โดยเบญจกาย

ใครๆ ก็บอกว่า ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของกะเทยค่ะ โดยเฉพาะพัทยานี่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก ดูโชว์ที่ไหนๆ ก็ไม่อลังการดาวล้านดวงเท่ามาดูโชว์ที่พัทยา ก็จริงค่ะ แต่โลกของนางโชว์เป็นอย่างไร? ใครจะรู้บ้าง ในอดีตเราเคยชมภาพยนตร์เรื่อง ‘เพลงสุดท้าย’ ของพิศาล อัครเศรณี แต่เรื่องราวก็จบแบบโศกนาฏกรรมที่ดูจะเศร้าไปสักหน่อย เพราะในโลกแห่งความจริงของกะเทยและนางโชว์ ก็ไม่ได้แย่ดั่งภาพยนตร์นะคะ วันนี้เบญจกายพาทุกท่านมารู้จักกับ ‘เปี๊ยก-ธนิสร เรืองบุญ’ รองผู้จัดการฝ่ายการแสดง โคลอสเซียม โชว์ พัทยา สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นคาบาเรต์โชว์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

เปี๊ยก ธนิสร เติบโตจากอาชีพนางโชว์มาตั้งแต่สมัยยังเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ (สถาบันพัฒนศิลป์) ก่อนจะสั่งสมประสบการณ์จนก้าวมาสู่ในจุดที่เป็นทั้งครูสอนการโชว์และผู้สร้างสรรค์โชว์ที่อลังการของโคลอสเซียม โชว์ พัทยา แห่งนี้ แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป การคิดโชว์ไม่ง่ายในโลกดิจิตอล รวมทั้งการสอนกะเทยเด็กด้วย



Q : ก่อนที่จะมาร่วมงานที่โคลอสเซียม โชว์ พัทยา เคยทำงานอะไรมาก่อน

A : ก่อนหน้านี้หรือคะ เป็นนางโชว์ค่ะ เรียนไปด้วย ทำงานโชว์ไป มันเป็นความฝันค่ะคุณพี่ ตอนสมัยเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ เราอยากเป็นนางโชว์มากกกก แล้วก็ลองไปสมัครดู ปรากฏว่าได้งานที่เธียร์เตอร์ที่กรุงเทพฯ เป็นสไตล์บรอดเวย์ค่ะ ระหว่างที่เราทำงานด้วย เรียนด้วย ความที่เรายังเด็กไง ความรับผิดชอบมันยังไม่ได้ จึงขอทำให้เป็นเรื่องๆ ไป เลยตัดสินใจกลับไปเรียนให้มันเรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาทำโชว์ต่อ ทีนี้เต็มตัวแล้วค่ะ ยิงยาวจนถึงปัจจุบัน (หัวเราะ) นางโชว์สมัยก่อน ไม่ใช่ไปแล้วจะได้โชว์เลยนะคะ ทุกคนต้องฝึกเพลงพื้นฐานกว่า 3 เดือนกว่าจะได้ขึ้นโชว์จริง เพลงพื้นฐานของที่เธียเตอร์ที่หนูไปทำ ก็มีเพลงฮาวายและอารีรัง เป็นเพลงพื้นฐานในการที่จะแสดงศักยภาพค่ะ ฝึกซ้อมอยู่ 3 เดือน 3 เดือน จริงๆ ค่ะ ในยุคนั้น

