การใช้ชีวิตแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัว อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลายคนอยากให้มาถึงในชีวิตช้าที่สุด แต่สำหรับ ‘กาย-รัชชานนท์ สุประกอบ’ กลับมองต่างออกไป สิ่งนี้ไม่ใช่ความน่ากลัวในชีวิต

เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ มีชีวิตสร้างครอบครัว แต่งงานตั้งแต่อายุ 24 แม้หลายๆ คนในตอนนั้นก็ค่อนขอดว่าชีวิตรักของผู้ชายที่ถูกมองว่าแบดบอยในวันนั้น กับนักแสดงและพิธีกรสาว ‘ฮารุ สุประกอบ’ น่าจะไม่ยืดยาว น่าจะเป็นความรับผิดชอบที่มาถึงไวกว่าที่คิด แต่ระยะเวลาผ่านมาทั้งสองข้ามผ่านเรื่องราวดราม่า และพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาออกแบบชีวิตและครอบครัวได้อย่างดีเยี่ยม กับสมาชิกตัวน้อยที่ตามมาอีกสองคน และความอบอุ่นที่เราเห็นได้ตามโซเชียลมีเดียของทั้งสอง และเพจ Facebook :Guy Haru Family

ทั้งหมดนั้นผู้ชายที่ชื่อกาย รัชชานนท์ พิสูจน์แล้วว่าชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง ไม่มีคำว่าเร็วไป-ช้าไป มีแต่สิ่งสำคัญคือการโฟกัสกับความสุขในปัจจุบันของชีวิต

“เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ สนุกสนาน เสียเงินไปวันๆ กินเหล้าปาร์ตี้ กินจนมันแฮงก์ไม่เป็นแล้ว แล้วยังไงต่อ ผมตั้งคำถามกับชีวิต แล้วมันก็หมดสนุก คือคำว่าสนุกพอมันทำเรื่อยๆ ทุกวันๆ มันก็เริ่มไม่สนุกแล้วไง”

ในวัย 29 ปีสำหรับคุณมีเรื่องอะไรที่โฟกัสในชีวิตบ้าง
หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตกับลูกและการทำงาน หลายๆ คนมักบอกว่าชีวิตผู้ชายจะคอมพลีตเมื่อมีครอบครัว แต่สำหรับผมมันไม่เกี่ยวกับการมีครอบครัว การมีลูก หรือแต่งงาน หรือการงานสำเร็จ ผมว่ามันแล้วแต่ตัวคุณเลย เพราะคำว่าคอมพลีตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน อย่างเช่นบางคนรวยมากในสายตาของคนอื่นทั่วไป แต่เขาอาจจะคิดว่ามันไม่พอก็ได้ หรือบางคนที่มีลูกดูครอบครัวอบอุ่นมาก แต่เขาอาจจะยังไม่รู้สึกคอมพลีตก็ได้

แล้วตอนนี้ถ้าคอมพลีตเต็มสิบ คุณให้ชีวิตตัวเองเท่าไหร่
ผมให้อยู่ที่ประมาณเก้าเลยครับ อาจจะพูดได้ว่าผมไม่ได้หวังอะไรเยอะ โอเคถ้ามีเงิน มีชื่อเสียงมากกว่านี้ก็น่าจะดี แต่ทุกวันนี้ผมก็ว่ามันโอเคแล้วเราสามารถมีความสุขได้ ใช้ชีวิตได้ ใครจะไปรู้ถ้ามีเงินมากกว่านี้อาจจะทุกข์ก็ได้ เราอาจจะต้องทำงานนู่นนี่นั่น สละเวลาไปเที่ยวกับลูกไม่ได้ แต่ทุกวันนี้มันค่อนข้างลงตัวเลย ผมว่ามันโอเค

