ถ้าให้นับนักแสดงชายที่ขายของเก่ง เราขอเสนอชื่อ แบงค์ – ธิติ มหาโยธารักษ์ ที่รู้จักใช้โซเชียลเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะ ล่าสุด หลังจากจบงานละคร “จิตสังหาร” ทางช่อง ONE31 ซึ่งหนุ่มแบงค์พลิกบทบาทการแสดงที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ด้วยฉากแอ็กชั่นบู๊ล้างผลาญ ที่ทำเอาสาว ๆ ติดอกติดใจกับความแข็งและความแกร่งของร่างกายหนุ่มคนนี้ จน ‘ฟินคาจอ’ ไปตาม ๆ กัน โดยช็อตที่ทำให้สาว ๆ เกิดอาการเปรี้ยวปาก คงต้องยกให้คลิปโกนหนวด ที่หนุ่มแบงค์เพิ่งปล่อยมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ลุคโหด ๆ แบบนี้ ใครอยากได้เป็นสามีแห่งชาติบ้าง ?


          เปลี่ยนลุคแบบนี้บ้างก็ดี เพราะนับตั้งแต่ ฮอร์โมน เดอะ ซีรีส์ จนมาถึงละครเรื่องล่าสุด แบงค์ได้โชว์ให้โลกว่า เขาโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วจริง ๆ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าได้อ่านความคิดและมุมมองเรื่องงานที่แบงค์ อยากทดสอบความสามารถของตัวเขาในอนาคต

ทำไมถึงยอมเล่นบทActionเรื่องแรกในละครเรื่องจิตสังหาร ทางช่อง ONE31
           ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ท้าทายตัวเรานะ ละครแอ็กชั่นมันเป็นรูปแบบการแสดงที่เราไม่เคยเล่นมาก่อนครับ เราไม่เคยรู้เลยว่ากว่าจะได้ซีนแอ็กชั่นซีนๆ หนึ่งมา บางทีต้องใช้เวลาถ่ายทำมากกว่าวันสองวัน บางที 3 วัน ก็ยังไม่เสร็จเลย เพราะมันมีทั้งเรื่องเอฟเฟกต์ เรื่องแอ็กชั่น การต่อยตี หรือว่าเรื่องของคิวต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ยากขึ้นอีกระดับหนึ่งเลยครับ


หลังจากที่ละครจบไปแล้ว เรารู้สึกกับละครแอ็กชั่นอย่างไรบ้าง
          รู้สึกโล่งครับ แต่จริง ๆ รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันนะครับ เพราะว่าละครแอ็กชั่นค่อนข้างที่จะใช้ร่างกายเยอะ ขนาดเรามีโอกาสได้ไปเวิร์กช้อปมาก่อนทั้งเรื่องของการเซฟตัวเอง ในการตีลังกา การหมุน การต่อย การเตะ แต่ก็ยังมีสิ่งที่พลาดได้ในการถ่ายทำจริง อย่างเช่น มีซีนหนึ่งที่ผมต้องหมุนม้วนหน้าไปตีลังกาเอาปืนมายิง แต่ก็ลงผิดท่า เอาหลังลงพื้นก่อนจนหลังเดาะ ก็เลยรู้สึกว่าแอ็กชั่นเรื่องแรกของทุกคนเขาก็เป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า หรือว่าเป็นเฉพาะเรา

ตั้งแต่ถ่ายมาซีนไหนที่ยากที่สุด แบบเยอะจนไม่อยากนับเทค
          ซีนยากที่สุดน่าจะเป็นซีนใหญ่ ที่มีทั้งตัวละครหลาย ๆ ตัวมารวมตัวกัน ต้องใช้ทั้งเอฟเฟกต์ระเบิด เผาไฟ ใช้ปืนลูกแบลงค์ แล้วก็ต้องต่อสู้โดยมือเปล่า มันทุกอย่างรวมกันในซีนเดียว มันเป็นซีนที่ยากมาก ถ้าเกิดว่าใครที่ติดตามดูในละครเรื่องนี้ก็จะเห็นซีนนั้นครับ


