“ตอนนี้ จะพูดว่ากำลังค้นหาตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ลองทำมาทุกอย่างแล้ว แต่ว่าตอนนี้กำลังเริ่มต้นที่จะทำงานในแนวใหม่ ซึ่งเป็นงานที่อยากทำมานานแล้ว คือการเป็นจิตรกร วาดรูปสีน้ำมัน”

‘แต๊งค์’ พงศกร มหาเปารยะ อัพเดทชีวิตให้เราฟังในวันนี้ หลังจากที่เขาเคยตกเป็นข่าวดังกรณีดรามาในโซเชียลมีเดีย กับ ‘อีฟ อัญวีณ์’ อดีตแฟนสาว เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ข่าวของเขาเงียบหายไปภายในเวลาไม่นาน วันนี้แต๊งค์มีเรื่องราวใหม่ในชีวิต เขานัดหมายเราที่บ้านพ่อแม่-กรณ์ และวรกร จาติกวณิช ในซอยเย็นอากาศ ที่ร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่ ดูสงบ และอบอุ่น

ตัวเขาเองก็ดูสงบ และดูมีความสุขกับงานใหม่ที่เขากำลังทำอย่างจริงจัง เขาโชว์ผลงานภาพเขียนสีน้ำที่จัดวางไว้ใกล้โถงนั่งเล่น และในพื้นที่ใกล้ลานจอดรถ บางส่วนของภาพเหล่านั้นจะถูกนำไปจัดแสดงใน ‘Out of the Darkness’ นิทรรศการครั้งแรกของเขา ที่แกลเลอรี Woof Pack Bangkok ซอยศาลาแดง 1 ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึง 5 เมษายน 2563


มีแรงจูงใจอะไรให้คุณหันมาจับงานวาดภาพ

คือจริงๆ ผมชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ตอนเด็กๆ ชอบวาดรูปการ์ตูน ภาพลายเส้น พอโตขึ้นมาก็ได้ลองมาสัมผัสกับงานของอาจารย์หรือศิลปินที่เขาทำงานสีน้ำมัน มีความรู้สึกว่า งานเขาดูมีคุณค่า และดูแพง เราเลยอยากจะเรียนรู้ ก็เริ่มจากการสอนตัวเอง ดูในยูทูบ และได้รับการชี้แนะจากอาจารย์บางท่าน อย่างอาจารย์ศักดิ์วุฒิ (วิเศษมณี) ซึ่งเป็นไอดอลของผมเลย และคุณแม่ก็ชอบ มีผลงานของอาจารย์ศักดิ์วุฒิเก็บเรื่อยมา

คุณเริ่มต้นกับการทำงานศิลปะอย่างไร

ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ เริ่มเพราะว่าผมว่าง (หัวเราะ) ว่างจากการที่งานในวงการบันเทิง อย่างงานพิธีกร งานแสดง เดี๋ยวนี้มันยากขึ้น เพราะเด็กสมัยใหม่เยอะขึ้น ช่องต่างๆ รายได้ลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน พออยู่ว่างๆ เลยคิดว่า ควรจะทำอะไรเพื่อเป็นการต่อยอดหรือพัฒนา อีกอย่างทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จะได้เป็นการกระตุ้นตัวเองไปด้วย

จะมีการจัดแสดงผลงานที่ Woof Pack เร็วๆ นี้ด้วย

เป็นความโชคดีของผมด้วยครับ เพราะจริงๆ แล้วศิลปินที่ทำงานเหล่านี้ ถ้าไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจริงๆ แล้วเป็นเรื่องยากมากที่จะได้มีงานจัดแสดงโชว์ในแกลเลอรีที่มีคนรู้จักเยอะ ที่ผมโชคดีเพราะว่าน้องสาว (กานต์ จาติกวณิช) ทำงานอยู่กับเจ้าของแกลเลอรี ซึ่งคือคุณเจย์ สเปนเซอร์


งานที่จัดแสดงเป็นอย่างไร

งานภาพสีน้ำมันครับ เป็นงานของผมคนเดียว ถ้าพูดถึงคอนเซ็ปต์งานจะค่อนข้างกว้าง เพราะเป็นงานแรกของผม และผมไม่อยากผูกมัดตัวเองว่าตัวเองเป็นศิลปินแนวนี้ ก็เลยเปิดกว้างไว้ก่อน อยากจะให้คนได้เห็นว่าผมเข้ามาในวงการนี้แล้ว และมีฝีมือระดับหนึ่ง ซึ่งผมอยากจะโชว์สแตนดาร์ดของตัวเองก่อน ในอนาคตค่อยไปเจาะจงว่ามีแนวทางของตัวเอง

คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการทำงานครั้งนี้

ค่อนข้างจะรีบอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่าผมเพิ่งตกลงกับน้องสาวและพี่เจย์ เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว และตกลงกันว่าเราจะไม่ใช้งานที่ผมเคยทำมาแล้ว นั่นคือต้องเป็นงานใหม่ทั้งหมด ผมต้องทำงานใหม่ทั้งหมด

ระหว่างทำงานศิลปะ คุณรู้สึกอย่างไร

ความจริงผมชอบนะ ผมชอบศึกษา ชอบเรียนรู้อยู่แล้ว และงานสีน้ำมันนี่ผมคิดว่า ภาพวาดสีน้ำมันของอาจารย์และศิลปินทั้งหลายยังน้อยไป ไม่ครบทุกรูปแบบ ถ้าเราไปดูงานสีน้ำของฝรั่งหรือชาติยุโรป เขาจะมีงานสีน้ำมันที่เป็นโมเดิร์น เป็นงานร่วมสมัยที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครทำ งานสีน้ำมันในไทยส่วนใหญ่เป็นงานคลาสสิก ลายไทย หรือวิจิตรศิลป์ไปเลย งานร่วมสมัยมีค่อนข้างน้อยมาก

ผมพยายามทำเป็นงานร่วมสมัยนั่นละครับ เพราะผมอยากจะดึงรูปแบบการทำงานของฝรั่ง สไตล์ของเขามา เพื่อที่ว่า อย่างน้อยเราก็เป็นคนไทยที่มีงานแบบเขาในเมืองไทยบ้าง คือผมไม่ได้อยากเป็นเหมือนเขานะ แต่เราอยากจะทำให้คนไทยมีงานแบบหลากหลายบ้าง งานศิลปะควรที่จะมีความหลากหลาย

ลักษณะงานของคุณเป็นแบบไหน สดชื่น แจ่มใส หรือว่าทุกข์ เศร้า

มันก็มาจากมืดๆ นิดหนึ่งละครับ (หัวเราะ) แต่ว่ามันเป็นสไตล์ของผมอยู่แล้ว ตรงที่ผมชอบเล่นคอนทราสต์ เน้นแสงไปที่ตัวซับเจ็กต์ ตัวแบ็กกราวนฺด์จะมืด ซึ่งมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวผมนิดหนึ่ง แต่ว่าผมพยายามไม่ผูกมัดตัวเองอยู่กับความมืด


ศิลปะที่ทำ มันช่วยบำบัดอาการซึมเศร้าได้ด้วยไหม

อืมม์… ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด มันมีอยู่ แต่ถ้าคุณเป็นมือกีตาร์วงบอดี้ สแลม คุณไม่สามารถทำให้มันเป็นดนตรีบำบัดได้ (หัวเราะ) เพราะว่าคุณทำเป็นงาน คุณเล่นทุกวัน ทั้งๆ ที่เครียด งานศิลปะก็เหมือนกัน ถ้าเกิดคนทำมันเป็นงานอดิเรกหรือไปเรียนกับนักจิตบำบัด มันก็มีครับ แต่สิ่งที่ผมทำอยู่มันเป็นงาน ที่ผมต้องเต็มที่กับมัน จริงจังกับมัน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ใช้มันมาบำบัด

แต่ถามว่า การทำงานมันช่วยบำบัดไหม มันช่วยครับ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร มันช่วยดึงเราจากความมืดอยู่แล้ว นี่เป็นงานที่เผอิญว่าเป็นศิลปะ

ที่มาของชื่อนิทรรศการ ‘Out of the Darkness’ เป็นอย่างไร

เป็นชื่อที่คุณแม่กับน้องสาวช่วยกันคิดครับ และผมก็คิดว่ามันตรงกับชีวิตของผมในบางแง่ (หัวเราะ) ในช่วงที่ผ่านมา พูดตรงๆ ผมมีมรสุมชีวิตเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น