Q : อะไรที่ทำให้เราสนใจงานโชว์ แรงบันดาลใจมาจากไหน

A : ถ้าหนูไม่ได้เรียนนาฏศิลป์ โดยส่วนตัวก็เป็นคนชอบโชว์ค่ะ ชอบเต้น เอาอย่างนี้ดีกว่า นิสัยเป็นคนชอบเต้นชอบ บวกกับว่าเราเป็นกะเทยเนอะคุณพี่ เพราะฉะนั้นเนี่ยหนูคิดว่าอาชีพนี้มันเหมาะกับเรา ณ ตอนนั้น คิดว่า อุ๊ย เหมาะที่สุด ตอนเด็กๆ คิดว่ามีแค่สองอาชีพที่เหมาะกับกะเทยคือ ดีไซเนอร์กับนางโชว์ แต่นางโชว์เนี่ยเพิ่งจะมาจุดประกายจริงๆ ตอนที่เข้ามัธยมศึกษาปีที่ 4 แต่จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจน่าจะมาจากตอนหนูอยู่ ป.6 ค่ะ คุณป้าของหนูเธอทำงานเป็น สปจ. ประจำจังหวัดชลบุรี เราก็มีโอกาสได้มาเที่ยวบ้านคุณป้า คุณป้าก็พามาพัทยา พามาดูอัลคาซาร์โชว์พัทยาค่ะ ตอนนั้นอยู่ ป.6 เอง เป็นครั้งแรกที่เห็น อุ๊ย กะเทยเป็นอย่างนี้เหรอ ตั้งแต่นั้นมาก็พยายามติดตามมาตลอด จนมันมีหนังสือที่เกี่ยวกับกะเทยออกมาค่ะ ชื่อนิตยสาร ‘นะยะ’เราก็ติดตาม แล้วคนที่เป็น inspiration จริงๆ คือ พี่บอยอัลคาซาร์ คนที่โฆษณา บอยไม่ดื่มค่ะ นั่นแหละ ดังมากในตอนนั้น


Q : แสดงว่าที่บ้านก็รู้ว่าเราเป็นกะเทยตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ไม่ว่าใช่มั้ย

A : อ๋อ เกิดมาก็แรดเลยค่ะ รู้แค่นี้ (หัวเราะ) คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่านะคะ คุณพ่อเป็นทหารด้วย คุณแม่เป็นครู แต่หนูเป็นคนที่เวลาเรียน คือเรียน เวลาเล่น ก็เล่นเต็มที่ เป็นเรื่องเป็นราวค่ะ ที่บ้านจะเจ้าระเบียบหน่อย แล้วเวลาเล่นกับพ่อจะเล่นออกแนวเตะๆ ต่อยๆ คุณพ่อเป็นนักมวย เคยคุยกันนะคะ คุณพ่อยังบอกว่าไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่เรากลายเป็นสาวข้ามเพศไปแล้ว

Q : หนูก็ทำโชว์มาตลอด แล้วพอถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตเราต้องเปลี่ยนมาเป็นกึ่งๆ บริหารงานเปลี่ยนไปเยอะไหม

A : เรื่องงานเปลี่ยนอยู่แล้วค่ะ แต่เรื่องชีวิต การดำเนิน การปฏิบัติตัว หนูได้เป็น หนูได้ทำงาน มันไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไรในการที่จะปรับตัวเข้ามากับตำแหน่งตรงนี้ เพราะไม่ได้ทำคนเดียว เรามีทีมงานนะคะ ต้องมีการประชุมและปรึกษากับผู้จัดการ ยกตัวอย่าง โชว์ที่นี่เปิดทั้งหมดเนี่ยต้องมี 16 เพลง เราก็ต้องคิดทั้งหมด 16 เพลง ตั้งแต่เพลง 1 2 3 4 5 6 7 8 หนึ่งเรื่องเพลง สองเรื่องอารมณ์ที่จะต่อเนื่องในการทำโชว์ เสื้อผ้า จำนวนนักแสดง เพราะฉะนั้นเนี่ยกลับไปคำถามที่ว่า มันต้องปรับตัวอะไรไหม มันแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยในส่วนของตัวเองนะคะ แต่ว่าเรื่องงานเนี่ย สิ่งที่หนูต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือเรื่องการเปลี่ยนความคิดคน มันเป็นเรื่องที่ยากมาก การเปลี่ยนทัศนคติคนนี่เป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่ตัวเปี๊ยกเองใช้ประสบการณ์ตรงที่ตัวเองได้เป็นนางโชว์มาทั้งหมดจนมานั่งบริหาร ช่วยได้ค่ะ ใจเขาใจเรา ง่ายๆ เลยคุณพี่ กะเทยเด็กยุคนี้ ถ้าพูดในฐานะที่เป็นครูนะคะ ในยุคของหนู ช่วงอายุของหนูเนี่ย เป็นช่วงอายุที่ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านค่ะ เริ่มมีทุกอย่างเข้ามา เป็นรอยต่อของทุกอย่าง เริ่มมีคอมพิวเตอร์ แผ่นดอสกลายเป็นแผ่นดิสก์ เทปเป็นซีดี เพราะฉะนั้นเป็นยุคที่คาบเกี่ยวทุกอย่าง ตัวหนูเองพร้อมที่จะรับใหม่ๆ เข้ามาด้วย จึงเข้าใจทั้งสองอย่างนะคะ อันนี้คือหนึ่งจุด จุดที่สองเนี่ย ณ ปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมากต่อเด็กมาก ตื่นมาปุ๊บหยิบก่อนเลยโทรศัพท์ ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่หนูเรียนรู้และสิ่งที่หนูพบเจออยู่ในการที่หนูสอนเด็กหรือเทรนเด็กจะพบว่า เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับเราหรือว่าการปฏิบัติตนกับเราไม่เหมือนเด็กในสมัยของเปี๊ยก สมัยที่เราเป็นวัยรุ่นเมื่อ 20 ปีก่อนโน่น

