“มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เกิดจากแค่กล่าวคำทักทาย อยู่ที่ว่าคุณและอีกฝ่ายหนึ่งจะเปิดใจหรือเปล่า พอกล่าวคำทักทายออกไป ถ้าอีกคนหนึ่งเปิดใจ เราก็จะได้มิตรภาพใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน เสน่ห์ของการเดินทางคือมิตรภาพ และเรื่องราวหลังจากนั้น”

ชีวิตไม่ใช่สูตรสำเร็จเหมือนสูตรคูณ และเพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ชีวิตจึงมีไว้ให้ใช้ เปิดใจคุยกับเจ้าของเพจ Megamaxx Journey แม็กซ์-ปภพ สุวรรณวิศลกิจ นักแสดงหนุ่มวัย 26 ที่โด่งดังจากละครเรื่องรากบุญ ภาค 2 ทางช่อง 3 รับบทผีคู่จิ้นที่สร้างชื่อเสียง และเจ้าของเพจ Megamaxx Journey เพจบันทึกการเดินทางของคนหนุ่มที่มีสำนวนละเมียดละไม ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนก้าวเท้าออกไปท่องโลก


จุดเริ่มต้นของการทำเพจ Megamaxx Journey มีที่มาอย่างไร

พอเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ (คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะการแสดง เอกออกแบบเพื่อการแสดง) ผมได้ไป work and Travel ต่อที่อเมริกา 3 เดือน ครั้งนั้นเป็นการเดินทางครั้งแรกคนเดียวที่ไกลมากสำหรับผม ผมว่าจุดนั้นแหละ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการหลงเสน่ห์การท่องเที่ยว ถามว่าประทับใจอะไรบ้าง ต้องบอกว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมมีความสุขที่สุดและอยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นมากที่สุดเลย สามเดือนนั้นผมได้ทำงานที่ไม่เคยได้ทำ ไปทำงานที่ร้านอาหารสไตล์อเมริกัน ใช้เงินที่ได้ไปกินเที่ยวช้อป แล้วก็ได้เจอมิตรภาพต่างเพื่อนมากมายเลย ถ้ามีโอกาสอยากย้อนเวลากลับไปสร้างความทรงจำตรงนั้นให้มากที่สุดคือตอนที่ทำร้านอาหารอยู่ เป็นร้านสไตล์อเมริกัน ผมมีเพื่อนสนิทเป็นคนฟิลิปปินส์ ปกติผมจะคุยกับคนอเมริกันไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะเขาจะพูดเร็ว แต่ผมฟังสำเนียงฟิลิปปินส์รู้เรื่อง เราก็เลยสนิทกับเขา เขาก็ชอบมาแซวมาเล่นกับผม เวลาเลิกงานเขาก็รอผมเพื่อนั่งรถบัสกลับที่พักพร้อมกัน เราไปเฮฮาด้วยกัน อยู่ในครัวเคยแอบกินขนมด้วยกัน

