็เราซ้อมประมาณอาทิตย์หนึ่งครับ ส่วนตัวเราชอบหนังเรื่อง Magic Mike มากอยู่แล้ว เลยรู้สึกตื่นเต้นมากกับฉากนี้ รู้สึกว่าโอเคแอ็กติ้งแรกๆ ไม่ผ่านไม่เป็นไร แต่ผมต้องเต้นให้ได้ก่อน เลยไปฝึกหนักมาก กลับไปดู Magic Mike ทั้ง 2 ภาคเลยอีกรอบหนึ่งเพื่อเก็ตอินเนอร์ แต่จริงๆ อยากจะไปบาร์โฮสจริงๆ ด้วย แต่ว่าไม่มีใครไปเป็นเพื่อน และไม่มีโอกาสได้ไป เลยเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ รวมๆ อาทิตย์หนึ่งครับ เพราะว่าพอแกะท่าเสร็จเราไปซ้อมต่อทุกวันเลยครับ”

ฉากไหนที่ยากที่สุดเท่าที่แสดงมาใน 3 Will Be Free

“ฉากไหนยากที่สุดเหรอครับ ส่วนใหญ่ของผมน่าจะเป็นซีนทะเลาะครับ ซีนอารมณ์ที่ต้องเถียงกัน แล้วก็ซีนบู๊ครับ ซีนทะเลาะเนี่ยเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะต้องไฟต์กับตัวหมิว หรือดีเจมายด์ แล้วเขาก็แสดงถึงมาก เขาเก่ง สามารถต่อปากต่อคำกับเราได้เลย ส่วนเรายังมีความเกร็งๆ อยู่บ้าง มีความประหม่าอยู่บ้าง มันอาจจะได้ไม่สุดครับ ช่วงฉากแรกๆ เลยครับ ที่ต้องแบบมาต่อล้อต่อเถียงกับมายด์ มันก็จะมีความเกรงใจอยู่บ้าง สู้แบบสู้เขาไม่ได้ แต่พอสนิทกันมากขึ้น คนในกองมันก็ละลายพฤติกรรมครับ เราก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนฉากบู๊ก็ได้ลอง ได้ยิงปืน ได้เต้น แล้วได้ชกต่อย แต่ส่วนใหญ่นีโอจะโดนกระทืบเสียมากกว่าครับ”(หัวเราะ)

ลืมพูดไปฉากหนึ่ง ฉากทรีซัมอะ “อ๋อครับผม (ยิ้ม) เอาจริงๆ ผมว่าฉากนี้สำหรับผมมันผ่านไปเร็วมากเลยนะ เพราะว่าผมรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรติดขัดเลย ทุกคนแฮปปี้ แล้วพอคัตเสร็จ ก็บอก โอ้โฮ จะโดนเซ็นเซอร์ไหมเนี่ย ซึ่งต้องให้เครดิตผู้กำกับแล้วก็นักแสดงอีกสองคนด้วย เพราะว่าทั้งมายด์ และพี่เต และพี่โจ้ ผู้กำกับนะครับ ที่แบบไปสุดกับซีนนี้จริงๆ เรานั่งแพลนกันว่ามันจะเป็นอย่างไรดี แต่สุดท้ายคือออกมาทุกคนไปเต็มที่ โดยเฉพาะมายด์ครับ ให้เครดิตมายด์เลยว่ามายด์ดึงตัวละครหมิวมาได้สุดมาก ส่วนพี่โจ้เอง เขาเปิดโอกาสให้นักแสดงอย่างเรา ถ้ามีความคิดเห็นอะไร หรือว่าเราอยากจะพูดอะไรกับเขา เราอยากจะให้ตัวละครทำอย่างนี้ เขาจะเปิดโอกาสให้เสนอออกมาเลย ซึ่งมายด์เป็นคนหนึ่งที่เสนอออกมาแบบสุดมากในเรื่องของตัวหมิวครับ ถามว่าประหม่าไหม ก็ไม่นะครับ ผมว่าเราพออินไปกับคาแรกเตอร์ เราถ่ายมาระดับหนึ่งแล้วมันรู้อยู่ว่าคาแรกเตอร์นี้ต้องการอะไร ตัวละครของเรามันเป็นคนอย่างไร แล้วมันเลยทำให้ฉากนั้นมันไม่ยากครับ ถามว่ามีความเขินนิดๆ หนึ่งไหม ก็นิดหนึ่งครับผม”

ในชีวิตจริงล่ะ เคยมีซีนนี้หรือเปล่า?
“อ๋อไม่เคยครับ ไม่เคยจริงๆ”


