ถึงเรื่องราวจะเก่า เพราะนำมาจากวรรณคดีคลาสสิกของไทย แต่เนื้อหาโดยรวมยังร่วมสมัยอยู่เสมอ ละคร “วันทอง” ทางช่องวัน 31 จึงสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชมได้มากทีเดียว ไม่เพียงเพราะรวมดาราระดับแม่เหล็กแล้ว แต่นักแสดงที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกทึ่งกับบทบาทใหม่ เอามากๆ คงต้องยกให้ ‘ตงตง – กฤษกร กนกธร’ หรือ ตงตง เดอะสตาร์ ที่หลายคนเรียกติดปากนั่นแหละ ตงตง ในบทพระไวย หรือพลายงาม ทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาดหวัง ทั้งบทบู๊ และดราม่าหนักๆ กระชากใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้สาวน้อยใหญ่ใจละลายแบบศิโรราบก็คงเป็นความขาววิ้งๆๆ ที่ใสกิ๊งไปทุกส่วน
“วันทอง”เป็นละครพีเรียดเรื่องแรกของตงตงหรือเปล่า?
ก่อนหน้านี้มีเรื่อง “สายรักสายสวาท” ครับ แต่ว่าคำพูดไม่ได้เก่าเท่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นพีเรียดยุคโบราณเรื่องแรก ที่หนักหน่วงกว่ามากครับ เพราะว่าด้วย หนึ่ง ภาษา สอง คือ แอ็กติ้ง สาม คือเราด้วยความที่มีแรงกดดันหลายอย่าง หนึ่งเราเป็นเด็ก new gen และพี่ๆ นักแสดงแต่ละคนที่เราร่วมงานด้วยคือรุ่นใหญ่ทั้งนั้น ความกดดันเลยค่อนข้างสูง และสอง พอเราได้อ่านบทปุ๊บ ต้องเข้าฉากกับพี่ใหม่(ดาวิกา)และยิ่งมารู้อีกว่าพี่สันต์(สันต์ ศรีแก้วหล่อ)กำกับด้วย ฉะนั้นแรงกดดันมันเยอะมาก
เตรียมตัวอย่างไรเมื่อรู้ว่าต้องประกบรุ่นใหญ่ อย่าง ป้อง–ณวัตร,ชาคริต,ใหม่–ดาวิกา และอีกมากมาย
เราเตรียมตัวโดยการทำการบ้านกับบทครับ เพราะภาษานี่ยากสำหรับผมมาก ทั้งคำว่า “ขอรับ” และยังมีอีกเยอะ ผมต้องค่อยๆ นั่งอ่านบท ช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดกล้อง ผมก็พยายามทำการบ้านเยอะมาก อ่านบท 10-20 รอบ แต่ละฉากเป็นอย่างไร เพื่อที่จะให้คำพูดเข้าปากมากที่สุด และพอเราเข้าไปในกองถ่าย ปุ๊บ เราได้ทำความรู้จักกับคนนั้นคนนี้ในกอง เริ่มสนิทกันมากขึ้น ผมก็เริ่มจับคาแรกเตอร์ได้ ทุกอย่างมันไปเร็วมาก มันไม่ได้มีเวลาเหมือนที่เราเคยทำกับเรื่องก่อนๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ผมได้ทำการบ้านจริง ๆ ได้เอาการบ้านนี่มาใช้จริง ๆ คือไม่มีเวลาแม้กระทั่งมาจับบทหน้าเซ็ต ทุกอย่างคือต้องพร้อมมาตั้งแต่ที่บ้าน มากองปุ๊บ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว เสร็จปุ๊บ เข้าฉาก 5 4 3 2 ต้องเล่นได้แล้ว จะแก้ก็ต่อเมื่อพี่สันต์สั่ง อาจจะมีแก้นิด ๆ หน่อย ๆ เพิ่มเติมบ้างบางฉาก แต่โดยรวมทุกอย่างคือต้องพร้อม ไม่ใช่ว่าจะมาผิดบทในเซ็ต จำบทไม่ได้ ไม่มีครับ