เรื่องความรักใช่ไหม

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ จริงๆ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะ…อ่อนไหว ในเรื่องของการคบหากับใครสักคน ซึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างจะผิดหวังในเรื่องของความรัก อาจจะเป็นเพราะว่าหลายๆ อย่าง มองย้อนกลับไปแล้วเราเห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างเราพยายามแก้ไขแล้ว แต่ว่ามันยังต้องเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ (ยิ้ม)

ซึ่งล่าสุดที่ผ่านมาน่าจะเป็นประเด็นสาธารณะนิดหนึ่ง เพราะมีการใช้ในเรื่องของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในสื่อสังคมออนไลน์ที่ผม…เรียกว่าอะไร…ขาดสติ (หัวเราะ) และโพสต์อะไรตามอำเภอใจ ด้วยความรู้สึก ด้วยอารมณ์ที่มันอัดอั้นตันใจ และเราอยากจะเคลียร์ปัญหากับคนรักของเรา พอมันกดดันมากๆ เข้า ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็เลยปล่อยไปหมดในนั้น ข้อหนึ่งเลยปัญหาส่วนตัวก่อนก็คือว่า ผมพยายามติดต่อเขาไม่ได้ เพราะเขาปิดกั้นการติดต่อ ผมเลยใช้สื่อตรงนั้นในการติดต่อกับเขา ในการสื่อถึงเขา ทำให้เราลืมนึกถึงคนอื่นๆ ไป ลืมนึกถึงสังคมที่มองเข้ามา ลืมนึกถึงคนที่รักเรา เช่น คุณพ่อคุณแม่ น้องๆ และอาจจะมีคนที่รักเรา ปลาบปลื้มเรา เขาอาจจะผิดหวังกับสิ่งที่ผมได้สื่อออกไปตอนนั้น

พอผมได้สติ ผมก็ขอโทษ และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ได้พยายามแก้ไขเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากครอบครัวของผมแล้ว ยังมีครอบครัวของอดีตแฟนผมด้วย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่โอเคเลย ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้นที่เป็นปัญหาสำหรับผม มันก็ยังมีอีก (ยิ้ม) แต่ผมได้พยายามทำเต็มที่แล้ว

ในส่วนที่หลายๆ คนอาจจะไม่ได้เห็นหลังจากโพสต์นั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมตัดสินใจไปทำการรักษา เพราะผมคิดว่าผมมีปัญหาในเรื่องของโรคผลกระทบทางจิตใจ หรือซึมเศร้า ผมเคยรักษามานานแล้ว คุณหมอเคยวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่เราต้องรักษา ผมเดินทางไปพบหมอ และได้ยามารับประทานเป็นประจำ

ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาชีวิตที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนขนาดนั้น แต่พอมาถึงจุดที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว มันเลยเป็นเรื่องที่ผมต้องมานั่งทบทวน และสุดท้ายผมก็เข้าไปแอดมิทครับ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ


อาการของโรคเป็นอย่างไรบ้าง

ในเมืองไทยจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนหรือปัจจุบันก็ตาม หลายคนยังมองว่าโรคที่เกี่ยวกับจิตเวช หรือซึมเศร้าเป็นโรคของคนที่มีจิตใจอ่อนแอ หลายคนมองอย่างนั้นว่า ถ้าเราผ่านมันไปได้ หรือทำจิตใจให้เข้มแข็ง รักตัวเองให้มากๆ เราก็จะหายจากโรคนี้ได้

แต่จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับอาการป่วยทางกายนั่นแหละ อาการป่วยทางใจนี่มันค่อนข้างจะซีเรียส ถ้าเราศึกษามันจริงๆ ว่า เวลาเราเป็นแผลที่ใจ เราต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มันเหมือนกับแบบว่า เราได้รับบาดแผลทางใจแล้วเราไปหาคนที่เราไว้ใจได้เช่นคุณพ่อคุณแม่ แต่เขากลับบอกเราว่า เดี๋ยวมันก็หาย เวลาจะช่วยให้เราลืมเอง เดี๋ยวมันก็โอเค อดทนไว้ บางทีมัน…แรกๆ มันก็โอเคละครับ แต่บ่อยๆ ไปเราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เหมือนเราขาหักแล้วเดินไปหาเขา แล้วเขาบอกว่า โอ๊ย…มันอยู่ในขา เดี๋ยวมันก็หายเอง