เมื่อกี้แบงค์บอกว่านี่เป็นงานที่ทำให้เราโตขึ้น อยากให้อธิบายตัวละครนิดหนึ่งว่า โตขึ้นอย่างไร
           สิ่งที่ผมบอกว่ามันโตขึ้นคือคาแรกเตอร์ของตัวละครตัวนี้ครับ ทัศน์ไท มีสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นทั้งทายาทของเจ้าของธุรกิจ และมีมูลนิธิที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาดในอดีตที่เคยติดคุกให้มีโอกาสได้กลับมาอยู่ในสังคมได้ปกติ มันจึงต้องแบกรับภาระหลาย ๆ อย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการคอนโทรลหรือว่าคอยเป็นลีดนำให้กับทีมงานของเราด้วย เราต้องดูแลคนจำนวนมาก ที่เป็นเหมือนคนในเหมือนในครอบครัว และนอกจากการที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยแล้ว เรายังต้องเป็นคนสั่งการ เป็นผู้นำ มันเลยทำให้เราต้องอัปเพาเวอร์ของเราขึ้นมาในการควบคุมคน และการจัดการคนมากขึ้นด้วย

มาร่วมโปรเจกต์จิตสังหารได้อย่างไร
           มาแคสต์ครับ มีการออดิชั่นก่อนตอนแรก ทางทีมช่องวันส่งบทจิตสังหารส่งไปทางนาดาว แล้วทางนาดาวก็เลยส่งเรามาให้เรามาออดิชั่น


แต่พอเรารู้ว่าเราจะต้องมาเล่นละครแอ็กชั่นเรื่องแรก เราเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          เตรียมใจมากกว่าครับ อย่างแรกคือเราต้องเตรียมใจก่อนว่า มันจะต้องหนักมากแน่ ๆ เพราะว่าเราไม่เคยเล่นละครบู๊มาก่อน ไม่เคยใช้ปืนที่ใช้ลูกแบลงค์มาก่อน ไม่เคยเข้าฉากแอ็กชั่นที่ต้องต่อสู้กับคนเยอะ ๆ มาก่อน แต่ทางทีมงานเขาก็ส่งไปเวิร์กช้อปคิวบู๊ก่อนที่จะมาเริ่มถ่ายทำจริงนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ที่ได้ร่วมแสดงกับโอบ นิธิ อยากให้เล่าความแตกต่างจากซีรีส์เรื่องแรกกับเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
          เรื่องแรกที่เราร่วมงานกันคือ Spike! เป็นเรื่องของนักกีฬาวอลเลย์บอลที่อยู่ในช่วงมัธยม ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างที่จะใกล้ตัวมาก ๆ เพราะอายุมันก็ยังไม่ค่อยห่างกัน เพิ่งจบจากมัธยมไปแค่ไม่กี่ปี แต่เรื่องนั้นมันก็จะยากตรงที่ว่า เราจะต้องเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลจริง ๆ ซึ่งเราก็มีการได้ไปฝึกซ้อมในการเล่นวอลเลย์บอล เพื่อที่จะเวลาเรามาแสดงจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเราจะเล่นได้หรือไม่ ได้ในพาร์ตของนักกีฬาหรือไม่ เพราะว่าในเรื่อง Spike! จะมีทั้งเรื่องของดราม่า เรื่องกีฬาและเรื่องมิตรภาพของเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พอมาเป็นเรื่องจิตสังหารเนี่ย จะเป็นการเล่าเรื่องมิตรภาพที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้ว มีสิ่งที่จะต้องเดิมพันที่ใหญ่ขึ้น มีสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบมากขึ้น แล้วตอนที่เราเล่นSpike!เนี่ย เรารับบทเป็นรุ่นน้องของพี่โอบ แต่มาเรื่องนี้เราเป็นเพื่อนที่เติบโตมาพร้อมกัน ผ่านประสบการณ์สารทุกข์สุขดิบมาด้วยกัน พี่โอบรับบทเป็นนภัสเขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา เขาก็เป็นเหมือนแบบคนที่คอยช่วยเหลือ คอยซัพพอร์ตเรา


แบงค์นี่อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ตั้งแต่ Hormones Season 2 ใช่ไหม
          ใช่ครับ