เล่าถึงตัวละคร“พลายงาม”ให้ฟังหน่อย มีความสำคัญอย่างไรกับวันทอง
ผมรับบทเป็นพระไวย พระไวยนี่เป็นลูกของวันทองครับ ความสำคัญของตัวละครนั้น ผมตีความมาว่าพระไวยรักแม่มาก อยากให้แม่กลับมาอยู่กับพ่อคือขุนแผน คือเราเติบโตมาโดยการที่ไม่รู้ว่า พ่อเราคือใคร ตอนแรกเราคิดว่าเป็นขุนช้าง แต่แล้วมันก็มีหลายเหตุการณ์ที่จะมีขุนช้างพาเข้าไปในป่า ตอนที่เรายังเด็กและจะฆ่าเรา แต่เรากลับรอดมาได้ แม่เรามาช่วยไว้ทัน ก็เลยส่งตัวผมนี่ไปอยู่กับคุณย่าที่ต่างจังหวัด และก็เลี้ยงดูเราจนเติบโต และเริ่มตามหาว่า พ่อที่แท้จริงคือใคร เราได้กลับมาเจอแม่ กลับมาเราพยายามทำทุกอย่าง เรียนรู้วิชาอาคม เรียนทุกอย่าง ตามพ่อ จนสุดท้ายเราก็ได้ไปรบชนะศึก ได้อวยยศ แล้วก็ไปตามหาพ่อจนเจอ ได้มาเห็นว่านี่หรือคือพ่อเรา ได้มาเห็นว่าพ่อเราอยู่กับอีกคนหนึ่งและแม่เราก็มาเห็นพอดี
เราก็เสียใจไหม เสียใจ แต่เหมือนที่คนบอกว่าทำไมวันทองถึงสองใจ ทำไมขุนแผนถึงเจ้าชู้ แต่จริง ๆ สมัยก่อน การมีเมียหลายคนนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนที่มีเมียเยอะจะเป็นคนที่มีอำนาจ มีบารมี เราจึงเข้าใจแม่ และเราก็ต้องเข้าใจในยุคนั้นด้วย แต่เราก็อยากให้แม่กลับมาอยู่กับพ่อ แต่แม่ไม่ได้อยากที่จะกลับมาแล้ว
ก่อนที่จะถ่ายทำเรื่องนี้ เราต้องไปฝึกฟันดาบ ขี่ม้า นานไหม
ถ้าฝึกอย่างฟันดาบ เท่าที่จำได้ สมัยมัธยม เคยเรียนกระบี่กระบอง ก็เรียนตามวิชาไป แต่พอมาเจอของจริงแล้วนี่คือมันจะมีคิวบู๊ คิวบู๊นี่ก็คือเราก็ผ่านประสบการณ์มาบ้าง แต่ว่าเรื่องจับดาบนี่จะยากหน่อย ตอนถ่ายมีเวลาซ้อมอยู่ประมาณ 15 นาที มั้งครับ แต่ผมรู้สึกว่ากิจกรรมพวกนี้ผมเข้าใจง่าย ผมฝึกแป๊บเดียว ผมเป็นเลย และบางซีนที่ต้องถ่ายทั้ง Long Take ด้วย มี cut บ้าง insert บ้าง แต่ Long Take ถ้าพูดถึงการฟันก็ 20 ดาบ โอ้โฮ!โหดมาก มีเวลาฝึกซ้อม 15 นาที แต่ก็ทำออกมาได้ดีมากนะ แบบดีใจมาก อย่างขี่ม้านี่ก็ไปเรียนชั่วโมงครึ่ง ชั่วโมงครึ่งก็จัดเต็มเลย ตอนแรกอยู่ในคอกกลม ๆ ที่ล้อมให้ม้าวน ๆ ครับ อยู่ในนั้น 5 นาที ครูเขาบอกว่าออกมาเลย ออกจากคอกแล้วไปลุยข้างนอกเลย ผมก็ไปลุยข้างนอก เริ่มจาก Trot Trot ไปเบา ๆ ผ่านไป 10 นาที ก็ต้องออกไปลุยเลย ภายในชั่วโมงครึ่งผมทำได้ขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าดีใจมากนะ เพราะผมทำอย่างเต็มที่มาก
ในฐานะที่เราเป็นเด็กเจนใหม่ พอต้องมาแสดงละครที่เป็นวรรณคดีคลาสสิกของไทย เคยกลับไปอ่านบทประพันธ์เดิม หรือว่าได้ศึกษาเรื่องราวก่อนไหม