เปี๊ยกก็ไม่ได้พูดว่าเปี๊ยกเป็นคนหัวโบราณหรืออายุมากนะคะ แต่ในยุคเรามันไม่มีพวกคอมพ์ที่จะต้องติดตัวตลอดเวลา ไม่มีโทรศัพท์ที่จะต้องติดตัวตลอดเวลา ฉะนั้นการพบเจอกันครั้งแรก เฟิร์สอิมเพรสชั่นเราจะทักทาย สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะคุณพี่ สวัสดีค่ะ จะมีการยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน ถูกไหมคะ แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่ค่ะ ถ้าเกิดเราแชตคุยกับเด็ก สวัสดีค่ะ รับทราบค่ะ ขอบพระคุณค่ะ อุ๊ยจะมีคำพูดน่ารักๆ เต็มไปหมดเลย แต่พอมาเจอกัน มือไม้เด็กเขาจะวางไม่ถูก แล้วก็จะมีกิริยาแปลกๆ ซึ่งถ้าเราไม่เคยรู้จัก จะคิดว่าเด็กคนนี้ไม่มีสัมมาคารวะ อุ๊ย ทำไมหล่อนดูเชิดจัง ตามประสากะเทยนะคะ หน้าทำไมมองแต่ท้องฟ้า ไม่มองดินเลยอะไรอย่างนี้ แต่เปี๊ยกก็อาศัยตรงนี้แหละค่ะ เอามาใช้ในเรื่องงานของเปี๊ยก เช่น สมมุติเปี๊ยกกำลังเทรนตัวร้องเพลงอินเดียอยู่ เปี๊ยกก็จะให้เขาอัดคลิปส่งมาทางไลน์ ส่งมาทาง Messenger ในเฟซบุ๊กค่ะ ซึ่งได้ผล ได้ผลมากค่ะว่า เออมีการตอบรับคุยกันดีสนุกสนาน แต่พอมาเจอหน้ากันแบบจะจะ เขาก็จะเงอะๆ งะๆ ทำท่ามือไม้วางไม่ถูก นี่คือเด็กสมัยนี้ ใช้คำว่า กะเทย ดีกว่าเนอะ หนูไม่ทราบว่าชายจริงหญิงแท้เขาเป็นกันหรือเปล่า


Q : หนูมีวิธีการครีเอทีฟโชว์อย่างไรบ้าง การเลือกเพลง การเลือกสไตล์ที่จะจัด ที่จะทำให้ผู้ชมเอนเตอร์เทนอยู่ตลอดเวลา