จากนักเรียนมัธยมพอต้องมาเริ่มการแสดง ปรับตัวอย่างไร
           ก็ใช้วิธีการปรึกษารุ่นพี่ที่เขามีประสบการณ์ แล้วก็มีการเรียนแอ็กติ้ง ทั้งเรียนเป็นกลุ่ม แล้วก็เวิร์กช้อปและก็มีแบบไปลงเรียนเองด้วยครับ

เท่ากับว่าอยู่วงการมาก็ 7-8 ปี แล้ว
          ประมาณนั้นครับ นานเนอะ 

ถ้ามองย้อนกลับไปดูตัวเอง จากวันนั้นถึงวันนี้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง
            จริง ๆ รู้สึกว่าเราได้เรียนรู้ในสายอาชีพนี้มากขึ้นนะครับ หมายถึงว่าเราได้เรียนรู้เทคนิคในการแสดงมากขึ้น เราได้เข้าใจการแสดงมากขึ้น เรามีโอกาสได้รับบทบาทที่มันหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราปรารถนาหรือว่าเราตั้งใจอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มเข้ามาในวงการนี้ครับ เราอยากจะลองบทบาทหลาย ๆ บทบาท ที่มันทั้งใกล้ตัวเราไกลตัวเรา หรือว่าที่มันชาเลนจ์หรือท้าทายเรา เพราะว่าเราตัดสินใจที่จะเข้ามาอยู่ในอาชีพนี้แล้ว เราก็อยากจะเรียนรู้มันให้ถึงที่สุด


แม้จิตสังหารจะเป็นแอ็กชั่นเรื่องแรก แต่รู้สึกว่าบทบาทที่แบงก์ได้ฉีกบทของตัวเองและทำได้ดีมาก ก็คือตอนที่เล่นเป็นไท ในรักฉุดใจ นายฉุกเฉิน
            เรื่องนั้นสำหรับผมเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของผมแล้ว เท่าที่เคยทำการแสดงมาครับ เพราะมันค่อนข้างที่จะเล่นกับความรู้สึกของเรา แล้วก็ physical ทางร่างกายของเราด้วย ตัวไทเนี่ยเป็นคนที่ประสบอุบัติเหตุและต้องสูญเสียน้องสาวที่รักไป มันเป็นตัวละครที่ค่อนข้างที่จะ lost แล้วก็ไม่มีคนให้พึ่งพาอาศัย ต้องอยู่กับตัวเองคนเดียว ก็เลยทำให้เกิดจิตหลอนขึ้นมา คอยหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่า เรื่องราวทั้งหมดมันยังไม่เกิดขึ้น น้องสาวเรายังอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ ซึ่งตอนนั้นผมค่อนข้างที่จะอินกับตัวละครตัวนี้มาก ๆ จนถึงขั้นว่าสลัดมันไม่ออก 
           ผมแยกไม่ออกว่า อันไหนคือตัวไท อันไหนคือตัวแบงค์ ธิติ เพราะว่าเราลงไป work กับตัวละครค่อนข้างลึกมาก ๆ ทั้งการสร้าง background story ให้กับตัวละคร การเชื่อในสิ่งที่ตัวละครรู้สึกว่าเขาสูญเสียน้องสาวไป แล้วก็การหลอกตัวเองอีกทีหนึ่งว่าเรายังไม่สูญเสียน้องสาว มันก็ทำให้เราอินกับตัวละครตัวนั้นมาก ๆ จนถึงขั้นว่าช่วงนั้นอารมณ์แปรปรวนมากครับ ผมพยายามที่จะอยู่กับตัวเองคนเดียว ไม่ค่อยออกไปสุงสิงหรือว่าเจอกับใครเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วตัวผมเองเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะชอบไปสังสรรค์ไปเจอเพื่อน ๆ

แล้วกว่าจะสลัดออกมาได้นานไหม ปรับตัวนานไหม
            ก็ค่อย ๆ ครับ ใช้เวลาก็เป็นเดือนเหมือนกัน หมายถึงว่าค่อย ๆ เอาตัวละคร เอาความคิดของตัวละครออกไปจากตัวเรา เอาท่าทางอะไรอย่างนี้ออกไปจากตัวเรา มันก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง แต่ว่าโดยปกติแล้วเวลาผมเล่นละครเรื่องไหนผมจะเป็นคนที่คัตตัวละครออกง่ายมาก ๆ แต่กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เราเอาคาแรกเตอร์ตัวละครไปฝึก เราไปฝึกไปทำงานกับตัวละครด้วยตัวเองครับ