มีครับ นิดหน่อย เพราะอย่างที่ผมเรียนมาตอนมัธยม หรือว่าฟัง ๆ มาจากวรรณคดี เราก็จะรู้แค่ว่านี่คือขุนช้าง ขุนแผนนะ นี่คือวันทองนะ วันทองนี่สองใจ คบหลายคน ก็จะรู้แค่นี้ครับ แต่พอเรามารู้ว่าต้องมารับบทพระไวยในวันทอง เราต้องศึกษาเพิ่ม และยิ่งเข้าไปเล่นด้วยนี่เรายิ่งเข้าใจว่า จริง ๆ วันทองไม่ได้สองใจนะ ขุนแผนมีเมียเยอะเพราะอะไร ขุนช้างเขาร้ายกับเรา เขาจะเลวทรามทำไม เพราะอะไร เราได้มารู้จริง ๆ ยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้น
ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์มา ปีนี้ก็ปีที่ 5 แล้วที่อยู่วงการบันเทิง เป็นอย่างไรบ้าง
5 ปี แล้วครับ ก็ต้องฝึกฝนครับ ฝึกฝนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการพูด ร้องเพลง หรือว่าการแสดง ผมทำทุกอย่างที่เราไม่มี หรือว่าเป็นกิจกรรมอะไรที่จะสามารถนำมาใช้ในละครได้ ผมทำหมด ไม่ว่าจะขี่ม้า ยิงปืน ผมคิดเสมอว่าผมอยากทำทุกเรื่องที่ผมได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ เวลาที่หยิบยื่นโอกาสให้ สมมติเขาถามผมว่ายิงปืนเป็นไหม ผมไม่อยากตอบที่ว่าไม่เป็นครับ ขี่ม้าเป็นไหม ไม่เป็นครับ ผมอยากที่จะพร้อมเสมอ ไม่ว่าเขาจะถามอะไรมา ผมพร้อมครับ ผมเป็นครับ
เคยคิดไหมว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้
ก็คิดนะครับว่าอยากที่จะก้าวไปให้ไกลมากที่สุด คือทุก ๆ เรื่องที่ผมได้โอกาสมาทุก ๆ ปี ผมจะคิดว่ามันเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตเสมอ คือเราไม่รู้หรอกว่าในปีข้างหน้าหรือในวันต่อ ๆ ไปเราจะได้เล่นละครอีกไหม เพราะฉะนั้นผมก็ทำมันอย่างเต็มที่ แต่ก็คิดเอาไว้เสมอในทุก ๆ วันว่า ผมอยากเก่งขึ้น ผมอยากเรียนรู้จากกองละคร เรียนรู้จากนักแสดงท่านอื่น ๆ เราควรเรียนการแสดงเพิ่มไหม แต่ว่าการเรียนในห้องนี่มันอาจจะยังไม่พอ แล้วเราจะไปเรียนอะไรเพิ่มได้บ้าง เพราะฉะนั้นในกองนี่แหละครับคือสิ่งที่ผมจะเรียนเพิ่มเติมมัน ผมก็เลยพยายามเรียนรู้จากคนหลาย ๆ คน เรียนการใช้ชีวิต คอยดูแอ็กติ้งของคนนั้นคนนี้ หลาย ๆ คน และก็ไปนั่งหลังผู้กำกับ เรียนรู้จากผู้กำกับ พอเรายิ่งทำงานมากขึ้นได้ไปนั่งหลังผู้กำกับในทุก ๆ กอง ผมยิ่งมีความฝันของผมอยู่แล้วว่าอยากเป็นผู้กำกับ
อยากเป็นผู้กำกับ อยากกำกับอะไร
กำกับละครครับ คือทุกเรื่องที่ผ่านมา ผมจะได้เจอเด็ก new gen ใหม่ ๆ คือตั้งแต่ “สาวน้อยร้อยล้านวิว” ก็จะมีน้องเซียงเซียง(พรสรวง รวยรื่น), “4เทพผู้พิทักษ์” ก็เป็นน้องผิงผิง(ณิชา ปิยะวัฒนานนท์), “สูตรรักแซ่บอีหลี” เป็นน้องมุก(ณปภัทร ฐิตะกวิน) ทุกเรื่องที่ผ่านมา เราจะเจอแต่เด็ก new gen ผมก็จะได้บอกได้สอนในเรื่องของการแสดงให้น้องๆ บ้าง บางคนเขาเข้ามาใหม่ เขาไม่มีผลงาน บางครั้งก็ไม่ได้เรียน actingเลย เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้กำกับเลยก็ได้ไหม มันก็ได้ แต่ว่าบางครั้งที่ผู้กำกับแนะนำแล้วน้องก็อาจจะไม่เข้าใจ ก็จะมีเรานี่แหละที่จะคอยบอกคอยสอนคนในกอง และมีนักแสดงคนอื่น ๆ คอยสอนไปด้วยกัน มันยิ่งทำให้ผมยิ่งชอบการกำกับ มันสนุกมากเลย ยิ่งผมไปนั่งเรียนรู้ เป็นผู้ช่วยของผู้กำกับผมยิ่งสนุกว่า ที่ทำงานวันนี้คือพี่สนุกว่ะ ถึงแม้มันจะเหนื่อยจะยากแต่มันสนุกดี
มีโอกาสไปถ่ายทอดประสบการณ์ new gen บ้างหรือยัง และหากมองย้อนกลับไปมองตัวเอง สมัยที่เข้ามาวงการมาใหม่ ๆ จนกระทั่งวันนี้ จัดตัวเองเป็น senior ระดับหนึ่งแล้วหรือยัง
มองย้อนกลับไป เมื่อก่อนนี่ผมก็โดนด่า โอ้โฮ!โดนด่าเละเทะเหมือนกัน แต่เราคือผมมีหัวใจที่สู้ เราอยากที่จะเก่งขึ้น และเราอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้น พยายามไปเรียนรู้ทุก ๆ อย่าง ผมจะบอกทุก ๆ คนเสมอนะ ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้ acting เก่งถึงขนาดนั้น ไม่ได้เก่งมากมาย แต่ว่าอย่างน้อยผมเชื่อว่าทุก ๆ สิ่งที่เราผ่านมาในชีวิต ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่เราผ่านมา ผมเชื่อว่ามันจะดีกับตัวน้องได้ น้องจะสามารถเอาไปปรับใช้ได้ ผมไม่ได้คาดหวังว่า วันหนึ่งผมจะต้องได้รับอะไรตอบแทนกลับมา ผมบอกว่า ผมไม่เอา วันหนึ่งสิ่งที่ผมบอกไป ถ้าน้องเกิดดังมากๆ ดังกว่าผมด้วยซ้ำ ผมจะดีใจ เพราะผมรู้สึกว่าผมจะได้เห็นเด็กคนหนึ่งเราเคยบอกจากที่ไม่เป็นเลย แต่ในอีกวันหนึ่งเขาเก่งมาก และเขาได้รับรางวัล เขามีคนชื่นชม ผมจะปลื้มใจ
เคยคุยกับผู้ใหญ่หรือยังว่า ถ้ามีโอกาสอยากลองกำกับดูบ้าง
ยังครับ ยังไม่มีโอกาสครับ ขอเรียนรู้ไปก่อน ซึ่งมันยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า มีตรงนี้ด้วยหรือ เราอาจจะยังไม่เก่งพอที่จะสามารถไปเป็นได้ แต่ผมเชื่อว่าผมจะเรียนรู้มัน เรียนรู้และวันหนึ่งผมจะเป็นให้ได้ ซึ่งอยากเป็นมาก และก็อยากทำให้ได้ในสักก่อน 30 นี่ผมอยากกำกับสักเรื่องแล้ว
บทบาทที่เราเคยได้รับมา รู้สึกประทับใจหรือชอบเรื่องไหนมากที่สุด
บทบาทที่ประทับใจมากที่สุดก็จะเป็นวันทองนี่ครับ บทตัวพระไวยนี่ครับ คือมันเข้ากับชีวิตจริงด้วย เรารักแม่ เราทำทุกอย่างเพื่อแม่ เราอยู่กับแม่มาทั้งชีวิต ตัวจริงผมก็เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นผมจะอินได้ง่าย และผมก็เลยประทับใจว่า มันมีเรื่องราวต่าง ๆ และเราได้แบบทำเพื่อแม่ของเรา
อยากให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแม่หน่อย ณ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังกลับไปเยี่ยมแม่ที่มหาสารคามบ้างมั้ย?