A : ต้องอธิบายกลับไปนิดหนึ่งว่า ที่นี่เป็นเธียเตอร์ โครงสร้างของเธียเตอร์เขาจะมีการเปลี่ยนโชว์ของเขา หนึ่งปีเปลี่ยนที สองปีเปลี่ยนที หรือแล้วแต่นโยบายของแต่ละเธียเตอร์นะคะ เพราะฉะนั้นเพลงเราจะไม่เปลี่ยนบ่อยๆ นะคะ วิธีการทำงาน เราจะมีการเวิร์กช็อปเด็กเป็นประจำค่ะ เราจะจัดตารางไว้ว่า เดือนนี้ทำอะไรบ้าง วันจันทร์-ศุกร์ ทำอะไรบ้าง อย่างเช่น ยกตัวอย่างเดือนกันยายน เรากำลังคลีนนิ่งเพลงอินเดีย เพื่อเพิ่ม inspiration เพื่อขัดเกลาในรายที่ผิดเพี้ยนไป เพราะว่าพื้นฐานของเด็กๆ ไม่ได้มีพื้นฐานเต้นมาก่อน มันก็ต้องมีการผิดเพี้ยนและเปลี่ยนแปลงไปแน่นอนค่ะ นี่คือสิ่งที่เราจะทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาคุณภาพของโชว์ ให้เด็กมีอินเนอร์อยู่ตลอดเวลา โชว์ของเปี๊ยกเป็นโชว์ที่แตกต่างกับสองเธียเตอร์ เพื่อที่ว่าเราจะได้มีจุดขายของเรา คอนเซ็ปต์ของเราคือ we do it different เพราะฉะนั้นลักษณะโชว์ของเรา มันจะโชว์กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีสตอรี่ เป็นเรื่องคล้ายๆ กึ่ง ๆ บรอดเวย์ค่ะ เด็กต้องมีการจับไม้จับมือปฏิสัมพันธ์กัน มีอายคอนแทกต์กัน พูดคุยกัน มันไม่ใช่ที่ว่าร้องหนึ่งคนแล้วมีลูกคู่ เต้นอย่างเดียว มันไม่ใช่ มันคนละแบบค่ะ มันเลยต้องมีการซ้อมเพื่อเติมน้ำมัน เติมไฟ เติมเชื้อเพลิงตลอดเวลา ให้เด็กมีไฟ ให้เด็กเข้าใจและพัฒนาไปเรื่อยๆ

Q : หนูมีความฝันที่จะเป็นนางโชว์มาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้หนูก็มาถึงจุดผ่านการเป็นนางโชว์ มาสู่ผู้จัดการโชว์เนี่ย มันเป็นความฝันที่สูงสุดของเราหรือยัง

A : ขอบคุณค่ะคุณพี่ อุ๊ยขออนุญาตพูดแบบว่าดัดจริตเนาะ ขอบคุณมากสำหรับคำถาม โดยส่วนตัวหนู หนูไม่เคยคิดจริงๆ หนูไม่เคยฝันเลยว่าหนูจะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ ณ อายุตอนนั้นหนูคิดแค่ว่าหนูจะทำตรงอาชีพของหนูตรงนี้ให้ดีที่สุด เพราะหนูรักในเต้น หนูจึงเลือกเธียเตอร์ที่เหมาะกับบุคลิกตัวเอง แล้วหนูก็ทำ และพอหนูลงไปทำแล้วหนูชอบ หนูจึงทำให้มันสุด ซึ่งตอนนั้นหนูก็ยังไม่ทราบว่า คำว่าสุดของอาชีพนางโชว์จะอยู่แค่ไหน เพราะว่าเต้นกินรำกิน หนึ่ง สอง มันอยู่กับความสวยความงามถูกไหมคะ เราไม่รู้เราจะสวยถึงเมื่อไรไง ในตอนนั้นหนูคิดแค่จะทำให้ดีที่สุด สุดท้ายพอคำว่า ทำให้ดีที่สุด มันก็มาเป็นคำตอบในวันนี้ว่า สิ่งที่เราทำให้ดีที่สุดเนี่ยเราก็สามารถที่จะขึ้นมาถึงจุดนี้ ซึ่งหนูก็ยังไม่ทราบว่า จุดของคำว่านางโชว์แล้วมาถึงตำแหน่งตรงนี้มันสูงสุดหรือยัง ไม่ใช่ว่าหนูไม่ภูมิใจในตัวเองนะคะ หนูไม่เคยคิดย้อนกลับไปอย่างนี้เลยค่ะ จนมีคำถามนี้กลับมาหลายๆ คนมากขึ้นๆ ทำให้เราเริ่มภูมิใจในตัวเองค่ะ



