หากยังจำกันได้ ศิลปินเด็กรูปร่างผอมบาง ผมสีทอง ที่มีชื่อในวงการเพลงช่วงสิบกว่าปีที่แล้วว่า ‘MR. D’ และเป็นลูกชายคนสุดท้องของฐาปกรณ์ และจิตรลดา ดิษยนันทน์ ชื่อของมิสเตอร์ดีโดดเด่นในกลุ่มศิลปินเด็ก ที่ตอนนั้นค่ายเพลงดังไม่ว่าแกรมมี่หรืออาร์เอสต่างผลิตกันออกมา แต่วันนี้มิสเตอร์ดีเติบใหญ่เป็นหนุ่ม และไม่เหลือเค้าของเด็กน้อยอย่างที่เคยคุ้นตาอีกแล้ว


‘เวลล์’ ดิษย์กรณ์ ดิษยนันทน์ ทิ้งวงการไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาคณะ Bachelor of Music จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อเป็นหน่วยกำลังสำคัญอีกส่วนหนึ่งให้กับธุรกิจของครอบครัว ในตำแหน่ง Executive Producer ผู้ผลิตละครทีวีของค่ายกันตนา

หนุ่มผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่งยังคงคลุกคลีอยู่กับงานเพลงและการแสดง แม้ว่าหน้าที่การงานหลักของเขาจะเป็นคนเบื้องหลังก็ตาม

หน้าที่ความรับผิดชอบของเวลล์ ในฐานะ Executive Producer มีอะไรบ้าง
 
ผมจะควบคุมด้านการผลิตโดยเฉพาะ นั่นคือตั้งแต่ขั้นตอนพรี-โปรดักชั่นจนถึงโพสต์-โปรดักชั่น ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เริ่มวางแผนกันว่าจะถ่ายอะไร จะเอาบทประพันธ์จากที่ไหน ใช้ทีมอะไร จนได้เป็นเทปสำหรับออกอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของเรื่องนั้นๆ

ตอนนี้ปริมาณละครของค่ายกันตนามีจำนวนแค่ไหน

เนื่องจากกันตนาเป็น Content Provider ก็จะมีการแบ่งงานกัน เพราะเราก็มีญาติหลายคนใช่ไหมครับ (หัวเราะ) รุ่นผมนี่ก็ถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่สามของกันตนาแล้ว หรือตระกูลกัลย์จาฤก ในส่วนของผมก็ได้รับมอบหมายให้ผลิตงานให้กับช่อง 7 เป็นส่วนใหญ่ ส่วนพี่สาว (ดิษย์ลดา ดิษยนันทน์) ก็จะผลิตให้กับอีกสื่อหนึ่ง อีกแพลตฟอร์มหนึ่ง แล้วญาติอีกคนก็จะทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ให้กับอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง

ตัวผมซึ่งทำให้กับช่อง 7 เพราะกันตนากับช่อง 7 ก็จับมือกันมานานหลายปีแล้ว ก็นับว่าเป็นเกียรติ และโชคดีที่มีงานจากช่อง 7 คอยป้อนให้เราตลอด และเราก็คอยผลิตงานที่มีคุณภาพให้เขาตลอดเวลา


ล่าสุดมีการ recrut นักแสดงในโปรเจ็กต์ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของเวลล์ด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ เป็นละครที่ผมเอาเรื่องจริงจากคนที่ภายใต้ความกดดันของสถานการณ์โควิด-19 มาทำเป็นละคร มีการดัดแปลงบ้าง หรือเป็นเรื่องจริงโดยตรงก็มี ตอนนี้เราถ่ายทำไปหนึ่งชุดแล้ว วางแผนจะออกอากาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางช่อง 7

เป็นการเอานักแสดงที่เราแคสต์มาจากงานกันตนา มาร์เก็ตเพลส ซึ่งตอนนั้นจากสามวันมีคนมาแคสติ้งประมาณเจ็ดร้อยกว่าคน เราคัดมาได้เหลือ 16 คนมาร่วมงานกับกันตนาไปเรื่อยๆ และหนึ่งในโปรเจ็กต์นั้นก็เป็น ‘ไวรัส วัยเลิฟ’ ที่ผมทำอยู่

นอกจากนั้น งานที่ผมทำให้กับช่อง 7 ที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้คือ ‘เงาบุญ’ ซึ่งเป็นละครจากบทประพันธ์ของคุณสมสุข กัลย์จาฤก หรือคุณยายของผมที่เคยเขียนเรื่องเปรตไว้ ก็เอามาดัดแปลงให้มันทันสมัย ตอนนี้กำลังออกอากาศอยู่ทางช่อง 7 ครับ


