แม้จะมีนามสกุลดังตามท้าย แต่ ‘คิด เบญจรงคกุล’ ก็ยังอยากให้ทุกคนรู้จักเขาผ่านชื่อ ‘Kit B’ เพื่อสัมผัสถึงความตั้งใจในการถ่ายทอดผลงานศิลปะหลากหลายแขนง โดยไม่ต้องสนใจว่าเขาเป็นลูกใคร มีนามสกุลอะไร แต่ให้เปิดใจมองเขาในฐานะศิลปินที่พร้อมรังสรรค์งานศิลปะเพื่อสะท้อนตัวตนของตนเองก็พอ

ตลอดเส้นทางการเติบโต อาจพูดได้ว่า ‘คิด’ คลุกคลีอยู่กับการสร้างงานศิลป์ตั้งแต่เด็กจนโต แม้คุณพ่อจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ แต่กลับส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ศิลปะอย่างเต็มที่ จนช่วยให้เขาค้นพบเส้นทางศิลปินของตัวเอง และไม่เคยไขว้เขวออกเส้นทางนับตั้งแต่ก้าวแรก จากการศึกษาในคณะสถาปัตยกรรม สู่การทดลองงานศิลป์ประเภทภาพถ่าย พัฒนาฝีไม้ลายมือจนคนจดจำในฐานะช่างภาพ พร้อมพ่วงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) ก่อนเริ่มทดลองสร้างสรรค์ศิลปะอีกแขนง กับการเป็น ‘นักร้อง’ ซึ่งถ่ายทอดตัวตนผ่านเสียงเพลงในวันนี้อีกด้วยลองมาทำความรู้จักกับศิลปินผู้หลงใหลในงานศิลปะคนนี้ไปพร้อมๆ กัน

“เรามีต้นทุนที่ดีกว่าใครหลายๆ คน เราเลือกทำในสิ่งที่้เรารักได้โดยไม่ต้องไปห่วงว่าเราต้องทำงานเพื่อหาเงินตลอดเวลา มันก็เปิดโอกาสให้เราได้ทำในแพสชั่นของเรา แต่ก็ทำให้คนเขาตัดสินเราตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นผลงานด้วยซ้ำ บางทีเห็นแค่ชื่อนามสกุลเรา เขาก็ตัดสินเราไปแล้ว”

‘คิด เบญจรงคกุล’ นามสกุลนี้เป็นอุปสรรคหรือสิ่งสนับสนุนคุณ

คิดจะบอกเสมอว่า เวลามีครอบครัวหรือนามสกุลพ่วงมาด้วย มันมีทั้งข้อดีและไม่ดี คือหนึ่ง การเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี มีคอนเน็กชั่นดี ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นในหลายๆ อย่าง เพราะเรามีต้นทุนที่ดีกว่าใครหลายๆ คน เราเลือกทำในสิ่งที่้เรารักได้โดยไม่ต้องไปห่วงว่าเราต้องทำงานเพื่อหาเงินตลอดเวลา มันก็เปิดโอกาสให้เราได้ทำในแพสชั่นของเรา แต่ก็ทำให้คนเขาตัดสินเราตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นผลงานด้วยซ้ำ บางทีเห็นแค่ชื่อนามสกุลเรา เขาก็ตัดสินเราไปแล้ว เขาจะมีคำพูดมาแล้วว่า เป็นลูกคนนี้ เป็นไฮโซ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นคำจำกัดความที่ทำให้เราถูกตีกรอบ และไม่สามารถแสดงผลงานออกมาได้เต็มที่ เพราะคนจะตัดสินเราก่อนที่จะได้ชมผลงานเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จัดการยากนั่นแหละครับ แต่คิดก็พยายามพิสูจน์ด้วยผลงานมากกว่า เพื่อที่จะให้คนสัมผัสได้ว่าเราตั้งใจทำงานศิลปะและใช้เวลากับมันจริงๆ

‘Kit B’จึงถูกใช้แทนชื่อนามสกุลจริง?

