หลายๆ คนรู้จัก วิรุนันท์ ชิตเดชะ ในฐานะช่างภาพที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับต่างประเทศมากมาย ไล่ไปตั้งแต่งานภาพถ่ายสไตล์พอร์ตเทรต แฟชั่น งานคอนเซ็ปต์ชวลไปจนถึงงานโฆษณา เจ้าของสตูดิโอถ่ายภาพที่ชื่อว่า Le Photographe BKK และที่สำคัญยังเป็นตากล้องเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเลือกให้เป็น Leica Thailand Ambassador อีกด้วย
แม้เราจะเห็นผลงานและบทบาทที่หลากหลายจากผู้ชายคนนี้ แต่ในการถ่ายภาพเขากลับยืนยันกับเราว่า สิ่งที่เขาเชื่อมั่นและค้นหาในชีวิต ไม่ใช่สไตล์ภาพถ่ายที่สวยงาม หรือดูพิเศษกว่าใคร แต่เขาสนใจเรื่องราวการเชื่อมต่อระหว่างทาง ที่การถ่ายภาพทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิต และเหมือนได้เพื่อนเพิ่มอีกคนทุกๆ ครั้งที่เขาลั่นชัตเตอร์ และมาถึงวันนี้ เขาสนใจเรื่องราวชีวิตระหว่างเส้นทาง มากกว่าการนั่งหานิยามของคำว่าจุดหมายเสียอีก
“ทุกคนมีมุมมองต่อโลกที่เป็นของตัวเอง ทุกคนมีอัตลักษณ์ในแบบของตัวเองอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเข้ามาสู่โลกคอมเมอร์เชียลแล้ว มันจะมีบรรทัดฐานของความสวยงามที่จับต้องได้และกำหนดไว้แล้ว ซึ่งผมคิดว่าถ้าคุณจะก้าวเข้ามาสู่โลกตรงนี้ มันก็เป็นเงื่อนไขบางอย่างที่คุณต้องยอมรับ”
มีคนมึนงงสับสนไหม เพราะเห็นทำหลายอย่างเหลือเกิน ถ่ายภาพก็หลายสไตล์
ผมเป็นคนที่มีหลายชื่อมาก สอนอยู่มหาวิทยาลัยเด็กเรียกผม “จารย์โต้ๆ” ออกมาข้างนอกคนเรียกคุณโต้ไลก้า คือเรียกไอ้โต้ก็ได้นะ จะได้สนิทๆ กันหน่อย (หัวเราะ) เพราะผมจะเขินๆ ทุกครั้งเลย และตอบไม่ค่อยถูกเวลามีคนมาถามผมชื่นชมผมอะไรแบบนั้น
ชีวิตคุณเริ่มสนใจการมาเป็นช่างภาพตั้งแต่เมื่อไหร่
มันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปมากกว่าครับ ที่บ้านผมชอบถ่ายรูป เวลาไปไหนมาไหนจะถ่ายรูปกัน กล้องตัวแรกของผมคุณพ่อเป็นคนเอามาให้ โฟกัสเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง จนถึงตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็มีชมรมถ่ายภาพ ผมเริ่มจริงจังกับมันมากขึ้น แล้วผมเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ตื่นเต้นกับชีวิตมหาวิทยาลัย เพื่อนทำอะไรก็จะเฮโลไปทำด้วยกัน ไปทำหนังกับเพื่อน ไปถ่ายรูปกับเพื่อน แล้วมันค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ พอเราถ่ายรูปออกมาแล้วมีคนชมว่ารูปเราสวย มันเป็นกำลังใจที่ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย หรือเราจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ แล้วค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเออเรารักไอ้การถ่ายรูปนี้
แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นตากล้องจริงๆ ได้เมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่าช่างภาพเท่าไหร่ มันมีตอนช่วงปีสามสมัยที่ผมเรียนมหาวิยาลัยผมไปฝึกงานที่สำนักข่าวต่างประเทศ EPA ไปฝึกถ่ายภาพข่าวเชิงสารคดี แล้วมีวันหนึ่งเรากับพี่ๆ ที่ออฟฟิศทำงานเสร็จก็ไปสังสรรค์ปาร์ตี้กันต่อ แต่พอวันรุ่งขึ้นผมแฮงก์มาก เข้าออฟฟิศสายเลย พอไปถึงปรากฏว่าพี่ๆ ที่กินเหล้าปาร์ตี้กับผมเมื่อคืนทุกคนเลย มากันตั้งแต่เช้า ผมถามพี่เขาว่าเข้ามากันนานแล้วเหรอครับ เขาบอกกับผมว่าเข้าเวลาปกติ วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษเหรอใครให้มึงลาได้เหรอ วันนั้นมันทำให้ผมรู้เลยว่าคำว่าช่างภาพมันคือความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปเป็น เพราะใครๆ ก็ถ่ายรูปเป็น ทุกคนมีสมาร์ทโฟนหมด แต่การเป็นช่างภาพพอเราบอกตัวเองว่าเป็นอาชีพแล้ว เราต้องมีความรับผิดชอบกับตัวเอง กับทีมงาน กับลูกค้า จนวันที่ผมรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ได้แล้วผมจึงสามารถเรียกตัวเองว่าช่างภาพได้เต็มปากเต็มคำ ซึ่งก็สักประมาณสามปีเองมั้งครับ
ความหมายของคำว่า ‘มืออาชีพ’ สำหรับคุณคืออะไร
ผมว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ทุกวันนี้เรามีช่างภาพเกิดขึ้นมากมายแต่ละปี เอาแค่ที่ผมสอนที่ลาดกระบัง ปีเดียวมีช่างภาพรุ่นใหม่ๆ เรียนจบประมาณสี่สิบคนแล้ว นี่แค่สถาบันเดียว ไม่นับคนที่เรียนสายอื่นแต่เบนเข็มมาเป็นช่างภาพอีก อย่างเมื่อก่อนผมเป็นคนที่โคตรเกลียดงานโฆษณาเลย คือผมมองว่าเรื่องแบรนดิ้งเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเรื่องที่ทำให้คนเราเกิดกิเลสอยู่กับทุนนิยมผมต่อต้านเรื่องอะไรแบบนี้มากๆแต่ตอนนั้นผมอยากรู้เทคนิคการถ่ายภาพ ก็เลยไปเรียนที่ Speos Photographic Institute ที่ฝรั่งเศสมา 3 ปีและมีโอกาสได้ไปทำงานถ่ายภาพที่อังกฤษอยู่อีกปีหนึ่ง เสร็จแล้วมันตลกมากว่าพอกลับมาที่ไทยงานแรกที่สร้างชื่อของผมดันเป็นงานโฆษณา และผมถ่ายโฆษณารัวๆ มาตลอดเลย (หัวเราะ)
ผมเชื่อว่าทุกคนมีมุมมองต่อโลกที่เป็นของตัวเองทุกคนมีอัตลักษณ์ในแบบของตัวเองอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเข้ามาสู่โลกคอมเมอร์เชียลแล้ว มันจะมีบรรทัดฐานของความสวยงามที่จับต้องได้และกำหนดไว้แล้ว ซึ่งผมคิดว่าถ้าคุณจะก้าวเข้ามาสู่โลกตรงนี้ มันก็เป็นเงื่อนไขบางอย่างที่คุณต้องยอมรับ มันเหมือนคุณเข้าโรงเรียนและโรงเรียนนี้มีกฎของมันอยู่ ซึ่งคุณเซ็นใบยอมรับกฎนั้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผมพยายามนะที่อยากให้งานในลายเซ็นของเราถูกนำไปใช้ในแบบที่เขาจ้างเราเพราะชอบสไตล์ แต่ผมว่าตลาดในประเทศไทยยังไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นเหมือนกับอเมริกาที่ช่างภาพแต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ชัดเจน และมีตลาดงานรองรับอย่างเพียงพอ และถ้าตลาดปรับเปลี่ยนไม่ได้ เป็นเราที่ต้องปรับตัวเอง