Q : คนภายนอกที่ไม่ได้เป็นกะเทยจะมองอาชีพนางโชว์อีกแบบหนึ่ง เราในฐานะคนใน อยากจะบอกอะไรเขาบ้างว่า การมาเป็นนางโชว์มันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย มันไม่ใช่ว่าคนที่เป็นกะเทยจะทำได้หมดทุกคน

A : สำหรับเปี๊ยก ขอตอบตามความเข้าใจเปี๊ยกนะคะ คือในช่วงที่เปี๊ยกเป็นนางโชว์ ตอนนั้นเป็นเด็กที่ใฝ่ทางนี้จริงๆ ฉันต้องการจะมีความรู้ ฉันต้องการจะเป็นนางโชว์ ฉันต้องการจะมีมือไม้ที่สวย ฉันต้องการจะอยู่บนเวที ฉันคือดาว แต่สิ่งที่สังคมของนางโชว์ เขาสอนกันมาว่าให้ทุกคนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ทำงานเป็นกลุ่ม ทำงานเป็นทีม จะขึ้นไปก็ต้องมีขั้นตอนในการขึ้นนะคะ ต้องฝึก 3 เดือน จึงจะได้ขึ้นไปอยู่บนเวที นอกนั้นเป็นการวอร์มเป็นการเวิร์กช็อป นี่คือสิ่งที่เปี๊ยกได้ปฏิบัติมา ตลอดที่เป็นนางโชว์จนยุคมันเปลี่ยนอะไรมันก็เปลี่ยนค่ะ ทุกวันนี้เปี๊ยกได้เรียนรู้คำว่า ศิลปะต้องอยู่กับบิสสิเนสให้ได้ คำนี้สำหรับเปี๊ยกคือ มันก็ต้องตามยุคตามโลกนะ ก็กลับมาที่นางโชว์ไงคะ พอมันมีคำนี้ขึ้นมาปุ๊บเนี่ย มันน้อยมากค่ะที่เด็กจะพุ่งมาแล้วบอกว่าหนูอยากเป็นนางโชว์ มันน้อย ปากเขาบอกว่าอยากเป็นนางโชว์ แต่สุดท้ายพอเขาถึงจุดที่ว่า เขาได้เป็นตัวร้อง แล้วพอเขาได้ลงไปถ่ายรูปกับแขกร้าน มันก็เปลี่ยน เพราะว่าสุดท้ายบิสิเนสก็ต้องอยู่กับศิลปะ ทุกอย่างมันก็จะเป็นไปตามยุคตามสมัยจริงๆ เราจึงต้องมีการเวิร์กช็อปเพื่อเติมไฟเรื่อยๆ ไงคะ

Q : อยากให้ฝากข้อคิดสำคัญของกะเทยเด็กๆ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนางโชว์ในอนาคต เขาควรจะต้องเตรียมตัวและเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะก้าวมาแทนเราในจุดนี้

