โดยTakeshi West

หนุ่มฮอตคนใหม่ของวงการ ณ ขณะนี้คงต้อยกให้กับ ตรี – ภรภัทร ศรีขจรเดชา นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลของช่อง ONE31 ที่กำลังมีผลงานปังๆ อย่างละครเรื่อง “เลดี้บานฉ่ำ” ที่แม้เรื่องราวหลักๆ จะโฟกัสไปที่แก๊งของสาวประเภทสอง แต่สำหรับบทบาทของตรีที่ต้องแสดงเป็นท็อปนั้น หนักหนาสาหัสเอาเรื่องไม่น้อย “ในเรื่องผมรับบทท็อป ที่มีพ่อเป็นสาวประเภทสองครับ ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง แต่จู่ๆ วันหนึ่งเรามารู้ว่าเขาเป็นสาวประเภทสอง จึงทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด จากชีวิตที่มีครอบครัวที่ดี มีความอบอุ่น ก็กลายเป็นความแตกหักและเป็นปัญหาของท็อปในเวลาต่อมาครับ”


Q : ฟีดแบ็กจาก“เลดี้บานฉ่ำ” เป็นอย่างไรบ้างครับ

A : ดีมากเลยครับถือว่าต้องขอบคุณกำลังใจจากทุก ๆ คนนะครับที่ติดตามชมเรียกว่าให้กำลังใจผมเยอะมากเลยครับ

Q : เรื่องนี้ฟีลในด้านการแสดงต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือไม่ครับ

A : ต่างครับ ทั้งบรรยากาศ ผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีสาวประเภทสองรายล้อมตัวผมตลอดเวลา และด้วยความที่เป็นคอเมดี้เสียส่วนใหญ่ บวกกับดราม่าด้วยครับก็เลยทำให้เลดี้บานฉ่ำ ไม่เหมือนละครเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา

Q : ตรีอยู่วงการมากี่ปีแล้วและเข้าวงการมาได้อย่างไร

A : เรื่องปีนี่ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้านับจากละครที่แสดงมาทั้งหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ของผม ถามว่าตอนนั้นเข้าวงการมาได้อย่างไรเหรอครับ เรื่องมันค่อนข้างจะตลกนิดนึง คือจริงๆ ผมไม่ได้สนใจมาทำงานวงการนี้นะครับ แต่ที่มีโอกาสเข้าวงการมาได้ เพราะคุณพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำซึ่งเป็นร้านเดียวกับ พี่ต๋อนที่ดูแลผมอยู่ทุกวันนี้ พ่อผมก็เอารูปไปอวดเจ้าของร้าน ประมาณว่า ‘นี่ไงลูกชายผม’ พี่เจ้าของร้านซึ่งก็รู้จักกับพี่ต๋อนก็เลยเอารูปไปโชว์พอพี่เขาเห็นรูปก็เลยทาบทามให้เข้ามาที่ช่องวันครับ นี่คือสาเหตุครับ

Q : ไม่อยากเข้าวงการมาก่อน แล้วความฝันตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นอะไร

A : ตอนเด็ก ๆ สมัยเรียนมัธยมต้นอยากเป็นหมอครับ แต่พอมา ม.ปลาย ชีวิตเกเรมากครับ เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเกเรและเฮี้ยวครับก็เลยไม่ค่อยมีจุดมุ่งหมายในชีวิตสักเท่าไรครับ เหมือนแค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ครับ


Q : ตอนเข้าวงการนี่เรียนอยู่ ม.ปลาย หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

A : ตอนนั้นผมอยู่ปี 1 กำลังขึ้น ปี 2 ครับ แต่ผมเป็นเด็กซิ่วนะครับตอนแรกเรียนอยู่ที่เอแบคก่อน แล้วก็ซิ่วมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตคณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ครับ แต่ชีวิตผมโลดโผนนิดนึงนะครับเพราะก่อนเข้าเอแบคผมไปอยู่อังกฤษมาปีนึงครับ คือผมเนี่ยเป็นลูกคนเล็ก มีพี่อีก 2 คน แต่อายุเราห่างกันค่อนข้างมาก พี่คนโตอายุ 41 ครับ คนที่ 2 อายุ 38 ส่วนผมอายุจะ 26 ปี เป็นลูกหลงครับ ตอนเด็ก ๆ พี่คนที่สองจะเป็นพี่ชายที่ดุครับ ตีผม ตีสอน ดุ ว่า คอยตักเตือน คอยสอนการบ้าน ก็เหมือนวัยรุ่นสอนน้องแหละครับตีแบบยับเลยครับ เจ็บมากครับ ตอนนั้นผมโกรธมาก กะว่าพอโตขึ้นมาจะเอาคืนแต่พอเราโตมาจนถึงวันนี้ เราถึงเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำ เขาหวังดีกับเรา ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กติดเกมมาก ก็เลยโดนส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่อัสสัมศรีราชาพอไปอยู่โรงเรียนประจำแล้วก็ดีขึ้น จนเริ่มมีความฝันอยากเป็นหมอเพราะดูละครที่พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ แสดง มันเป็น passion ให้ผมอยากเป็นหมอมาก