ถ้าในอนาคต ถ้ามีผู้กำกับหรือผู้กำกับละครมาเสนอบทแนวนี้อีก แบงก์จะ
            ก็สนใจนะครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นบทที่ท้าทายและสนุกมาก พอเราเชื่อในตัวละครมาก ๆ จนทำให้เราไม่ต้องแคร์ว่าเราจะเล่นถูกหรือว่าเล่นผิด แค่เราเป็นตัวละครนั้นในละครเรื่องนั้น ๆ มันก็ทำให้เราสามารถอิมโพรไวส์หรือว่าทำอะไรก็ได้ในฐานะตัวละครตัวนั้น รู้สึกว่าผมสนุกมากตอนที่ผมเป็นไท

แบงก์เริ่มเล่น Hormones นั่นยังอยู่ ม.ปลาย ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง ขอนแก่นกรุงเทพฯ คิดว่าการที่เราต้องทำงานตั้งแต่เด็ก มันทำให้เราชีวิตวัยรุ่นของเราหายไปไหม
             ไม่หายนะครับ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นได้ค่อนข้างคุ้มเหมือนกัน เพราะว่าเราแบ่งส่วนได้มั้งครับ ในพาร์ตของการทำงาน แล้วก็พาร์ตของการใช้ชีวิต เพราะผมตั้งเป้าหมายของตัวเองว่า เราอยากจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตในทุกช่วงอายุของเราให้เต็มที่ที่สุด พอเรามากรุงเทพฯ เราทำงานด้วย เราก็มีเพื่อนที่อยู่ที่นี่ด้วย เราได้มาเจอวัยรุ่นกรุงเทพฯ ได้มาเจอวิถีชีวิตของวัยรุ่นกรุงเทพฯ ซึ่งก็แตกต่างกับที่ขอนแก่นเหมือนกัน ที่ขอนแก่นเราไม่ได้มีสถานที่เที่ยว อย่างห้างสรรพสินค้า พารากอน สยาม เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว แต่ที่ขอนแก่นก็มีแค่แฟรี่ เซ็นทรัลขอนแก่น หรือว่าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องไปที่เขื่อนอุบลรัตน์เลย เพื่อไปแฮงค์เอาต์กับเพื่อน ๆ ครับ


แบงก์เล่นหนังมา เรื่องแล้ว ซีรีส์ก็อีกมากมาย ระหว่างหนังกับซีรีส์ชอบอะไรมากกว่ากัน
            ชอบหนังครับ ผมชอบทั้งวิธีการถ่ายทำและวิธีการเล่าเรื่องของหนังมากกว่า แต่ผมไม่ได้บอกว่าไหนดีกว่านะครับ แต่ผมแค่ชอบวิธีการแสดงและการเล่าเรื่องแบบหนังมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเรามีเวลาที่จะทำให้คนดูได้เห็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง ใช่ไหมครับ แล้วคนดูก็จะต้อง concentrate กับเราตลอดเวลา สำหรับหนังโรง คนที่จะเข้าไปนั่งเพื่อดูทั้งการสื่อสารของเรา แอ็กติ้งของเรา แล้วก็ตัวเนื้อเรื่องด้วย แต่ว่าละครและซีรีส์เนี่ยมันยังมีเวลา มันก็ดีอีกอย่างหนึ่ง คือมันมีเวลาในการพัฒนาตัวละคร พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป แต่ผมเลือกที่จะชอบหนังมากกว่า เพราะว่ามันค่อนข้างที่จะท้าทายเหมือนกันนะครับ กับการที่เราจะแสดงหนังเรื่องหนึ่ง แล้วมีคนยอมเสียเงินเพื่อเข้าไปดูการแสดงของเรา

เมื่อไรจะได้ดูเรื่องที่ 3
            นั่นสิครับ ผมก็หวังว่าเร็ว ๆ นี้นะครับ เพราะว่าผมก็อยากจะแสดงหนังอีก


