ปีนี้เป็นปีที่แปลกค่ะ แม้โควิด-19จะทำให้ชีวิตผู้คนเกือบค่อนโลกเดือดร้อน ตกงาน ล้มหายตายจากแต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ได้เห็นคนที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอยู่หลายคนหนึ่งในจำนวนนั้น อิชั้นชื่นชม โอ๋ฐิติพันธ์ รักษาสัตย์ ผู้กำกับหนังอินดี้ชื่อดัง ที่ตัวเองมาเป็น มาดามฟันนี่แบบบังเอิ๊ญบังเอิญ เพราะดันทำคลิปเลียนแบบท่าน ส.ชื่อดังจากเมืองโอ่งจนโด่งดังไปทั่ว ชะตาชีวิตคนก็แบบนี้ล่ะค่ะ บทจะดวงตกก็ฉุดไม่อยู่บทจะดังก็ดังไกลสุดกู่เช่นกัน


ใครที่ติดตามหนังอินดี้มาอยู่บ้าง จะคุ้นเคยกับชื่อ โอ๋-ฐิติพันธ์ อยู่บ้าง เธอสร้างชื่อจากการเป็นโปดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์
“It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก” ที่มี กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เป็นผู้กำกับก่อนจะเริ่มทำหนังของตัวอย่าง “Love Next Door 1 และ 2”, และ “คนขับรถ The Driver” ที่ได้ ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มมโนทัย และ ภูริ หิรัญพฤกษ์มาแสดงเป็นคู่รักเกย์ พร้อมฉากเลิฟซีนบนโซฟาที่สั่นสะเทือนวงการระดับ 8 ริกเตอร์ ใครยังไม่ได้ชมเรื่องนี้ไปหามาชมนะคะ เผ็ด แซ่บค่ะ

แต่ใครจะได้คิดล่ะ ว่าโควิด-19 จะทำให้ โอ๋-ฐิติพันธ์ ตกงาน!ได้เช่นกันฟังเรื่องราวการต่อสู้ชีวิต และโรคซึมเศร้าที่หลายคนคาดไม่ถึง

Q : อยากให้พี่โอ๋เล่าที่มาของมาดามฟันนี่หน่อยค่ะจับพลัดจับผลูอย่างไร

A : ต้องใช้คำว่ามาเป็นมาดามฟันนี่ได้ด้วยความฟลุกค่ะเพราะว่าเล่น TikTok ช่วงโควิด เล่นมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง โคฟเป็นคนนั้นคนนี้แต่ว่ามันไม่มีคนดูก็เลยเลิกเล่น แล้วอยู่ดี ๆ รายการแฉของมดดำก็เอาคุณปารีณาไปออกดิฉันก็นั่งดูอยู่และคิดว่า Content นี้เดี๋ยวต้องมีคนขึ้นมาโคฟเยอะแน่ๆ เลย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาอ้าวทำไมไม่มีใครโคฟเลยล่ะ เราก็เลยรู้สึกว่าจะลองดูอีกสักตั้งหนึ่งดีไหมกับ TikTok ก็เลยไปค้นชุดเอาวิกผมอันนี้มาใส่นะคะไม่เคยได้ใช้เลย แต่พอลองใส่ดู แล้วก็ อุ๊ย!ทำไมหน้าตาฉันเริ่มดูคล้ายล่ะพอลองยิ้มหน้ากระจกเท่านั้นแหละ รีบวิ่งไปที่กล้องโทรศัพท์ อัดเลย 3 เทค ตายแล้ว ฉันจะโดนฟ้องไหมนะ เหมือนมาก โพสต์เลยละกันปกติ Facebook เราไม่ค่อยมีใครกดไลก์นะคะแต่หลังจากที่โพสต์คลิปนั้นไป notification ขึ้นตลอดเวลา ผ่านไปคืนหนึ่งยอดวิวเป็นล้านทั้งแชร์ทั้งอะไรต่างๆ ชีวิตเปลี่ยนไปเลยค่ะ วันรุ่งขึ้นก็เลย ลองต่ออีกสักคลิปเผื่อว่า ดูซิว่าเราฟลุกหรือเปล่าหลังจากขึ้นไม่ได้หยุดเลยค่ะ คือทุกคลิปเล่นแล้ว ฟีดแบ็กดีมากๆ กลายเป็นว่าคลิปที่มีคนดูมากที่สุดคือคลิปที่เต้นเพราะว่าคนดูอาจจะ ไม่เคยเห็นว่าคุณปรณเขาเต้นอย่างไร พอเราลองไปเล่นปรากฏว่าคลิปนั้น ตอนนี้ก็ 7 ล้านวิวแล้ว