แต่จู่ๆ วันหนึ่งคุณพ่อซึ่งเป็นศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนท่านอยากให้กลับมาเรียนที่นี่ครับ แต่มันก็มีช่วงแกปอยู่พักหนึ่งคือ ม.3-6 เราเริ่มใช้ชีวิตเสรี ด้วยคุณแม่ทำงานหนักไม่ได้ค่อยมีเวลาดูเราเท่าไร พี่ชายก็เริ่มทำงานของเขา เราก็เริ่มโตแล้วครับ ตอนนั้นก็เริ่มติดเพื่อน เจออะไรที่ไม่ดีมาบ้าง เป็นเด็กไม่ค่อยดีครับแล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจบอกคุณแม่ว่า คุณแม่ครับ ขอไปเรียนต่างประเทศได้ไหมตอนนั้นอยู่ ม.6 ไม่อยากอยู่กับสังคมตรงนี้เลยขอแม่ไปอยู่ที่อังกฤษปีหนึ่ง

Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับมาจากอังกฤษ

A : คิดถึงคุณแม่ คิดถึงบ้าน แต่ให้มองย้อนกลับไปน่าจะเรียนต่ออยู่ที่นั่นน่าดีกว่านะ (หัวเราะ) แต่ผมว่าที่ตัดสินใจกลับมามันก็คงเป็นโชคชะตาที่อยากให้เรากลับมากลับมาเราก็เรียนปกติ เรียนที่เอแบคครับ แล้วก็เจอพี่ต๋อนก่อนจะตัดสินใจซิ่วไปอยู่รังสิต เพราะคิดว่าจะเรียนเบาลงสุดท้ายก็เรียนหนักเหมือนเดิมเลย แต่ว่ามันบวกกับการที่เราเริ่มทำงานเราโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย มันก็ต้องแบ่งเวลา จัดสรรปันส่วนให้ดีครับ


Q : จากหมอ ทำไมถึงมาจบที่นิเทศได้

A : เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเรียนอะไรครับก็เลยคิดว่านิเทศน่าจะเหมาะกับเรามากกว่าครับและที่ผมเรียนมามันไม่ใช่เป็นแบบสื่อสารเฉพาะเจาะจงครับ จะเน้น Marketing Communication เสียมากกว่าครับ เป็นพวกการสื่อสารธุรกิจไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นฟิล์มหรือวิทยุโทรทัศน์ อะไรพวกนั้น

Q : พอมาเริ่มเข้าสู่วงการเนี่ยได้เล่นแสดงละครเรื่องแรกเลยหรือเปล่า หรือต้องไปเรียนการแสดงก่อน

A : ใช้เวลาอยู่ประมาณ 7 เดือนครับก่อนที่จะได้เล่นละครเรื่องแรก เล่นกับพี่บี้และพี่เอสเธอร์ครับชื่อเรื่อง เธอคือพรหมลิขิตครับ ตอนนั้นต้องเรียกว่ายังแสดงไม่เป็นเลยครับยังไม่เข้าใจ แค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงเรารู้สึกว่าแค่ท่องบทมาให้ได้ ไม่ต้องพูดผิดแค่นั้นพอครับ


Q : เรื่องแรกถือว่าทำให้แฟนคลับเรารู้จักเราเลยหรือไม่

A : ยังไม่ได้ทำให้คนรู้จักครับเพราะบทยังไม่ได้โดดเด่นหรือฉายแววมาก มาเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นก็ตอนเรื่องที่ 2 ครับ แต่เรื่องที่ทำให้คนจำได้น่าจะเป็นเรื่องที่ 3 กับที่ 4 สงครามนักปั้น กับ ภาตุฆาต ครับ

