เสียงทุ้มที่ขับร้องเพลงภาษาอังกฤษรื่นหู ทำให้เราสะดุดกับวิดีโอที่แรนดอมขึ้นมาในยูทูบทันที ขณะกำลังคิดว่า เป็นผลงานของนักร้องฝั่งอังกฤษหรืออเมริกากันแน่ แต่แล้วชื่อที่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้เราประหลาดใจ
‘PhumViphurit’ หนุ่มชื่อไทยกับรอยยิ้มสดใสทำให้เราอดไม่ได้ต้องค้นหาประวัติของเขาในกูเกิล แล้วเราก็ได้แปลกใจรอบที่สอง เมื่อพบว่านักน้องหนุ่มคนนี้กำลังมีทัวร์คอนเสิร์ตทั้งเอเชียและยุโรป ยิ่งได้เห็นความสามารถทางดนตรีของเขา ก็ยิ่งทำให้เราอยากรู้จักหนุ่มคนนี้มากขึ้น และเมื่อโอกาสของการได้นั่งคุยกับเขามาถึง เราก็พบว่า ไม่ใช่แค่บทเพลงไพเราะ แต่เมโลดี้ชีวิตของ ‘ภูมิ-วิภูริศศิริทิพย์’ ก็น่าฟังไม่แพ้กัน

“การเป็นศิลปินในยุคโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่ยากมาก อาจจะมีหนึ่งพันคอมเมนต์ที่ชอบเรา แต่คุณอาจจะเลื่อนไปเจอหนึ่งคอมเมนต์ที่บอกเราว่า ‘Oh, you are shit!’ เราก็จะแบบ ‘โว้ววว!’ มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

จุดเริ่มต้นในเส้นทางสายดนตรี
ภูมิโตมากับดนตรีครับ ไม่ได้โตมากับการเล่นดนตรีอะไรขนาดนั้น แต่เป็นคนที่ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก น่าจะเป็นช่วงม.ต้นที่อยากลองเล่นกีตาร์ ลองเล่นดนตรี ลองตีกลอง โชคดีที่ในโรงเรียนมีมิวสิกคลาส เลยลองไปร่วมกิจกรรมของคลาสดู จากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ มีการเล่นคัฟเวอร์ลงยูทูบ จนได้มาเป็นภูมิทุกวันนี้ครับผม

เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้ไหม
ไม่เลยครับ ทุกวันนี้ยังงงอยู่เหมือนกันว่า ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เราแค่ชอบเล่นดนตรี ชอบฟังดนตรี เพราะมันรู้สึกได้ปลดปล่อย และรู้สึกโชคดีมากที่มีวันนี้ตอนที่คัฟเวอร์ลงยูทูบ เราแค่อินกับดนตรีอัลเทอร์เนทีฟในตอนนั้น แค่อยากลองเอามาทำเพราะเราชอบ ภูมิไม่ได้เป็นคนกล้าแสดงออกขนาดนั้น ภูมิเป็นคนขี้อายแค่รู้สึกว่า ยูทูบมันเป็นอะไรที่เราสามารถทำในห้องนอนเราได้ เราจะถ่ายกี่เทคก็ได้ ถ่ายทั้งคืนก็ได้จนกว่าเราจะพอใจกับมัน แล้วเรายังสามารถกลับไปฟังก่อนแล้วค่อยปล่อยออกไปได้มันรู้สึกได้ระบายดี

ทำไมต้องเป็นแนว‘นีโอโซล’ กับ ‘อินดี้ โฟล์ก’
ตอนที่ทำอัลบั้มชุดแรกมันเป็นแนวอินดี้ โฟล์กเพราะตอนนั้นภูมิอินกับกีตาร์โปร่งมาก จริงๆ อิทธิพลของภูมิมันไม่ได้มาทางอินดี้ โฟล์กขนาดนั้น อาจจะเป็นแค่ทางคอร์ดที่เราเลือกเล่นมันดูเป็นอินดี้ โฟล์กก็เลยออกมาแบบนั้น ส่วนนีโอ โซลจะอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ ที่กำลังทำคอนเซ็ปต์อยู่ อาจจะออกมาทางนั้นเพราะเราเลือกเล่นกีตาร์ไฟฟ้า และทางคอร์ดเราอาจจะหวานขึ้นมานิดหนึ่ง คนเลยตีความว่าเรามาทางนีโอ โซล แต่ตัวภูมิเอง ถามว่าภูมิฟังนีโอโซลมั้ย ไม่ใช่ เรียกได้ว่าแต่ละวันภูมิฟังหลายๆ แนวมาก