Q : มาช่วงถูกจังหวะหรือเปล่าคะ เพราะช่วงโควิดที่คนกำลังเครียดก็เลยต้องการเสพ Content ที่มันรีแลกซ์ ๆ หน่อย

A : ทุกเหตุผลรวมกัน คืออะไรที่จะเป็นไวรัลได้เนี่ยบางทีเราบอกไม่ได้จริง ๆ ว่า ทำไมคลิปนี้ถึงกลายเป็นไวรัลส่วนคลิปนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่างนะ พูดกันตรงๆ คือ คุณปรณเขาก็ไม่ได้มีคอมเมนต์ที่ดีนัก มีทั้งคนชอบ มีทั้งคนไม่ชอบ ฉะนั้นคนที่จะมาโคฟเนี่ย ต้องคิดแล้วว่า ถ้าเขาไปโคฟจะมีคนมาคอมเมนต์ที่ไม่ดีหรือเปล่าแต่เผอิญว่าเราก็ลองดู ปรากฏว่าคอมเมนต์ที่ได้รับมามันคือเป็นโพสิทีฟหมดเลย (ขอแป๊บหนึ่งนะคะ ไม่มีเสียงเพราะว่าตั้งแต่เป็นซึมเศร้าเสียงมันหาย) เพราะว่าไม่พูดกับใครเป็นปีๆ กล้ามเนื้อมันก็อ่อนแรงบวกกับเป็นภูมิแพ้ คนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้แต่ก็จะบอกคนที่ไปออกรายการว่า พี่เสียงเป็นแบบนี้นะ บางช่วงเสียงหาย


Q : มาดามฟันนี่เป็นโรคซึมเศร้า!!!เป็นมานานยังคะ

A : เป็นซึมเศร้าจริง ๆ น่าจะเป็นมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ว่ามันฝังอยู่ข้างในจนกระทั่งมันกลายเป็นวิกฤติวัยกลางคน บวกกับเป็นไบโพลาร์ด้วยมันทำให้เราตื่นมาแล้วรู้สึกว่าเราไม่อยากไปทำงาน หนักเข้าก็ไม่อยากมีชีวิตต่อหนักที่สุดก็คือทุกคืนจะนึกถึงแต่เรื่องจะฆ่าตัวตายอย่างไร จะด้วยกรรมพันธุ์จะด้วยฮอร์โมนในร่างกาย จะด้วยความเครียดรวม ๆ กันหรือเปล่าเราไม่รู้แต่เราไปหาหมอ หมอก็เลยให้กินยา แต่พอกินยาแล้วมันก็มีภาวะของการhideความสุข ก็เลยเป็นที่มาที่เราอยู่ดี ๆ ไปซื้อชุดผู้หญิงค่ะซื้อวิกมาทั้งหมด 10 กว่าวิก ชุดผู้หญิงน่าจะเป็น 100 ชุด รองเท้าส้นสูงก็มีเป็น 10 คู่ เลย โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอามาใส่ทำอะไร

Q : แสดงว่าไม่ได้ชอบแต่งหญิงมาตั้งแต่เด็ก?

A : ไม่ชอบ เราเคยไปต่างประเทศ ไปแต่งประกวดสนุกๆแล้วเราก็รู้สึกว่าการเป็นกะเทยนี่มันยากนะแต่งตัวเหนื่อยจังเลย ใส่วิกก็เจ็บหัวต้องมาแต่งใส่เสื้อใน เสื้อผ้าก็ไม่มีไซส์เราไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นกะเทยแต่งหญิงเลย แต่ซื้อเสื้อผ้าผู้หญิง ทำไมไม่รู้จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ชุดที่ซื้อมาทั้งหมด วิกทุกอันได้ใช้หมดเลยแปลกมากค่ะ