ทำไมคุณถึงศรัทธากับการมีครอบครัว เพราะผู้ชายปกติมักจะคิดว่าอยากใช้ชีวิตโลดโผนของวัยหนุ่มให้นานที่สุด
เพราะมันใช้ชีวิตแบบนั้นมาหมดแล้ว ผมเที่ยวตั้งแต่อายุสิบสี่ พ่อผมซื้อรถให้อยากไปไหนก็ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ ปาร์ตี้ทุกวันไม่มีวันหยุดสามร้อยหกสิบห้าวัน แล้วมันก็ยาวไปเรื่อยๆ ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าพอแล้ว เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ มันก็โอเค สนุกสนานเสียเงินไปวันๆ กินเหล้าปาร์ตี้ กินจนมันแฮงก์ไม่เป็นแล้ว แล้วยังไงต่อ ผมตั้งคำถามกับชีวิต แล้วมันก็หมดสนุก คือคำว่าสนุกพอมันทำเรื่อยๆ ทุกวันๆ มันก็เริ่มไม่สนุกแล้วไง

คือถ้าคำว่าใช้ชีวิตให้สุดมันเป็นแบบนั้น อันนี้คือชีวิตผมสุดแล้ว คือชีวิตมันถึงจุดที่ไปเที่ยวทุกที่แล้วเจอแต่คนเดิมๆ ไปพรุ่งนี้ก็เจอไอ้คนนี้ วันถัดมาก็เจอไอ้คนนี้อีก เจอกันจนไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกันแล้ว ถ้าคนที่เที่ยวมาก่อนจะเข้าใจผม ก็เลยรู้สึกว่าพอแล้ว ถึงวัยที่ต้องหยุดแล้ว เพราะคนทั่วไปเขาเริ่มปาร์ตี้กันตอนอายุสิบเก้ายี่สิบ แต่ผมเริ่มสิบสี่ ถ้ามาหักลบกัน ผมแต่งงานตอนอายุยี่สิบสี่ คนอื่นแต่งงานอายุยี่สิบเก้าสามสิบ คือมันก็เร็วกว่าคนอื่นประมาณห้าปี ก็ปกติใช่ไหม

วันที่ตัดสินใจหยุดตัวเอง มันมีจุดเปลี่ยนไหม
ผมมานั่งทบทวนตัวเองแบบนี้แหละ ว่าตัวเองเบื่อชีวิตแบบนั้น ไปเที่ยวอีกแล้วเหรอ คือไปเพราะเพื่อนชวนไปแล้วอ่ะ แล้วไอ้เพื่อนที่ไปกับเราบ่อยๆ ก็ทยอยเลิกไปแล้ว ตอนนั้นชีวิตผมมีอยู่แค่ทำงาน ถ่ายละคร แล้วก็เที่ยว วนๆ อยู่แบบนี้ บางทีเราให้รถตู้มารับที่เที่ยวเลยนะ คือเที่ยวเสร็จไปถ่ายละครต่อ แล้วพอทำงานเสร็จก็ไปที่เที่ยวต่อเลย เราก็คิดว่าพอเหอะ มันเบื่อ เราทำอะไรอยู่วะ เริ่มไม่สนุกแล้ว

แล้วทำไมคำตอบถึงเปลี่ยนไปเป็นการมีครอบครัว เพราะผู้ชายบางคนเบื่อเที่ยวก็อาจจะไปโฟกัสกับความสำเร็จของหน้าที่การงานและชื่อเสียง
ถ้าถามถึงชื่อเสียงการงาน ในวัยนั้นผมก็มีอยู่แล้วประมาณหนึ่ง คือผมอาจจะไม่ได้โด่งดังที่สุดหรือมีชื่อเสียงที่สุด แต่ผมเป็นคนที่ไม่ว่าทำอะไรมันก็จะอยู่ระดับกลางๆ แบบนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันอาจจะเป็นคาแร็กเตอร์ของผมก็ได้ เพราะผมเป็นคนไม่เฟก ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ซึ่งมันก็ออกมาในงานของเรา คือชื่อเสียงเรารู้สึกเฉยๆ กับมันแล้ว ผมทำงานในวงการบันเทิงมาปีนี้ปีที่สิบหก เราคิดว่ามันพอประมาณแล้ว