A : คือสำหรับผู้ที่จะต้องการเป็นนางโชว์ น้องๆ กะเทยรุ่นเด็กๆ เป็นนางโชว์นะคะ เปี๊ยกก็ขอพูดเลย ตามประสบการณ์ตรงที่มาถึงวันนี้แล้วเนี่ยนะคะ ก็อยากจะพูดว่า ทุกอาชีพเนี่ย ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็แล้วแต่นะคะ มันจะต้องมีระเบียบวินัยในตัวเองทุกอาชีพค่ะ ทุกอาชีพนะคะนอกจากคุณมีพรสวรรค์แล้ว คุณต้องมีพรแสวงด้วยค่ะ อันนี้สำคัญนะคะ การทำงานเนี่ยเราต้องเคารพกฎกติกาและต้องมีมารยาทในที่นั้นๆ ที่เราเข้าไปทำงาน ถ้าน้องมีตรงนี้ได้ พี่คิดว่านะคะ เราสามารถจะทำได้ทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร แต่อาชีพนางโชว์จะพิเศษตรงที่ว่า คุณจะต้องมีพรแสวงด้วย ในบทที่คุณได้รับ เมื่อคุณได้รับเข้ามาปุ๊บ คุณได้รับเป็นเพลง เปี๊ยกกำลังสมมุตินะคะ สมมุติคุณได้รับเป็นเพลงเวียดนาม คอนเซ็ปต์เขาจะเป็นเต้นหรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องใฝ่ที่จะเต้น ทุกครั้งที่คุณออกหน้าเวที คุณต้องรู้ตัวว่าคุณก้าวซ้ายก้าวขวา พูดง่ายๆ ว่าการเพอร์ฟอร์ม ถ้าพูดจริงๆ นะคะ สติค่ะใช้ได้ทุกเรื่อง เปี๊ยกจะสอนเด็กเสมอเรื่องสติ เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเรามีสติเราก็จะรู้จักกฎ ระเบียบวินัย กติกามารยาท ของทุกๆ ที่ค่ะคุณพี่ นี่คือสิ่งที่เปี๊ยกสอนเด็กๆ มาตลอดว่า ต้องเคารพตัวเอง แล้วเพิ่มเติมนะคะ การที่เรามาอยู่ร่วมกันนะคะน้องๆ สาวประเภทสอง การที่เรามาอยู่ร่วมกันเนี่ย สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ คุณต้องรับจุดเสียตัวเองให้ได้ คุณต้องยอมรับในจุดเสียของตัวเองให้ได้ ถ้าคุณยอมรับในข้อเสียของตัวเองได้เนี่ย คุณก็จะอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ได้ เพราะการที่คุณมาอยู่ร่วมกันเนี่ย มันไม่ทราบหรอกค่ะว่าใครเก่งไม่เก่ง ดีไม่ดี สุดท้ายทุกคนก็ต้องมารวมกัน พร้อมกัน เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่มันต้องเป็นค่ะคุณพี่ ซึ่งเปี๊ยกก็พร่ำสอนมาตลอดเรื่องนี้



Q : อยากให้พูดถึงความภูมิใจที่เราได้เป็นนางโชว์และเป็นกะเทย

A : ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณอีกแล้ว ความภูมิใจที่เป็นนางโชว์ โดยส่วนตัวเป็นคนชอบเต้นมาตลอด ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เด็ก คือเต้นมาตลอดนะคะ ชอบเต้นมาก ขอแม่ไปเรียนเต้น ขอคุณพ่อไปเรียนเต้น สุดท้ายไม่รู้จะพูดอย่างไรดีให้มันรู้สึกว่า ถ้าคุณทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ มันก็จะมีคำตอบของมันเองค่ะ ถ้าคุณทำปัจจุบันให้ดีที่สุดมันก็คืออนาคตจะดีค่ะ เท่านั้นเอง มันก็กลับไปถึงเรื่องเคารพตัวเอง เคารพกฎกติกามารยาท ในที่ที่คุณอยู่ มันไม่ใช่อยู่ดีๆ คุณจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการเลย เป็นไปไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณทำตัวดีคุณก็จะได้เจอคนดีๆ แล้วคุณก็จะได้มีโอกาสดีๆ แล้วคุณก็จะได้พบสิ่งดีๆ จบ

