บรรดาลิสต์นักแสดงที่หุ่นเซี้ยะที่เห็นแล้วน่าเจี๊ยะ ก็มีชื่อ ‘คุณ-เด่นคุณ งามเนตร’ นักแสดงจากช่อง 3 นี่แหละ ที่ติดโผอยู่ด้วย (เพราะเวลาฮีถอดเสื้อทีไร จะได้เสียงกรี๊ดทุกที) คุณเด่นคุณเข้าวงการบันเทิงมาก็นานหลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ‘ฮักนะสารคาม’ ของผู้กำกับ ‘กอล์ฟ-ธัญญ์วารินสุขะพิสิษฐ์’ จากนั้นก็อยู่ยาวมาเกือบ10 ปีเห็นจะได้ แม้จะยังไม่ได้เป็นพระเอกเต็มตัวสักที แต่ละครหลายๆ เรื่องที่เขาแสดงก็ทำให้คุณเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่ม LGBT ที่คุณเคยสร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยเช่นกัน

 
‘ทุ่งเสน่หา’ ละครเรื่องล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง

ละครเรื่องล่าสุด ‘ทุ่งเสน่หา’ เป็นละครที่เรียกได้ว่ามีพล็อตเรื่องแนวใหม่ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คาแร็กเตอร์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ด้วยกาลเวลา ด้วยระยะเวลา
ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีมิติมากขึ้น และกระแสตอบรับค่อนข้างน่าพึงพอใจครับเป็นละครที่หลายๆ ท่านชื่นชอบในตัวละคร ทั้งมิ่งขวัญ และผมได้แสดงความสามารถพิเศษเยอะแยะมากมายอย่างเช่นร้องเพลง ได้เกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรกด้วย ได้ทำอะไรใหม่ๆ แบบคนในยุคสมัย 2515 ครับ

 
เป็นละครพีเรียดย้อนยุคนิดหนึ่ง?

ใช่ครับ แต่ก็ไม่ถึงกับพีเรียดมากแค่ย้อนยุคไปไม่นานมากราวๆ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราครับเล่นละครแนวนี้มาน่าจะประมาณ 3-4 เรื่องมั้งครับไม่แน่ใจ อาจจะเพราะหน้าตาผมเหมาะกับละครพีเรียดหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะครับถามว่าชอบไหมชอบแทบทุกเรื่องนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราจะเข้าใจมันมากแค่ไหนมากกว่า ถ้าสมมุติว่าช่วงเวลาที่เรากำลังไปเรียนมาแล้วได้ความรู้ใหม่ๆ มาเราก็อยากเอามาใช้  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นละครพีเรียดหรือว่าละครมันก็สนุกถ้าเราเข้าใจตัวละคร


เข้าวงการมากี่ปีแล้ว ยังเรียนการแสดงอยู่ด้วยตลอดเวลา?

ใช่ครับ ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่ เข้าวงการหลายปีมาแล้วครับ ตอนแรกยอมรับเลยว่าผมทำงานไม่ดีเลย คือผมถามตัวเองว่าทำไม แต่เข้าใจว่ามันเหมือนกับเราเข้ามาวงการง่ายเกินไป ซึ่งการเข้ามาครั้งแรกอาจจะเป็นเพราะว่ารูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตา ที่ทำให้เราได้เข้ามาสู่วงการ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลยครับ ผมควรมีความรู้มากกว่านี้ ซึ่งทำอย่างไรให้มีความรู้ หนึ่งเราต้องชอบก่อน


ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเข้ามาได้เพราะว่ารูปร่างหน้าตา