ถ้างั้นมีใครที่ภูมิคิดว่าได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากเขามากที่สุด
อันนี้ภูมิก็จะพูดทุกครั้งนะครับว่าภูมิไม่ได้มีซาวด์ดนตรีที่ได้รับมาจากใครชัดเจน ไม่ได้มีอิทธิพลทางดนตรีขนาดนั้น แต่คนภูมิชอบที่สุดก็ คือ Mac Demarco ศิลปินแคนาดา ชอบมุมมองเวลาเขาแต่งเพลงชอบในไลฟ์สไตล์ที่เขามี ชอบในทัศนคติเขา ถือว่าเป็นแฟนเพลงมาแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนที่สามารถแต่งเพลงในสตูดิโอใหญ่ๆ ได้ แต่เขาเลือกที่จะทำเองในบ้านเล็กๆ ซึ่งคุณภาพอาจจะไม่ได้สูงมากแต่มันได้ความจริงใจอะไรบางอย่าง เพราะว่าในโลกตอนนี้มันมีดนตรีที่สามารถโปรดิวซ์ออกมาได้เยอะๆ แต่เขาเลือกที่จะทำเหมือนงานโฮมเมด งานคราฟต์ที่มีลายเซ็นชัดๆ มันน่าสนใจมากๆ

ภูมิว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก ที่หากคุณมีกลุ่มคนฟัง มีคนฟอลโลว์เยอะๆ มีชื่อเสียงเยอะๆ แล้วดนตรีจะถูกดึงไปทางด้านธุรกิจ คนที่หาจุดกลางได้ว่า เราเป็นแบบนี้นะและยอมจะทำแบบนี้เพื่ออยู่รอดกับโลกดนตรี ภูมิเลยชอบ Mac Demarcoที่เขาหาจุดตรงกลางตรงนั้นได้ เขาประสบความสำเร็จสูง แต่ยังคงมีความเป็นตัวเองสูงมากๆ ไม่สูญเสียตรงนั้นไป เป็นแรงบันดาลใจสำหรับภูมิมากๆ ที่จะทำงานออกมาแบบนี้ ไม่ว่าดนตรีเราจะมีคนฟังมากขึ้นกว่านี้ไหม หรือน้อยลง ทำให้เราใส่ใจมันจริงๆ ไม่ใช่รีบทำเพื่อเอาไปรีบขายช่วงคริสต์มาสอะไรแบบนั้น


“ภูมิแค่แต่งเพลงที่ภูมิชอบในตอนนั้น แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารในช่วงนั้น แค่นั้นเอง”

อะไรทำให้เราได้รับการตอบรับจากต่างประเทศก่อนประเทศไทย
อันนี้เป็นอะไรที่ภูมิตอบไม่ได้จริงๆ เพราะในมุมมองของภูมิ ภูมิแค่แต่งเพลงที่ภูมิชอบในตอนนั้น แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากสื่อสารในช่วงนั้น แค่นั้นเอง ตอนที่ภูมิปล่อยออกไป ภูมิไม่ได้มีกลยุทธ์ว่า โอเค มันต้องไปถึงกลุ่มผู้ฟังเมืองนอกนะ ตอนนั้นแค่ภูมิชอบ แล้วมันไปของมันเอง เพลงแรกที่มันเกิดขึ้นก็คือ ‘Long Gone’จำได้ว่าภูมิส่งไปเกือบทุกชาร์ตในประเทศไทย แต่มันไม่ติดที่ไหนเลย แล้วอยู่ๆ มันก็ไปโผล่ในต่างประเทศ ติดเพลย์ลิสต์ในยูทูบ แล้วก็ไหลไปเรื่อยๆจากนั้นกลุ่มผู้ฟังต่างประเทศก็เข้ามาเรื่อยๆ ยอดติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ภูมิไม่ได้ออกสื่อโปรโมตอะไรเลย