ก็มีกลับไปบ้างครับ มีคนถามผมเยอะมากเหมือนกันในเรื่องนี้ว่า ได้กลับไปบ้านบ้างหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่ค่อยลงโซเชียลว่ากลับบ้าน แต่ผมก็กลับไป หรือไม่แม่มาหาเราที่กรุงเทพฯ บ้าง เพราะตอนนี้พี่ชายผมมาเรียนหมอต่อที่โรงพยาบาลรามาธิบดี อีก 2 ปี ก็จะกลับไปเป็นอาจารย์หมอแล้ว ตอนนี้คือแม่ผมอยู่บ้านคนเดียวที่มหาสารคาม ซึ่งคือผมก็เป็นห่วงแหละ คิดถึงเสมอ อยากจะพิสูจน์เหมือนเดิมในสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์ว่า เราเข้ามาทุกวันนี้คืออยากทำให้แม่ และทำให้ทุก ๆ คนเห็นว่า ถึงไม่ได้เป็นหมอนี่ก็สามารถที่จะเลี้ยงครอบครัวได้โดยที่ไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ เหมือนกัน ผมยังยืนยันคำเดิมอยู่ว่าจะทำให้ได้
อยู่วงการมาเคยเจอดราม่าอะไรหนัก ๆ อะไรบ้าง
ดราม่าหนัก ๆ หรือครับ จะมีตอนร้องเพลงเดอะสตาร์นั่นแหละครับ ที่คนบอกว่าร้องเพี้ยน แต่ตอนนั้นพอผมฟังมา และไปอ่าน บางคนก็บอกว่าอย่าไปอ่านเลย แต่ผมไม่ ผมอ่าน ผมอ่านทุกอัน ใช่ครับ คนว่าผมร้องเพี้ยน แต่ผมจะเอาคำเหล่านั้นที่ผมฟัง มาไปพัฒนาต่อ อย่างนั้นผมจะไปเรียนร้องเพลง ผมไปเรียนเพิ่ม ผมทำทุกอย่าง ผมจะพัฒนาทั้งด้านร้องเพลงและผมจะพัฒนาทั้งด้านการแสดง และผมเชื่อว่าวันนี้ผมพัฒนาขึ้นในทุก ๆ อย่างในทุก ๆ ด้าน
อ่านคอมเมนต์มากๆ ทำให้เราจิตตกบ้างหรือเปล่า
ไม่ครับ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ มันไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผู้กำกับมาชมหรือว่าด่า หรือว่ารุ่นพี่ด่าหรือว่าชม ผมว่าคำด่านี่มีค่ามากกว่าชมด้วยซ้ำ สมมติเขาชมมา แล้วอย่างไรต่อ ชมมาก็ดีใจผ่าน ๆ ไป แล้วก็จบที่แค่นั้น และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปทำอะไรต่อ แต่ถ้าเขาด่ามา นั่นแหละครับคือสิ่งที่เราจะเอาไปสามารถไปพัฒนาต่อได้ แม้ว่าตอนนี้ผมเล่นดีแล้ว แต่ว่าผมอยากให้คนด่าด้วยซ้ำ ผมอยากรู้ว่าสิ่งไหนนี่ที่ผมควรจะไปพัฒนาต่อ สิ่งไหนผมควรแก้ไข ผมเลยชอบคำด่ามากกว่าด้วยซ้ำ ผมเลยชอบอ่าน ยิ่งด่ามาผมยิ่งชอบ จริง ๆ ครับ
แสดงว่าจิตเข้มแข็งพอสมควร