‘Kit B’ เป็นชื่อที่คนรู้จักหรือเพื่อนๆ เรียกคิดอยู่แล้ว มันอาจจะตัดนามสกุลเต็มที่เราถูกเชื่อมโยงกับคนในบ้าน ซึ่งน่าจะทำให้ตัวตนของเราแยกออกมาจากภาพใหญ่ของคนอื่นๆ ในครอบครัวก็อยากให้คนได้เห็นเราในตัวตนของเรา ในงานของเรา มากกว่าที่จะให้คนไปตัดสินว่าเราเป็นลูกของใคร นามสกุลอะไร

ทั้งๆ ที่เป็นครอบครัวนักธุรกิจ แล้วความสนใจในศิลปะของคุณเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนไหน

คิดชื่นชอบในศิลปะตั้งแต่เด็ก คุณพ่อปลูกฝังและสอนเรื่องการวาดรูปตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งการที่คุณพ่อสนับสนุนนี่น่าจะเป็นความเก็บกดของคุณพ่อด้วยนะครับ เพราะคุณพ่อเล่าเสมอว่าอยากจะเป็นศิลปิน นักวาดรูป ก็เลยปลูกฝังลูกๆ ว่าอยากจะเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองรักได้เลย คุณพ่อเปิดทางให้ ตอนเรียนไฮสคูลจะมีวิชาทางเลือก ซึ่งมีวิชาศิลปะอยู่ในนั้น เราก็เลือกเลย จนเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็เลยเลือกเรียนสถาปัตย์ ทุกอย่างเชื่อมโยงกับศิลปะทั้งหมดเลยครับ

“คุณพ่อเล่าเสมอว่าอยากจะเป็นศิลปิน นักวาดรูป ก็เลยปลูกฝังลูกๆ ว่าอยากจะเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองรักได้เลย คุณพ่อเปิดทางให้”

ผลงานศิลปะชิ้นแรกๆ คืออะไร

ตั้งแต่จำความได้ คิดจะเป็นคนพกกล้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา พวกกล้องถ่ายแล้วทิ้งสมัยก่อน เราก็จะพกไปโรงเรียน หรือพกไปค่ายกับเพื่อน แล้วจะคอยถ่ายภาพเพื่อนๆ ในห้อง พรินต์มาแจกทุกคน เราชอบถ่ายภาพคนเป็นพิเศษ ดังนั้น เพื่อนหรือครอบครัวก็โดนจับมาเป็นนายแบบนางแบบให้คิดทุกคนเลยครับ

ก้าวแรกกับเส้นทางช่างภาพ

โปรเจ็กต์แรกที่ทำชื่อว่า ‘Eye to Eye’ ตอนนั้นเรียนสถาปัตย์ปี 2 เป็นการถ่ายรูปบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยประมาณ 100 กว่าคน มีการจัดแสดงผลงานและทำหนังสือขาย เพื่อนำรายได้ไปบริจาคให้กับมูลนิธิคนตาบอด โปรเจ็กต์นั้นได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี ทำให้เราตัดสินใจว่าหลังจากเรียนจบสถาปัตย์ เราจะมุ่งไปเป็นช่างภาพครับ ก็เริ่มฝึกงานกับช่างภาพที่ต่างประเทศ เป็นผู้ช่วยช่างภาพ กลับมาเมืองไทยพยายามหางานถ่ายภาพ มีทั้งงานฟรีงานได้เงิน ถ่ายไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ มี Portfolio ของตัวเองจนถึงทุกวันนี้ส่วนภาพถ่ายแฟชั่นโปรเจ็กต์แรกเลยเป็นการร่วมงานกับนิตยสารLIPS ครับ เราคิดคอนเซ็ปต์ออกมาแล้วไปเสนอกับทีมงาน เขาสนใจให้ทำ จนออกมาเป็นแฟชั่นเซตครั้งแรกที่ได้ตีพิมพ์ออกมาในหนังสือครับ

สิ่งที่เราโฟกัสในการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) คืออะไร

น่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์นะครับ เพราะคิดเชื่อว่าแต่ละคนมีการแสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป อย่างอารมณ์สุขของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน การแสดงความสุขก็ต่างกัน ฉะนั้น เราถ่ายภาพที่มีความสุข แต่ว่าต่างคนกัน มันจะได้ภาพที่อารมณ์แตกต่างกันออกมา