คุณถ่ายภาพในหลายสไตล์มากๆ แต่อะไรที่คุณคิดว่าเป็นตัวเองมากที่สุด
ผมชอบถ่ายคนมากที่สุด ชอบภาพพอร์ตเทรต แม้กระทั่งงานแฟชั่นของผมมันจะมีความเป็นพอร์ตเทรตอยู่สูง ผมไม่สามารถเอานายแบบนางแบบมาดัดตัวทำท่าเอ็กซ์ๆ ได้ ผมจะไม่มีเซ้นส์ด้านนั้นเลยนะ แต่ผมจะเชื่อในความเป็นคนของแบบที่เราถ่าย ถ้าเจอนายแบบนางแบบผมจะพยายามทรีตเขาให้เป็นคนมากที่สุด วิธีการทำงานแฟชั่นกับพอร์ตเทรตของผมจะคล้ายๆ กันเลย ที่พยายามจะรู้จักตัวตนของเขาให้มากที่สุด และดึงเอาความเป็นตัวเขาออกมา ซึ่งผมถนัดถ่ายภาพพอร์ตเทรตผู้ชายมากกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ดีเลย เดี๋ยวบทสัมภาษณ์นี้ออกไปเขาให้ผมถ่ายแต่ผู้ชาย (หัวเราะ)
“ทุกครั้งที่ผมถ่ายภาพพอร์ตเทรต ผมรู้สึกว่าเหมือนมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง และผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของความสัมพันธ์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความน่าสนใจ ชีวิตทุกคนมันมีความเทาๆ ผสมอยู่ ผมมีความสุขในการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากคนที่ผมถ่ายภาพทุกวัน”
เสน่ห์ของภาพพอร์ตเทรตคืออะไร
มันคือการที่เราได้มานั่งคุยกันแบบนี้แหละ ทุกครั้งที่ผมถ่ายภาพพอร์ตเทรต ผมรู้สึกว่าเหมือนมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง และผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของความสัมพันธ์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความน่าสนใจ ชีวิตทุกคนมันมีความเทาๆ ผสมอยู่ ผมมีความสุขในการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากคนที่ผมถ่ายภาพทุกวันพอถ่ายภาพเสร็จแล้วเราก็ได้มาเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง ผมใช้กล้องถ่ายรูปเป็นใบเบิกทางในการเปิดให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิต
หลายๆ คนพูดว่าการถ่ายรูปมันคือการขโมยเวลาและหยุดโมเมนต์นั้นเอาไว้ แต่สำหรับผม ผมเป็นคนชอบสร้างโมเมนต์ชอบสร้างเวลาในความสัมพันธ์ขึ้นมามากกว่า ซึ่งกล้องถ่ายรูปมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผมหยิบจับเวลา หยิบจับความคิดอะไรบางอย่างออกมา และใช้มันเป็นตัวสร้างความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างผมกับคนอีกคนขึ้นมากกว่า
พลังของภาพถ่ายมีผลยังไงบ้างกับยุคนี้ มันยังทรงพลังอยู่ไหม
ผมว่าภาพถ่ายมันคือการสื่อสารแบบหนึ่ง เหมือนภาษาที่เราคุยกัน ผมสร้างโมเมนต์อะไรบางอย่าง ผมสร้างบทสนทนา ถ้าผมถ่ายงานโฆษณา แน่นอนผมมีโจทย์ของลูกค้า ถ้าผมสร้างงานอะไรสักอย่างขึ้นมาที่ไม่ตอบโจทย์ของลูกค้า ไม่ว่าภาพผมมันจะดูดีแค่ไหน สวยแค่ไหน แต่ถ้ามันสื่อสารในแบบที่เขาต้องการไม่ได้ผมก็เฟล หรือถ้าผมทำโปรเจ็กต์ส่วนตัว แต่ว่าไม่สามารถสื่อสารให้คนที่อยากรับรู้เข้าใจได้ ผมก็เฟลเหมือนกัน ผมว่านี่คือพลังของภาพถ่ายในมุมมองของผม ว่าสิ่งที่เราสร้างมาเราสามารถถ่ายทอดมันออกไปได้ดีแค่ไหน