เขาเป็นเพื่อนฟิลิปปินส์คนแรกที่ผมรักมากที่สุด ก่อนผมกลับเมืองไทยเขาให้คำสัญญากับผมว่าเขาจะมาเที่ยวเมืองไทย พอผมกลับมาเมืองไทย 2-3เดือน วันหนึ่งมีข่าวแผ่นดินไหวที่ฟิลิปปินส์ ปรากฏว่าเขาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้น ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมอยู่ตรงนี้ เราช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ยังมีแชทสุดท้ายที่ได้คุยกันในเฟซบุ๊กอยู่เลยว่า เฮ้ย! สัญญาแล้วนะว่าจะมาหา เขาบอกเดี๋ยวปีหน้าจะไปแน่นอน แล้วคือวันที่รู้ข่าวแผ่นดินไหวผมก็ยังอินบอกซ์ไปหาเขาอยู่เลยว่า เฮ้ย! ข่าวแผ่นดินไหวมันจริงไหม ตอบหน่อยสิ ตอบหน่อย แล้วเพื่อนฟิลิปปินส์คนอื่นที่รู้ว่าผมสนิทกับเขาก็ทักมายืนยันสรุปว่าเพื่อนผมเสียชีวิตจริงๆ ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคือภาพหลุมศพที่เพื่อนเขาแท็กมา พอได้เห็นภาพ มันเสียใจนะครับ ผมร้องไห้เลย มันเหมือนเป็นความรู้สึกผูกพัน เขาเป็นเพื่อนต่างชาติคนแรกที่ผมสนิทที่สุดเหตุการณ์นั้นสอนผมว่า ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยครับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกวันนี้ผมคิดว่าถ้าอยากทำอะไรให้ทำเลย อย่างร้านนี้ก็เหมือนกัน (แม็กซ์เพิ่งเปิดร้านนวดสปาชื่อสัพปายะ) ก่อนหน้านี้ผมชอบคิดแล้วไม่ได้ทำ ผมรู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าเราคิดอย่างเดียวแล้วไม่ได้ลงมือทำ ดังนั้นอยากทำอะไรให้ทำเลย ถ้าล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วสู้ใหม่



“ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยครับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกวันนี้ผมคิดว่าถ้าอยากทำอะไรให้ทำเลย ถ้าล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วสู้ใหม่”



สำหรับคุณ การท่องเที่ยวมีความหมายกับชีวิตอย่างไร

การเดินทางแต่ละครั้งทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้หลุดไปสู่อีกโลกหนึ่ง บางทีเวลาเหนื่อยๆ เครียดๆ กับธุรกิจที่ทำอยู่ พอได้ออกเดินทาง เหมือนมันตัดขาดทุกอย่างออกไป เสพแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า พอกลับมาค่อยมาเคลียร์ (หัวเราะ) ผมชอบคำพูดหนึ่งที่เกี่ยวกับการเดินทางว่า ปลายทางไม่สำคัญเท่ากับบรรยากาศระหว่างทาง ผมชอบเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ละทริปที่ไป ผมไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรระหว่างทาง แต่เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้น สถานที่ที่ผมประทับใจมากๆ ก็คือเมืองเอดินบะระ เมืองหลวงของสกอตแลนด์ เหมือนเมืองในเทพนิยาย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ความเป็นเมืองเก่า หรือผู้คน ทุกอย่างดูอบอุ่น มีมนต์ขลัง วันที่ผมไปถึง เป็นวันที่เขามีเฟสติวัลพอดี มีคอนเสิร์ต มีจุดพลุ ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเป็นความรู้สึกเหงาๆ คนเดียวอยู่ตรงนั้น มีผู้คนรายล้อมเป็นคู่ๆ มีเสียงเพลงออเคสตร้ากำลังเล่นอยู่ที่มุมหนึ่ง มีพลุจุดขึ้นมาท่ามกลางเมืองเก่าๆ เหมือนภาพในฝัน


เท่าที่สังเกตการเล่าเรื่องราวผ่านเพจ คุณค่อนข้างให้ความสำคัญกับผู้คนในสถานที่ที่ไปเยือนมาก อยากให้เล่าความประทับใจที่มีต่อผู้คนให้ฟังหน่อย

ตอนที่ผมไปสกอตแลนด์ ผมก็ซื้อทัวร์ไป เป็นโร้ดทริป3 วัน 2 คืน ไปอยู่ในหมู่บ้านชนบท พักที่เกสต์เฮ้าส์ ซึ่งเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ชื่อคุณป้ามาเรีย แกเป็นหญิงแก่ผมสีขาว เวลาเดินเสียงดังจะชอบดุ แต่ความประทับใจคือแกตื่นมาทำอาหารให้กินทุกเช้า แกจะถามว่าผมจะกินอะไร ท่าทางแกดูดุๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนใจดีและอบอุ่น สามวันสองคืนที่ผมได้อยู่ที่นั่นมันเหมือนผมได้อยู่บ้าน เหมือนมีคุณยายแก่ๆ มาดูแลผม ก่อนกลับผมกอดแก สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นจากการเดินทางครั้งนี้ เวลาเจออะไรดีๆ ผมก็จะเขียนเรื่องราวแบบนี้ลงเพจครับ