Q : แล้ววันนี้บาลานซ์งานกับความเป็นตัวตนของเราอย่างไรคะ

A : ต้องเล่าว่าตอนที่เราไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นไบโพลาร์ให้ยามากินไปประมาณ 3 เดือนนะคะ แล้วมันมีผลกับร่างกายเราคือบางคนอาจจะเวิร์กหมอเขาก็รักษาตามอาการ แต่พอเราเปลี่ยนยาไปมาผลของมันถึงขนาดที่ทำให้เราเจ็บกระดูก ตอนกลางคืนเวลานอนจะรู้สึกเจ็บเหมือนปวดกระดูกข้างใน อย่างบอกไม่ถูกจนเราต้องเอาขาไปฟาดกับเตียง บางคืนตื่นขึ้นมานะมันปวดมาก เราเลยตัดสินใจว่าจะเลิกกินยาแล้วลองรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ปรากฏว่าช่วงโควิดยิ่งเครียด แต่พอมาเล่น tiktok มันหาย มันทำให้เราลืม สมมติคลิปแต่งตัวกินเวลาไปแล้ว 3 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น 3 ชั่วโมงนั้นมันหายเครียดไปเลย จึงต้องทำทุกวันติดต่อกันเป็นเดือน กลายเป็นว่าอาการดีขึ้นเราก็รู้สึกว่าเราเบาลงในเรื่องของการไม่คิดที่จะอยากฆ่าตัวตาย และที่สำคัญมันมีเหตุผลที่ทำให้เราอยากจะตื่นมาทำอะไรในวันต่อไป


Q : แสดงว่ามาดามฟันนี่นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยบำบัดความเครียดของเรา

A : ใช่ค่ะ เหมือนกับมาดามฟันนี่เกิดขึ้นมาเพื่อเยียวยาเราในขณะเดียวกันก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นด้วย ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าเราจะมีความสามารถขนาดนั้น แต่ใน Feedback ก็เห็นอยู่ว่า ทุกคนเข้ามาดูเพื่อคลายเครียดอาจจะเรื่องการเมืองด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปารีณาเอง ซึ่งพอเราโคฟทุกคนก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่งค่ะ

Q : หลังจากที่คอนเทนต์แรกออกไปแล้วปังมากจากนั้นเราครีเอทีฟคอนเทนต์อื่น ๆ เรื่อยมาอย่างไรบ้างคะ

A : ตอนแรกคิดอย่างนี้นะคะว่า คุณปารีณามีคลิปเสียงอะไรบ้างฉันจะลองโคฟให้หมด ให้เรารู้สึกว่า มันเข้ากับเรา แต่พอทำไปเรารู้สึกว่ามันตลกบางอันไม่เข้ากับเราเลย รู้สึกมันไม่เหมาะกับเราเสร็จแล้วคราวนี้เราก็มานั่งนึกว่าเอ๊ะ เราจะยึดติดอยู่กับคาแรกเตอร์นี้ตลอดไปเหรอลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างดีกว่า ปรากฏว่าคนไม่ดูค่ะ ลองทำเพลงก็แล้ว คนก็ไม่ดูแต่พอทำแบบเดิม คนเขาให้การตอบรับ เขายังอยากเห็นเราเป็นแบบนี้อยู่ซึ่งถามว่าคอนเทนต์ได้คิดใหม่ว่าจะทำอะไรต่อไปหรือไม่ ตอนนี้คือวันต่อวันเลยคนดูก็เพิ่มขึ้นบ้างลดลงบ้าง แต่ที่สำคัญคนจำเราได้ กลายเป็นแบรนด์ดิ้งของเราแล้วก็กลายเป็นว่าไปที่ไหนแล้วแต่งตัวแบบนี้ คนจะขอถ่ายรูปเยอะมาก สปอนเซอร์เข้าก็แปลกใจตัวเองว่าจากที่ตกงานช่วงโควิด สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ กลายเป็นว่าตอนนี้มาดามฟันนี่เป็นงานใหม่ของเราไปแล้ว


Q : นอกจากงานในการcreativeคาแรกเตอร์มาดามฟันนี่เนี่ยตอนนี้พี่โอ๋ยังอยากทำอะไรอยู่บ้าง จะทำหนังต่อไหมคะ

A : จริง ๆ แล้วคาแรกเตอร์ของมาดามฟันนี่เริ่มสร้างรายได้ให้เรานะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเอง ตอนแรกเราก็คิดว่าเดี๋ยวคงหยุดมั้งปรากฏว่าไม่หยุด ยังมีคนที่ให้การสนับสนุนเราเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ คอนเทนต์เราก็ยังไม่ได้มีแปลกใหม่อะไร เราพยายามที่จะทำเรื่องยาก ๆ ครีเอทยาก ๆ คนก็ยังชอบดูอะไรที่ง่าย ๆ อยู่เราก็ทำอย่างที่คนชอบด้วย ในขณะเดียวกันตอนนี้งานอื่น ๆ ไม่ค่อยมีเข้ามาเลย แต่เราก็พยายามที่จะสานต่อในสิ่งที่เราอยากทำ ก็คือทำหนังเพราะฉะนั้นในขณะที่เป็นมาดามฟันนี่มีชื่อเสียงมากขึ้นกลายเป็นว่ามีค่ายหนังก็ติดต่อมาจะให้ทุนเรากำกับหนังด้วย งงมาก

Q : อยากให้เล่าถึงโปรเจ็กต์หนังในอนาคตหน่อยค่ะ

A : ค่ายนี้นะคะชื่อ Hollywood Thailand ค่ะ เป็นค่ายที่เคยทำเรื่อง “The Maid สาวรับใช้” ที่ออก Netflix นะค่ะเขาจะทำหนังค่อนข้างที่จะไม่ได้ตามกระแส เสร็จแล้วพี่บอยซึ่งเป็นผู้บริหารเขาก็ถามเราว่า อยากทำหนังเรื่องอะไรไหม มีเรื่องอะไรมานำเสนอบ้างประเหมาะเหลือเกินที่เรามีโปรเจ็กต์เรื่อง “เจ้าสาว UFO” ซึ่งเขียนไว้นานมาก แต่ว่าไม่คิดว่าจะได้ทำหรอกนะ เพราะว่า CG มันเยอะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูก UFO ลักพาตัวไป พอกลับลงมา ดันท้อง แล้วก็คลอดลูกเป็นเอเลี่ยนพล็อตหลัก ๆ มีแค่นี้ แต่เราเอามาพัฒนาให้เป็นtreatmentจนเป็นบท เขียนบทจนเสร็จแล้ว แก้ 2-3 รอบ เอาให้เขาอ่าน ปรากฏว่าเขาโอเค เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นช่วง pre-production นะคะ กำลังจะปรับบทเพิ่มเติม และหานางเอกอยู่คิดว่าจะได้ถ่ายทำช่วงปีหน้า ซึ่งตอนนี้บอกตามตรงเลยว่าบทมันค่อนข้างจะแรงนิดหนึ่ง ผู้หญิงที่จะมาเล่น อยู่ในวัย 20-25 แต่มันจะมีฉากเซ็กซี่ด้วยและต้องกล้าเล่นพอสมควรตอนนี้ก็ติดต่อไปบ้างนะคะ แต่ว่ายังไม่ได้คำตอบกลับมา


Q : พี่โอ๋อยู่วงการมานานแล้วนะกี่ปีได้แล้วคะ เป็นทั้งนักแสดงสมทบ คนทำงานเบื้องหลัง โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ

A : จริง ๆ เป็นพวกจับฉ่ายค่ะ ทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใช้คำว่านิ่งก่อน คือทำงานดี ทำงานหนัก แต่ว่าเราอยู่เบื้องหลังมาตลอดเราไม่ได้เป็นคนที่จะออกนอกหน้า ที่มีชื่อแล้วคนจดจำ ตอนทำหนังเรื่องแรก It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารักก่อนหน้านั้นก็เป็นพนักงานการตลาดให้กับบริษัทอยู่ รัชดาลัย ซีเนริโอ แกรมมี่บีอีซีเทโร เคยเป็นตัวประกอบในละครเรื่อง ชายไม่จริงหญิงแท้ ยุคแหม่ม แคทรียาแสดงนำก็ทำมาแล้ว แต่ว่าเรื่องทำหนังจริง ๆ ก็มีแค่นั้นล่ะค่ะ

Q : จากการที่เราเริ่มเป็นพนักงานการตลาด ทำเบื้องหลังเป็น Extra อะไรพวกนี้เราเรียนมาทางนี้โดยตรงหรือเปล่าคะ

A : ไม่ได้เรียนเลยค่ะ จบการตลาดมา คือพยายามจะเรียนนิเทศนะสมัครมหาวิทยาลัยเอกชนไปหลายที่ ไม่ติดสักที่ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมฉันถูกผลักไสจากโชคชะตา ไม่ได้เรียนสักที ต้องมาเรียนการตลาดแล้วก็ทำงานการตลาดมาตลอด แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่าจริง ๆ ได้เอาความรู้เรื่องการตลาดมาช่วยในเรื่องของการทำหนังทำงานได้มากเลยนะคะ

Q : แสดงว่าเราไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียน acting เลย

A : ไม่เคยเรียน directing ไม่เคยเรียนกำกับ ไม่เคยเรียนโปรดิวเซอร์เลย ต้องใช้คำว่า “นั่งนึกเอาเอง” ว่าถ้าจะทำหนัง 1 เรื่อง ออกกอง 7 วัน ต้องสื่อสารกับใครบ้าง จ่ายเงินใครบ้าง Timeline ในการทำงานมีอะไรบ้าง เหมือนกับเราเขียนตำราเองใหม่หมด ไม่เคยเปิดหนังสือหรือ Google หา เพราะว่าในที่สุดประสบการณ์มันสอนให้เรารู้ด้วยตัวเองว่าจะทำกับคนนี้ก็ต้องเริ่มจ่ายเงินเขา ถ่ายเสร็จก็ต้องจ่ายวันนั้นมันคือเป็นเรื่องของไฟแนนซ์ ของบัญชี เรื่องต้นทุนคนทำหนังไม่ใช่จะครีเอทีฟอย่างเดียวนะ เรื่องเงินสำคัญนะคะ


Q : แล้วจากวันนั้นถึงวันนี้เรามองตัวเองอย่างไรบ้างครับจากพนักงานการตลาด และเทิร์นมาเป็นผู้กำกับได้

A : จะใช้คำว่าอะไรดีล่ะ พูดยากจัง เราพยายามจะหาคำจำกัดความนิยามให้ชีวิตตัวเอง มันเหมือนต้มจับฉ่าย ที่พยายามลองผิดลองถูกมาตลอดชีวิตจนกระทั่งมาเจอปารีณา จนกระทั่งมาเจอมาดามฟันนี่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าแต่ถ้าถามพี่ว่ามันเป็นการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ของกะเทยคนหนึ่งซึ่งปฏิเสธตัวเองมาตลอด แต่ว่าตัวตนข้างในมันทุบ มันทุบว่าเธอต้องทำสิ่งนี้อย่าปล่อยให้ตายก่อน เธอต้องลุกขึ้นมาแต่งหญิง เธอต้องลุกขึ้นมาสร้างความบันเทิงเธอต้องเป็นคาแรกเตอร์แล้วพอมันปลดปล่อยออกมามันเหมือนกับตอนนี้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

Q : เมื่อกี้ที่บอกว่าปฏิเสธตัวตนของเรามาตลอดคืออะไร เรารู้ว่าเราเป็นตุ๊ด แต่เราก็ก็ยังรู้สึกปฏิเสธมันอยู่?

A : เราเคยคิดว่าเราเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนผู้หญิงตั้งแต่เด็กเป็นผู้ชายขาวหมวย อย่างไรเธอต้องกลายเป็นกะเทยแปลงเพศแน่ ๆ ในอนาคต ตอนเด็ก ๆ คิดนะว่าต้องเป็นแปลงเพศ แต่เราก็เห็นว่าคนอื่นเขาเป็นกะเทยแต่งหญิง อ๋อเขาต้องไปเป็นนางโชว์ ไปประกวดนางงาม ไปเป็นช่างแต่งหน้าเราก็คิดว่าเราจะทำได้เหรอ เรากลัวศัลยกรรมจังเลย มันเจ็บ ไม่เอาดีกว่าเราก็เลยซ่อนตัวตนของเราอยู่ภายใต้อะไรก็ไม่รู้ แล้วทุกครั้งที่ส่องกระจกเราไม่ได้ชอบตัวเองเลย ไม่เคยชอบตัวเอง เรารู้สึกว่ามันคือใครก็ไม่รู้แต่วันนี้ที่ใส่วิก ทุกครั้งที่ส่องกระจกคือมันใช่ มันไม่เกี่ยวกับความสวยนะนึกออกไหม แต่ก่อนเราจะรู้สึกตลอดว่าถ่ายมุมนี้สิฉันสวย ต้องอย่างนี้สิ ตอนนี้คือใช่ พอข้างในมันใช่ปุ๊บมาเลยเราไม่อายที่จะเปิดเผยรูปไหนในชีวิตของเราเลย

Q :ตั้งแต่เด็กจนโตที่เรารู้สึกว่าเราปฏิเสธตัวเราเนี่ย ครอบครัวเรามีฟีดแบ็กอย่างไรบ้างครับ

A : เขารู้ตั้งแต่เกิดค่ะ ตั้งแต่อนุบาล1ไปยืนเกาะพุ่มไม้อยู่ วันแรกของไปโรงเรียนจำได้เรามองดูเห็นเด็กผู้หญิงเล่นชิงช้า เห็นผู้ชายวิ่งไล่กันเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวโล้ชิงช้าหัวเราะคิกคัก เราก็ยืนดูที่พุ่มไม้ แล้วก็มองว่าฉันไม่ใช่กลุ่มนั้นที่มาวิ่งไล่เตะกันฉันคือผู้หญิงผมยาวที่กำลังเล่นชิงช้าอยู่ แต่ฉันไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้เราก็รู้สึกเลยว่าเราผิดแปลก เราจะเข้าไปอยู่กับพวกเขาได้อย่างไรทันทีที่เข้าไปในสังคมเด็กนั่นแหละคือโดนล้อเลย ตั้งแต่ไปโรงเรียนวันแรก


Q : โดนบูลลี่เลยจากเพื่อนๆ?

A : คือเด็กเขาไม่รู้ เราจำได้นะว่าโดนล้อว่าเด็กอนามัยสมัยก่อนมันยังไม่ค่อยมีคำว่าตุ๊ด กะเทย เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขนาดคุณครูตอน ป.2 คุณครูยังถามหน้าห้องว่าห้องนี้ใครเป็นตุ๊ดบ้างแล้วเด็กทั้งห้องก็ชี้มาที่เรา และหัวเราะฮิฮิ

Q : แต่มันก็ทำให้เราสตรองขึ้นหรือเปล่าคะว่าเรา ต้องสู้

A : เราว่ากะเทยทุกคนเคยผ่านจุดนี้มาในการที่จะต้องถูกตีตราถูกบูลลี่ใช่ไหมคะ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นคนที่ต่อสู้เพื่อตัวเอง สมัยก่อนกะเทยยังไม่เฟียสไงนึกออกไหม จะหลบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วก็หาเพื่อนหากลุ่ม จนกระทั่งมันมีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งเปลี่ยนชีวิตเรามากเรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” เราไม่คิดว่าอุ๊ย กะเทยยุคแรก ๆ เต็มเลยในหนัง แล้วก็มีคาแรกเตอร์หลากหลายมากมันทำให้เราตั้งคำถามว่า อ๋อถ้าเราโตไปเราจะต้องมีอาชีพการงานและเราจะต้องมีเพื่อนหรือมีสังคมก็เป็นประมาณนี้ใช่ไหม นึกออกไหมคะกะเทยต่างจังหวัดมันไม่มีแบบอย่าง แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นแบบอย่างทำให้เราเห็นว่า เราควรจะโตไปเป็นอย่างไร

Q : หลังจาก ฉันผู้ชายนะยะก็เลยทำให้เรายิ่งค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา

A : ใช่ เราก็เลยเริ่มเสพสื่อ เริ่มหาดูคาแรกเตอร์ของคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้นเราเริ่มเห็นสาวประเภทสองในรูปแบบต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่าเราอยากเป็นใครเรานึกไม่ออกจริง ๆ เพราะว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้าง ใช้คำว่าอะไรดีล่ะเราไม่ค่อยชอบโดนล้อ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้อยากเป็นเพศอื่นเพราะเราเป็นไม่ได้ เราเป็นกะเทยหัวโปกกะโหลกกะลาแต่งกลอนไปเรื่อยเปื่อยอะไรอย่างนี้ค่ะ


Q : พี่โอ๋คิดว่าเราความหลากหลายทางเพศกลุ่ม LGBT ในเมืองไทยตอนนี้อยู่ในจุดที่น่าพอใจหรือยังแล้วมีอะไรที่คิดว่าเราจะต้องไฟต์หรืออยากให้มันเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือว่าการยอมรับในสังคมที่มากขึ้น

A : พี่ว่านะการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีหมดการรณรงค์ทุกรูปแบบมันดีทั้งนั้นแหละถูกไหมคะเพราะฉะนั้นคือการเรียกร้องสิทธิและก็สร้างความเท่าเทียม ย้อนไป 100 ปี 1,000 ปี พูดเลยว่ามันไม่เคยเกิดความเท่าเทียมที่แท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเท่าเทียมจะไม่มี เราจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพราะฉะนั้นคนที่รณรงค์เรื่องนี้จะต้องต่อสู้ ห้ามหยุดแต่ถามว่าในฐานะของกะเทยคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ และอยู่ในประเทศไทยบอกเลยว่าค่อนข้างมีความสุข เพราะว่าถ้าลองไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเราก็รู้สึกว่ามันไม่มีความสุขเท่าที่นี่ แต่ว่ามันยังมีข้อจำกัดอีกหลายอย่างที่เรายังมีความรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนได้เปิดโอกาสมากขึ้น เพราะว่าในที่สุดแล้วกะเทยทำอย่างอื่นได้อีกเยอะแยะมากมาย

เพียงแต่ว่าเขาต้องการโอกาสเท่านั้นเองสิ่งที่อยากให้คนในสังคมรู้มากที่สุดก็คือ กะเทยมันไม่ใช่โรคติดต่อ อันที่ 1 หมายความว่าเมื่อเห็นกะเทยในสื่อมันไม่ได้สามารถจะทำให้คนที่ดูเป็นกะเทยตามไปด้วย เรื่องการ Come Out เป็นเรื่องสำคัญนะ แล้วก็มีคนพูดถึงน้อยบางคนรณรงค์ให้ทุกคนรักตัวเอง ออกมายอมรับตัวเองแต่สำหรับแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกันนะ เงื่อนไขของครอบครัวไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งไปบังคับหรือไปบอกใครให้ทำอะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าครอบครัวเขานั้นมีเงื่อนไขอะไรบ้างเพราะว่าบางคนที่ Come Out หรือว่าเปิดเผยตัวตนออกมากับครอบครัว มันกลายเป็นร้ายก็มีแต่ละคนต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ พี่ยังไม่เคยพูดกับพ่อแม่เลยว่าแม่หนูเป็นกะเทยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพูด แต่ใช้วิธีให้เขาเรียนรู้เองว่าเราเป็นอะไร

Q : พี่โอ๋คิดอย่างไรคะที่ตอนนี้ LGBT ในเมืองไทยเราเติบโตขึ้นแต่ในขณะเดียวกันมีคนในวงการภาพยนตร์บางท่านกลับบอกว่า ทำหนังเกย์มีแต่เจ๊งดูเหมือนว่าตลาดมันโตขึ้น แต่ว่าพอเราจะทำหนังเพื่อเซิร์ฟกลุ่ม LGBT คนกลุ่มนี้เองกลับไม่ได้สนับสนุน

A : เอาส่วนตัวก่อนนะ ส่วนตัวพี่มีความรู้สึกว่าหนังเกย์จำเป็นต้องทำ หนังเกย์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เราจำเป็นที่จะต้องมีให้เด็กเห็นแต่ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ส่วนพี่เติบโตมาแล้วได้เรียนรู้เรื่องการเป็นเกย์จากหนังแล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นสื่อที่ทำให้เรามีความสุขเพราะเราได้รู้สึกว่าเราเริ่มอยากดูหนังเกย์ จนมันขยายเป็นหนังที่เป็นหนังวายหนังจิ้นต่าง ๆ ซึ่งก็ต่างกันถูกไหมครับ มันส่งเสริมให้เห็นและสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายสังคมเกย์เต็มไปหมดเลยถ้าจะไม่มีหนังเกย์เป็นไปไม่ได้ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแต่ถ้าถามว่าทำไมทำหนังเกย์ถึงเจ๊งในประเทศไทย ไม่ต้องหนังเกย์หรอกหนังแบบอื่นก็เจ๊งค่ะ


Q : นั่นน่ะสิ มันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าตัว Content ไม่โดน หรือว่าลึก ๆ แล้วคนไทยเองก็มีความรู้สึกแอนตี้หนังไทย

A : ในฐานะที่เคยทำหนังเกย์ หนังเกย์แบบหนังเกย์เลยสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ คนที่จะเดินเข้าโรงเหมือนกับบอกให้โลกรู้ว่าฉันซื้อตั๋วมาดูหนังเกย์นะ เหมือนกับบอกอยู่กลาย ๆ ว่า ฉันเป็นเกย์ฉันถึงมาดูหนังเกย์ นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ทำหนังเกย์สื่อที่จะโปรโมทบางทีต้องคิดดี ๆ ว่ามันจะทำให้คนดูรู้สึกโอเคไหมในการที่จะเดินเข้าโรง บางทีบางคนอายแต่อยากดูก็เลยต้องรอที่จะดูออนไลน์แทร โปสเตอร์มันอาจโป๊จนเกินไป มีผลนะ เขาถึงรอที่จะดูออนไลน์ หรือว่าบางเรื่องเขาตัดสินใจที่จะให้มีรอบฉายเฉพาะตอนกลางคืนขายดี อย่างนี้มันเป็นเรื่องของการตลาด แต่ถามว่าคนอยากดูไหม อยากดูแต่ว่าเราจะต้องหาวิธีการ เพิ่มช่องทางในการดู ให้เขารู้สึกเขาสบายใจ ซึ่งมันสื่อให้เห็นเลยว่าคนเป็นเกย์ในเมืองไทยไม่ได้รู้สึกจะต้องภาคภูมิใจในการที่จะบอกว่าตัวเองเป็น

Q : คิดอย่างไรกับซีรีส์วายคะ

A : ซีรีส์วายเป็นซีรีย์ที่มหัศจรรย์มากสามารถที่จะสร้างโลกใหม่คู่ขนานได้โดยที่ผู้ชายสองคนรักกันแต่ไม่ได้พูดถึงความเป็นเกย์เลยพี่คิดว่ามันเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่ต้องใช้ความสามารถในการเล่า เพื่อ service ให้กับคนดู และพี่ว่ากรอบต่าง ๆ มันถูกทำลายหมดเพื่อที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้น ถ้าเราตามไม่ทันและเราปฏิเสธปุ๊บพอเราดูซีรีส์วาย เราจะงงไง เรางงในตรรกะว่าทำไมล่ะทำไมไม่มีใครพูดถึงว่าผู้ชายสองคนรักกันแล้วเป็นเกย์ แล้วทำไมถึงจีบกันตลอดเวลา

Q : จะมีโอกาสได้เห็น โอ๋ ฐิติพันธ์ทำซีรีส์วายสักเรื่องหนึ่งไหม

A : ยากมาก ต้องใช้วิธีจูนตรรกะเพราะเรารู้สึกว่าเราอยู่ในโลกของเกย์ เราส่งเสริมเรื่องชายรักชาย เรื่องของ Queer movie ส่วนตัวชอบหนังที่มีกะเทยเราพยายามที่จะดันให้กะเทยเป็นนางเอก เพราะเราเป็นกะเทย เราอยากเห็นตัวเองเป็นนางเอกเพราะฉะนั้นพอเป็นซีรีส์วายต้องจูนใหม่ มันเป็นโลกใหม่ ๆ แต่ถามว่าอยากทำไหมอยากทำนะคะ


Q : อยากให้ฝากเพจนิดหนึ่ง ติดตามฝากให้ท่านผู้ชมผู้อ่านฟังติดตามมาดามฟันนี่นิดหนึ่งค่ะ

A : ตอนนี้มาดามฟันนี่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นต้องขอขอบพระคุณนะคะ แฟน ๆ ทุกคน FC ทุกคนที่ให้การสนับสนุน รวมถึงลูกค้าสปอนเซอร์ต่าง ๆ นะคะ ก็อย่าลืมติดตามนะคะมาดามฟันนี่ใน TikTokในเพจ ใน Facebook นะคะ แล้วก็ใน YouTube ด้วย ก็จะมี Content น่ารัก ๆ สนุก ๆ ขำ ๆ มานำเสนอค่ะ ก็ฝากสนับสนุนด้วยค่ะ


โดย เบญจกาย