“คุณภาพของชีวิตจริงๆ มันคือตอนที่เราอยู่กับคนที่เรารักแล้วเห็นเขายิ้ม มันเป็น Peace of Mind เราได้อยู่กับคนที่เรารักนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ได้เกี่ยวว่าเรามีเงินเยอะเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเงินเยอะในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เราก็ไม่รู้จะมีไปทำไม ไม่มียังดีกว่า”


‘เป๊ก-รัฐภูมิ ไข่นาค’ จากเส้นทางนักแสดงสู่นักลงทุน และวัยที่ตระหนักว่า ‘เวลา’ คือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต

หลายคนคงคุ้นภาพของหนุ่ม ‘เป๊ก-รัฐภูมิ ไข่นาค’ ในบทบาทนักแสดงที่มีผลงานละครทั้งในประเทศไทยและประเทศจีนมากมาย แต่ในอีกมุมหนึ่งเขามีหมวกอีกใบที่หลายคนไม่เคยรู้ ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และผู้ก่อตั้ง G5 Investments อาคาเดมี่ที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุนโดยเฉพาะลองอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ของเขาดูกันว่าความรู้สึกอะไรที่ทำให้เขากระโดดเข้าสู่โลกการลงทุน และเปลี่ยนความคิดของเขา ว่า ‘เวลา’ คือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต



“สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่อเงิน แต่เป็นเรื่องเวลา เพราะว่าที่เราทำงานทำทุกอย่างจริงๆ แล้วเราทำเพื่อซื้อเวลา”


คุณหันมาสนใจเรื่องการเงินการลงทุนเมื่อไหร่

ต้องย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ผมเข้ามาในวงการเทรดเงินที่เรียกว่า ฟอเรกซ์ (FOREX) ซึ่งตอนนั้นก็ต้องยอมรับว่าเราเล่นไม่เป็นเท่าไหร่ ค่อยๆ เสียเพิ่มขึ้นทีละนิด จนเสียเยอะมากที่สุดก็คือเสียไปเกือบประมาณ 10ล้าน เรียกว่าเอาทั้งเงินในอนาคตมาใช้ เอาเงินที่ถ่ายละครมา ไปกู้เงินมาด้วยหลายรูปแบบมาก จนตอนนั้นรู้สึกว่าเราติดลบเยอะมากแล้ว คงต้องหยุดและกลับมาสำรวจตัวเองใหม่ ก็ค่อยๆ เรียนรู้พฤติกรรมของตลาด ค่อยๆ ศึกษาและปรับวิธีการลงทุน ค่อยๆ ตีคืนมาและโตไปกับมัน ตอนนี้ก็คืนทุนกลับมาหมดแล้วครับ (หัวเราะ)

ทั้งๆ ที่ติดลบตั้งแต่เริ่ม ทำไมตอนนั้นไม่ยอมเลิก

พอเราเริ่มไปแล้วติดลบ บางคนอาจจะคิดว่าเราเดินมาผิดทางแล้วล่ะ แต่นิสัยเราเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ คือคนอื่นสำเร็จได้เราก็ต้องสำเร็จได้ เราไม่หยุดที่จะหาความรู้ หาอาวุธมาติดตัว แต่พูดตรงๆ ว่าถ้ามันทำง่ายทุกคนคงทำได้ไปหมดแล้ว เราเลยต้องหาความรู้เพิ่มที่ถูกต้องมากกว่า สิ่งสำคัญคือผมไม่ได้ไปถามคนที่ล้มเหลว ในโลกของการลงทุนคนล้มเหลวมันเยอะมากนะครับ 97% ของคนที่อยู่ในนั้นคือคนที่ล้มเหลว แล้วก็ล้มเลิกยอมแพ้ไป แต่ผมไม่ได้ไปถามคนเหล่านั้น ผมไปถามคนอีก 3% มากกว่า ว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ



ความต่างของคน 3% กับ 97% ที่บอกคืออะไร


คือความอดทนครับ มันคือความอดทนที่ต้องอดทนจริงๆ ครับ คำพูดมันพูดง่าย แต่ลองนึกภาพดูนะ ผมเสียไปเป็น 10 ล้าน ถ้าผมยอมแพ้ผมคงจะไปโดดตึกแล้ว แต่จริงๆ ผมรู้สึกว่าผมต้องเอาคืนให้ได้ ถ้าจะมองว่าเป็นเพราะสายเลือดนักกีฬา เพราะเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน ทำให้เราไม่ยอมแพ้ เป็นคนสู้ก็คงใช่ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องมาเสียเหมือนผมนะ (หัวเราะ) มันอยู่ที่วันนั้นเราหาความรู้มามากพอหรือเปล่า