บวกกับผมเป็นคนที่ชอบเด็กอยู่แล้ว ผมอยากมีลูกตอนอายุน้อยๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือไม่อยากมีลูกตอนแก่ เพราะแม่ผมก็มีผมตอนอายุน้อยๆ พ่อผมก็ยังไม่แก่มาก คือมันสนุกเวลาอยู่กับเขา ไปเที่ยวกัน แต่เรามองเพื่อนๆ คนอื่น โอ้โห พ่อแม่แทบจะใช้ไม้เท้าแล้ว มาถึงวันนี้ผมก็พาลูกผมออกเที่ยวทุกอาทิตย์เลย ไม่มีอาทิตย์ไหนที่ไม่ไป ถ้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีทางเจอผมที่บ้าน เพราะไม่ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือไม่ก็ต่างจังหวัดตลอด

“คนชอบถามผมเสมอว่าเร็วไปไหมเนี่ยมีลูก แต่งงาน คนจะบอกเลยว่าแต่งทำไมยังเด็กอยู่เลย มีลูกแล้วจะดูแลได้ยังไงเรายังเด็กอยู่เลย อะไรคือคำว่าเด็กอยู่เลย อะไรที่เด็กเกินไป อะไรคือเหมาะสมที่จะมีลูกได้ ไม่เห็นมีใครบอกผมได้”

มีคนเคยบอกไหมว่าคุณใช้ชีวิตเร็วไปหรือเปล่า
คนชอบถามผมเสมอว่าเร็วไปไหม เนี่ยมีลูก แต่งงาน คนจะบอกเลยว่าแต่งทำไมยังเด็กอยู่เลย มีลูกแล้วจะดูแลได้ยังไง เรายังเด็กอยู่เลย อะไรคือคำว่าเด็กอยู่เลย อะไรที่เด็กเกินไป อะไรคือเหมาะสมที่จะมีลูกได้ ไม่เห็นมีใครบอกผมได้สักคนเลยว่าผมมีลูกได้ตอนอายุเท่าไหร่ ก็มีสักสามสิบกว่าสิ ทำไมต้องเป็นแบบนั้นครับ โอ้ยเราจะได้มีเงินเก็บ อ้าวก็กูมีแล้วอ่ะ เฮ้ยเราจะได้เที่ยวไง ก็กูเที่ยวแล้วอ่ะ เราจะได้หาผู้หญิงได้ โอ้ยหาจนจะไม่รู้จะหายังไงแล้ว (หัวเราะ) อะไรคือเด็กเกินไป อะไรคือแก่เกินไป สำหรับผมแล้วมันคือเรามากกว่า ว่าเราพร้อมแล้วหรือยัง

แล้วการแต่งงานทำให้คนเราเป็นผู้ชายที่ดีขึ้นจริงไหม
ผมว่าไม่เกี่ยวเลยครับ การเป็นคนดีหรือการเป็นคนไม่ดี หรือการที่เราจะอยู่กับคนนี้ไปตลอดชีวิต ไม่เกี่ยวเลยครับ ผมบอกกับฮารุตลอดว่าเราจะเลิกกันวันไหนก็ไม่รู้นะ เพราะถึงแม้เราแต่งงานกันก็ไม่ได้แปลว่าเราต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต สมมุติว่าวันหนึ่งมันไม่เวิร์กขึ้นมาก็ต้องเลิก วันหนึ่งเขาอาจจะไม่ชอบเราก็ได้ หรือเราอาจจะไม่ชอบเขาก็ได้ใครจะไปรู้ แต่ถ้าวันนี้มันโอเคก็อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมอาจจะเป็นคนที่โฟกัสกับปัจจุบันมากกว่ามั้งนะ

การเลี้ยงลูกสไตล์คุณเป็นอย่างไร
มีคนมาพูดเยอะว่าผมเลี้ยงแบบนี้ควรเหรอ แต่ผมก็ไม่รู้หรอก คือคนเป็นพ่อแม่ก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก แต่ผมก็พยายามไม่เลี้ยงเขาประคบประหงมเกินไป ให้เขาสามารถเรียนรู้จะทำอะไรได้เอง คือสำหรับผมจะไม่เลี้ยงลูกให้กลัวอะไรไปหมด คนเราเดี๋ยวนี้จะห้าม อย่านู่นอย่านี่ นั่นขี้โคลนมันสกปรก ผมโตมาก็เหยียบนี่ ไม่เห็นเป็นอะไร เรามีหน้าที่ที่จะดูแลความปลอดภัยของเด็ก แต่เราไม่ได้มีหน้าที่บังคับเด็กซ้ายขวาขึ้นลง เหมือนวิดีโอเกม ให้เขาได้ทำเอง แต่เราดูว่ามันปลอดภัยไหม