โชว์แรกที่ได้ขึ้นในฐานะ ‘ภูมิ วิภูริศ’ คือที่ไหน
โชว์แรกในนามภูมิ จริงๆ น่าจะเป็น 2015 ไม่ก็ 2014 ตอนนั้นภูมิออกไปเพลงหนึ่ง แล้วมีโอกาสไปเล่นแถวเอกมัย ทองหล่อ จำได้เลยว่ามีคนมาดูประมาณ 6 คน เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ดีใจมาก ถึงคนจะมาดูไม่เยอะแต่เราได้ขึ้นเวทีในนามศิลปินครั้งแรก ทั้งๆ ที่เพลงครึ่งหนึ่งเป็นเพลงคัฟเวอร์ แต่ก็ยังดีใจที่ได้โอกาสนั้น ส่วนคอนเสิร์ตต่างประเทศครั้งแรก ภูมิเคยไปเล่นที่ Show Case ไต้หวัน อันนั้นเป็นโชว์เดี่ยว แต่Full Show จะเป็นที่โตเกียว ชิบุยา ดีใจมากเพราะเราไม่เคยได้สัมผัสแฟนเพลงต่างประเทศมาก่อน ถึงเพลงเราจะไม่ได้เป็นที่นิยมขนาดนั้น แต่มันได้คนละอารมณ์มากๆ

ไปแสดงมาแล้วหลายประเทศ มีประเทศไหนที่ประทับใจบ้าง
จริงๆ ประทับใจหลายประเทศมากๆ ถ้าในเอเชีย ภูมิประทับใจเกาหลีและญี่ปุ่นมากๆ เป็นประเทศที่รู้สึกว่า ผู้ฟังที่นั่นเขารู้สึกซาบซึ้งไปกับศิลปะและดนตรีสูง พวกเขามีพลังบางอย่างที่เรารู้สึกได้เวลาเราไปแสดง ฝั่งยุโรปชอบเบอร์ลินมากๆ ลอนดอนก็สนุกมาก อัมสเตอร์ดัม ก็สนุกมาก อเมริกานี่ชอบทั้งประเทศที่ไปโชว์เลย เพราะวัฒนธรรมการฟังดนตรีของเขาน่าจะตรงกับรสนิยมของเราที่สุด ก็เลยสนุกมากจริงๆ

มีค่ายเพลงต่างประเทศติดต่อมาให้ไปร่วมงานด้วยบ้างไหม
มีครับมี เคยมีร่วมงานอยู่บ้างกับศิลปินต่างประเทศ ส่วนจะไปทำงานจริงจังกับต่างประเทศไหม ยังไม่ได้วางแผนขนาดนั้น โลกของดนตรีปัจจุบันมันกำหนดไม่ได้ขนาดนั้นไว้ดูโอกาสที่เข้ามา แล้วอะไรที่เราคิดว่าเหมาะกับเราค่อยทำ

การได้ไปโตเมืองนอก ส่งผลต่อภูมิยังไงบ้าง
รู้สึกว่า ภูมิจะได้อิทธิพล มุมมอง ความคิด ไลฟ์สไตล์ มาจากนิวซีแลนด์มากกว่า ภูมิรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์มีความเป็นชาวนิวซีแลนด์สูงมาก เพราะตอนที่กลับไทยมา ภูมิยังมีคัลเจอร์ช็อกกับไทยไปเหมือนกัน ตอนนี้ถ้ากลับไปนิวซีแลนด์ ก็อาจจะมีคัลเจอร์ช็อกเหมือนกัน ภูมิว่ามันแค่ทำให้เราเห็นโลกจากหลายๆ มุม ทำให้เราไม่ซีเรียสกับอะไรมาก เพราะเรารู้ว่า มันมีหลายมุมมองในทุกๆ อย่าง เช่นทัศนคติการทำงาน เราไม่เชื่อว่าเราต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่ง คนถึงจะยอมรับเรา อันนี้คิดว่าได้มาจากนิวซีแลนด์มากๆ

“ภูมิไม่รู้สึกว่าเราต้องรีบทำงานเพื่อจะเค้นมันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันต้องรู้สึกว่าจะถ่ายทอดจริงๆ ให้มันเป็นภูมิเท่าที่จะเป็นได้”