เล่าย้อนไปวันนั้น ผมพูดกับตัวเองเลยว่าจะหยุดอยู่กับที่หรือไปข้างหน้า ผมมีภาพที่ชัดเจนในหัว ว่าผมอยากจะมีชีวิตแบบไหน ผมอยากจะดูแลพ่อแม่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่อยากเป็นลูกที่ดูแลพ่อแม่ไม่ได้ ผมอยากพาพ่อแม่ไปเที่ยวอยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำกับคนที่รัก ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่อเงิน แต่เป็นเรื่องเวลา เพราะว่าที่เราทำงานทำทุกอย่างจริงๆ แล้วเราทำเพื่อซื้อเวลาถ้าผมประสบความสำเร็จตอนอายุ 40 ตอนนั้นแม่ผมก็อายุ 75 จะพาเขาไปปีนเขาคงทำไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ผมอายุ 30 กว่าๆ อายุ 60 นิดๆ เขายังคงไหวอยู่ (หัวเราะ) นี่คือภาพที่ชัดเจนในหัวผมตั้งแต่เด็กแล้ว ทำให้ในตัวผมไม่มีประจุลบเลย มีแต่ประจุบวกในการรับมือเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา


น่าแปลกที่คิดเรื่องชีวิตเร็วมากๆ ถ้าเทียบกับอายุ อะไรคือจุดเปลี่ยน

เป็นเพราะผมเกเรเร็วมั้งครับ (หัวเราะ) ตั้งแต่ตอนอายุ 17-18 ผมก็เที่ยวหนักมาก จนเรารู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรเลย คือการไปเที่ยวไปกินเหล้า เจอเพื่อน เมา แล้วก็กลับบ้านมาปวดหัวเหมือนเดิม แล้วเป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าเงินที่หามาได้มาลงกับสิ่งพวกนี้เหมือนเดิม แต่ว่าคนที่เขาเพิ่งมารู้สึกเพราะเขาอาจจะผ่านสิ่งเหล่านี้มาทีหลังผมประกอบกับชีวิตที่ผ่านมาที่ผมเริ่มหาเงินเรียนเอง ตั้งแต่มัธยมพ่อแม่ผมไม่เคยต้องออกเงินค่าเรียนให้ผมเลย ผมเป็นนักเรียนทุนตลอดจนถึงมหาวิทยาลัยเลย เพราะเมื่อก่อนทางบ้านผมพอมีฐานะ แต่ทุกอย่างเริ่มตกลงตั้งแต่ตอนปี 40 ทำให้บริษัทพ่อพัง เป็นหนี้เป็นสิน จำได้เลยว่าแต่ก่อนตอนอยู่อนุบาล พ่อจะพาไปซื้อเลโก้ทุกวันเลยที่เซ็นทรัล ซื้อแบบไม่ต้องดูราคาด้วย แต่พอทุกอย่างเปลี่ยน เราเริ่มต้องหาโรงเรียนที่มีราคาถูกลง ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ พอเริ่มโตขึ้นมาได้อายุ 10 กว่าๆ เรารู้สึกเลยว่าอันนี้มันคือความไม่แน่นอนของชีวิตจริงๆ ขนาดคนที่มีบริษัทของตัวเองแบบนั้นยังล้มได้

แต่ต้องถึงกับหยุดงานจากวงการบันเทิงเลยเหรอ เพราะได้ยินมาว่าก็ไม่ต่อสัญญากับทางค่ายด้วย

ต้องบอกว่าที่ผ่านมาเราเต็มที่กับงานแสดง ทั้งถ่ายละครที่ไทย ไปเซ็นสัญญากับค่ายละครที่จีนด้วย ไปถ่ายหนังจีนมา 2 เรื่อง แต่เราเริ่มมีความคิดว่านักแสดงเป็นอาชีพที่ดีนะครับ แล้วก็ทำงานเงินได้เยอะ แต่มันไม่สามารถทำไปได้ตลอด แล้วต้องยอมรับว่าเด็กๆ สมัยนี้เกิดขึ้นมาในวงการเยอะมาก อายุ 15-16 ก็เป็นพระเอกแล้ว การแข่งขันเริ่มสูงมากขึ้น ทำให้เราเริ่มอยู่ยากขึ้น โลกมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องหาอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นคง ตอนนั้นเลยคิดว่าถ้าวันนี้เราไม่เป็นนักแสดงเราจะทำอะไรต่อ