จากโปรเจ็กต์การถ่ายภาพครั้งแรกจนถึงปัจจุบันนี้ คิดว่าตัวเองมีพัฒนาการหรือมุมมองเปลี่ยนไปมั้ย

น่าจะเหมือนกับศิลปะหรือการทำงานหลายๆ ศาสตร์นะครับ การที่เราได้ทำบ่อยๆ หรือฝึกฝนบ่อยๆ มันทำให้ฝีมือเราพัฒนามากขึ้น เราได้เรียนรู้เรื่องเทคนิคมากขึ้น ตั้งแต่การจัดไฟ การสื่อสารกับแบบ หรือแม้กระทั่งการเลือกรูป แก้ไขรูปต่างๆ ด้วยประสบการณ์มันทำให้การทำงานของเรามันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คิดเชื่อว่าเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน และสามารถพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ ครับ

“มีแค่ช่วงเวลาตรงนี้สั้นๆ ที่เราจะสามารถทำอะไรก็ได้ที่เรารัก ที่เป็นแพสชั่นของเรา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้าเราได้ลองทำสิ่งที่เรารัก เราก็คิดว่าเราจะไม่เสียใจแน่นนอน”

ดูเหมือนเส้นทางช่างภาพก็กำลังไปได้ดี แล้วทำไมถึงหันมาทำงานเพลง?

ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้วครับที่คิดมีโอกาสได้เข้าไปทำเพลงกับค่าย Frontage คือเพลง ‘เจ้าช่อมาลี’ กับนท (เดอะสตาร์) แล้วหลังจากนั้น พี่เอกซึ่งเคยเป็นหัวหน้าค่ายฟรอนต์เทจก็ชวนเราว่า ทำไมไม่ลองทำเพลงเดี่ยวของตัวเองดู เราใช้เวลาตัดสินใจอยู่สักพัก และรู้สึกว่ามันมีแค่ช่วงเวลาตรงนี้สั้นๆ ที่เราจะสามารถทำอะไรก็ได้ที่เรารัก ที่เป็นแพสชั่นของเรา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้าเราได้ลองทำสิ่งที่เรารัก เราก็คิดว่าเราจะไม่เสียใจแน่นนอน ตัดสินใจจะลองดูสักตั้งครับ คิดเลยใช้เวลาปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ซุ่มทำเพลง และเข้าไปคุยกับโปรดิวเซอร์หลายๆ คนจนออกมาเป็น EP ชื่อว่า ‘Long Distance’ ที่เพิ่งปล่อยออกมาครับ

Long Distance มาจากประสบการณ์ของตัวเองเลยหรือเปล่า

ใช่ครับ EP Long Distance มีทั้งหมด 4 เพลงครับ โดยทั้ง 4 เพลงมาจากประสบการณ์ความรักในช่วงเวลาต่างๆของคิดเอง ซึ่ง EP นี้ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่หลากหลาย แต่ละคนเป็นระดับท็อปๆ ของประเทศทั้งนั้นเลย โดยแต่ละเพลงมีความต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของซาวด์ต่างๆ เป็นการทดลองค้นหาซาวด์ที่มันเป็นตัวตนของเราจริงๆ

อย่างเพลงแรกคือ Long Distance เป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ ที่เราสามารถมอบให้กับคนที่เรารักเวลาอยู่ห่างไกลกัน เพลงที่สองคือเพลง ‘ลืม’ ถือว่าเป็นเพลงเศร้าที่สุดใน 4 เพลง และเพลงนี้ได้ ‘มิว นิษฐา’ มาเล่น MV ด้วย เพลงที่สามคือ ‘Let's Start Tonight’ ซึ่งมี ‘วี-วิโอเลต’ มาฟีเจอริงด้วย และเพลงสุดท้ายคือ “เวิ่นเว้อ” ที่มี ‘พี่เอก Season Five’ มาทำเพลงให้ ซึ่งคิดเองได้เรียนรู้มากมายจากพี่เอกด้วยครับ

การเผยแพร่เพลงในตอนนี้มีช่องทางหลากหลายมากขึ้นสิ่งนี้ทำให้ศิลปินทำงานง่ายขึ้นมั้ย