จิตเข้มแข็งไหม ก็ต้องเข้มแข็งแหละ แต่เราไม่สามารถจะไปห้ามใครต่อใครให้มาพูดตามที่เราต้องการได้ ทุกคนเขาก็มีความคิดในแบบของเขาเอง เพราะฉะนั้นเรานี่ ในฐานะเราก้าวมาอยู่จุดนี้แล้ว เราต้องรับฟัง เราต้องเปิดกว้าง ทั้งชมทั้งด่าเรารับฟัง และเอาคำติชมนี่ไปพัฒนาต่อ เอาคำชมนี่ไปพัฒนาต่ออีก ไม่ใช่ว่าเอาคำชมมาแล้วจบมันแค่นั้น เราก็จะเก่งแค่นั้น แต่ถ้าเราเอาทั้งคำด่าทั้งคำชมมา ด่าแรงแค่ไหน เราได้สิ่งนั้นไปพัฒนาต่อ เขาชมมา ทำไมเราไม่คิดว่าเราอยากเก่งมากกว่านี้เพื่อที่จะให้เขาชมเรามากกว่านี้อีก คือผมนี่เข้ามาผมอยากให้คนนี่ไม่ได้มองผมแค่หน้าตา ผมอยากให้คนรู้จักผมในฝีมือการแสดงและด้านร้องเพลง
กลับมาสู่โหมดไลฟ์สไตล์บ้าง ตั้งแต่ประกวดเดอะสตาร์ ทุกวันนี้ยังออกกำลังกายอะไรเหมือนเดิมหรือเปล่า
ทุกวันครับ อาทิตย์หนึ่ง7วัน ต้องมีอย่างต่ำแล้ว5วัน คือออกกำลังกาย เล่นกีฬา ทุกอย่างครับ ผมว่าผมต้องพร้อมเสมอ ฟิตเนสจะหนักหน่อย เพราะว่าถ้าเราไม่ไปเล่นนี่มันก็อาจจะหายไป ผมก็ต้องมีวินัยกับมัน อย่างถ่ายละครเสร็จ4ทุ่ม นี่ต้องไปแล้ว คือเราไม่ได้มีเวลาเยอะ แต่เรา manage เวลาได้ คือปกติเป็นคนเล่นฟิตเนสก็ 5-6 โมง แต่ว่าพอเรามาถ่ายละครนี่เราเลิกดึก อาจจะมี 2 ทุ่ม บ้าง 4 ทุ่ม บ้าง ผมก็จะดูเวลาแล้ว ถ้าเลิก 4 ทุ่ม พรุ่งนี้ถ่ายเช้าหรือเปล่า เราไหวไหม สภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ ถ้าไหวปุ๊บก็ไป 4 ทุ่ม-เที่ยงคืนครับ และเราค่อยกลับไปพักผ่อน ซึ่งเราต้องใช้เวลาแบบนี้แหละในการเข้าฟิตเนส
การเป็นพระเอกกับการดูแลบอดี้ รูปร่างหน้าตา ความสำคัญอย่างไร
เราต้องเล่นละคร ต้องไปโชว์ตัว event หรืออาจจะมีถ่ายอะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นคนที่เขาดูเขาก็ต้องอยากได้เห็นในสิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครอยากเห็นอะไรที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเราก็ทำอะไรได้ ไม่ว่าจะหน้าตา หรือหุ่น หรืออะไรอย่างนี้ครับ เราต้องดูแลมันสม่ำเสมอ
ตงตงเคยมีความจิ้นกับนนกุล (บางรักซอย9/1)อยู่พักหนึ่ง ไม่อยากจะไปเล่นซีรีส์วายบ้างหรอ
มีสิครับ คือเราดูนี่ คือผมดูไหม ผมดูนะ ดูแล้วก็สนุกด้วยซ้ำ อยากไปลองด้วยซ้ำ คือตอนนั้นเราเล่นบางรักซอย 9/1 กับนนกุล เรายังรู้สึกอินอยู่เลย บางครั้งก็รู้สึกชอบแหละ แล้วกระแสตอนนั้นดีมากนะ มีคนคอยเชียร์เยอะ คอยจิ้นเยอะ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าการชอบผู้ชายมันผิด มันไม่ได้แย่ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ผมอยากลองเล่นซีรีส์วายนะ คือเราอยากลองว่า ถ้าเราไปอยู่จุดนั้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร และเราอยากลองเล่นจริง ๆ