คุณเริ่มรู้ตัวเมื่อไหร่ว่ามีอาการแบบนั้น

ถ้านึกย้อนไปก็…น่าจะเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ผมว่าผมมีปัญหาในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ และการแสดงออกแปลกๆ อย่างเช่น ผมเคยมีประวัติทำร้ายตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเหมือนทะเลาะกับแฟนมา บางคนเขามีความรุนแรงในแบบต่างๆ แต่ผมไม่เคยกระทำอะไรรุนแรงกับคนอื่น บางทีผมเศร้าหรือกดดันมากๆ ผมก็มาลงกับตัวเอง

แล้ววิธีทำร้ายตัวเองมันมีหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าเราจะฆ่าตัวตายหรือกินยานอนหลับ แต่บางทีแค่เราจมอยู่กับความทุกข์ นั่งฟังเพลงเศร้าๆ อยู่คนเดียว ไม่ยอมออกไปเจอใคร นั่นก็เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเป็นอย่างนั้นมาตลอด ก็แหม…พูดยาก (หัวเราะ)

สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจากเรื่องความรักหรือเปล่า

ใช่ครับ คือ…มันเป็นที่กระบวนการความคิดของตัวเองด้วย ถ้าจะให้ผมพูดเชิงลึกจริงๆ แล้วมันเป็นทั้งทางกายภาพและทางจิตใจด้วย ทางร่างกาย บางทีสมองของเราทำงานผิดปกติ โรคนี้เป็นเรื่องของการทำงานของสมอง ของการหลั่งสารเคมีบางอย่างที่มันทำงานผิดปกติไป ตรงนี้มันช่วยได้ด้วยการรับประทานยาที่ได้จากคุณหมอ ในเรื่องของจิตใจเราก็ต้องไปบำบัด เพื่อเรียนรู้วิธีที่จะต่อสู้กับสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดอาการซึมเศร้า

บางคนจะมีความทุกข์ทรมานมากกับการหาทางออกไม่ได้ในความคิด เพราะเขาจะคิดวนๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าเขาตัดใจไม่ได้ และเขาพยายามคิด ยิ่งเป็นคนฉลาดหรือหัวไวมันจะยิ่งทรมาน เพราะว่าเราแก้ปัญหาทุกอย่างให้คนอื่นได้ แต่ทำไมแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ เราพยายามจะหาทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรา สำหรับเขา สำหรับทุกคน แฮปปี้ แต่บางทีเราบังคับคนอื่นไม่ได้ แล้วมันทำให้เราตัน เราบังคับบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ อย่างเช่นความรัก หรือว่าความตาย บางทีก็ทำให้เราช็อก


นอกจากยาแล้ว คุณยังมีวิธีรับมือกับอาการของโรคซึมเศร้าอื่นอีกไหม

ผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้า คน-บางทีเวลาเครียดเขาดื่มเหล้า เขาออกไปสังสรรค์ ไปเจอเพื่อน ไปเที่ยว แต่ด้วยความที่ผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ ผมก็เลยติดอยู่กับบ้าน แต่ก่อนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็รอให้ใครสักคนเข้ามาช่วย ผมไขว่คว้าหาสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นละ คือใครก็ได้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนที ช่วยพาผมออกไปจากตรงนี้ที ซึ่งทุกๆ ครั้งกลายเป็นว่าเราเอาชีวิตไปฝากไว้กับเขา เอาความสุขไปฝากไว้กับเขา เราพึ่งพาเขาเกินไป พอถึงเวลาที่เขาตัดเรา บางทีคนเราก็มีเบื่อ หรือว่าเขาอาจจะตัดสินใจเลือกทางใหม่ๆ มันก็โทษใครไม่ได้ แต่คนที่เสียหายหนักหรือเจ็บหนักก็คือเรา เพราะว่าเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ทุกครั้งผมไปหาคุณหมอ หลายที่มาก เขาก็บอกว่าเราต้องรักตัวเอง ต้องรู้จักอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ที่ผ่านมาผมก็พยายาม ครอบครัวก็พูดเหมือนคุณหมอ แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มที่จะเห็นแล้วว่า บางทีปล่อยผมให้ช่วยตัวเองอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ (ยิ้ม) ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญ บางทีถ้าเกิดผมต้องการใครสักคนมาเติมเต็ม ถ้าไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าเป็นคนนอกไง ไว้ใจไม่ได้ แต่คนที่ไว้ใจได้แน่นอนคือครอบครัวของเรา