ทริปที่เพิ่งไปมาคือออสเตรเลียใช่ไหม ช่วยเล่าถึงสิ่งที่ได้จากทริปนั้นหน่อย

อ๋อ ทริปนั้น ผมเขียนในเพจว่า เอ๊ะ! นี่เหรอออสเตรเลีย ทำไมมีแต่คนไทย ยิ่งที่ซิดนีย์จะยิ่งรู้สึกว่าเป็นเมืองของคนไทยเลย แรกๆ ผมไม่อินเลยนะ คิดว่านี่อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมา มาเจอแต่คนไทย แต่พออยู่มาอยู่ไป ด้วยความที่ผมติดการกินอาหารไทยมาก อาหารไทยนี่อร่อยที่สุดแล้ว เลยทำให้ต้องฝากท้องไว้ที่ร้านไทยหลายมื้อ การที่ได้เข้าร้านอาหารไทยแต่ละร้านทำให้ผมได้เจอคนไทยที่ทำงานที่นั่น พอได้คุยกันผมพบว่าคนไทยแต่ละคนที่มาใช้ชีวิตที่นี่ ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์มีเป้าหมาย มาเพราะความฝัน ความหวังและความรัก อยากมาเรียน อยากมีเงิน มาลองใช้ชีวิต หรือแม้แต่บางคนอยากมีสามีอยู่ที่นี่ แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อมองเข้าไปในตาของพวกเขา ผมพบความเหงาในสายตาหลายๆ คู่

ผมได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งครับ เขาบอกว่า ทุกวันนี้การที่เขาต้องมาทำงานร้านอาหารเพราะแก้เหงา พอเรียนจบปุ๊บ ตอนเย็นไม่รู้จะไปไหน ก็เลยมาทำงาน ในระหว่างการแลกเปลี่ยนกัน สิ่งที่ผมให้เขาได้คือกำลังใจ ผมรู้สึกว่าทางที่แต่ละคนเลือกไม่มีถูกหรือผิด แต่เมื่อเลือกแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุด อีกอย่างหนึ่งการเดินทางทำให้เกิดมิตรภาพใหม่ๆ แค่เรากล่าวคำทักทาย อยู่ที่ว่าคุณและอีกฝ่ายจะเปิดใจหรือเปล่า พอกล่าวคำทักทายปุ๊บ ถ้าอีกคนเปิดใจ เราจะได้มิตรภาพใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เสน่ห์ของการเดินทางคือมิตรภาพ ผมมีความสุขกับการได้เพื่อนในหลายๆ ประเทศ



การเดินทางทำให้เกิดมิตรภาพใหม่ๆ แค่เรากล่าวคำทักทาย อยู่ที่ว่าคุณและอีกฝ่ายจะเปิดใจหรือเปล่า พอกล่าวคำทักทายปุ๊บ ถ้าอีกคนเปิดใจ เราจะได้มิตรภาพใหม่ๆ เพิ่มขี้น เสน่ห์ของการเดินทางคือมิตรภาพ ผมมีความสุขกับการได้เพื่อนในหลายๆ ประเทศ


บ่อยครั้งที่หลังจากบรรดาแฟนเพจเขาได้อ่านเรื่องราวของคุณแล้วเขาก็ไปเที่ยวตามรอยคุณ