แฟนคลับเป็นอย่างไรบ้าง
ยังรักเหมือนเดิมครับ ก็อาจจะมีคนเก่า มีหายไปบ้าง คนใหม่เข้ามา ซึ่งเราเข้าใจทุก ๆ อย่าง คือด้วยเวลาผ่านไปหรืออะไร มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เป็นสัจธรรมมนุษย์ แต่ผมก็จะบอกแฟนคลับตัวเองเสมอว่า ผมจะคิดตัวเองนี่ไม่ได้เป็นดาราสูงส่งอะไรขนาดนั้น ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ ที่แค่มาทำอาชีพนี้ ที่มาเล่นละคร อยากให้มองว่าผมเป็นคนธรรมดา เป็นเหมือนเพื่อนพี่น้อง เราอยู่กันแบบธรรมดา อยากมาหาผมเมื่อไรก็มา หรืออย่างแฟนคลับจะไปเมนหลายคน ผมก็ไม่ว่า ผมบอกผมเข้าใจด้วยซ้ำว่าทุกคนเขาบางครั้งเราก็ไม่ได้มีงานทุกวัน เขาก็อาจจะไปชอบคนนั้นบ้าง ซึ่งผมไม่ได้เสียใจหรืออะไรเลย แค่ว่างเมื่อไรเรามาเจอกัน ผมอยากใช้ชีวิตแบบแฟนคลับก็เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเหมือนกัน จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ
แล้วพอเราเล่นละครหลังข่าวมีแฟนคลับรุ่นใหญ่เข้ามาบ้างไหม
เยอะครับ ๆ ก็มีรุ่นแม่ ๆ เยอะ เขาก็ชื่นชอบเรา เวลาเราไปต่างจังหวัด คนก็รู้จักเรามากขึ้น อย่างเวลาไปตลาด โอ้โฮ!แตกตื่นเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะครับ เราเห็นเขามีความสุข เราก็ดีใจนะ เวลาเขาเจอเราแล้วถาม ตงตงหรือเปล่าลูก? อะไรอย่างนี้ คือเราจะดีใจมาก
ความรักครั้งล่าสุดที่กำลังมีข่าวอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง
จะตอบอย่างไรดี น้องก็น่ารักดีครับ น่ารักดี คือเราถ่ายละครด้วยกัน เรื่องกู้ภัยหัวใจสู้นี่แหละ เป็นละครก่อนข่าว และเราก็ร่วมงานกัน มันเป็นพี่น้องกันนี่แหละ คือถ้าพูดถึงคือเราก็ถ่ายละครด้วยกัน แล้วน้องก็ชวนไปถ่าย YouTube น้องทำช่องของน้องไงครับ พอมันสนิทกันมากขึ้น ผมว่าเราก็ได้เริ่มเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ซึ่งเป็นความลับไหม ผมก็ตอบได้ไม่เต็มปาก แต่ว่าผมมีความสุขเวลาที่อยู่กับน้อง น้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก และก็เป็นธรรมชาติมาก ๆ ผมชอบคนแบบนี้ คนที่แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ต้องใช้ของแพง ไม่ต้องไปกินอาหารแพง ๆ อยู่ข้างทางก็ได้ ใช้กระเป๋าใช้เสื้อผ้าอะไรก็ได้ เฮฮา เป็นตัวของตัวเอง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข แล้วน้องเป็นแบบนั้น
Text by Takeshi West