มีทั้งสองแง่นะครับ มันง่ายขึ้นตรงที่เราไม่ต้องอยู่กับค่ายใหญ่แล้ว อยู่กับค่ายเล็กๆ ก็ได้ ช่องทางการปล่อยเพลงเราเอาขึ้น YouTube หรือช่องทาง Streaming อื่นๆ เองได้ แต่มันทำให้เกิดตัวเลือกเยอะมาก มีเพลงดนตรีหลากหลาย การแข่งขันจะสูงนิดหนึ่ง แต่ทำให้เราเป็นตัวเอง แสดงตัวตนของเราอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้ฟังครับ

“การร้องเพลงไม่ได้มีแค่ความพยายามร้องให้เพราะ ร้องให้ตรงคีย์ แต่มันเป็นการแสดงอารมณ์ที่อยู่ข้างในให้คนฟังได้ยิน”

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นนักร้องคืออะไร

คิดได้เรียนรู้หลายๆ ศาสตร์ของการร้องเพลง ได้รู้ว่าการร้องเพลงไม่ได้มีแค่ความพยายามร้องให้เพราะ ร้องให้ตรงคีย์ แต่มันเป็นการแสดงอารมณ์ที่อยู่ข้างในให้คนฟังได้ยินทุกรายละเอียดของตัวโน้ต หรือคำที่ร้องออกมา มันสามารถใส่ความหมาย ความรู้สึกมากมาย อีกอย่างคือความมั่นใจในการร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่เราพยายามฝึกฝนอยู่ทุกวัน เพราะอาจจะชินกับการร้องอยู่ในห้องนอนคนเดียว หรือร้องในห้องอัด ร้องให้เพื่อนที่สนิทฟัง แต่พอก้าวมาเป็นศิลปินเราต้องออกไปร้องให้กับคนที่ไม่รู้จักฟัง ซึ่งเขาจะรู้จักเราผ่านเสียงเพลงที่เราร้องออกไป

การเป็นช่างภาพกับการเป็นนักร้อง เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

มีส่วนเหมือนและต่างกันนะครับ ส่วนที่ต่างกันคือ ตากล้องเป็นการอยู่เบื้องหลัง ส่วนนักร้องเป็นการอยู่เบื้องหน้า เหมือนเราต้องไปยืนอยู่หน้าคน แล้วแสดงอารมณ์ของเราออกมาให้คนได้ดูได้ฟังกัน แต่การเป็นช่างภาพเราจะคอนโทรลทุกอย่างจากข้างหลังกล้องได้ สิ่งที่เผยแพร่ให้คนดูคือชิ้นงานของเราไม่ใช่ตัวเราเองแต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือความเป็นศิลปะและอารมณ์ที่หลากหลาย อย่างภาพมันสามารถสื่อออกมาได้หลากหลายอารมณ์ การร้องเพลงก็สื่อออกมาได้หลากหลายอารมณ์ คนเดียวกันร้องเพลงเดียวกัน ก็ออกมาไม่เหมือนกันครับ

นอกจากศิลปะด้านภาพถ่ายและการร้องเพลงแล้ว คุณยังทำ Installation Art ด้วย?

ใช่ครับ ตอนนี้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) กำลังมีนิทรรศการใหม่ชื่อ ‘มนุสสานัง : Manussanung’ ซึ่งคิดได้มีส่วนร่วมโดยเป็นทั้งคนจัดงาน และเป็นหนึ่งในศิลปินที่จัดแสดง Installation Art ด้วย โดยนิทรรศการนี้มีศิลปินเข้าร่วมถึง 31 ท่านทุกๆ ท่านจะมาถ่ายทอดคำว่ามนุสสานังในแบบของตัวเอง มีทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ประติมากรรม