Q : ตั้งแต่แสดงมาชอบคาแรกเตอร์จากละครเรื่องไหนมากที่สุด

A : ผมชอบเรื่องภาตุฆาตครับเพราะว่าเรามีออฟเจคทีฟที่ชัดเจน ตัวละครมีโกลที่ชัดเจนแต่ก็ไม่ต่างกับสงครามนักปั้นที่เรามีโกลที่ชัดเจนเหมือนกันสำหรับบทเราเลยรู้สึกว่าเราอินและเราเชื่อกับสิ่งที่เราทำบวกกับการที่เราเล่นเป็นทหาร มันเลยเห็นภาพที่ชัดครับ ตอนนั้นก็ตัดผมเกรียนด้วยแสดงกับเน๋ง แล้วก็มีพี่แหม่มคัทลียา เป็นคุณแม่ครับ


Q : แล้วพอมาสวมบทบาทเป็นท็อปในเลดี้บานฉ่ำนี่จูนอารมณ์นานไหม

A : มันค่อนข้างเป็นดราม่าครับ จริง ๆ ชีวิตผมก็ค่อนข้างจะดราม่าอยู่แล้ว เราเป็นคนเซนซิทีฟกับอะไรง่าย ๆ เลยจูนเข้าหาบทได้ไม่ได้ยากและก่อนหน้านั้นเราก็โดนเคี่ยวเข็ญจากผู้กำกับมาเยอะครับ ในเรื่องที่ 2 เจอกับพี่ปุ๊ย ผอูน จันทศิริ เป็นผู้กำกับ ผมก็โดนกดดันจนร้องไห้เลยตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจบท ไม่เข้าใจการแสดง ไม่เข้าใจในวิธีที่จะต้องแสดงออกมา
ไม่เข้าใจตัวละครจริง ๆ เลยถูกส่งไปเรียนเพิ่มบวกกับประสบการณ์ที่เราอยู่ในห้องเรียนบวกกับประสบการณ์ที่เราทำสนามจริงในสนามจริงมันทำให้เราสั่งสมประสบการณ์และแสดงออกมาได้ครับ

Q : ในชีวิตจริงสมมตินะว่าเราเจอกับเหตุการณ์มีพ่อเป็นสาวประเภทสอง เราจะทำอย่างไร

A : กับคุณพ่อแท้ใช่ไหมครับก็คงแสดงออกเหมือนกับที่ท็อปแสดงในเด็กอายุ 17 แต่เราบวกกับชีวิตจริงเราไม่ได้มันยากสำหรับผม เพราะว่าผมโตมาในครอบครัวที่คุณแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวครับ ซึ่งคุณพ่อก็เจอบ้าง คุณพ่อไม่ได้อยู่กับเราตลอดเหมือนในละคร แต่ซึ่งตัวละครท็อปเป็นครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งมันต่างกับตัวเรามากครับ ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจเพราะว่าทุกวันนี้เราผูกพันกับคุณแม่เสียมากกว่าคุณพ่อ ทำให้เราคลิกมากกว่าแต่พอเรามาเจอคุณพ่อที่กำลังแปลงเพศในละคร เราคิดว่าเรากำลังเสียคุณพ่อไปกลายเป็นเรากำลังเสียแม่ไป คุณพ่อที่จะเทิร์นเป็นผู้หญิงเป็นแม่ ซึ่งเราไม่อยากได้แบบนั้น จริง ๆ เขาก็มีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา


Q : อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ณ จุดนี้เรารู้สึกอย่างไรกับจุดที่เรายืนอยู่

A : ผมรู้สึกว่ามันดีกว่าทุก ๆ ปี เพราะมันดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ อาจจะไม่ได้โด่งดังแบบก้าวกระโดด แต่เราพอใจกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ผมรู้สึกว่ามันเป็น passion ของเราให้เราไดรฟ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าวันนี้มันยังไม่ดีสักวันมันต้องดีครับ

Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนสนใจแฟชั่นด้วยสไตล์ของเราเป็นอย่างไรบ้าง

A : ครับผม ตอนเด็ก ๆ เป็นคนเลือกใส่เสื้อผ้า เป็นคนเลือกเองตั้งแต่ ม.1-2 ม.1-6 ตอน ม.1-2 ใส่ขาสั้นที่เป็นยีนส์ขาด ๆ ใส่ดอกเตอร์มาร์ติน ไม่รู้เอาความมั่นใจอะไรมาจากไหน แล้วก็ใส่เสื้อมัดย้อมครับมันเป็นแนว ๆ อยู่ ไปเดินจตุจักร ก็ไปเลือกซื้อ Converse ซื้อเสื้อผ้ามือสองไปหลอกขายเพื่อนที่อัสสัมศรีก็มีครับส่วนสไตล์ของเรา ก็ไปเรื่อยครับ จริง ๆ ก็สตรีท บางทีก็วินเทจแล้วแต่วันนี้เราจะไปไหนครับ คือเราก็มีเสื้อผ้าหลาย ๆ แนวไว้ วินเทจก็มีสตรีทก็มี เรียบหรูก็มี ลักชัวรี่แบบแบรนด์เนมก็มีบ้างครับ