อัลบั้มแรกมีการทำงานอย่างไร

ภูมิเป็นคนเริ่มแต่งเพลงเองทั้งหมดเลยครับ ช่วงแรกภูมิอาจจะทำงานไม่ครบทุกขั้นตอน อาจจะแต่งแค่เนื้อร้องและกีตาร์โปร่ง พอเข้าใจการโปรดิวซ์มากขึ้น ก็เริ่มเข้าไปมีส่วนในขั้นตอนอื่นๆ มากขึ้น ภูมิว่าตัวตนของภูมิเข้าไปอยู่ในผลงานเยอะมาก ถ้าสังเกตจะเห็นว่า หลังจากปล่อยเพลงแรก กว่าจะออกอัลบั้มภูมิใช้เวลา 4 ปีในการทำ 9 เพลง ภูมิไม่รู้สึกว่าเราต้องรีบทำงานเพื่อจะเค้นมันออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ต้องรู้สึกว่าจะถ่ายทอดจริงๆ ให้มันเป็นภูมิเท่าที่จะเป็นได้

แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากไหน
มักจะเป็นสิ่งที่ภูมิรู้สึกในตอนนั้นๆ อย่างเพลงล่าสุดที่แต่งอยู่ ไม่ได้พูดถึงความวิตกกังวล แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าเรากลัวว่าเราวิตกกังวลหรือเปล่า อย่างเรานอนไม่ค่อยหลับ คิดถึงแต่เรื่องซ้ำๆ เดิมๆ วนไปวนมา พอภูมิกลับมาคิดแล้ว ภูมิเอาเรื่องความเครียด ความเศร้า มาแต่งเป็นเพลงเสียมากกว่า ซึ่งเป็นมุมมองที่เราเพิ่งตระหนักว่า เราเอาเรื่องแบบนั้นมาแต่งเยอะเลย

มองวงการเพลงไทยตอนนี้ยังไงบ้าง
วงการเพลงไทยตอนนี้ภูมิมองว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองมากๆ เพราะว่าตอนนี้ เหมือนกับมีวงใหม่ๆ ออกมามาก ภูมิเองยังตามฟังไม่ทันเลย ถือว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองมาก วงเมืองนอกทั้งวงใหญ่ๆ และวงอินดี้เล็กๆ เข้ามาแสดงในไทยมากขึ้นด้วย มันเป็นสัญญาณบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า การฟังดนตรีหรือการเป็นนักดนตรีในไทย มันเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งการเป็นคนทำงานสายครีเอทีฟด้านดนตรี การทำงานช่วงนี้จะสนุกมากๆ

ความรักมีผลต่อเพลงของภูมิมากไหม
บางครั้งภูมิพยายามจะแต่งเพลงที่ไม่เกี่ยวกับความรัก แต่เรื่องความรัก ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่เรารู้สึกมากที่สุด ช่วงที่ภูมิแต่เพลงอัลบั้มแรก จะเป็นช่วงอายุ 18–21 ปี เป็นช่วงที่เราปฏิเสธว่าเราไม่รู้สึก แต่จริงๆ เป็นช่วงที่รู้สึกกับความรักมากที่สุด ช่วงนั้นแต่งเพลงรักเยอะมาก มีทั้งHappy Ending และเศร้าๆบ้าง แต่เราก็เลือกนำเสนอในมุมของเรา

มีเสียงวิจารณ์ด้านลบเกี่ยวกับผลงานบ้างไหม
มีครับมี ช่วงแรกเป็นช่วงที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะเราทำผลงาน เราไม่ได้คาดหวังผลตอบรับอะไรกับมันมาก พอเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตเราก็เลือกที่จะเข้าใจว่า เราทำผลงานออกไป ถ้าคนที่แสดงอะไรออกมาในทางลบใส่เรา ก็ถือว่า วิน-วิน มันเป็นโลกของการแสดงความเห็นอย่างเสรี ใครจะพูดอะไรก็ได้ เราได้แสดงของเราไป เขาแสดงของเขากลับ เราก็ต้องเลือกที่จะโอเค การเป็นศิลปินในยุคโซเชียลมีเดียเป็นอะไรที่ยากมาก อาจจะมีหนึ่งพันคอมเมนต์ที่ชอบเรา แต่คุณอาจจะเลื่อนไปเจอหนึ่งคอมเมนต์ที่แบบ ‘Oh, you are shit!’เราก็จะแบบ ‘โว้ววว’ มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าอะไรที่มันอยู่ในอินเทอร์เน็ตแล้ว มันจะอยู่กับเราตลอดไป

“จริงๆ ภูมิเป็นคนปกติ เศร้าก็มี วิตกกังวลก็มี เรามีทุกอารมณ์ ภูมิแค่อยากเลือกที่จะมีความสุขมากกว่า เพราะชีวิตมันมีความเศร้าพอแล้ว”