พอถ่ายรูปมาเรื่อยๆ เราจะได้เรียนรู้ว่า คนบางคนเวลาที่เขาหลับตา เขากลับส่งพลังได้มากกว่าการลืมตา บางครั้งเวลาเขาเอียงข้างแล้วมองขึ้นไป เขาเชื่อมต่อกับเราได้มากกว่าเวลาที่เขามองกล้องมาก มันเป็นโมเมนต์ที่ผมชอบและคิดว่าเป็นเสน่ห์ของการถ่ายภาพพอร์ตเทรต ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเราวันนั้นเขาคือใคร และเขาเหมาะกับภาพแบบไหน อันนี้ผมว่าเป็นหน้าที่ของช่างภาพที่จะถ่ายทอดอารมณ์นั้นออกมา แล้วถามช่างภาพคนไหนก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ หรือแม้แต่ถามคนถูกถ่ายเองบางทีเขาก็ไม่รู้ มันขึ้นอยู่ระหว่างตัวแบบและช่างภาพที่จะเชื่อมต่อกันมากกว่า อันนี้คือสิ่งมหัศจรรย์
มีรูปถ่ายรูปไหนที่เปลี่ยนชีวิตคุณไปบ้าง
ไม่แน่ใจว่าผมเล่าได้ไหม มันมีงานภาพถ่ายเซ็ตหนึ่ง เป็นภาพพอร์ตเทรตของเพื่อนผม ซึ่งเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยมาตั้งแต่สมัยเด็กๆซึ่งเราสองคนมีความฝัน และตั้งใจที่จะสร้างออฟฟิศที่เรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละขึ้นมาด้วยกัน (Le Photographe BKK) และเพื่อนผมเขาเก่งด้านตัวเลขไม่เก่งด้านศิลปะ ผมก็บอกเขาว่า เฮ้ย งั้นมึงไปเรียนด้านบัญชีนะ เพราะทุกบริษัทต้องมีฝ่ายบัญชีที่ดี แล้วเดี๋ยวกูจะไปเรียนนิเทศ แล้วจะมาเป็นฝ่ายครีเอทีฟให้ แล้วเหมือนอย่างที่ผมเล่า ว่าผมไปเรียนไปอยู่ต่างประเทศมาสักพัก และพอกลับมาเราทั้งสองคนคิดว่าได้บ่มเพาะวิชาของตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว เราเลยกำลังจะมาเปิดออฟฟิศด้วยกัน เสร็จปุ๊บเรื่องมันเหมือนละครมากเลยเขาตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหารขั้นที่สาม ในขณะที่กำลังสร้าง Le Photographe BKK ขึ้นมา ซึ่งเขาก็ต้องไปรักษาตัว และทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ผมจะถ่ายรูปเป็นภาพพอร์ตเทรตเขาด้วยกล้องฟิล์ม ทุกครั้งที่ไปก็ถ่ายไปเรื่อยๆ จนถึงรูปที่สามสิบหกของโรลฟิล์ม มันเป็นรูปที่โรงศพของเขากำลังเข้าเตาเผาพอดี ผมต้องทำใจนานมากกว่าจะเอาฟิล์มม้วนนั้นมาล้างได้ แล้วพอเอาฟิล์มมาล้าง ผมเห็นทุกอย่างเป็นไทม์ไลน์เลย ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขายังมีผม ไปจนถึงทำคีโมแล้วผมร่วง แล้วก็เป็นวันเผา
ภาพเซ็ตนี้มันน่าจะเปลี่ยนผมมากที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกว่าออฟฟิศนี้ที่ผมกำลังทำมันไม่ได้ทำเพื่อฝันของผมคนเดียวแล้ว ผมกำลังทำเพื่อความฝันของเพื่อนผมด้วย งานทุกงานที่ทำมันเหมือนแบกรับความฝันของคนอีกคนไปกับผมด้วย ผมรักโรลฟิล์มม้วนนี้มากๆ มันเหมือนว่าเขายังมีชีวิตอยู่ในฟิล์ม แม้เขาจะเสียไปหลายปีแล้ว ทุกครั้งที่ผมท้อในวิชาชีพ ซึ่งทุกคนมันมีอยู่แล้ว ผมจะหยิบรูปเซ็ตนี้ขึ้นมาดูว่าเฮ้ยคนที่เขามีความฝันเดียวกับเราแต่เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้เราจะมาท้อแท้อะไรกับเรื่องขี้ประติ๋ววะ ผมว่าภาพนี้มันเปลี่ยนชีวิต มันให้คุณค่าทางใจกับผมที่สุด