“ผมว่าจริงๆ เรื่องการลงทุนประเทศเราควรสอนกันตั้งแต่วัยเด็กๆ สอนกันในโรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น”

พูดถึงเรื่องการลงทุนบ้าง บางคนยังไม่เข้าใจและคิดว่าเป็นการเสี่ยงดวงเหมือนเล่นหวย จริงหรือเปล่า

จริงๆ การลงทุนคือการออมเงินในยุคนี้ครับ พูดตรงๆ นะอย่าเอาเงินไปฝากธนาคารเลยครับ เพราะปีหนึ่งเราได้ดอกเบี้ยปีละประมาณ 1% แล้วถ้าเราเอามาหักลบกับอัตราเงินเฟ้อ 3% รวมภาษีเข้าไปอีกเราขาดทุนแน่นอน ยิ่งฝากยิ่งลดไม่ได้ทำให้เพิ่มขึ้น สิ่งที่ทำให้เพิ่มขึ้นคือการเอาเงินไปลงทุนในตั๋วการคลัง กองทุนต่างๆ หรือว่าหุ้น พวกนี้คือการออมของจริง บางคนเขาไม่รู้คิดว่าการออมในวันนี้คือการเอาเงินไปใส่ในกระปุก หรือว่าการเอาไปฝากแบงก์

คือเรื่องพวกนี้ผมได้มาจากการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริง ว่าเราเอาเงินไปไว้ตรงไหนแล้วมันงอกเงย อย่างแต่ก่อนผมเคยเอาเงินไปลงกับอสังหาริมทรัพย์ ซื้อคอนโดแล้วปล่อยเช่า ตอนนั้นกำไรดีนะครับประมาณ 10% ต่อปี ถือว่าเยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้ทำได้ 5% ก็ยากแล้ว เพราะว่าค่าเช่าเรายังได้เท่าเดิม แต่ราคาขายคอนโดสูงขึ้น เช่นเมื่อก่อนผมเคยซื้อคอนโดราคา2 ล้าน ปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 ผมชิลล์มากเลย กำไรปีละ 10% แต่เดี๋ยวนี้ปีละ 4 ล้าน 6 ล้าน แต่ขนาดห้องเท่าเดิม ค่าเช่าก็ยังเก็บได้เท่าเดิมอีก มันทำให้เราเข้าใจแล้วว่าเราต้องโยกเงินอันนั้นมาลงทุนในส่วนอื่นแทน


ถ้าอยากเริ่มต้นลงทุนวันนี้ควรทำอย่างไร


ผมว่าจริงๆ เรื่องการลงทุนประเทศเราควรสอนกันตั้งแต่วัยเด็กๆ สอนกันในโรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นและตอนนี้เด็กรุ่นใหม่หลายๆ คนก็เริ่มมีมายด์เซตว่าอยากเป็นนักธุรกิจ อยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่กลับไม่รู้เรื่องเงินเลย ความคิดมันก็ไปต่อไม่ได้

ผมแชร์อย่างนี้ ถ้าอยากออมและลงทุน เรื่องแรกที่คุณต้องรู้เลยคือรายได้และรายรับของคุณมีเท่าไหร่ สมมุติว่าผมได้เงินต่อเดือน 20,000 นะ มาคิดเลยว่าเราจ่ายค่าหอเท่าไหร่ กินเท่าไหร่ แล้วเหลือเท่าไหร่ต่อเดือน อาจจะ 2-3 พันบาทก็ได้ ถ้าเราเอาเงินพวกนี้ไปเพิ่มในพอร์ตหุ้นทุกๆ เดือน 10 เดือน 1 ปี แล้วถ้าปล่อยให้พอร์ตหุ้นมันโตไปเรื่อยๆ จากเงินหลักหมื่นในวันนี้ มันอาจกลายเป็นเงินหลักล้านได้ใน 30 ปี ใครบอกว่าเงินเล็กสร้างเงินใหญ่ไม่ได้ผมเถียงยับเลยเพระจริงๆ มันคือกฎ compound Interest กฎการทวีคูณ การทบต้นทบดอก ยิ่งเราเพิ่มเงินเข้าไปมันจะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่ถือเป็น 1 ใน 8 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลย


ยังมีความเข้าใจผิดอะไรที่อยากเตือนคนที่เริ่มลงทุน


สมัยนี้นักลงทุนหลายๆ คนเป็นเหยื่อของคนฉลาด เป็นเหยื่อของคนที่เอาเรื่องการลงทุนมาโกง ผมมีไม่กี่ข้อที่จะให้สังเกตง่ายๆ และระวังกันไว้ อย่างแรกคุณจะเปิดพอร์ตหรือจะลงทุนทำอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องหาความรู้ให้มากพอ ความเสี่ยงกำจัดได้ด้วยการหาความรู้ อันนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด สองการเปิดพอร์ตมันต้องเป็นชื่อคุณเอง ไม่ใช่ชื่อใคร เพราะบางคนไปเปิดโดยที่มีบางคนบอกว่าใช้ชื่อเขาแทนเดี๋ยวจะเอาเงินออกให้ อันนี้ห้ามนะครับ อันที่สามห้ามมีการล็อกเงินเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันไม่สมเหตุสมผล เงินของผม ผมเอาไปฝากผมต้องถอนออกมาได้ เพราะสมมุติถ้ามีการล็อกเงินแม้แต่เพียงวันเดียว วันรุ่งขึ้นเขาปิดบริษัทหนีไปแล้วเราจะทำยังไง ที่ผมเตือนแบบนี้เพราะว่าผมโดนมาหมดแล้ว (หัวเราะ) และอย่างสุดท้ายถ้าหาที่มาที่ไปของเงินไม่ได้ห้ามทำ อย่ามองว่าลงเงินไปแล้วได้กำไรอย่างเดียว เราต้องรู้ว่ามันมาจากไหน เพราะถ้าเราไม่รู้อะไรเลย กลายเป็นว่าเงินที่เราได้มาไปได้มาจากการที่ไปหาคนเป็นลูกโซ่ พูดง่ายๆ คือเขาเอาเงินคนใหม่มาจ่ายคนเก่าเท่านั้นเอง

ในวงการนี่ต้องเจ็บก่อนถึงจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า

ผมเจ็บแล้ว ไม่ต้องมาเจ็บเหมือนผมก็ได้ (หัวเราะ) ผมไม่โทษเขานะวันที่ผมโดนหลอก ผมโทษตัวเองที่ไม่หาความรู้ให้มากพอ ถ้าวันนั้นเราหาความรู้ให้มากพอเราคงไม่ลงเงินตั้งแต่แรก ที่ผมสร้างอาคาเดมี่ขึ้นมาเพราะผมอยากให้ความรู้เรื่องการเงินเรื่องการลงทุนทั้งหมดเลย ผมไม่อยากให้คนโดนหลอกเหมือนผม


ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ความคิดตัวตนทุกวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมแค่ไหน


ผมคงตอบไม่ได้ว่าผมเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ผมรู้ว่าถ้าผมยังอยู่เหมือนเดิม ผมก็คงกลายเป็นนักแสดงเหมือนเดิม และพูดตรงๆ เลยคือผมก็คงไม่ได้เป็นเหมือน ณเดช คงเป็นนักแสดงตัวรองๆ ที่ไม่ได้แมสมาก และคงไม่รู้ว่าจะทำงานไปจนถึงเมื่อไหร่ และคงหาเงินให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้

แต่พอเราเริ่มมีมายด์เซตเปลี่ยนไป เราก็ได้รู้ว่าการหาเงินมันหมดไปได้เหมือนกันถ้าเราไม่รู้วิธีที่จะรักษามัน จากมายด์เซตเดิมที่เราคิดว่าเราต้องเอาแรงและเวลาไปทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้เงินมา แต่เราเปลี่ยนสิ่งนั้นเป็นการสร้าง Asset หรือสินทรัพย์ เช่นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไรก็ได้ที่มันสามารถสร้างเงินกลับมาให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องเอาแรงและเวลาไปแลกกับมัน คือมันมีหลายวิธีมากไม่ใช่แค่เรื่องอสังหาริมทรัพย์ เรื่องหุ้น มันมีเยอะมากเพียงแค่เราต้องไปเรียนรู้เองว่ามันสามารถสร้างได้อย่างไรบ้างครับ


คุณภาพของชีวิตจริงๆ มันคือตอนที่เราอยู่กับคนที่เรารักแล้วเห็นเขายิ้ม มันเป็น Peace of Mind เราได้อยู่กับคนที่เรารักนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ได้เกี่ยวว่าเรามีเงินเยอะเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเงินเยอะในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เราก็ไม่รู้จะมีไปทำไม ไม่มียังดีกว่า