Q : กิจกรรมยามว่าง ถ้าไม่ได้ทำงานตรีจะ

A : ตอนนี้ฝึกร้องเพลงอยู่ครับเพิ่งเริ่มร้องเพลงได้ประมาณ 2-3 เดือน

Q : มีแผนจะออกซิงเกิ้ลสินะ

A : ไม่มีแผนครับ แต่ว่ามันต้องใช้ขึ้นคอนเสิร์ต Fantopia ครับก็เลยได้ฝึกร้องเพลงครับ ตอนแรกต้องเท้าความก่อนผมไม่ชอบแสดงออกผมไม่ชอบให้คนมาจับจ้อง ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น ไม่ชอบให้คนมาสนใจ อย่างในไอจีตอนแรกไม่เปิดไอจีพับบลิคนะ ล็อคไว้ ไม่ลงรูป ไม่อะไรทั้งนั้นครับ แต่ทุกวันนี้ต้องเปลี่ยนตัวเองหมดเลย แต่เราไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนเพราะว่าเราโตขึ้น เราต้องทำงาน เราไม่ต้องมีคำถามว่าเราต้องทำทำไม เราทำพอนะเราทำแล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้อึดอัดอะไร เราก็เลยทำ


Q : วันนี้ถ้าให้ประเมินการแสดงของเราให้กี่คะแนนดี

A : ถ้าจากเมื่อก่อน เมื่อก่อนเรื่องแรกๆ ผมให้คะแนนอยู่ประมาณ 3 ตอนนี้ผมให้ 7 แล้วกัน ก็อาจจะไม่ได้เต็ม 10 แต่ว่าเรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาขึ้นครับกับการเล่นละคร

Q : พี่สนใจประเด็นหนึ่งที่ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยให้ใครมาจับจ้องมองเราจนถึงขนาดปิดไอจี เป็นคนที่มีสเปซส่วนตัวสูงสินะ

A : ผมไม่ใช่คนเปิด ขนาด Facebook หรือ Hi5 ก็ไม่ชอบ เพื่อนแอดมาใน Facebook ผมยังให้แค่เพื่อนเท่านั้นที่จะมาเป็นเพื่อนเราอีกอย่างผมไม่ชอบถ่ายรูปด้วย ชอบถ่ายคนอื่นมากกว่า แต่ไม่ชอบให้คนอื่นถ่ายเรา ถ้าจะถามว่าเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไหมผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะบอกว่าผมมีโลกส่วนตัวสูงหรือไม่สูงอย่างไร ผมว่าตัวเองไม่สูง แต่คนอื่นเขาบอกว่าเธอน่ะโคตรมีสเปซสูงมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ บางทีไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ต้องให้คนอื่นมองครับ


Q : แล้วพอเราเข้าวงการต้องเล่นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เพื่อเซิร์ฟกลุ่มแฟนคลับ ปรับตัวยากไหม

A : ปรับตัวยากมากครับต้องเปลี่ยนตัวเองอย่างที่ผมบอกครับก็แบบมีปากมีเสียงกันนิดหน่อยว่าต้องเปลี่ยนตัวเองนะอาจจะไม่ถึงมีปากมีเสียงนะ แต่เป็นการสอนว่าเราก็ต้องทำครับ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงหรอกเพราะตอนนี้เราก็เข้าใจโลกมากขึ้นครับ เข้าใจว่าเราควรจะทำอะไร เพราะเราทำอะไรอยู่เราไม่ใช่คนเดิมแล้ว เราเป็นคนของประชาชนทุกคนสามารถพูดถึงเราสื่อสารกับเราได้ครับ

Q : เมื่อกี้ตรีบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูปทำไมถึงไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเราล่ะ ไม่มั่นใจในตัวเอง?

A : ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่หล่อครับผมคิดอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พอตอนนี้เราเป็นพระเอกแล้วบางทียังคิดเวลาส่องกระจกว่านี่เหรอพระเอก นี่เหรอที่จะเป็นนักแสดง บางทีไม่มั่นใจในตัวเองด้วยครับมีความรู้สึกแบบนั้น ผมเคยคิดเสมอว่าพระเอกอาจจะต้อง Perfect เสียทุกอย่าง แต่ว่าบางทีมันไม่ต้อง Perfect ก็ได้ พอโตมาถ้ามันไม่ดีก็ไม่เป็นไร ตอนเด็ก ๆ ถ้าไม่ดีก็จะไม่ทำเลย แต่พอโตแล้ว จะคิดอีกแบบ ทำไปก่อนไหม แล้วสักวันมันอาจจะ Perfect ก็ได้

Q : เป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว ตอนนี้ดูแลตัวเองอย่างไรเข้าฟิตเนสบ้างมั้ย

A : ช่วงนี้ จริง ๆ เข้านะครับ แต่เมื่อก่อนเข้าหนักมาก ผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรก็จะทำแบบบ้าไปเลยครับเคยเข้าฟิตเนสที 7 วัน
กินเวย์กินตัวช่วยที่มันทำให้เราเล่นได้เยอะ แต่พักหลัง ๆ นี้พอเรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เราไม่ได้กิน เราไม่ได้เล่นไปเพื่อประกวดเราเล่นเพื่อ maintain สิ่งที่มันมีอยู่แล้วให้มันอยู่ได้นานที่สุดตอนนี้ก็เล่นมาประมาณ 7-8 ปี แล้วครับ ไม่ได้เล่นให้มันใหญ่เพราะเคยตัวใหญ่แบบ 80 โลมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมหนักแค่ 71 ครับ กำลังดี

Q : รักษารูปร่างได้ดีแบบนี้นี่เองเลยทำให้ในบทเรื่องนี้ฉากมีถอดเสื้อบ่อยๆ

A : ครับ มีทั้งถอดเสื้อ มีทั้งบู๊มีทั้งถอดเสื้อและบู๊ เสียน้ำตา หัวเราะ ลุย บากบั่นมากครับเรื่องนี้ บากบั่นจริงๆ ครับ ก็ตั้งแต่ถ่ายมาเรื่องนี้ก็หนักที่สุดแล้วครับ แต่ถ้าถามว่าอายไหมก็ไม่อายนะครับ มันอายไม่ได้ เพราะมันต้องทำครับ เราก็ต้องภูมิใจ เราต้องมั่นใจนิดหนึ่งครับเพื่อเราจะได้แสดงออกมาดี และบางทีเราอาจจะเป็น passion ให้คนอื่นที่อยากจะมีหุ่นที่ดีเหมือนเราก็ได้นะครับ


Q : วางเป้าหมายของตัวเองไว้ว่าอย่างไรว่าอีก 5 ปี ข้างหน้า หรือ 10 ปี ข้างหน้าเราอยากจะทำอะไรอยากจะไปอยู่ตรงจุดไหน

A : อยากอยู่ที่จุดไหนไม่เคยมองภาพไกลขนาดนั้นครับ อยากให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มากกว่าเราไม่ได้มีเป้าหมายว่าเราถึง เราอาจจะมีเป้าหมายว่าอายุเท่านี้เราอยากเป็นแบบนี้ แต่ว่าสำหรับหน้าที่การแสดงมันก็มีเป้าหมายไม่ได้จริง ๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปมันจะดีหรือไม่ดี มันจะได้หรือไม่ได้ ซึ่งถ้าเราคาดหวังมาก ๆ มันจะเป็นมีดมาทิ่มแทงเรามากกว่าเพราะถ้าวันหนึ่งที่เราผิดหวังแล้วเราเสียใจ มันอาจจะเสียใจมากกว่าคนอื่น ๆ เขาอะไรอย่างนี้ ไม่อยากทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า ก็ถ้ามันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปแล้วมันไม่ทำร้ายเรา มันน่าจะดีกว่าครับ

Q : ฝากผลงานล่าสุดหน่อยครับ

A : ก็ขอฝากละครเรื่องเลดี้บานฉ่ำด้วยนะครับทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางช่องวันนะครับ รับบทเป็นท็อปนะครับ ก็ฝากให้กำลังใจผมเยอะ ๆ นะครับ แล้วก็ฝากให้กำลังใจพี่นักแสดงท่านอื่นด้วยนะครับรับรองว่าทุกคนจะได้ทั้งเสียงหัวเราะน้ำตา รอยยิ้ม แล้วก็ความอบอุ่น ความข้อคิดดีๆ แน่นอนครับ ฝากด้วยนะครับ เลดี้บานฉ่ำครับ