ตอนนี้ครอบครัวผมเริ่มมีส่วนเข้ามาเติมเต็มในชีวิตของผมมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ค่อนข้างจะห่าง และทุกคนใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวปกติ ที่ลูกโตแล้ว ทำงาน มีแฟน แยกกันอยู่ แต่ทีนี้พอเขารู้ว่าผมมีอาการไม่สบาย ที่จำเป็นจะต้องได้รับการช่วยเหลือ ตอนนี้ทุกคนเข้าใจ และพยายามช่วยผม ซึ่งผมพบว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ได้รับความเข้าใจจากคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น และผมมีกำลังใจมากขึ้นจากครอบครัว จากแต่ก่อนที่ผมไม่กล้าที่จะแสดงความอ่อนแอ คือต้องพยายามเก็บเอาไว้คนเดียว เพราะไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจเรา ทุกวันนี้ผมออกกำลังกาย คุณแม่ก็พูดคุย ชวนผมทานข้าวมากขึ้น

แล้วเรื่องความรักนี่เข็ดไปเลยหรือเปล่า

ไม่หรอกครับ เพราะว่ามันเป็นของที่เข็ดไม่ได้ (หัวเราะ) เราแค่ต้องเข็ดกับตัวเอง ที่ว่ามันมีคบ มันก็มีเลิกกันเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าเราอย่าไปทำอย่างที่เคยเกิดขึ้นมา ที่เคยพลาดเท่านั้นเอง นอกจากเราจะต้องพัฒนาตัวเองในเรื่องของการคบหากับแฟน เวลาที่เลิก เราต้องพัฒนาวิธีการที่เราจะรับมือกับมันด้วย ซึ่งบางที ประสบการณ์ก็สอนว่าถ้าเรารอให้ถึงตอนนั้นแล้วรับมือ แก้ไข มันไม่ทัน เราต้องแก้ไขก่อน เราต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากการที่เริ่มคบกับคนที่เราต้องมั่นใจว่า เขาสามารถรับมือกับส่วนที่เราต้องการให้เขารับมือให้ได้


แต่เชื่อว่าความรักก็ยังคงมีอยู่ใช่ไหม

ผมเชื่อในความรักเสมอ ความรักกับความดีมันมาคู่กัน ผมก็ไม่ใช่คนดีมากนะ แต่ผมคิดว่าถ้าเกิดเราเป็นคนที่ดีได้ มันจะมีความสุขตามมา อะไรที่มันไม่ดีเราพยายามละเสีย พยายามไปในทางที่ดีให้ได้มากที่สุด ผมเชื่อว่าความดีนี่แหละที่ทำให้เรามีความสุข มันไม่ใช่ความเก่ง หรือเงินทอง หรือการเอาชนะใครได้ แม้กระทั่งการมีแฟน บางทีมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขได้ในตอนสุดท้าย

บางทีผมต้องการที่จะมีคนรัก เพื่อที่ว่าผมต้องการจะแสดงความดี ผมต้องการที่จะได้เป็นคนดี ซึ่งถ้าเกิดเรามีคนรัก มันช่วยให้เราสามารถเป็นคนดีได้อย่างมีเป้าหมายมากขึ้น

คุณเคยบวชมาก่อน และเคยเปลี่ยนความตั้งใจจากเดิมที่จะบวชช่วงสั้นๆ กลายเป็นครองผ้าเหลืองนานถึงสองปี ตอนนั้นคุณมีความคิดอะไรอยู่

ตอนนั้นผมอยากจะบวชให้คุณพ่อคุณแม่นั่นละครับ แต่ว่าตอนนั้นคบกับคุณแตงโม (ภัทรธิดา ‘นิดา’ พัชรวีระพงษ์) คบกันได้สองปีแล้ว ผมมีความสุขกับเขามาก และคิดว่า…คือผมก็มองไปถึงการแต่งงานทุกครั้งที่คบกับทุกคนน่ะครับ ถ้าเกิดบวชซะ เราจะได้ทำหน้าที่ของเราเรียบร้อย แล้วเมื่อไหร่ที่อยากจะแต่งก็แต่งได้เลย ผมตั้งใจจะไปบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ อาจจะสักเดือนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว (ถอนหายใจ ยิ้ม) ความรักไปไม่รอด คือเลิกกับคุณแตงโมตอนนั้น ก่อนที่จะเข้าบวชไม่กี่วัน

