ข้อมูลที่นักเล่นซูเปอร์คาร์อาจจะยังไม่รู้ว่า McLaren F1 GTR ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้ในการแข่งขันรายการ 24 ชั่วโมง เลอม็องส์ (24 Hours of Le Mans) ปี ค.ศ. 1995 แต่กลับเข้าเส้นชัยได้ทั้งอันดับ 1, 3, 4, 5 และ 13 ทำให้ McLaren กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่สามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันที่โด่งดังและสุดแสนทรหดระดับโลกได้ในการลงแข่งขันครั้งแรก McLaren F1 GTR ยังถูกพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุด จนกลายเป็นหนึ่งในรถแข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตยุคใหม่ คือรุ่นลองเทล (Longtail)

ในปี 1997 มีการผลิต McLaren F1 GTR ขึ้นอีกครั้งเพียง 9 คัน มีการยืดทรงตัวรถให้ยาวขึ้นเพื่อลดแรงต้านและเพิ่มแรงกดอากาศบนตัวรถ และยังมีการพัฒนาเพิ่มเติมระบบกันสะเทือนที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์แบบและระบบเกียร์ซีเควนเชียล (Sequential transmission) นอกจากนี้ ยังมีการลดน้ำหนักในทุกส่วนประกอบ ซึ่งทำให้ McLaren F1 GTR Longtail มีน้ำหนักเบาขึ้นอีกมากกว่า 100 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับ McLaren F1 GTR ซึ่งเป็นรถที่มีน้ำหนักเบามากเจ้าของแชมป์รายการ 24 ชั่วโมง เลอม็องส์ ในปี ค.ศ.1995

ในการปรับแต่งครั้งนั้นได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากบรรดานักแข่งรถ โดย McLaren F1 GTRLongtail สามารถคว้าชัยชนะได้ 5 รอบจากทั้งหมด 11 รอบในรายการ FIA GT Championship ของปีนั้น และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 และ 2 ในรุ่นจีทีคลาส รายการ24 ชั่วโมง เลอม็องส์ ซึ่งคู่แข่งที่เข้าใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างไปถึง 30 รอบ

ในงาน 2015 Geneva Motor Show ถือเป็นการคืนชีพอีกครั้งสำหรับรุ่น Longtail ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ที่เน้นเรื่องสมรรถนะสูงสุดในตระกูลซูเปอร์ซีรีส์ นั่นคือ McLaren 675LT ซึ่งได้รับการออกแบบให้สืบทอดความเป็นเลิศของรถยนต์รุ่นก่อนๆ เพราะ McLaren 675LT ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของตระกูล Super Series



กระแสตอบรับรุ่นคูเป้ที่ถูกผลิตในจำนวนจำกัดถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว McLaren จึงผลิตรถยนต์รุ่น McLaren 675LT Spider ซึ่งเป็นรุ่นเปิดประทุนที่เน้นสมรรถนะเร็วแรงสูงสุดเท่าที่ McLaren เคยผลิตมา โดยรถตัวอย่างทั้ง 500 คันจำหน่ายหมดภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น McLaren 600LT Coupé ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 4 ซึ่งใช้ชื่อ LT และเป็นรถ Longtail รุ่นแรกในตระกูล Sports Series โดยจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบรถคูเป้ ซึ่งแน่นอนว่าผลิตในจำนวนจำกัดเช่นกัน