อยู่วงการมาก็หลายปีแล้ว ตั้งเป้าในอนาคตของเราว่าอย่างไรบ้าง
           คือเรายังอยากหาสิ่งที่เราอยากทำอยู่นะครับ หมายถึงถามว่าอาชีพนักแสดงมันเป็นสิ่งที่เราชอบไหม มันก็เป็นสิ่งที่เราชอบและเป็นสิ่งที่เรารักนะครับ เราเต็มที่กับมันทุกครั้งที่เราได้มีโอกาสทำมัน แต่เราก็รู้สึกว่าอนาคตเราอาจจะมีเวย์อื่นในการที่เราจะชอบด้วย อย่างเช่น ตอนนี้ผมก็เริ่มสนใจในเรื่องของการทำธุรกิจ เรื่องของการดูแลคน อาจเป็นเพราะว่าเราอาจจะเติบโตมากับครอบครัวที่ทำธุรกิจมาก่อน แล้วก็อยู่ในตัวเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะลองไปทำโรงแรม (แมมมอธ รีสอร์ต) ที่บ้านดูให้มันดีขึ้นกว่าที่พ่อแม่เราทำ

สมมุตินะ ถ้าวันนั้นเราไม่ได้ตัดสินใจมาร่วมงานกับ Hormones วันนี้แบงค์จะทำอะไร?
          นั่นน่ะสิครับ ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันนะครับ อาจจะอยู่ front ของโรงแรมคอยต้อนรับแขก แล้วก็ศึกษางาน แล้วก็ลองต่อยอดในอนาคตที่เราจะสามารถช่วยให้ครอบครัวได้ครับ


มีอะไรในวงการบันเทิงที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกบ้าง ทั้งบทบาทการแสดง หรือตำแหน่งอื่นๆ
          จริง ๆ ก็ได้ทำค่อนข้างเยอะแล้วนะครับ แต่ในเรื่องของพาร์ตการแสดง ผมยังมีบทบาทที่ยังอยากเล่นอีกหลายบทบาทเลย ที่อยากเอาตัวละครตัวนั้นมาศึกษา แล้วก็ดีเวลลอปให้เข้ากับตัวเราและถ่ายทอดออกไป เช่น น้ำพุ เล่นเป็นตัวละครชื่อ น้ำพุ หรือเคยคิดเล่น ๆ ว่า เป็นเด็กผู้ชายที่อายุเท่าผมก็ได้ แล้วก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้สมองกลับไปคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กทารกอยู่ แต่ร่างกายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็น่าสนใจดี

อย่างน้ำพุที่สนใจนี่เคยอ่านนิยายต้นฉบับหรือเปล่า
          ผมเคยอ่านหนังสือนอกเวลาเล่มสีชมพู ที่บ้านก็ยังมีอยู่เลย อ่านแล้วรู้สึกชื่นชอบมาก อยากจะศึกษาตัวละครตัวนี้ดูว่า เขารู้สึกอย่างไร ทำไมเขาถึงต้องไปใช้สารเสพติด หรือว่าอยากเข้าไปเรียนรู้ ไปค้นหาว่าเขามีปมอะไรในครอบครัว คนรอบข้างเขา หรือว่าอะไรทำให้เขาเป็นคนแบบนั้น หรือเพราะสังคมหรือเปล่า ที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนแบบนั้น


เคยเอาโปรเจกต์นี้ไปคุยกับผู้ใหญ่บ้างมั้ย
          จริง ๆ เคยคุยกับพี่ย้งนะครับ แต่เขาก็บอกว่ามีคนที่เคยเล่นมาแล้ว

แต่การตีความใหม่ให้มันเข้ากับยุคสมัยมันก็น่าสนใจนะ
           เขาก็บอกเหมือนกันนะครับว่า ถ้าเกิดเป็นเนื้อเรื่องเดิมมันอาจจะไม่ได้ทัชกับคนยุคสมัยนี้แล้ว อาจจะต้องมาดีเวลลอปใหม่ เพื่อที่จะให้เข้ากับยุคสมัยนี้ด้วย

Text by Takeshi West
Source : Photo
          https://www.one31.net/news/detail/46658
          https://www.facebook.com/HormonesTheSeries