พอเข้าไปบวชปุ๊บ เราไม่มีอะไรรออยู่แล้ว เลยคิดว่ายังไม่อยากรีบสึก อยู่ตรงนั้นผมก็สบายดีนะครับ เพราะผมไม่เคยได้ศึกษาทางธรรมจริงๆ จังๆ แต่ว่าผมคลุกคลีกับวัดมาตลอด เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนธรรมะธัมโม เข้าวัดตลอด แต่ตัวผมเองไม่เคยอ่านธรรมะ ไม่เคยรู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้ามีอะไรบ้าง พออยู่ในวัด ด้วยความที่ผมชอบเรียนชอบศึกษาอะไรใหม่อยู่แล้ว มันมีทั้งพระ ทั้งญาติโยมที่เข้ามาสนทนาธรรมด้วย มันเป็น challenge ซึ่งมันดีนะ เราเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคำสอนดีหมด และใช้ได้จริงหมด ขอเพียงแค่เราเปิดใจ และจัดสรรดูว่าคำสอนไหนเหมาะกับเราเท่านั้นเอง

มันทำให้ผมอยากที่จะเรียนรู้ทั้งหมด เพราะเวลามีคนเข้ามาถาม คนที่เขามีความทุกข์ คือมีคนส่งข้อความมาในอินบ็อกซ์ เฟซบุ๊กเยอะมาก ผมนั่งตอบทุกคน เป็นพระสายคีย์บอร์ด (หัวเราะ) คุณแม่ไม่เห็นด้วยหรอกครับ ทำไมพระเล่นโซเชียล (หัวเราะ) แต่ว่าถ้าเกิดเข้าไปย้อนดูในข้อความที่ผมตอบคนอื่นๆ ผมค่อนข้างที่จะภูมิใจนะครับ เพราะผมได้ช่วยคนเยอะมาก และมันเป็นอะไรที่ดียิ่งกว่านั้นตรงที่ว่า เมื่อวันหนึ่งผมล้มลง เมื่อปลายปีที่แล้ว มีหลายคนมากเลยที่เข้ามาบอกว่า ตอนที่ผมบวช ผมเคยช่วยเหลือเขา ผมเคยให้คำแนะนำ เคยชี้ทางสว่างให้เขา ผมไม่ได้เป็นคนชี้ ผมใช้แนวทางของพระพุทธองค์ไปบอกเขาอีกที แล้วเขาสามารถพ้นความทุกข์จากตรงนั้นมาได้ เขากลับมาช่วยผม เป็นกำลังใจให้ผม เขาเตือนให้ผมนึกได้ว่าผมมีค่าในตัวเอง ด้วยตัวผมเองโดยไม่ต้องมีใคร ผมสามารถทำดีให้กับใครก็ได้ มันเลยทำให้ผมลุกขึ้นได้ครับ


เวลานี้ คุณมองเห็นภาพตัวเองชัดเจนขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า

จริงๆ ชัดเจนขึ้นครับ แต่ว่าตัวผมเองน่ะผมไม่ต้องการมองตัวเองให้ชัดเจน คือหลายๆ คนต้องการเคลียร์ ต้องการเห็นภาพตัวเองในอนาคต ต้องการมีแผนการเพื่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยในการรับมือกับปัญหาได้ แต่ตัวผมเองชอบเรียนรู้ ชอบผจญภัย ชอบเดินทาง

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ผมมองก็คือ ข้อผิดพลาดของตัวเองในอดีต และจะไม่ทำอีก จะพยายามไม่ทำให้ครอบครัวต้องเสียใจซ้ำๆ และจะไม่ทำให้คนที่รักเราต้องหลุดลอยหายไปอีก อนาคตผมมองไม่เห็นตัวเองที่แน่นอนหรอกครับ ผมรู้แต่ว่า ไม่ว่าอะไรจะเข้ามาผมต้องทำให้ดีขึ้น

และจะใช้อดีตเป็นบทเรียนสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปใช่ไหม

ถูกครับ (ยิ้ม) บทเรียนเยอะเหลือเกิน เจอมาเยอะมาก มันก็เหนื่อยแล้ว จริงๆ ตอนนี้ถ้าเกิดคว้าอะไรได้ ถูกใจ คุยกันรู้เรื่อง แต่งงานแล้ว (หัวเราะ)




เรื่อง : บุญโชค พานิชศิลป์