ในส่วนของคิดเอง คิดสร้างห้องห้องหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้คนเข้ามาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ซึ่งมีการร่วม Collaborate กับนทอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้นทมาในฐานะคนทำซาวด์ให้ห้อง เพื่อพาคนเข้าสู่สมาธิและความสงบเพราะสำหรับคิด คำว่ามนุสสานังทำให้นึกถึงความเป็นชาวพุทธ ซึ่งชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม และพยายามหาความสงบ เหมือนกับการมามิวเซียม เราก็มาเพื่อความสงบ ผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกัน มันมีสิ่งเร้ากวนใจมากมาย อย่างรูปภาพที่กระตุ้นความคิดเราหลายๆ แบบ

ดังนั้น การที่เราเข้ามาในห้องปฏิบัติธรรมที่ตั้งอยู่กลางมิวเซียม เราอยากจะรู้ว่าปฏิกิริยาของคนนั้นจะส่งออกมาแบบไหน เมื่อเขาต้องเข้ามาในห้องนี้ ซึ่งมีแสง สี เสียง ที่นำพาความสงบมาให้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งกวนใจด้วย คนที่เข้ามาดูนั้นจะเข้าถึงความสงบได้จริงมั้ย และทำสมาธิในรูปแบบไหน นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกมากมายจากหลากหลายศิลปินที่รอให้คุณเข้าชม ตั้งแต่วันนี้ จนถึงกลางเดือนมีนาคมเลยครับ

“คิดชอบที่เราได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การได้ทำงานร่วมกัน เหมือนเราได้รับพลังงานจากคนที่เราเจอ และได้คุยกับคนที่เราไม่รู้จัก”

ดูเหมือนคุณจะชอบทำงาน Collaborate กับคนอื่นๆ จริงๆ แล้วศิลปินน่าจะอยากทำงานคนเดียวหรือเปล่า

คิดว่างานศิลปะเป็นงานที่สามารถ Collaborateกับคนอื่นๆ ได้หมด คือมันก็มีที่ทำคนเดียวได้ แต่สำหรับคิด คิดชอบการทำงานเป็นทีม อย่างการถ่ายภาพพอร์เทรต แฟชั่น งานตรงนี้มันมากกว่าตากล้อง อย่างน้อยๆ ก็มีซับเจ็กต์ที่ต้องทำงานร่วมกัน ที่เราต้องสื่อเขาออกมาผ่านสายตาเรา คิดชอบที่เราได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การได้ทำงานร่วมกัน เหมือนเราได้รับพลังงานจากคนที่เราเจอ และได้คุยกับคนที่เราไม่รู้จัก

ถ้าผลงานในฐานะศิลปินของคุณไม่ได้รับเสียงชื่นชม คุณจะรู้สึกอย่างไร

หลักๆ แล้วทุกคนทำงานออกมาก็หวังจะได้ผลตอบรับที่ดี เสียงชื่นชมก็เหมือนกำลังใจที่ทำให้เราทำงานต่อไป ถ้าไม่ได้รับเสียงชื่นชมเลย ก็คงต้องกลับมาคิดว่าเราทำดีพอแล้วรึยัง หรือควรต้องปรับปรุงยังไง ถ้าเราตั้งใจทำและภูมิใจกับมัน มันก็พอแล้วนะครับ มันมากกว่าจะต้องไปรอคำตอบรับว่าทุกคนจะยอมรับเราหรือเปล่า แค่เราตั้งใจทำสุดความสามารถก็พอแล้ว

ก้าวต่อไปในฐานะคนทำงานศิลปะหลากหลายแขนง

อยากส่งเสริมศิลปะไทย ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้น อยากจัดพื้นที่ให้ศิลปินบ้านเรามีที่จัดแสดงผลงาน และโกอินเตอร์ไปสู้กับศิลปินต่างชาติได้ ในฐานะศิลปินคนหนึ่ง อยากพัฒนาศิลปะในประเทศตัวเองให้ก้าวไกล เพราะคิดเชื่อว่าศิลปินไทยไม่แพ้ชาติไหนในโลกนะครับ เพียงแต่อาจจะยังไม่ได้รับการโปรโมตที่ถูกต้อง เลยทำให้มีศิลปินไทยกลุ่มน้อยที่เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ เพราะขาดแรงผลักดันและสนับสนุนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ในฐานะคนไทยเราจึงควรช่วยกันผลักดันศิลปินไทยให้ก้าวไประดับโลกให้ได้ครับ