หรือตรรกะที่บอกว่าคนแก่กว่าต้องถูก ผมว่ามันไม่ได้หมายความว่าเด็กจะไม่ถูก แค่เพราะเขามีความคิดเห็นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คนแก่บางคนดื้อกว่าด้วยซ้ำ ไม่ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนฉันรู้ เพิ่งทำงานมาห้าปีเอง ฉันนี่ทำงานมาสามสิบปีแล้ว ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย

ที่ผ่านมาผู้ใหญ่เอาความกลัวของตัวเองไปครอบให้เด็กอยู่หรือเปล่า
ผมว่ามันคือเอาความผิดหวังของตัวเองมาใส่ไว้กับลูกมากกว่า เอาความผิดหวังที่อยากทำอยากเป็นแต่เราไม่ได้เป็นหรือไม่มีโอกาสทำมาใส่ไว้กับเขา เพราะเราจะได้ยินผู้ใหญ่ในประเทศไทยพูดเสมอว่าต้องเรียนให้ดีนะ เพราะตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่มีโอกาส ทั้งที่เราเรียนจบมาอาจจะไม่ได้ทำตามที่เรียน ไปเรียนไฟแนนซ์จบมาอยากถ่ายรูป ไปเรียนทำไมเรียนแค่ให้จบมาแล้วพ่อแม่ชมว่าเก่งมากเลย แต่ว่าไม่ได้มีแพสชั่น คนเราทำอะไรต้องมีแพสชั่น ถ้าเป็นผมสมมุติเขาบอกว่าอยากวาดรูป ก็วาดไปสิ อยากวาดก็วาดเลย ถ้ามีแพสชั่นนะ คือจะบอกให้เขาไปเรียนธุรกิจแต่เขาไม่ชอบ เขาก็ทำได้ไม่ดี แต่ถ้าให้เขาไปวาดรูปเขามีความสุข เขาทำได้ดี มันก็สามารถรวยกว่านักธุรกิจเยอะแยะ

พอมีครอบครัวแล้ว เวลากับเงินอันไหนสำคัญมากกว่ากัน
เวลากับเงินอันไหนสำคัญกว่ากัน พูดไม่ได้ครับ สำคัญทั้งคู่ ถ้าเอาโลกสวยก็เวลา แต่ถ้าจะเอาความจริงที่ไม่ควร มันก็คือเงิน แต่ถ้าจะเอาความเหมาะสมก็ต้องทั้งคู่ คุณไม่สามารถมีความสุขได้กับการที่คุณไม่มีเงินแม้สักบาทเดียว มันไม่มีความสุขหรอก โอ้ยลูกหิวข้าวจังเลย แต่เราไม่มีเงินให้เขากิน แต่อย่างน้อยเราก็มีเวลาให้ลูกนะเว้ย เวลากินไม่ได้ หรือเวลาอย่างเดียวก็พาเขาไปเที่ยวไม่ได้ แต่เงินอย่างเดียวก็ไม่ได้ช่วยอะไรเหมือนกัน ลูกเอาเงินไป มีความสุขกลับมานะ มันก็ไม่มีความสัมพันธ์ มันไม่มีอะไรที่มากเกินไปแล้วดีหรอกชีวิตนี้

“เมื่อก่อนเรานึกไม่ถึงหรอกว่าเราจะเป็นคนให้แบบนี้ แต่ไอ้การให้เขา สุดท้ายมันเหมือนกับว่าให้เรากลับมาด้วย ผมเห็นเขามีความสุข เราก็มีความสุข”

การมีลูกเปลี่ยนวิธีคิดคุณไปไหม
ผมว่าตัวผมเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่มันมีอะไรในชีวิตที่เปลี่ยนไป เพิ่มเข้ามา ผมก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมคือผมเป็นคนทำอะไรทำสุด ทำงานก็ทำสุด เที่ยวก็เที่ยวให้สุด มีลูกก็มีให้สุด จะเที่ยวกับลูกใช้ชีวิตกับลูกก็ทำให้สุด คือเป็นเราคนเดิม คนที่เที่ยวสามร้อยหกสิบห้าวัน และก็คนที่ทำหน้าที่พ่อสามร้อยหกสิบห้าวันได้เหมือนกัน