ครับ มันเป็นการสื่อสารที่ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ นะ คอมเม้นต์ต่างๆ เป็นอีกหนึ่งกำลังใจของผม การที่คนเข้ามาพูดคุย มาทำความรู้จักกับผม ผมว่ามันเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งนะครับ มันทำให้คนที่ไม่รู้จักกันมาสนิทกันได้ อย่างบางคนที่เข้ามาอ่านข้อมูลในเพจผม มากดไลค์ กดแชร์ บางคนก็ตามไปเที่ยวจริงๆ แล้วเขาก็อินบอกซ์ส่งรูปสถานที่ที่เขาไปส่งกลับมาให้ผมบอกว่า เนี่ย มาตามเรานะ มันก็เออ เป็นอีกหนึ่งกำลังใจในชีวิตครับ



ทราบมาว่านอกจากทำร้านนวดสปาแล้ว ก็เพิ่งตั้งสำนักพิมพ์ด้วย

จุดเริ่มต้นคือ ผมเป็นคนคิดต่างน่ะครับ คือผมได้ไปเจอเพจชื่ออริสโตเต้ย เขาชอบเขียนแคปชั่นเกี่ยวกับความรักเพ้อๆ หน่อย ผมก็แบบ…เออว่ะ น่าสนใจ อยากเอามาทำเป็นหนังสือจัง เลยติดต่อเขาไปโดยที่ยังไม่มีความรู้เรื่องการทำหนังสือเลย ผมถามเขาว่าสนใจทำหนังสือด้วยกันไหม (หัวเราะ) เขาก็ตกลงครับ พิมพ์ครั้งแรก 2,000 เล่ม ขายหมดนะครับเป็นเพราะผมรู้ว่าเขามียอดฟอลโลว์เยอะครับ หลังจากนั้นก็มีพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง เพื่อนของพี่เขาอยากเขียนหนังสือ เขามาติดต่อขอใช้ชื่อสำนักพิมพ์ ก็เลยพิมพ์ให้เขา อย่างเล่มนี้ (ที่ถืออยู่ในมือ) ชื่อว่า‘วันนี้ฉันจะมีความสุข’ เป็นหนังสือเกี่ยวกับบันทึกของคนคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผมว่าในยุคสมัยนี้คนเป็นโรคซึมเศร้าเยอะ มีข่าวคนฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับนักเขียนคนนี้ เขาเป็นคนที่เจอปัญหาหนักมาก เป็นโรคไม่รู้กี่โรค เช่นโรคต้อหินเฉียบพลัน ชีวิตไม่ได้แฮปปี้ สวยหรู แต่เขาพยายามมองปัญหาในด้านบวก ไกด์ของหนังสือเล่มนี้ เขาจะเล่าแบบว่าเขากำลังคุยกับตัวเอง อย่างเช่นเรื่องโรคต่างๆ ก็คุยว่า โรคอย่าเพิ่งมาตอนนี้นะ จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ แล้วเขาบอกว่า โรคก็เชื่อฟังเขา เขาถ่ายทอดว่าในแต่ละวัน มองเห็นความสุขในสิ่งรอบตัวยังไง คือมองทุกอย่างให้เป็นมุมบวก ถ้าได้อ่านเล่มนี้จะมีรอยยิ้มมีกำลังใจครับ


ว่ากันว่าการเดินทางทำให้คนเราเติบโตขึ้น สำหรับคุณแล้วมีสิ่งอื่นๆ อีกไหมที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเติบโตขึ้นอีก

การทำธุรกิจครับ อย่างการทำร้านนี้ ทำให้เราได้เห็นและเรียนรู้คน ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ปัญหาใหญ่ๆ คือเรื่องคน สิ่งไหนดีก็นำมาปรับใช้ สิ่งไหนไม่ดีผมก็เรียนรู้และนำมาใช้เป็นบทเรียน ถ้าเจอปัญหาหนึ่งเลยคือผมตั้งสติ ดูว่าอะไรถูกอะไรผิด แรกๆ ผมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ผมต้องถูกสิ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการได้ทำร้านคือ ผมฟังคนอื่นมากขึ้น กลายเป็นผู้ฟัง แล้วตั้งสติในการแก้ปัญหาครับ

เครดิตภาพ : FB : Megamaxx Journey