ระหว่างฉากจูบกับเต กับจูบกับหมิว ฟิลลิ่งต่างกันไหม

“ต่างกันไหมเหรอครับ” จอสคิดสักพัก “มันก็ต่างครับ แต่ว่าไม่ได้ต่างกันมาก เพราะว่าเหมือนจูบพี่เตคือจูบผู้ชาย แล้วผมก็ไม่เคย make out กับผู้ชายมาก่อน เรามีความคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรวะ แต่ถามว่ามันตื่นเต้นไหม ก็นิดหน่อย แต่ไม่ได้เกร็งนะครับ เพราะเรารู้ว่ามันคือการแสดง เราแค่อยากไปให้สุด ฉากที่จูบกับพี่เตที่โรงยิม ผมว่าเนื่องจากเราเล่นซีนกันต่อเนื่องมา เล่นแบต ทำนู่นทำนี่ มีความผูกพันกันมันก็ธรรมชาติมากครับ เพราะว่าเราสนิทกับพี่เตอยู่แล้ว หมายถึงว่าเขาเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มาก จนผมไม่มีกำแพงกับพี่เตเลย แรกๆ กับมายด์ยังมีบ้าง เพราะว่ามายด์เขาแสดงเก่ง พี่เตก็เก่ง แต่มายด์แสดงเก่งแล้วเราไม่ได้สนิท พอสนิทแล้วเป็นผู้หญิงด้วย เราก็จะเกรงใจเขา แต่พอสนิทกันไปได้เรื่อยๆ แล้วมันไม่มีกำแพง มันละลายพฤติกรรมไปแล้ว ทุกอย่างก็คือสมูทหมดเลยครับผม”

เมื่อกี้มีติดใจอยู่ประเด็นหนึ่งที่บอกว่า “ชอบบริหารเสน่ห์” ในชีวิตจริงเป็นอย่างไรบ้างครับ มีเกย์มาจีบบ่อยหรือไม่

“ผมไม่ค่อยมีคนมาจีบนะครับ หรือผมอาจจะดูไม่ออกก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเขาไม่ได้มาจีบ ส่วนใหญ่มีคนชอบ direct message มา หรือว่ามีเพื่อน หรือว่าพี่ๆ น้อง ๆ บอกว่าชอบคนนี้มากเลย แต่ถามว่าเคยมีคนมาจีบมั้ย ครั้งสุดท้ายที่มีคนมาจีบ ผมจำไม่ได้จริงๆ ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว”

แล้วเราบริหารเสน่ห์อย่างไร? “คำว่าบริหารเสน่ห์ สำหรับผมว่ามันไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเรื่องของชู้สาว หมายถึงว่าเราทำ ในการจำกัดความของผมนะครับ อย่างการที่ทำให้คนอื่นรัก คนอื่นมีความสุข อยู่ด้วยแล้วมีความสุขทำให้เขาหัวเราะ หรือว่าทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมว่าอันนั้นก็คือการบริหารเสน่ห์ในแง่ของผมนะ แต่ส่วนนีโอเนี่ยมันเป็นเรื่องของการทำอย่างไรให้เขามาชอบเรา แต่ผมว่าการบริหารเสน่ห์คือมันไม่ได้รู้ตัวหรอกครับ ตัวละครเองหรือว่าตัวเราเองไม่ได้รู้ว่าเรากำลังบริหารเสน่ห์อยู่นะ ตัวนีโอจะใช้ความรู้สึกไปมากกว่าครับ คือรู้สึกดีกับใคร ก็ลุยเลย หมายถึงคุยดีทำดีด้วย แต่ว่าด้วยเนเจอร์แล้วนีโอน่าจะเป็นขี้อ่อย แล้วก็ไม่ได้คิดเยอะ ถ้าเราทำแบบนี้กับคนแบบนั้น เขาจะรู้สึกแบบว่าหวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ซึ่งถามว่าชีวิตจริงผมก็เคยมีนะ แต่ว่านาน นานมากๆ สมมุติว่าเราเป็นคนเฟรนด์ลี่มากเกินไป แล้วอยู่ดีๆ เพื่อนชอบเราขึ้นมา จนเขามาสารภาพ บางทีถ้าเราไม่ได้ชอบเขา เราก็ต้องบอกเขาว่าเราไม่ได้ต้องการจะสื่ออย่างนั้นนะ แต่เราคิดกับยูแบบเพื่อน”


ขอย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ตอนที่จอสถ่ายดูมันดิ จะมีหลายซีนที่ต้องถอดเสื้อ เช่นเดียวกับในเรื่องเรื่องนี้ “ใช่ ก็ชินไปแล้วมั้งครับ หมายความว่ามันเป็นเรื่องปกติ” จอสพูดแทรก เรารู้สึกอย่างไรที่สมมุติว่ามีคนมาบอกว่ายูเป็นคนที่มี sex appeal สูง “ก็ดีใจนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำชม จะบอกอย่างไรดีล่ะ เราไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าพอมีคนพูดมาเราก็รับไว้ว่าเป็นคำชม เราก็ไม่ทราบ มันอาจจะด้วยหุ่นด้วยแหละว่าเราสูง เราออกกำลังกายมันทำให้ดูมี sex appeal รับไว้เป็นคำชมแล้วกันครับผม”