แต่ถ้าจะพูดลึกลงไป หลักๆ มีอยู่สองอย่างที่ผมคิดเยอะขึ้น อย่างแรกคือเราต้องสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว มีที่มาของรายได้อย่างต่อเนื่อง และอีกอย่างคือรายได้ที่เข้ามาตรงนั้นทำยังไงให้ไม่กินเวลาที่เราจะอยู่กับเขาไป ผมพยายามจับสองสิ่งนี้มาเจอกันให้มากที่สุด มันคือการออกแบบชีวิต เราพยายามทำทุกอย่างให้อยู่กับครอบครัวได้มากขึ้น เราไปเที่ยวกันตลอด ผมก็ทำช่องยูทูบถ่ายรายการท่องเที่ยวกับลูก ทำให้เราได้เที่ยวตลอดจนแบบเมื่อก่อนพี่เลี้ยงกับคนขับรถทุกคนตื่นเต้นมาก แต่ทุกวันนี้เขาบอกว่าอาทิตย์หน้าไปไหนอีกเหรอคะ (หัวเราะ) แต่เด็กๆ เขาไม่เบื่อไง คือผมมีความสุขเวลาเห็นลูกมีความสุข ก็พยายามที่จะมอบความสุขตรงนั้นในวันที่เราทำได้ให้กับลูกๆ ตลอดเวลา มันเหมือนที่หลายๆ คนบอกว่าพอเวลามีลูกแล้ว วงโคจรของชีวิต งานครอบครัว มันก็จะหมุนอยู่รอบๆ ลูก

เมื่อก่อนคุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า ที่พร้อมจะให้ใครสักคนแบบนี้
เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าจะให้ใคร คือพ่อแม่ผมเขาก็มีประมาณหนึ่ง เป็นเขาด้วยซ้ำที่ให้ผมมาตลอดเลย คือวันที่เราให้ได้เราก็อยากเป็นคนให้ คือเมื่อก่อนเรานึกไม่ถึงหรอกว่าเราจะเป็นคนให้แบบนี้ แต่ไอ้การให้เขา สุดท้ายมันเหมือนกับว่าให้เรากลับมาด้วย ผมเห็นเขามีความสุขเราก็มีความสุข

เราสนใจเรื่องความหมายของชีวิต คำนี้สำหรับคุณคืออะไร
ผมว่าเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะถูกสอนมาเป็นสเต็ปอยู่แล้ว เรียนให้เก่ง เข้ามหาวิทยาลัย ไปทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนเลย หลังจากนั้นก็ต้องไปเป็นเจ้าคนนายคน แล้วสุดท้ายกลับมาอยู่บ้าน ไปตายอยู่ที่ต่างจังหวัด สเต็ปชีวิตทุกคนถูกวางไว้แบบนี้ แต่สำหรับผม อะไรที่เรารู้สึกว่ามันดี มันมีความสุข เราก็อยากจะทำมันในตอนนี้เลย ในวันนี้ความสุขของผมคือการที่ได้เห็นลูกๆ มีความสุข

แต่ถ้าถามถึงความหมายของชีวิต ผมไม่รู้จริงๆ คืออะไร ผมรู้แค่ว่า ณ ตอนนี้ผมอยากมีความสุข อยากให้คนรอบข้างผมมีความสุข อยากที่จะช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด ผมรู้แค่ว่าเราต้องทำอะไร ผมว่าทุกช่วงชีวิตมันสำคัญหมด ไม่มีทางเลยที่อยู่ดีๆ คนเราจะข้ามมาเป็นอีกคนแบบนี้ได้ ถ้าไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต มันต้องเรียนรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ เราชอบอะไร ณ ตอนนี้ อยากทำอะไรก็ทำให้สุดเลยตอนนี้ แล้วพอถึงเวลาก็หาอะไรที่เรารักและมั่นคง และทำมันต่อไปเรื่อยๆ