ผมว่ามันเป็นทางนั้นมากกว่า เพราะว่าเราไม่ได้มีความสามารถ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องละคร มันเป็นสิ่งที่พลาดแต่เราก็ดีใจที่เราแก้ไขมันได้ คือก่อนที่จะเข้าวงการ เราชอบอย่างอื่นมากกว่าที่จะเล่นละคร ถ้าเราทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบมันก็ทำได้ไม่ดีใช่ไหม อย่างเราไม่รู้จักละครเลยว่ามันคืออะไร เราไม่รู้จักว่าแอ็กติ้งคืออะไร และจริงๆ หลายๆ คนก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแอ็กติ้งคืออะไรใช่มั้ยครับ แล้วทีนี้พอถึงจุดหนึ่งเรามาเรียน เราโดนคนว่าเราก็มีแรงกดดัน ตอนที่เราเรียนเราก็ยังไม่ได้ชอบนะ แต่พอเรียนเข้าใจ มันสนุก พอสนุกก็เริ่มชอบ เหมือนเราเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรีนี่แหละ เราต้องเรียนก่อนให้เรารู้ พอเราสนุก เราสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ ใช้เป็น เราจะเริ่มชอบ

 
ทำไมตอนนั้นถึงคิดว่าคนที่เขาคอมเมนต์เรา จนทำให้เรารู้สึกว่าเราพลาดหรือว่าแอ็กติ้งเราไม่ดี หรือเรารู้สึก guilty จนต้องไปเรียนการแสดงต่อ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะด้านการแสดงของเรา

ผมเป็นคนค่อนข้างที่จะไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนะ อย่างน้อยเรามีสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว สิ่งที่เราหวังไว้ก็ไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดง เราไม่ได้คิดไว้ตอนนั้น เราคิดว่าเราอาจจะไปทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ ณ จุดหนึ่งผมกลับคิดว่าเราเกิดมาแล้ว เราได้ทำตรงนี้แล้วซึ่งมันท้าทาย สุดท้ายก็ลุย เรียนไป 2 ปี ครั้งแรกก่อนหน้านี้เคยเรียนครับแต่ไม่เก๊ต ไม่สนุก โดนครูไล่ออกจากห้องบ้าง และทีนี้เราเรียนเราก็ตั้งใจ ค่อยๆ เรียนรู้ไป พอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ ทำงานง่ายขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเราเริ่มชอบแล้ว เวลาทำงานง่ายขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าดีเลย เพราะว่าล่าสุดดูละครตัวเองก็เจอจุดบอดค่อนข้างเยอะมาก ในใจคิดว่าถ้าเรื่องไหนเปิดก่อนตอนนี้ได้เปรียบเลย เพราะว่าผมศึกษามาเพิ่มแล้ว


เข้าวงการมาด้วยการแสดงภาพยนตร์ ซึ่งสกิลในด้านการโปรดักชั่นหรือแอ็กติ้งมันต่างกับละครพอสมควร รู้สึกอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วไม่ต่างนะ แต่ ณ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าแอ็กติ้งเป็นศูนย์นะ แต่ติดลบเข้าไปอีกยิ่งเล่นไม่ได้เลย เหมือนจับมาวางปั๊บ! เล่นเลย เพราะว่าภาษาพูด รูปร่างหน้าตาแบบบ้านนอกและก็ความซื่อ ความบ้านนอก มันตรงคาแร็กเตอร์ เลยรอดมาได้ แต่ถ้าถามตัวเองผมว่าตอนนั้นติดลบเป็นล้านเลย ในความสามารถติดลบ และค่อยๆ ติดลบน้อยลงมาเรื่อยๆ

 
เราคิดไปเองหรือเปล่าผู้ชมหรือคนอื่นอาจจะไม่ได้มองอย่างนั้นก็ได้

อาจจะเป็นไปได้ครับแต่มุมมองเรา เรารู้สึกว่ามันดีได้กว่านี้ ณ ตอนนั้นนะครับ ตอนนี้ด้วยมันไม่ได้มีที่สิ้นสุดครับ ขอโทษนะครับก็ย้อนไปที่บอกว่าละครกับภาพยนตร์มันแตกต่างกัน ผมว่าไม่แตกต่างนะ
มันต่างกันแค่วิธีการทำ หรือวิธีการถ่ายทำ สุดท้ายแล้วมันก็คือโลกอีกใบของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรืออื่นๆ ทุกๆ อย่างเกี่ยวกับการแอ็กติ้งเหมือนกันครับ


ตอนนั้นไปเล่น ‘ฮักนะสารคาม’ ได้อย่างไร

ตอนนั้นเรียนมัธยมที่จังหวัดอุบลราชธานี พี่เขามาทำการแคสต์นักแสดงแทบทุกโรงเรียนในภาคอีสาน เพื่อที่จะหานักแสดงมาเล่นคาแร็กเตอร์นี้ ครูเขาประกาศหน้าเสาธงว่าให้แต่ละห้องส่งเด็กในห้องที่หน้าตาดีที่สุดมา ซึ่งห้องผมเป็นห้องนักดนตรี ไม่ค่อยมีคนหน้าตาดี ผมเลยถูกส่งไป ซึ่งพวกผมก็เป็นพวกชิลล์ จำได้เลยวันนั้นใส่เสื้อขาดและกางเกงยีนส์สไตล์แบบเซอร์ๆ สมัยก่อนคือเซอร์มาก เสื้อขาด กางเกงขาด แต่พอผมไปถึงที่แคสต์ทุกคนแต่งตัวดูดีหมด เสื้อเชิ้ต ซึ่งปกติผมไม่เคยเห็นเด็กอีสานแต่งกันเลย มันดูแปลกตามาก ณ จุดนั้น ทุกคนแปลกตาไปเลย แต่กลับกลายเป็นผมต่างหากที่แปลกตา แต่มันดันไปตรงกับคาแร็กเตอร์ที่เขากำลังหาอยู่ เขาก็เลยบอกเอาคนนี้เลย

 
ผู้กำกับไม่แคสต์แบบให้ลองแอ็กติ้งบทหรือ

ไม่เลยครับ แต่พอแคสต์ได้แล้วพี่กอล์ฟผู้กำกับให้ไปใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ไม่ได้มีการเรียนแอ็กติ้งจริงจัง เพียงแต่ให้ไปใช้ชีวิตอย่างนั้น ให้ไปอยู่ทุ่งนา อย่างที่ผมบอกนะครับว่า สุดท้ายแล้วเขาปรับคาแร็กเตอร์เราเอง ไม่ใช่ไปเรียนแอ็กติ้ง เพราะว่าตอนนั้นไม่มีเวลาเรียน ก็เลยเอาผมไปสิงสถิตอยู่สถานที่จริง โลเกชั่นจริงเลย ซึ่งผมแฮปปี้เพราะว่ามันไม่ต้องไปโรงเรียน


พอต้องมาเล่นละครที่เขาพยายามปรับบทให้ดูเข้ากับเราในหลายๆ มุม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปไหม

เล่นละครเรื่องแรกฟีลมันเปลี่ยนไปไหม ต้องบอกก่อนว่าตอนอายุ 16 เล่นหนังเรื่องแรก คือคุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ให้มาสุงสิงที่นี่เท่าไร เพราะต้องกลับไปเรียน เรียนไปเรื่อยๆ จนแบบว่าผมรู้สึกว่าชอบชีวิตทำงาน ทำไมเราต้องเรียนอยู่อย่างนั้น และมีวันหนึ่งผมกับทางโรงเรียนส่งนักดนตรีมาเล่นดนตรีที่โรงแรม Kempinski ที่สยามนะครับ คือก่อนหน้านั้นช่วงที่ถ่ายมีผู้จัดการหลายคนติดต่อเราไว้ เราก็เฮ้ย! ในเมื่อมีโอกาส พอถึงตอนจะกลับผมตัดสินใจไม่ขึ้นรถและก็นั่งบ๊ายบายเพื่อน เราก็อยู่นี่ และติดต่อไปหาพี่เซ้งที่เป็นเพื่อนพี่เอ ศุภชัยบอกว่า ผมพร้อมแล้วนะ ผมอยู่กรุงเทพฯ แล้ว คราวนี้ไปบ้านพี่เอ พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงเรียนแอ็กติ้งบ้านพี่เอ บอกแม่เดี๋ยวจะกลับไปตอนเปิดเทอม