Q : ได้ข่าวว่า ในวงการกะเทย ลูกน้องกลัวเธอมาก

A : อย่างแรกเลยนะคะ ในช่วงที่เราทำงาน อย่างที่บอก เราตรงต่อเวลา เราพูดคำไหนคำนั้น และเราไม่เคยสร้างเรื่อง ไม่เคยตอแหลนะคะ คำว่าตอแหล คือตอแหลสร้างเรื่องให้เกิดปัญหา คนหมู่มากปัญหาคือเรื่องคำพูด เราไม่เคยมีตรงนั้นนะคะ เพราะฉะนั้นจะเป็นคนตรงมากค่ะ ยิ่งเรื่องงานนี่ไม่ได้เลย ต่อให้รักกัน เป็นเพื่อนรักกันแค่ไหน งานคืองานค่ะ แปดโมงคือแปดโมง เก้าโมงคือเก้าโมง บ่ายสองคือบ่ายสอง งานเสร็จปุ๊บกลายเป็นเพื่อน กลายเป็นพี่ กลายเป็นน้องกันเหมือนเดิม คำว่าวงแตก ก็คือตรงนี้มั้งคะ เพราะเป็นคนเสียงดัง และรูปลักษณ์ดูขี้วีนขี้เหวี่ยงเนาะ แต่จริงๆ แล้วน่ารักมากค่ะ ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์นะคะ

Q : เรื่องความรักกับสาวหล่อล่ะ

A : เป็นทอมค่ะ คือเป็นคนชอบโพสต์นั่นโพสต์นี่อะไรไปเรื่อยเปื่อยค่ะ จนวันหนึ่งเนี่ยเขาก็เข้ามาคุยกับเรา เราก็คุยกับเขา พอคุยเสร็จ เขาบอกว่าเขาชอบเรา ตอนนั้นก็งงค่ะ มันมีด้วยเหรอ ณ ตอนนั้น ทอมกับกะเทยคืออะไร แต่สมัยนี้คงเป็นเรื่องปกติเนาะ แต่เปี๊ยกไม่ได้มองเขาเป็นตัวประหลาดนะ เพียงแต่ว่า เออ มันบอกไม่ถูกอะ มันก็แปลกดีอะ ก็ลองดูค่ะ อุ๊ยมีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียนะคะ เพราะฉะนั้นก็ลองคบดูว่าเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้แค่คบ แต่พอจะถึงขั้นให้เป็นแฟนกัน สำหรับเปี๊ยกมันยังไม่ใช่ไง เท่านั้นเอง แต่ช่วงที่คบกันนี่เขาทำให้เราเพ้อเจ้อได้เลย อู้หูเว่อร์จริงๆ พูดเลย วันวาเลนไทน์ กุหลาบห้าสีค่ะสั่งมาจากเกาหลีอย่างนี้ มันเว่อร์ไหม ตายแล้วววว กูเหลือน้ำหนักเหลือแค่ 20 กิโล แลดูบอบบางและสวยมาก ยอมรับในจุดนี้ เขาทำให้รู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิงนะคะ เว่อร์มากพูดแค่นี้ เพ้อเจ้อได้เลย แต่พอมาถึงจุดที่มันจะต้อง จริงจังขึ้นมา ในจุดที่ว่าเธอจะต้องเป็นผัวฉันเป็นเมียแล้วมันไม่ใช่ค่ะ มันยังไม่ใช่ตัวเรา เพราะว่าเรื่องเซ็กซ์ เปี๊ยกมองว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม เปี๊ยกไม่ได้มองถึงเรื่องว่า ผู้ชายกับผู้ชายเอากันผิด ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นกะเทยแล้วมาพูดนะ สำหรับเปี๊ยกมันไม่มีคำว่าผิด มันเป็นเรื่องของคนสองคนน่ะ มันเป็นเรื่องของเขาตกลงกันแล้ว ก็เรื่องของเขาสิถูกไหมคะ

No Comments Yet

Comments are closed