ภูมิก่อนเป็นศิลปินกับการได้เป็นศิลปินแล้วแตกต่างกันแค่ไหน
ไม่ได้แตกต่างขนาดนั้นในการใช้ชีวิต ภูมิว่าภูมิไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ในด้านการทำงานมันก็มีเปลี่ยนไปบ้าง เช่น อาจต้องมีผู้จัดการคุยงานแล้วนะ หรือไปไหนมาไหนก็มีคนรู้จักมากขึ้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับภูมิมากๆ คือ การรู้สึกว่า ต้องอยู่กับคนที่เขารักเราจริงๆ คนชอบมองว่าภูมิเป็นคนแฮปปี้ตลอดเวลา แต่จริงๆ ภูมิเป็นคนปกติ เศร้าก็มี วิตกกังวลก็มี เรามีทุกอารมณ์ ภูมิแค่อยากเลือกที่จะมีความสุขมากกว่า เพราะชีวิตมันมีความเศร้าพอแล้ว พอกลับมานั่งคิดอีกที เกี่ยวกับเรื่องเพลง ว่าเราแต่งอะไรไปบ้าง เราแต่งเอาเรื่องที่ลบมาทำให้เป็นบวกหลายอย่าง เพราะว่าเราอยากจะตีความทุกออย่างให้เป็นอย่างนั้น

ถือเป็นเอกลักษณ์ของภูมิเลยไหม
ถ้าเป็นจริงๆ ก็ดีนะ หากวันหนึ่งเราเลิกทำเพลงไปแล้ว แล้วนี่เป็นสิ่งที่คนจำได้เกี่ยวกับเรา ว่าเป็นคนที่เอาสิ่งที่มันเจ็บปวดมาทำให้คนยิ้มได้ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดี ภูมิไม่แน่ใจว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิไหม

เรียนมาทางด้านภาพยนตร์ มีผลกับตัวเองอย่างไร
ภูมิชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบหนังโรแมนติกคอเมดี้มากๆ ชอบหนังครอบครัว ภาพยนตร์มีผลต่อการทำงานมากนะ เพราะภูมิไม่ได้เรียนดนตรีมา เวลาเราคิดจะแต่งเพลง มันเหมือนเราวาดภาพในหัว เราดีไซน์เป็นสตอรี่ เรามองเราเห็นภาพก่อนที่เราจะแต่ง อาจจะเพราะเราอินกับการใช้ภาพอย่างหนัง แต่ก็ไม่ได้อธิบายได้ขนาดนั้น เพราะเราใช้ความรู้สึก มันไม่ได้มีรูปแบบในการทำเพลงขนาดนั้น

ถ้าภูมิไม่ได้เป็นนักร้อง ภูมิอยากเป็นอะไร
ตอนเด็กๆ ภูมิอยากจะเป็นยามมากๆ เลย เพราะบ้านอยู่ตรงข้ามคอนโด จะเจอพี่ยามทุกเช้า เลยชอบ แต่เอาจริงถามว่าอยากเป็นอะไร ภูมิไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นในตอนเด็กๆ รู้แค่ว่าอยากทำในด้านครีเอทีฟ ชอบการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ถูกตีกรอบ ชอบที่จะมีอิสระ ไม่ต้องมีเดดไลน์ ซึ่งมันดูเป็นความฝันมากๆ อาจไม่ได้ตรงกับความจริงมากนัก และมันก็โชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานแบบนี้ในปัจจุบัน

ยังมีความท้าทายอะไรเหลืออยู่อีกไหม

ถ้าเป็นตอนนี้ คืออยากคงความเป็นตัวเองไว้ให้ได้ เพราะเวลาเราทำผลงานที่มันบูมออกมา มันจะมีความคาดหวัง กดดันตัวเองว่างานชิ้นต่อไปเราต้องทำให้มันดี ให้เหมือนชิ้นที่แล้วนะ ซึ่งบางครั้งเวลาเราคิดแบบนั้น มันเหมือนเราตกเป็นทาสกับอดีตของตัวเอง กับความสำเร็จของเรา ว่านี่คือเรานะ เราต้องเป็นแบบนั้นให้ได้อีก ตอนนี้เลยแค่อยากทำอะไรให้เป็นตัวเองได้ต่อไป ไม่ว่าสถานการณ์ในการเป็นศิลปินของเราจะเป็นยังไง