เล่นละครมาหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง คาแร็กเตอร์ไหนที่เรารู้สึกว่าเราชอบมันมากที่สุด

ที่เล่นมาเท่าที่ดู ชอบสุดก็คือทุ่งเสน่หานั่นแหละครับ มันเป็นละครที่ถ่ายทำในช่วงที่เรียนแอ็กติ้งพอดี มันเลยได้ใช้สิ่งที่เรียนมาเยอะที่สุดแต่ละครที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดก็คือกรงกรรม น่าแปลกใจมากจริงๆ ว่าทำไม กลับไปนั่งดูอีกครั้งคือมันอาจจะไม่ได้ดีหมายถึงว่าเล่นเก่ง แต่เวลาดูแววตาเขา เวลาดูความรู้สึกเขาอย่างนี้ รู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะตัวละครแรงกว่าก็ได้ ตัวละครเขาอาจจะแรงกว่าตัวทุ่งเสน่หา

 
ไม่คิดที่จะเทิร์นตัวเองไปเป็นนักดนตรี หรือเป็นโปรดิวเซอร์หรือ 

ผมเห็นภาพแล้วว่ามันยังเป็นไปไม่ได้ ผมจะค่อยๆ ทำ คือผมมองว่าด้วยภาพลักษณ์ของผม ถ้าสมมุติไปทำผมว่าคนจะไม่เชื่อ ต้องมีอะไรที่ค่อนข้างข้ามขั้นนั้นไปก่อน อาจจะทำอะไรสักพักหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ ก่อน ให้คนเชื่อก่อน ขนาดผมออกกำลังกาย ผมฟิตเนสหุ่นขนาดนี้ ผมยังไม่เคยลงโซเชียลเลยว่าผมเล่นฟิตเนสผมไม่ค่อยได้ลงโซเชียลว่าผมทำอะไรบ้าง คืออย่างน้อยลงโซเชียลก็จะลงแบบถอดเสื้อไปเลย เอาจริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นความขี้เกียจของผมก็ได้นะ ที่ไม่ได้ลงตัวเองออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่เราออกกำลังกายโหด เราแทบไม่ได้ลงดนตรีเลย


ทุกวันนี้ดูแลตัวเองอย่างไร แบ่งเวลาอย่างไร ให้น้ำหนักกับส่วนไหนมากเป็นพิเศษ

ออกกำลังกายทุกวันครับ เพราะผมเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วนสำคัญ แม้กระทั่งนิ้วก้อยก็สำคัญมากครับ สำคัญอย่างไรรู้ไหมครับ เห็นมันแค่นี้มันมีความสามารถทำให้คนอีกคนหนึ่งไม่ผิดคำพูดได้ อย่างที่ผมบอกผมคุยกับแขน เพราะว่าแขนเขาเป็นส่วนหนึ่งนะ เราไม่ใช่เจ้าของเขานะบางครั้ง เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เขามีชีวิต เวลากล้ามเนื้อเขากระตุกเราก็ถามเขาเจ็บไหม เขาสบายดีไหม เขาโอเคไหมเวลาเราจะเล่นฟิตเนสทีหนึ่งมันหนักมาก ผมต้องขอโทษเขาก่อน ขอนะ พรุ่งนี้ต้องถ่ายแบบ
 

คิดว่าตัวเองเป็นคนเซ็กซี่ไหม หรือมีเสน่ห์ตรงไหนบ้างที่ทำให้แฟนคลับหรือแฟนละครชอบเรา

ความตรงๆ ความซื่อมั้งครับอันนี้ไม่รู้จริงๆ แต่บางทีก็ชอบหลงตัวเอง บางทีชอบคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ แต่ตามความเป็นจริงแล้วเรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เซ็กซี่หรืออะไรเลย ผมรู้แค่ว่าเราเป็นคนบ้านๆ ซื่อๆ บ้านนอก


รู้สึกอย่างไรเวลาเรามีบทต้องถอดเสื้อบ่อยๆ แล้วทำให้ผู้ชมติดภาพความเซ็กซี่ของเรา 

ผมเพิ่งคิดได้นะ คือมันกลายเป็นว่าที่ผมถอดเสื้อลงไอจี เพราะว่าผมไม่มีอะไรที่จะโชว์เขา ทั้งที่จริงๆ มี คือผมรู้สึกว่ามันง่าย ก็แค่ถอด คุณเล่นกล้ามมา คุณทำมาลำบาก คุณแค่ถอดเสื้อและก็ถ่ายรูปมันง่าย แต่จริงๆ ผมว่าผมมีอะไรที่ดีกว่านั้น เพิ่งคิดได้นะ ต่อจากนี้คงอาจจะได้ถอดเสื้อน้อยลง


วันหนึ่งที่เราโตขึ้น อายุมากขึ้นกว่านี้ เราจะผันตัวเองไปทำอะไรต่อ

มันมีช่วงหนึ่งที่ผมเคยรู้สึกว่าผมวิ่งตามเงิน วิ่งตามชื่อเสียง พูดง่ายๆ ผมรู้สึกว่าการวิ่งตามเงินแรงผลักดันมันสูงจริงๆ นะ เพราะเราต้องการเงิน แต่เราหลับหูหลับตาวิ่งเพราะว่าเรามองเห็นแต่เงิน เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าผมเอาตรงนี้ดีกว่า ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดดีกว่า หยุดเรื่องเงิน ถ้าเราคิดถึงแต่เรื่องเงินนะมันจะทำทุกอย่างพังหมด เราจะไม่มองอย่างอื่นเลย เราจะโฟกัสแค่เงิน ซึ่งมันไม่ใช่อาชีพเราอาชีพเราไม่ใช่อาชีพหาเงิน อาชีพเรามันเป็นอาชีพเกี่ยวกับมนุษย์นะ พวกคนที่รวยๆ เขามีอาชีพหาเงิน ก็คือเขาศึกษาแล้วว่าช่องทางเงินมาจากไหน เขาหาเงินอย่างไร เงินมันหมุนอย่างไร เขาศึกษามา แต่เราไม่ใช่ เราไปวิ่งตามเงินก็เท่ากับทุกอย่างมันพังหมด ผมเลยไม่ได้มองว่าอนาคตจะต้องหาเงินทางไหนอีก รู้สึกว่าเอาปัจจุบันดีที่สุด เอาตรงนี้ เรียนแอ็กติ้งไปเรื่อยๆ ตัวเองจะทำได้ดีขึ้นหรือไม่ได้ดีขึ้น มันแล้วแต่บุญแต่กรรม


พูดถึงงานละครเรื่องใหม่ที่ถ่ายเสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ออนแอร์บ้าง

สัญญารัก สัญญาลวง เป็นละครแฟนตาซีเกี่ยวกับข้ามภพข้ามชาติในยุคทวารวดี ถ่ายนานแล้ว เป็นเรื่องของพระธาตุนาดูนที่อยู่มหาสารคาม เรื่องสัญญาที่เคยให้ไว้ แล้วก็มีการมาทวงคำสัญญาต่างๆ เป็นละครที่มีเวทมนตร์ มี CG ต่างๆ เป็น animation ครับ

 
อยากกลับไปเล่นหนังอีกครั้งหนึ่งไหม

อยากครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมอยากทำอะไรที่มันไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างเดิมๆ ละครเดิมๆ อยากเล่นหนังมากๆ


Text by Takeshi West

กดดาวน์โหลดได้ที่ :

https://www.mebmarket.com/ebook-132658-Mars-Homme-Magazine-Online-Denkhun-Ngamnet
https://www.ookbee.com/shop/magazine/MARHOMMEMAG/75f0efe1-7878-482b-bd93-1490c49f26dc/denkhun