นอกเหนือจากงานที่กันตนาแล้ว ยังมีงานแสดงของตัวเองบ้างไหม

ช่วงเวลานี้ผมยังมีการผลิตเพลง การโปรดิวซ์เพลง เหมือนเป็น out source เป็นงานที่ผมทำเป็น hobby คือถ้ามีเวลาทำได้ผมก็ทำครับ ผมเน้นงานประจำที่บริษัทอยู่แล้ว แต่ว่าผมก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ผมรักจริงๆ นั่นคือเพลง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเรียนจบมาด้วย ผมก็รับจ้างโปรดิวซ์เพลง เพลงก็หลายแนวด้วย ล่าสุดเป็นฮิป-ฮอป ซึ่งผมก็มีงานอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

นอกจากนั้นก็จะเป็นงานละครเวทีที่ผมเพิ่งมาได้เล่นเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ที่มาร่วมในวงการละครเวที วงการมิวสิคัล ซึ่งผมก็หวังว่าจะได้โอกาสแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ

มีข่าวว่าร่วมแสดงในเรื่อง ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ ของดรีมบอกซ์ด้วย ใช่ไหม

ใช่ครับ ตอนนี้หยุดไว้ก่อนเพราะติดช่วงโควิดพอดี อันนี้ก็หวังว่าจะได้โอกาสที่เขาจะหาเวลามาลงเรื่องนี้ใหม่เพราะว่าก็ถ่ายโปสเตอร์อะไรไปเรียบร้อยแล้ว จริงๆ บล็อกกิ้งจนจบเรื่องไปแล้วด้วย ตอนนี้ก็รอเวลาที่เราจะได้นำเรื่องนี้มาโชว์ให้ชมกันได้

ปกติผมเคยได้เล่นมิวสิคัล แต่ ‘อลหม่านหลังบ้านทรายทอง’ เรื่องนี้เป็นละครพูด ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก นับเป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยที่เป็นละครพูดอย่างเดียว ต้องมา coaching เยอะ แต่ก็สนุกสนานกันครับ ดีใจนะครับที่เขาให้โอกาส เพราะทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกเนาะ


เวลล์เรียนมาทางด้านการแสดงมาด้วยหรือเปล่า

จริงๆ ตอนเรียนเพลง มันจะเน้นโอเปร่า แล้วโอเปร่ามันคือเป็นการร้องอีกชนิดหนึ่งแต่มันคือละครเวทีนี่ละ โอเปร่าเป็นการแสดงเป็นเรื่องบนเวที ผมก็เลยเรียนแอ็คติ้งในทางนั้นด้วย แต่นอกจากนั้นมันก็เป็นการแอ็คติ้งให้กล้องบ้าง แต่ผมไม่ได้เลือกไปทางนั้นโดยเฉพาะ เพราะว่าผมก็คิดอยู่บ้างว่า ก่อนที่ผมจะกลับมาผมก็ควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการทำโปรดักชั่น เทคนิคการผลิตละครด้วย ผมเลยไปเน้นพวกซาวนฺด์ เอ็นจิเนียร์ พอผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาทำงานให้กันตนาแรกๆ ผมก็ไปทำโพสต์-โปรดักชั่น ไปเน้นพวกเพลง พวกซาวนฺด์ก่อน ตอนนั้นผมทำอยู่ฝ่ายโพสต์-โปรดักชั่นอยู่ราวสามปี ก่อนที่จะเริ่มมาดูด้านโปรดักชั่นล้วนๆ ครับ

นั่นคือตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยเดนเวอร์

ใช่ครับ แต่ถ้าเรื่องการร้องเพลงนั่น ผมเรียนตั้งแต่อายุสิบสอง เพราะตอนนั้นผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่นิวยอร์ก เพราะพี่สาวเขาคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน แล้วคุณแม่บอกว่า ถ้าส่งน้องไปอยู่ด้วยจะอยู่ต่อไหม พี่สาวก็บอกว่าได้ๆ เดี๋ยวจะเลี้ยงน้องเอง ผมเลยไปอยู่กับพี่สาว แต่หลังจากพี่สาวไปมหาวิทยาลัย ผมก็ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ เลือกโรงเรียนที่เขาสอนดนตรีอยู่แล้วด้วย เป็นโรงเรียนชื่อ Interlochen Center for the Arts อยู่ในมิชิแกน

โรงเรียนนี้จะเน้นสอนพวกเด็กอาร์ต พวกเล่นละคร เล่นดนตรี มีเต้น บัลเล่ต์ รวมกันอยู่ในโรงเรียนเดียว ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนสี่ร้อยกว่าคน เป็นไฮสคูลที่เตรียมเด็กให้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนรวม มีครบทุกวิชาแต่เน้นอาร์ต แต่เขาไม่มีสอนร้องเพลง หลังจากเรียนจบผมก็ไปเดนเวอร์ ไปหาเรียนร้องเพลงที่เดนเวอร์ แต่ตอนนั้นผมก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าผมจะร้องเพลงอยู่เฉยๆ มันจะไปรอดไหม มันก็ต้องมีอะไรมาเสริมด้วย ผมก็เลยไปดูเรื่องซาวนด์ด้วย


ทำไมตอนนั้นเลือกที่จะร้องโอเปร่าล่ะ

ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องโอเปราเลย คือเริ่มแรกผมเคยเรียนร้องเพลงที่มหิดล ตอนนั้นสิบเอ็ดขวบ มันเหมือนเราเทรนไปด้วยและออกเทปไปด้วย ตอนนั้นผมยังเป็นนักร้องเด็ก ‘มิสเตอร์ดี’ ก็เทรนไปมา เหมือนครูของผมจะหยิบเพลงคลาสสิกมาให้ร้องดู เพราะมันเป็นช่วงที่เสียงของผมยังไม่แตก ก็เลยลองร้องแบบคลาสสิกเหมือนเป็นบอย โซปราโนไป แล้วครูยังส่งผมไปแข่งขันที่โอซาก้า ดันได้รางวัลมา

ลองคิดไปคิดมาก็ว่าอาจจะร้องเพลงคลาสสิกไปเรื่อยๆ เพราะผมก็เห็นว่า จริงๆ การร้องเพลงคลาสสิกมันมาใช้ได้กับหลายสไตล์ของการร้องเพลง มันไม่ใช่แค่การร้องโอเปร่าอย่างเดียว เรียนร้องคลาสสิกแล้วมันมาร้องแจ๊ซได้ มาปรับกับป๊อปได้ ผมเห็นว่าถ้าเรียนด้านนี้มามันสามารถร้องได้ทุกอย่างเลย ผมก็เลยลองเรียนต่อไปเรื่อยๆ แล้วบังเอิญมีโอกาสได้เรียนด้านนี้ที่อเมริกาพอดี ผมก็ไม่ทิ้ง จะลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าสิบเอ็ดผ่านมา ก็สามารถจบมาได้ (หัวเราะ) จบคลาสสิกมาเลย และก็มีด้านซาวนฺด์อย่างที่บอกด้วย

ยังคิดถึงอดีตที่เคยเป็นมิสเตอร์ดีอยู่หรือเปล่า

ผมคิดถึงประสบการณ์หลายอย่างมาก ผมคิดถึงที่ว่าได้มาอยู่กับเพลงตลอดเวลา แต่ว่าบางอย่างผมก็ไม่คิดถึง อย่างเช่น บางทีผมรู้สึกว่าเด็กๆ รอบตัวอยู่บ้านเล่นเกมกับเพื่อน แต่ผมต้องนั่งรถไปทัวร์ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) มานึกดูอีกทีผมรู้สึกว่าวัยเด็กผมขาดหายอะไรไปในช่วงเวลานั้นหรือเปล่า เหมือนเด็กคนอื่นเขาได้ทำโน่นทำนี่ แต่ผมไม่ได้ทำ ไม่เชิงว่าจะเสียดาย แค่บางทีมานั่งคิดดูว่า ถ้าตอนนั้นผมได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เด็กคนอื่นทำ ชีวิตผมจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ทุกอย่างที่ผ่านมาก็ทำให้ผมรู้สึกดี และดีใจมากที่ได้ประสบการณ์แบบนี้ เพราะมัน shape ผมให้ผมมาเป็นวันนี้ได้ครับ


สิบกว่าปีที่แล้วเวลล์เริ่มต้นเป็นมิสเตอร์ดีได้อย่างไร

ผมเริ่มตอนอายุแปดขวบ เพลงแรกของผมคือเพลงประกอบละคร ‘วัยซนคนมหัศจรรย์’ ของไอทีวี ตอนนั้นก็ร้องไปแบบขำๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เพราะผมไม่ได้อยากจะออกเทป ไม่ได้อยากจะอะไร เขาหานักร้องที่มีเสียงเด็กมาร้องเพลงประกอบละครเด็ก ความคิดผมคือแค่นั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เผอิญละครมันดังขึ้นมา แล้วเพลงมันก็ดังตามละคร ทางคนดูก็เหมือนจะเรียกร้องว่าน่าจะให้คนร้องเพลงประกอบละครเรื่องนี้ลองมาแสดงเป็นดารารับเชิญดีไหม

ไปๆ มาๆ เป็นดารารับเชิญไม่พอ ผมต้องเล่นต่อไปเลย (หัวเราะ) มันไม่หยุดแค่นั้น เหมือนโอกาสจะเข้ามาเรื่อยๆ และผมก็สนุกกับมัน พ่อกับแม่ผมไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ามันจะอะไรขนาดนี้ อีกอย่างเขาไม่ได้ดันผมด้วย เห็นว่าผมมีความสุขกับมัน เขาก็ให้โอกาสผมได้ลองว่าจะไปถึงจุดไหนได้

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แค่ 3-4 ปีเอง

ครับ จากอายุแปดถึงสิบสองปี ความจริงแพลนไว้คือจะทำไปอีกเรื่อยๆ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็ทิ้งหมด (หัวเราะ) ทิ้งไปจนกลับมาอีกทีไม่มีใครจำได้ แต่ก็ดีไปอีกแบบ มันเหมือนผมได้กลับมาสร้างตัวตนใหม่ จะได้ไม่ต้องมีภาพมิสเตอร์ดีติดตัว อีกอย่างตอนนี้ผมตัวสูงขึ้น เสียงผมแตก สีผมก็ไม่ทองเหมือนตอนนั้น มันเลยสร้างตัวตนใหม่ได้ง่ายหน่อย แล้วยิ่งผมได้มาทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรตรงนั้น ผมก็เลยสร้าง identity ได้อีกแบบหนึ่ง

แต่ถ้าถามว่าคิดถึงช่วงนั้นไหม ผมคิดถึงหลายอย่าง เพราะมันก็สนุก มันคือเพลง มันคือสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมรักด้วย


ช่วงที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่เป็นมิสเตอร์ดีเพื่อไปเรียนต่อ จริงๆ แล้วตอนนั้นเวลล์รู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นผมนึกถึงสถานการณ์ของครอบครัวมากกว่าครับ ถึงแม้ว่าผมจะทิ้งโอกาสหลายอย่างไป แต่ผมนึกถึงครอบครัวว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรที่พี่สาวไปเป็นนางแบบที่นิวยอร์กอยู่นาน จู่ๆ อยากจะกลับบ้าน หรือถ้าผมจะออกไปหาประสบการณ์ที่ข้างนอกให้กับครอบครัว อาจจะดีกว่าอยู่แต่ในเมืองไทย ในจุดนั้นของชีวิตผมคิดว่ามันอาจจะดีสำหรับชีวิตผมและครอบครัวผมมากกว่า

เวลล์มองวงการเพลงของเมืองไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร

สำหรับผม ผมคิดว่าเทรนด์ของเพลงในประเทศไทยเป็นอะไรที่…บางทีก็มองไม่ออกจริงๆ นะว่าคนชอบอะไรไม่ชอบอะไร ความจริงเรื่องเทรนด์ไม่ใช่แค่เพลงหรอกครับ มันรวมถึงหลายๆ อย่างในประเทศเรา บางอย่างเราดูว่ามันไม่น่าจะดังหรอก แต่จู่ๆ มันก็ดังขึ้นมา ประเทศเราพิเศษตรงนี้ (หัวเราะ) ที่ว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้

วงการเพลงที่อเมริกา โดยเฉพาะ main club ของเพลงที่นิวยอร์กมันเชื่อมตรงกับกรุงเทพฯ กับประเทศเรา และถ้าวงการเพลงของโลก อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงเกาหลีนะครับ ถ้าวงการเพลงของโลกที่ประสบความสำเร็จที่นิวยอร์ก ผมสังเกตว่ามันเหมือน connection ที่จะมาบุกที่เมืองไทยเหมือนกัน แต่ถ้าของเกาหลีจะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย แต่จะเป็นเทรนด์ที่ส่งอิทธิพลมาถึงเมืองไทยเหมือนกัน

ส่วนเทรนด์ในไทยมันจะมีอะไรหลายอย่างที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน อย่างเช่นเพลงท้องถิ่นของบ้านเราที่คนจะฟังตลอดอยู่แล้ว แต่ถ้าดูอยู่เรื่อยๆ มันก็จะมีพวก…ผมเรียกว่าเป็น hybrid คือมันจะเป็นสไตล์ของต่างประเทศและของบ้านเราที่รวมกันเหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ขึ้นมา ที่คนจะชอบคนจะติด


อย่างที่ผมสังเกตเห็นว่า คนเริ่มจะหยิบลูกเล่นของเพลงสากลและของไทยมารวมกัน แล้วมันก็เป็นสไตล์ของมันไปเลย อย่างเช่นพวกฮิป-ฮอปบ้านเรา มันก็คือเคล็ดลับ ซิกเนเจอร์หลายอย่างก็เป็นของอเมริกา สไตล์การแต่งเพลงของอเมริกา แต่ว่ามันเป็นการร้องแบบบ้านเรา สไตล์การร้อง ทำนองของบ้านเรามารวมกันในสไตล์ดนตรีของต่างประเทศ มันก็ติดชาร์ตอันดับหนึ่งได้ จริงๆ เทรนด์มันไปได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเพลงมันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ในฐานะผู้จัดละครหรือคนที่อยู่ในวงการบันเทิง เวลล์ต้องตามเทรนด์อะไรเหล่านี้ด้วยหรือเปล่า

ใช่ครับ แต่ที่ผมสังเกตมากที่สุดคือ การที่คนเรามีเทคโนโลยีที่จะสามารถไปออนไลน์ได้ในวินาทีนี้ คือสามารถเข้าไปดูละครในโทรศัพท์มือถือได้ หรือไม่ใช่แค่ละคร จะดูอะไรก็ได้ ทำให้เห็นว่าในโลกนี้มาตรฐานมันอยู่ที่ไหนล่ะ ใช่ไหมครับ ผมเลยคิดว่าอย่างนี้ถ้าเราทำละครออกทีวีที่บ้านหรือในเน็ต มันก็ต้องสมจริงในความรู้สึกของคนดูละคร ถ้ามันมีอะไรเฟคขึ้นมา คนดูจะรู้ทันที เพราะเคยเห็นมาแล้ว มันเป็นยุคใหม่ที่ถ้ามีอะไรที่ไม่จริง คนจะติเลย คนจะรู้สึกว่ามันเข้าถึงไม่ได้ และจะว่าเลย มาตรฐานของการดูซีรีส์หรือละครมันสูงแล้ว

ที่สำคัญคือมันต้องเข้าถึง มันต้องสมจริง มันต้องสะท้อนสังคม แล้วมันใส่ได้กับละครหลายสไตล์เลย ละครผีก็ทำได้ ผมเองก็ทำละครผีเยอะ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นบทประพันธ์ของคุณยายผม ละครผีเกือบทุกเรื่องเลย แต่ถึงแม้จะมีเรื่องผีที่คนดูบ้านเราชอบอยู่แล้ว สุดท้ายในตัวละครมันต้องสมจริง มันจะไม่มีการเฟคได้อีกแล้ว เพราะถ้าคนดูเห็นเฟคปุ๊บเขาเปลี่ยนช่องเลย เขาไม่ดูหรอก

ไลฟ์สไตล์ของเวลล์เป็นอย่างไร พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม

(ยิ้ม) ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใจผมอยู่ที่งานอย่างเดียวครับ แล้วพอทำงานเสร็จใจก็อยู่ที่ครอบครัว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตยังวนอยู่ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน (หัวเราะ) ไลฟ์สไตล์ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แต่ช่วงก่อนโควิดก็…ทำงานในบริษัทเสร็จแล้วก็ไปซ้อมละครเวที


ผมเป็นคนที่…ถ้ามีงานผมก็จะร้อยเปอร์เซ็นต์กับการทำงาน จะห้าสิบ/ห้าสิบไม่ได้ ไม่งั้นพังพินาศ (หัวเราะ) นั่นคือนิสัยของผม ผมต้องร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างหนึ่ง แล้วค่อยไปร้อยเปอร์เซ็นต์อีกอย่างหนึ่ง การเป็นผู้จัด (ละคร) เต็มตัว บางทีมันต้องแบ่งงานเยอะ แต่ไม่ใช่สามสิบ-สามสิบ-สามสิบ-สิบ ผมต้องร้อยๆๆๆ (หัวเราะ) ไม่งั้นมันจะออกมาไม่ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้อยู่ เรียนรู้ต่อไปว่า การมาเป็นผู้จัดละครมันต้องใช้ power line มาทุ่มเทหลายอย่างให้เต็มที่ได้

ประสบการณ์เรื่องความรักล่ะ มีบ้างหรือยัง

ความรัก…ประเด็นคือว่าตอนที่ผมอยู่เมืองนอก ผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องกลับบ้าน มาทำธุรกิจของครอบครัว ตอนนั้นผมก็เลยซีเรียสกับอะไรไม่ได้เต็มที่ เพราะผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ และผมกลัวจะไปทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ผมเลยคิดว่า ถ้าจะมาหาความรักก็คงต้องมาหาที่เมืองไทยนี่แหละ เพราะอย่างไรผมก็อยู่นี่

แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มีไหม ไม่มี (หัวเราะ) เพราะอย่างที่บอกคือ ใจอยู่แต่กับเรื่องการงาน แต่ไม่ใช่ว่าผมปิดโอกาสนะครับ ชีวิตมันก็ต้องมีบ้างอยู่แล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้ออกไปค้นหาในช่วงเวลานี้ แต่ถ้ามีอะไรมาผมก็รับฟัง (หัวเราะ)

ปีนี้เวลล์อายุครบ 25 ปีพอดีใช่ไหม

ใช่ครับ

เชื่อเรื่องอาถรรพ์วัยเบญจเพสหรือเปล่า

ผู้ใหญ่เตือนมาเยอะเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมก็เคารพ เคารพว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่สอนอะไรผมก็รับฟัง เพราะผมก็อยากให้ทุกคนสบายใจครับ


มีใครคนหนึ่งพูดว่าคนเราเหมือนมีเทวดาคุ้มครอง แล้วพออายุยี่สิบห้าเราจะอยู่โดดเดี่ยว หรือว่าเรื่องที่เกี่ยวกันคือ มีคนบอกว่าขับรถช่วงนี้ต้องระวังประสบอุบัติเหตุ อะไรแบบนี้ อันนี้ผมก็ไม่รู้เพราะผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หรือจะต้องระวังตัว เหมือนช่วงนี้ดวงจะตกหน่อย โชคจะไม่ค่อยดี ผมก็รู้อะไรประมาณนี้ละครับ ไม่ได้รู้อะไรมาก

แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อแก้เคล็ด

ไม่ครับ แต่ถ้าจะมีผมก็ไปได้ คือถ้าจะให้ผู้ใหญ่สบายใจผมก็จะไป (ยิ้ม) แต่เวลานี้ผมก็ไม่รู้ และไม่คิดว่าจะอะไรมาก แต่ผมยอมไปอยู่แล้ว ผมก็เป็นพุทธด้วย

เวลล์มองอนาคตของตัวเองอย่างไร

ตอนนี้ผู้ใหญ่ทางกันตนาก็เริ่มสืบทอดหน้าที่ให้กับญาติๆ หลายคน รวมทั้งผมด้วย ตอนนี้เป้าหมายของผมคือการนำพาธุรกิจให้รุ่งเรือง และโกอินเตอร์ฯ จับมือกับต่างประเทศ พาวัฒนธรรมของไทยไปให้ทั้งโลกเห็น และให้สู้กับประเทศอื่นได้เต็มตัวอันนี้อนาคตเรื่องงานนะครับ

แต่ถ้าพูดถึงอนาคตของตัวเอง ผมก็จะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ครอบครัวแฮปปี้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาดูเรื่องตัวเองด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข เพราะว่าผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบแพลนอะไรแบบห้าปีข้างหน้าฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ผมคิดว่าปล่อยมันไปตามจังหวะของชีวิตดีกว่า


ตอนนี้เวลล์มีความสุขกับอะไรบ้าง

ตอนนี้ผมมีความสุขกับงานมาก ผมรู้สึกว่าผมรักงานนี้มากขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องทิ้งเพลงที่ผมรัก ผมเหมือนได้ทำสิ่งที่รักจริงๆ และได้มาเริ่มรักงานงานที่ทำอยู่แล้วด้วย มันเลยมีความสุข

ชีวิตแม้ว่าจะไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่มันก็บาลานซ์ได้ดีในช่วงเวลานี้ สุดท้ายแล้วถ้าจะมีเรื่องดีหรือไม่ดี เราก็ต้องมองไปข้างหน้า มีความสุขที่เรามีชีวิตอย่างนี้อยู่แล้ว ใช้ชีวิตทุกวันให้มีประโยชน์ มีความสุขก็พอ


เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์