ระหว่างเล่นกีฬากับเข้าฟิตเนส “คือเล่นกีฬาบาสเนี่ย ตอนนี้ผมไม่ได้อยากให้ตัวใหญ่ไปกว่านี้แล้ว เพราะว่าด้วยบทด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ฉะนั้นปกติจะเป็นคนดูแลตัวเองด้วยเข้าฟิตเนสครับ อย่างแรกคือเป็นคนที่รักการออกกำลังกายยกเวตอยู่แล้ว แล้วเราก็เล่นกีฬาบาสด้วย ถือว่าเป็นการคาร์ดิโอไป เมื่อก่อนเป็นคนมีสิวเยอะมาก พอเข้าวงการมา เราขยันทาแบบสกินแคร์ ไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตมาว่าอันไหนดี ถามพี่ๆ บ้าง แล้วก็ใช้ เมื่อก่อนแทบไม่ได้ดูแลตัวเอง หมายถึงว่าในเรื่องผิวหน้าผิวกายเลยครับ แต่ตอนนี้จะนั่งใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีทาครีม เพราะเรารู้สึกว่ามันสำคัญ เราต้องให้ความสำคัญกับมัน ให้เวลากับมันครับ”

ถ้าวันนี้ไม่ได้เข้าวงการ “ผมว่าจริงๆ ที่อยากทำ ตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกว่าอยากทำอยู่ ถ้ามีเวลาเราก็อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับกีฬา แล้วการออกกำลังกาย well being อยากให้คนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ในแบบที่มีไลฟ์สไตล์ที่มัน Healthy ขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปเรียนเกี่ยวกับ Sport and Conditioning สำหรับการกีฬา แต่เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ววงการกีฬาไทย ในฟีลด์นี้เขาให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน แต่ผมว่ามากกว่าเมื่อก่อนแน่ แต่อาจจะไม่พอในสเกลที่จะทำให้เป็นอาชีพขึ้นมาได้ เป็นโค้ช แบบไม่ใช่โค้ชบาสนะครับ เป็น Strength and Conditioning Coach สมมุติว่ามันจะมี all season ครับ แข่งเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวสำหรับ Season หน้า การเทรน การเวต การเล่นอะไรมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปลองตรงนั้นดูเหมือนกันครับผม”

อนาคตในวงการบันเทิงตั้งเป้าไว้อย่างไร

“ตอนนี้ครับ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ก็อยากจะลุยกับมันให้เต็มที่ครับ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังสนุกกับการแสดง แล้วการทำงานเราได้รับโอกาสที่ดีมามากเลย เราเลยอยากจะใช้เวลาตรงนี้เต็มที่กับมันให้ดีที่สุด แล้วดูว่าพอสุดท้ายแล้วมาตกผลึกว่าเราได้อะไรจากมันบ้าง เราชอบเรารักกับการแสดงแค่ไหน เพราะตอนนี้เราชอบเราสนุก ผมพูดไม่ได้เต็มปากหรอกครับว่าผมรักการแสดง เพราะว่าเราเหมือนได้โอกาสมาลอง ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว สุดแล้วเนี่ย 3-5 ปี แล้วเรามาดูอีกทีว่าเรายังรักการแสดงอยู่หรือเปล่า ถ้ารักการแสดงก็ทำต่อ ถ้าไม่ได้รัก เราอาจจะไปดูว่าเราจะเจอ passion อะไรอื่นๆ บ้างที่เราอยากทำ ในระหว่างเวลานี้ ผมว่าช่วงปีสองปีนี้ก็คือ 70-80-90% คงเทให้การแสดงหมดเลยครับ ในงานละครหรือซีรีส์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะว่ามันต้องใช้เวลาจริงๆ ของแบบนี้ แล้วมันต้องใช้เวลาพัฒนาตัวเองด้วย เพื่อที่จะมีบทดีๆ มาให้ลองอีก แล้วถ้าสมมุติว่าเราจะสนุกกับมัน เรายัง Enjoy กับมันอยู่ เราก็ทำต่อ”

เมื่อกี้บอกว่าตอนเรียนชอบวิชามิวสิคัล เคยคิดจะเป็นนักร้องบ้างไหม

“ไม่เคยครับ ชอบที่ได้ลอง แต่ถามว่าตัวเองเสียงดีไหม ก็ไม่ครับ คือผมไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าตอนแรกคือเราเป็นคนอารมณ์ศิลปิน หมายถึงว่าชอบร้องเพลงอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนก็เคยร้องเพลงในตอนอาบน้ำนะ ทุกคนจะเอาโทรศัพท์ไปด้วย แล้วเปิดเพลงที่ตัวเองชอบ ถ้าเราชอบเราก็จะร้อง แต่ว่าไม่เคยเอาเสียงมาให้คนอื่นฟังว่าเสียงเราเป็นอย่างไร เพราะเรารู้ว่าทุกคนก็คงเคยอัดเสียงร้องเพลงใช่ไหมครับ เรานึกว่าตัวเองเสียงดี แต่พอฟังออกมาปุ๊บแล้วมันไม่เวิร์ก ไปร้องคาราโอเกะก็ไม่เวิร์ก จนได้มาลองร้องเพลงมิวสิคัลดู มีการวอร์มเสียง ก็ไม่ได้แย่ ร้องได้ แต่ว่าไม่ได้จัดว่าดีครับ มันเป็นประสบการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันสนุก”