“หลังจากเจอคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์แล้ว ชีวิตผมเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ มันไม่ใช่ชีวิตที่ผมเคยเป็นแบบก่อนหน้า ผมเคยทำงานเป็นช่างยนต์ในโรงงานประกอบเฮลิคอปเตอร์ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแฟชั่นเลย แต่พอมาทำงานอาชีพนายแบบผมก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โชคดีที่ผมเป็นชอบเปิดหูเปิดตา ชอบเก็บเกี่ยวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผมมีความสุขในโลกแฟชั่นจริงๆ เพราะผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิต ได้ทำความรู้จักผู้คน สถานที่ อย่างที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน”
บัปติสต์ เจียบิโคนีเคยให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อสิบปีก่อน ระหว่างถ่ายแบบเปลือยให้กับปฏิทินปิเรลลี และมีคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์รับหน้าที่เป็นช่างภาพ ในช่วงเวลานั้นเจียบิโคนีกำลังเป็นนายแบบค่าตัวสูงสุด แซงหน้ามาร์คัส เชงเคนเบิร์กที่ครองตำแหน่งมานานถึงสามทศวรรษ
ราวหนึ่งปีหลังจากคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์เสียชีวิต เจียบิโคนีก็ได้ฤกษ์ออกหนังสือ ใช้ชื่อเล่มว่า ‘Karl et moi’ (คาร์ลและผม) เขียนเล่าถึงความทรงจำตลอดระยะเวลาสิบปีของความสัมพันธ์…ฉันมิตร อุทิศให้กับดีไซเนอร์ผู้ยิ่งใหญ่และความใจกว้างของเขา
จากหนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์หันมาดื่มแอลกอฮอล์เมื่อช่วงห้าปีสุดท้ายของชีวิต (นอกเหนือจาก Coca Cola Light) เขาเสพติดละคร ‘Scènes de ménages’ อย่างงอมแงม (Household Scenes เป็นซีรีส์น้ำเน่าของฝรั่งเศส) และได้รับ iPhone เครื่องแรกเป็นของขวัญจากเจียบิโคนี (หลังจากปฏิเสธอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคฯ มาโดยตลอด)
“คาร์ลทำอะไรสิบอย่างในเวลาเดียวกัน” นายแบบหนุ่มเปิดเผย ระหว่างที่ลาเกอร์เฟลด์ยังครองตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับห้องเสื้อ Chanel พร้อมทั้งเผยจุดอ่อนของลาเกอร์เฟลด์ด้วยว่า มันคือความตรงต่อเวลา-ประสาคนเยอรมัน ที่คนรอบข้างมักสร้างความหงุดหงิดให้เขาสม่ำเสมอ และมื้อกลางวัน ที่มักต้องถูกเลื่อนไปหลังเสร็จงาน ในความเห็นของเจียบิโคนี แม้ลาเกอร์เฟลด์จะชอบชีวิตในฝรั่งเศสก็จริง ทว่าตั้งแต่เกิดจนตายเขาก็ยังเป็นคนสัญชาติเยอรมัน
หนังสือเล่มนี้เป็นที่วิพากษณ์วิจารณ์กันว่า คนในสังคมจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวส่วนตัวเหล่านี้หรือไม่ แต่อย่างไรเสีย สำหรับแฟนคลับของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์แล้ว มันก็เป็นหนังสือที่มีคุณค่าเล่มหนึ่ง
อีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เกี่ยวกับ ‘ชูเป็ตต์’ แมวสายพันธุ์พม่าสีขาวตัวโปรดของลาเกอร์เฟลด์นั้น ความจริงแล้วเป็นของเจียบิโคนี ที่เขานำไปฝากลาเกอร์เฟลด์เลี้ยงระหว่างเดินทางไปพักร้อน แม้ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงสักเท่าไร แต่ลาเกอร์เฟลด์ก็ตกหลุมรักชูเป็ตต์เข้าจนได้ เจียบิโคนีเห็นอย่างนั้นจึงยอมยกแมวของตนให้ไป
บัปติสต์ เจียบิโคนี เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 ที่เมืองมาริญาน พื้นเพของครอบครัวมาจากเกาะคอร์สิกา ใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในแคว้นโอต-คอร์ส ก่อนจะโยกย้ายไปมาร์เซย์
เขาเริ่มงานในอุตสาหกรรมบริการอาหาร หลังจากนั้นเข้าฝึกอบรมงานช่างยนต์สายการบิน แล้วได้งานที่ Eurocopter โรงงานประกอบและศูนย์ซ่อมเฮลิคอปเตอร์ ต้นปี 2007 มีแมวมองไปเจอเขาในสปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง ชักชวนให้เขาเข้าสังกัดโมเดลลิงของช่างภาพท้องถิ่นคนหนึ่งในมาร์เซย์ แต่ไม่เคยได้รับงาน กระทั่งในปีถัดมาเขาได้เซ็นสัญญากับ DNA Model Management ของนิวยอร์ก
เจียบิโคนีพบเจอคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ช่วงที่ถ่ายแคมเปญแว่นตากันแดด หลังจากนั้นถูกลาเกอร์เฟลด์จองตัวทำงาน และพาติดสอยห้อยตามแทบไม่ห่าง เป็นนายแบบคนโปรดที่ลาเกอร์เฟลด์ดันอย่างออกหน้า ในปี 2009 เจียบิโคนีกลายเป็นนายแบบปกนิตยสารชื่อดังอย่าง Vogue, V Man, Wallpaper, Elle, Purple Fashion, V Magazine, Harper’s Bazaar และ Marie Claire นอกจากนั้นยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ต่างๆ อาทิ Chanel, Karl Lagerfeld, Giorgio Armani, Fendi, Baldessarini และ Just Cavalli รวมถึงร่วมเป็นแบบให้กับคอลเล็กชันต่างๆ ของ Chanel บนแคตวอล์ก ทั้งที่ Chanel ออกแบบเสื้อผ้าสตรีเป็นหลัก แต่บ่อยครั้งมักเห็นเจียบิโคนีบนแคตวอล์กนำเสนอเสื้อผ้าสตรี
“บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนบัปติสต์เป็นลูกบุญธรรมคนหนึ่ง เหมือนทายาท” คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์เคยบอกสื่อ ตัวเขาเองไม่มีลูก จึงฟูมฟักนายแบบหนุ่มประหนึ่งลูกของตนเอง “ผมต้องถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับคนรุ่นหลังบ้าง แล้วทำไมจะให้เขาไม่ได้ล่ะ” และเขามองว่าบัปติสต์เป็นลูกชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
ในช่วงเวลานั้นดูเหมือนลาเกอร์เฟลด์จะมีนายแบบหนุ่มในทุกลมหายใจ – ลาเกอร์เฟลด์จะถ่ายบาร์บี้ ก็ต้องมีบัปติสต์เป็น ‘เคน’ เจอร์รี ฮอลล์จะเป็นแบบโฆษณาให้กับ Chanel ก็ต้องมีบัปติสต์อยู่ในภาพด้วย งานโอต-กูตูร์ในปารีส Chanel นำเสนอชุดเจ้าสาว บัปติสต์ก็ต้องเดินเป็นเจ้าบ่าวควบคู่ไปด้วย
เว็บไซต์ Models.com บันทึกชื่อบัปติสต์ เจียบิโคนีเป็นนายแบบอันดับหนึ่งของ Top 50 Best Models ต่อเนื่องถึงสองปี ในปี 2011 ผลงานปฏิทินปิเรลลีซึ่งมีภาพเปลือยของเจียบิโคนีก็ปรากฏออกมา คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ทำหน้าที่เป็นช่างภาพ แปลงนายแบบคนโปรดของตนเป็นเทพอพอลโล และนาร์ซิสซัส
ในปีเดียวกันนั้น ลาเกอร์เฟลด์ยังดันนายแบบหนุ่มเป็นนักร้อง เปิดตัวซิงเกิล ‘Showtime’ พร้อมวิดีโอ เดือนมกราคมปี 2012 ซิงเกิล ‘One Night in Paradise’ เปิดตัวตามออกมา ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม ‘Oxygen’
ปี 2012 บัปติสต์ เบียจิโคนีในวัย 22 กลายเป็นประเด็นข่าวเมื่อปฏิเสธมาดอนนา-ซูเปอร์สตาร์สาวสูงวัย “ผมพบเธอในนิวยอร์ก คนในทีมของเธอเข้ามาถามว่าผมอยากจะไปนั่งที่โต๊ะของเธอหรือเปล่า ผมตอบไปว่า-ไม่” เจียบิโคนีเล่าให้สื่อฟัง “ใครจะมายืนต่อคิวยาวก็มาเถอะ ผมไม่อยากได้มาดอนนาที่จะมาคอยเลี้ยงดู ผมไม่ใช่ของเล่น”
แต่เขาเป็นของเล่นสำหรับคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ประโยคแบบนี้ลือกันหนาหูทั่ววงการ ทั้งด้วยน้ำเสียงขบขันและเย้ยหยัน กระทั่งลาเกอร์เฟลด์เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ซึ่งเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีฝังศพ แม้จะเป็นคนหนึ่งที่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับลาเกอร์เฟลด์มากที่สุดก็ตาม จนเมื่อผลงานหนังสือ ‘Karl et moi’ ปรากฏออกมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจียบิโคนีถึงมีโอกาสได้พูดแบบเปิดใจ
“ผมไม่เคยมีเรื่องเซ็กซ์กับลาเกอร์เฟลด์ในสมองเลย ตลอดสิบปีเราไม่เคยมีเรื่องอีโรติกหรือเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์แม้แต่น้อย”
ปริศนาเกี่ยวกับอายุของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ แม้แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีคำเฉลย “เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องอายุเลย” เจียบิโคนีซึ่งมักแวะเวียนไปที่อพาร์ตเมนต์ริมแม่น้ำเซนวันอาทิตย์ อพาร์ตเมนต์ที่พบศพของลาเกอร์เฟลด์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ตามข่าวระบุว่าเขาน่าจะเสียชีวิตในวัย 85 ปี แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกฝังไปพร้อมกับเขาในหลุมศพ
ทุกวันนี้บัปติสต์ เจียบิโคนียังใช้ชีวิตไปมาระหว่างปารีส ลอนดอน และมาร์เซย์ พร้อมกันนั้นยังก่อตั้งบริษัทเพื่อคัดสรรคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถ
Le Soir (The Evenin) หนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสของเบลเยียม ตั้งคำถามกับเขาแบบใคร่รู้ ลาเกอร์เฟลด์จะว่าอย่างไรถ้าเขายังมีชีวิตอยู่และต้องถูกกักตัวในปารีสตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 “ลาเกอร์เฟลด์คงจะผวา และบอกว่าฉันไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้” เจียบิโคนีตอบ
“แต่เขาก็คงจะขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียวกับแมวชูเป็ตต์นั่นละ”
เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์
อ้างอิง:
https://www.welt.de/lifestyle/article11478168/Baptiste-Giabiconi-der-Toyboy-von-Karl-Lagerfeld.html
https://www.vogue.de/mode/artikel/baptiste-giabiconi-buch-ueber-karl-lagerfeld
https://www.24hamburg.de/stars/hamburg-karl-lagerfeld-modeschoepfer-baptiste-giabiconi-muse-coronavirus-sars-cov-2-90001311.html