“เราไม่ได้อยู่ในโลกยูโทเปีย ที่เราเกิดมาเราจะยิ้มแย้ม แล้วคาดหวังให้คนยิ้มไปกับเรานึกออกไหม คาดหวังให้คนทำดีกับเราตลอดเวลา ผมคิดว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนในโลกได้ แต่เราเปลี่ยนสิ่งหนึ่งนั่นคือตัวเราเองในการมองโลก มองคนอื่น มองความทุกข์ได้”
มาถึงวันนี้มุมมองการใช้ชีวิตและการทำงานของคุณเป็นอย่างไร
ผมเป็นคนเชื่อระหว่างทางในการทำงานมากกว่าจุดหมายปลายทางเสียอีก เวลาน้องๆ ในทีมของผมทำงานผมอยากให้ทำงานแบบมีความสุข งานที่ดีมันต้องทำให้เรามีความสุข และทำให้เราภูมิใจเวลาออกไปทำงานทุกครั้ง ผมใช้วิธีคิดนี้ในการทำงานทุกอย่างในชีวิต
พูดเหมือนง่ายแต่ชีวิตที่เรามีความสุขกับการทำงานทุกอย่างนั้นมีอยู่จริงเหรอ
ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพอทำงานงานหนึ่งแล้วไม่มีความสุขก็เลิกทำมันเสียเลย แต่เราลองมาวิเคราะห์ว่าทำไมแวบแรกเราถึงไม่มีความสุขในการทำงานกับมัน ผมเชื่อว่าทุกคนมีโมเมนต์ที่เราไม่ชอบในงานตัวเอง ผมเองผมทำงานมานาน ผมยอมรับว่ามันไม่ใช่ทุกครั้งที่ผมถ่ายภาพแล้วแฮปปี้กับมัน มันจะมีโมเมนต์ที่เราไม่ชอบ แต่มันก็จะมีโมเมนต์ที่เราชอบเกิดขึ้น ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตของเราในทุกวัน
แต่ผมจะพยายามหาจุดสมดุล เวลาทำงานผมอาจจะมีจุดที่ไม่ชอบเต็มไปหมดเลย แต่ถ้าผมมีจุดใดจุดหนึ่งที่ผมมีความสุขกับมัน ผมก็จะพยายามหยิบไอ้ก้อนความสุขตรงนี้ให้ได้มากกว่ามวลรวมความไม่ชอบของผม ระหว่างทางการทำงานของผมมันเป็นแบบนี้มากกว่า ความสุขสำหรับผมมันคือความสุขที่ผสมความทุกข์นี่แหละ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยิบอะไรขึ้นมาเป็นสรณะในชีวิต เราไม่ได้อยู่ในโลกยูโทเปีย ที่เราเกิดมาเราจะยิ้มแย้ม แล้วคาดหวังให้คนยิ้มไปกับเรานึกออกไหม คาดหวังให้คนทำดีกับเราตลอดเวลา เราต้องการอะไรเยอะแยะแบบนั้นวะ ผมคิดว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนในโลกได้ แต่เราเปลี่ยนสิ่งหนึ่งนั่นคือตัวเราเองในการมองโลก มองคนอื่น มองความทุกข์ได้
ความหมายของการถ่ายภาพของคุณจากวันที่เริ่มต้นถึงวันนี้มันเปลี่ยนไปไหม
ผมว่าไม่ค่อยเปลี่ยนนะ คือผมเป็นคนไม่ค่อยหาความหมายหรือรูปธรรมอะไรให้กับมันมาก วันแรกที่ผมหยิบกล้องถ่ายภาพผมชอบมันอย่างไร วันนี้ผมก็ยังชอบมันอย่างนั้น ถ้าจะเปลี่ยนอาจจะเป็นแค่ขนาดของงานที่มากขึ้นตามเวลามั้งครับ เราโตขึ้นงานก็มีหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น แต่ทุกอย่างมันไม่เปลี่ยนไป ผมยังจำความรู้สึกในการกดชัตเตอร์ของผมได้ ผมรักมันยังไงก็ยังรักมันอย่างนั้น